วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 21:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 08:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
คุณกบคงเหมารวมไปว่าผู้ที่มาอ่านกระทู้มีเพียงกลุ่มเดียว คือกลุ่มเก่าที่คร่ำหวอดอยู่ในลานฯ ไม่คิดว่าจะมีผู้ใหม่มาอ่านบ้างหรือเปล่าครับ แล้วตามธรรมนั้นผู้จะเข้าใจธรรมเห็นธรรมชัด บางท่านก็ชัด อนิจจัง บางท่านก็ชัด ทุกขัง บางท่านก็ชัด อนัตตา แล้วแต่ระดับศรัทธา สติ ปัญญา บารมีที่แต่ละคนสร้างสะสมมา
เปิดกว้างอีกสักนิด ฟังกันต่อไปอีกสักหน่อยแล้วจะค่อยๆเข้าใจไปเองนะครับ

:b16: :b16: :b16:
อนึ่งการ "กำหนดรู้" กับ "นิ่งรู้" นั้นจุดเริ่มต้นก็ต่างกันมาก
"กำหนดรู้ จะเป็นบัญญัติ เป็นอัตตา เต็มๆ "กำหนด" ถ้าพูดเป็นภาษาพ่อขุนฯก็คือคำพูดว่า "กูสั่ง"นั่นเอง

:b43:
แต่ "นิ่งรู้"นั้น เป็นเพียงการที่ สติ ปัญญา ไปเฝ้าสังเกตดูการทำงานตามธรรมชาติของกายและจิต ตามธรรมชาติของ สติและปัญญา หาใช่ กู ไปสั่งว่าต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้
:b39:

:b31: :b31:
:b4: :b4: :b4:


จะกำหนดรู้...หรือ..นิ่งรู้....ก็ล้วน..กูสั่งทั้งนั้นแหละ

กูไม่สั่ง...มันก็ไม่ได้มา...ยืน..เดิน...นั่ง...นอน..ทำความเพียร..หรอก

เพียงแค่..กำหนดรู้...อาจจะรู้ได้จำกัดแค่...สิ่งที่ไม่เคลื่อนไหว...เช่น..กสิน10...อาหาเรปฏิกูล..จุดกระทบลมหายใจเข้าออก....กว้าง ๆ คือ..รู้กาย

แต่..นิ่งรู้...อาจครอบไปทั้ง...กาย..เวทนา..จิต..ธรรม

ทั้งหมด....คือ..มีสติ...มีสติต่อเนื่องได้เรียกว่าสมาธิ...มรรคแปด..มันสุดตรงนี้

ต่อจากนี้..มรรค9..สัมมาญาณ..เขาถึงจะทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ

นี้งั้ย..วิปัสสนาเกิดหลัง..นิ่งรู้....ไม่ใช่..นิ่งรู้เป็นวิปัสสนา

กำหนดรู้....นิ่งรู้....มันเครือเดียวกัน


โพสต์ เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 13:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
กบร้อง........
กระผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ...ผมปฏิบัติมาน้อย..จริง ๆ...

นิ่งรู้...มันสมถะ

รู้แต่ไม่นิ่ง...คือ..รู้แล้วมีวิตก..วิจารณ์...ในรู้ที่ปรากฏ...ได้ข้อคิดธรรมะ...มีปิติและสุขจากธรรมนั้น...แล้วเก็บใว้ในใจ(อย่างแยบคาย )...จึงจะเรียกว่าวิปัสสนา..ใช้สัญญาเกิดปัญญา..ครับ
นิ่งรู้...รู้แต่ไม่ขยับ...ปัญญาไม่เกิดหรอก...มันขยับมันคิด...ถึงจะมีโอกาสเกิดปัญญา...

นิ่งรู้...นิ่งรู้...แล้วเป็นวิปัสสนาเอง....ผมไม่เชื่อหรอกครับ...ยิ่งมาบอกว่ามีไตรลักษณ์..เห็นไตรลักษณ์อยู่ในนั้น...ยิ่งไม่เชื่อใหญ่....เมื่อไม่ได้วิปัสสนาแรก...ไม่ทำปัญญาให้เกิดแล้ว...ไตรลักษณ์ที่เห็นมันก็เป็นได้แค่สัญญา...ครับ....จะไปดีใจทำไมว่าเห็นไตรลักษณ์...พูดหลอกเด็กให้ดีใจไปงั้น...จะได้ประโยชน์อะไรกัน..คุณอโสกะ

ไม่ต้องบอกใบ้หรอกครับ..บอกตรง ๆ ให้ชัด ๆ มีประโยชน์กว่า...ใช้คำคม..คม...ดูดี..มีลึกลับ...คิดได้หลายแง่...แต่ปฏิบัติไม่ได้จริง...มันไม่มีประโยชน์
:b12: :b12: :b12: :b12:
asoka......
"รู้แล้วมีวิตก..วิจารณ์...ในรู้ที่ปรากฏ...ได้ข้อคิดธรรมะ...มีปิติและสุขจากธรรมนั้น...แล้วเก็บใว้ในใจ(อย่างแยบคาย )...จึงจะเรียกว่าวิปัสสนา..ใช้สัญญาเกิดปัญญา..ครับ"
:b34:
พูดมาเท่านี้ก็พอจะรู้ว่าคุณกบ เข้าใจว่า จินตมยปัญญาที่คิดใคร่ครวญธรรมนั้นเป็นวิปัสสนาภาวนา นั่นผิดแล้ว ไม่ใช่แล้ว
:b31:
วิปัสสนาภาวนา เป็นภาวนามยปัญญา คือการรู้เห็นสภาวธรรมที่ใจไม่มีสมมุติ บัญญัติมาเกี่ยวข้อง เป็นปรมัตถ์ รู้ ปรมัตถ์ วิปัสสนาถ้าคิดเอา เขาเรียกว่า "วิปัสสนึก" :b31:
คุณกบอยากจะรู้ว่า การรู้สภาวธรรมที่ใจเป็นอย่างไร ก็ลองเอาเกลือมาวางที่ลิ้นดู เมื่อรู้รสเค็มขึ้นมา สังเกตดูให้ดีว่า ต้องนึกคิดรู้ขึ้นมาไหม? หรือใจเขารู้ซึ้งรสเค็มอย่างไร้คำพูด :b43:
การรู้ไตรลักษณ์ ในขณะที่นิ่งรู้ปัจจุบันอารมณ์นั้นเขาจะรู้ซึ้งที่ใจ ไม่มีคำพูด ไม่ใช่รู้ด้วยสัญญา เป็นปัญญา เห็นความจริง เห็นความเกิดขึ้นดับไปของอารมณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าอย่างแท้จริง ไม่ใช่รู้ด้วยสัญญาอย่างที่คุณกบเข้าใจ คุณกบต้องลองนั่งหลับตาสังเกตดูปัจจุบันอารมณ์ดีๆ หรือง่ายกว่านั้น ให้ลองนั่งหลับตาสังเกตลมหายใจที่กำลังเข้าออก คุณกบจะได้เห็น การเกิดขึ้นและดับไปของลมหายใจเข้า การเกิดขึ้น ดับไปของลมหายใจออก ต่อเนื่องกันไป ความเข้าใจเรื่องอนิจจังจะเกิดอ้อขึ้นมาในใจเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลาของลมเข้าออก คุณกบจะเข้าใจทุกขัง คือความทนอยู่ไม่ได้เมื่อหายใจเข้าหรือออกสุดแล้ว คุณกบจะเข้าใจความเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อรู้ว่าลมเข้าลมออกนี้บังคับให้เป็นไปดั่งใจไม่ได้ คำว่า "เข้าใจ"นั่นแหละคือภาวนามยปัญญา
:b11:
ที่ผมแสดงและชวนให้ลองหรือท้าให้พิสูจน์นี้ล้วนปฏิบัติได้จริงๆ ณ บัดเดี๋ยวนี้เลย ไม่ใช่เรื่องหลอกเด็ก
ลองดูซิครับ *****นิ่งรู้ นิ่งสังเกตลมหายใจ........นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์

:b31:


โพสต์ เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 17:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแจมด้วยคนนะครับ
(ไม่รู้ว่าจะถูกบ้างมั้ยนะครับ)
ขอถามความเห็น นะครับ ว่า
ท่านเห็น อริยส้จจ์ 4 กระบวนการขันธ์5 ปฏิจจสมุปบาท สติปัฏฐาน 4 เป็นสิ่งเดียวกันมั้ยครับ ผมเห็นเป็นสิ่งเดียวกันหมด เดินมรรค8 ใน1 กระแส ได้ครบหมด ท่านเห็นเช่นนี้มั้ยครับ

จากที่ผมเคยกล่าว 1เจริญสติ-->2 สมถะวิปัสสนา-->3 ศิลสมาธิปัญญา-->8 มรรค ท่านเห็นเช่นนี้มั้ยครับ


พระพุทธองค์สอนให้ ป้องกัน แก้ไข(ก่อนทุกข์ หลังทุกข์) ยอมรับความจริง (ไตรลักษณ์) เป็นเช่นนี้มั้ยครับ

ตั่งแต่อุปทาน ไป เป็น ทุกข์ ตั้งแต่อวิชชา ไปจนถึง ตัณหา เป็น สมุทัย
เพียร ป้องกัน แก้ไข ยอมรับ เห็นกระแสปฏิจจ. เป็นการเดิน มรรค8 เพื่อ.... ดับอวิชชา ได้ เป็น นิโรธ
เป็นเช่นนี้มั้ยครับ

ป้องกัน =รู้เท่า แก้ไข=รู้ทัน ลด อนุสัย
แก้ไข=รู้ทัน ยอมรับ=รู้ตาม ลด อาสาวะ อวิชชา

นิ่งรู้ =รู้เฉยๆ= ป้องกัน = เริ่มที่ผัสสะ โดยไม่ผสม เจตนา และนมสิการ ลงไป คือ สังขารไม่ประมวลผลจนเป็นเวทนา วางเลย
กำหนดรู้ = แก้ไข = เริ่มที่อวิชชาผัสสะ เกิดกระบวนการขันธ์ 5 จนได้เวทนา จนเป็นตัณหา ตัดก่อน จะรับมาเป็นอุปทาน
กำหนดรู้ = ยอมรับ = เกิดกระแสปฏิจจ. จนได้ ทุกข์ ให้เห็น ลง ไตรลักษณ์

ทุกกระบวนการเป็นเรื่องของ จิต ไม่ใช่เรา หากยังมีเรา ก็ไม่มีทางพ้น 3 โลก แน้พระเจ้าข้า

เป็นเรื่องปัจจตัง นะครับ ไม่เหมือนก็ช่างมันเตอะ
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 20:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
: :b34:
พูดมาเท่านี้ก็พอจะรู้ว่าคุณกบ เข้าใจว่า จินตมยปัญญาที่คิดใคร่ครวญธรรมนั้นเป็นวิปัสสนาภาวนา นั่นผิดแล้ว ไม่ใช่แล้ว
:b31:
วิปัสสนาภาวนา เป็นภาวนามยปัญญา คือการรู้เห็นสภาวธรรมที่ใจไม่มีสมมุติ บัญญัติมาเกี่ยวข้อง เป็นปรมัตถ์ รู้ ปรมัตถ์ วิปัสสนาถ้าคิดเอา เขาเรียกว่า "วิปัสสนึก" :b31:
:b31:


ว่าแล้ว...จะต้องโดนดอกนี้.... :b32: :b32: :b32:

...วิปัสสนึก.... :b13: :b13:


โพสต์ เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 20:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อโสกะพยายามเขียนตำราใหม่....

ให้คนติดอยู่แค่..วิปัสสนึก...แค่นิพพิทาญาณ...แล้วก็ให้คนหลงว่าเป็นวิปัสสนาญาน

นี้และ..นิ่งรู้..ของอโสกะ..

ไตรลักษณ์ที่เห็นก็เลยเป็นแค่สัญญา....ให้ทำตามแค่สัญชาติญาน...
viewtopic.php?f=1&t=42150&start=15

สัญชาติญาน...มันเลวยิ่งกว่า..สัญญาญาน..อีกนะ...เพราะมันอวิชชาทั้งดุ้น

อโสกะเป็นลูกน้องมาร..รึงัยนะ...ถึงมาวางยาพุทธบริษัท

huh


โพสต์ เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
เห็นมี....."เรา".....อยู่ตลอดทางเลยนะครับ
ถ้าบรรลุธรรมโดยมี..."เรา"...ตามไปตลอดอย่างนี้คงยังอยู่ใต้อำนาจของ ..."เรา"...แน่ๆเลยครับ
:b10:
เอา "เรา" ออกเสียให้ได้แต่แรก น่าจะหมดเรื่องหมดปัญหา หมดทุกข์ได้จริงๆกระมังครับ?


กระผมละงง...กับ..แนวของคุณอโสกะ...จริง ๆ..

ปัญญาผมคงน้อยไป...ก็เลยตาลายเห็นอโสกะ...แยกร่างได้...

จากข้อความนี้..

เอา "เรา" ออกเสียให้ได้แต่แรก น่าจะหมดเรื่องหมดปัญหา หมดทุกข์ได้จริงๆกระมังครับ?

ก็คิดว่าอโสกะ...เป็นพวก...ไม่มีเรา...เราไม่มี...เสียอีก

แต่พอมาถึง..บทนี้...
อ้างคำพูด:
ที่ผ่านมาเราสนทนากันแต่ในส่วนของเรื่องการชำระขยะที่มากองไว้ในใจเป็นส่วนใหญ่ แต่ การที่จะมีขยะเข้ามากองทับถมกันไว้ในใจนั้นถ้าเราได้รู้วิธีที่จะไม่รับขยะใหม่เข้ามาอีกคงจะเป็นการดีมิใช่น้อย

ดังที่เคยกล่าวมาแล้วว่า "สติ เปรียบได้กับฝาถังขยะ" ซึ่งทำงานร่วมกับ จิต อันเปรียบได้กับผู้คอยปิดเปิดถังขยะ

ดังนั้น สติและ จิต ที่ถูกอบรมมาดีแล้วจนเป็น "สัมมาสติ" นี่คือเครื่องมือหรือปราการด่านแรกหรือฝาปิดที่จะคอยกั้นมิให้มีขยะมาเพิ่มขึ้นในใจ"

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ....."สติและ จิต ที่ถูกอบรมมาดีแล้ว"

อะไร?จะเป็นสิ่งที่มาอบรมสติและจิต?


ก็เห็นอโสกะ...เป็นพวก...มีอะไรสักอย่างที่ต้องไปชำระ

ตกลงอโสกะ....เป็นแนวไหน..ละครับ

เมื่อไม่มีเรา...ตั้งแต่แรก......แล้วอโสกะ....จะมีอะไรให้ต้องชำระ?

ถ้าอะไร...อะไร...ก็อนัตตา....จะอบรมอนัตตาไปทำไม?...ดีแล้วเดียวมันก็สลายไปไม่ใช่รึ?

ส่วนผมนะ...เป็นพวก..เรามี..จิตมี...เลยไม่แปลกอะไร...ถ้าจะมาอบรมจิตหรือว่าเอาขยะออกจากใจ...

แล้วอโสกะ...เป็นแบบไหน...รึว่าเป็นแบบไหนก็ได้ที่พูดแล้วดูเป็นอภิมหาปรัชญา...ดูดีมีชาติตระกูล
:b32: :b32: :b32:

:b12:
คุณกบคงเหมารวมไปว่าผู้ที่มาอ่านกระทู้มีเพียงกลุ่มเดียว คือกลุ่มเก่าที่คร่ำหวอดอยู่ในลานฯ ไม่คิดว่าจะมีผู้ใหม่มาอ่านบ้างหรือเปล่าครับ แล้วตามธรรมนั้นผู้จะเข้าใจธรรมเห็นธรรมชัด บางท่านก็ชัด อนิจจัง บางท่านก็ชัด ทุกขัง บางท่านก็ชัด อนัตตา แล้วแต่ระดับศรัทธา สติ ปัญญา บารมีที่แต่ละคนสร้างสะสมมา เปิดกว้างอีกสักนิด ฟังกันต่อไปอีกสักหน่อยแล้วจะค่อยๆเข้าใจไปเองนะครับ
:b16: :b16: :b16:
:b31: :b31:
:b4: :b4: :b4:


กะจะ...เอาทั้งคู่...เลยนิ

พอใครบอกว่า...กระจกไม่มี..แล้วฝุ่นจะเกาะอะไร...(ถังขยะใจ)...อโสกะก็บอกว่าไม่ถูก...ขยะใจต้องมีการเอาออก..

พอมีใครเขาว่า...
...........
สังโยชน์ 1..2..3...เราปล่อยได้แล้ว...[color=#FF0000]เราได้โสดา

สังโยชน์ 4..5..เรามีแค่เบา ๆ ...เราเป็นสกิทา...

หากปล่อยได้ถึง. 5...[color=#FF0000]เรา[/color]ก็จะได้อนาคา
[/color]
.........

อโสกะก็ว่าได้อีก..ว่า

...เห็นมี....."เรา".....อยู่ตลอดทางเลยนะครับ
ถ้าบรรลุธรรมโดยมี..."เรา"...ตามไปตลอดอย่างนี้คงยังอยู่ใต้อำนาจของ ..."เรา"...แน่ๆเลยครับ
:b10:
เอา "เรา" ออกเสียให้ได้แต่แรก น่าจะหมดเรื่องหมดปัญหา หมดทุกข์ได้จริงๆกระมังครับ?
..................
อโสกะลักปิดลักเปิด...ข้าต้องแน่...ไม่มีใครเกิน...ข้าคือผู้ให้ไม่ใช่ผู้รับ...

:b32: :b32: :b32: เอิ๊ก...เอิ๊ก....


โพสต์ เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 22:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
:
อ้างคำพูด:
asoka......
"รู้แล้วมีวิตก..วิจารณ์...ในรู้ที่ปรากฏ...ได้ข้อคิดธรรมะ...มีปิติและสุขจากธรรมนั้น...แล้วเก็บใว้ในใจ(อย่างแยบคาย )...จึงจะเรียกว่าวิปัสสนา..ใช้สัญญาเกิดปัญญา..ครับ"
:b34:
พูดมาเท่านี้ก็พอจะรู้ว่าคุณกบ เข้าใจว่า จินตมยปัญญาที่คิดใคร่ครวญธรรมนั้นเป็นวิปัสสนาภาวนา นั่นผิดแล้ว ไม่ใช่แล้ว
:b31:
วิปัสสนาภาวนา เป็นภาวนามยปัญญา คือการรู้เห็นสภาวธรรมที่ใจไม่มีสมมุติ บัญญัติมาเกี่ยวข้อง เป็นปรมัตถ์ รู้ ปรมัตถ์ วิปัสสนาถ้าคิดเอา เขาเรียกว่า "วิปัสสนึก" :b31:


ไม่รอบรู้....รู้ไม่รอบ...ก็เป็นอย่างนี้แหละ...ไม่โทษอโสกะหรอก...

แต่หากเป็นลูกน้องของมาร...มาทำให้พุทธบริษัทเข้าใจผิด..ละก้อ...ต้องเจอกันหน่อย

พวกบ้าใบ้ที่เห็นชัดเจน...คนเขาเห็นกันเองง่าย...ไม่ต้องไปโวยวายอะไร...แต่ไอ้ประเภท...ทำเนียน...ลูกอมผสมยาพิษนี้นะ...ร้ายลึก..ทำลายได้ลึก

เริ่ม...

พระพุทธองค์...แยกคนเป็นประเภท ๆ ได้ 3...แต่ลูกศิกษรุ่นต่อมาเพิ่มให้เป็น 4 ...

อุคฆฏิตัญญู....เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว

วิปัจจิตัญญู....เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า

เนยยะ....เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้

ปทปรมะ...ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร

นี้คือบุคคลประเภท...สาวกภูมิ...คือ...ต้องมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...ก่อน....ถึงจะสามารถตรัสรู้ตามได้....ต้องใช้สัญญา....มั้ย?

คนทั้ง 3 ประเภทแรกนะ...ใช้สัญญา...มากน้อยไม่เท่ากัน..สำเร็จไวก็ใช้น้อย...สำเร็จช้าก็ใช้มาก...แต่ทุกคนสำเร็จได้ก็ด้วยปัญญาที่เกิดจริงของตน...จึงเรียกว่า...ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

พอมีคนพูดมาในแนว...อุคฆฏิตัญญู....อโสกะก็ยกแนวของเนยยะ...มา
พอมีคนยกแนว...เนยยะ..มา...อโสกะก็เอาแนวของ...อุคฆฏิตัญญู..ต้าน...

อธิบายไม่ได้ก็โยนให้เข้าปรมัตถ์...ท่าเดียว...ไล่ให้ไปชิมเกลือบ้างละ..

อโสกะเป็นอะไรไป...อย่าให้มันมากนักเลย...มานะ...ตนสูงไป...ผิดไม่เป็นก็ไม่เห็นอันที่ถูกว่านะ...และไม่ต้องห่วงกระผมว่าจะเป็นวิปัสสนึก...

ตัวเองนะ..เป็นวิปัสสนึก..ทั้งดุ้น...ติดอยู่แค่สมถะ...เกิดแค่นิพพิทาญานก็เข้าใจว่าเห็นธรรมเข้าใจธรรม...สะแล้ว....น่าห่วงมาก...ถ้าอโสกะเห็นไตรลักษณ์จริง....น้ำตาจะร่วงเกินจะห้ามแล้วจะไม่มาพล่ามในนี้อีก...เพราะมันจะกลัวเสียเวลาที่จะพ้นทุกข์...แต่ถ้าแค่..โฮ้ยปลง...โอ้ยปลง..นะมันปลงตามสัญญา

แต่หากเป็นลูกน้องมาร...กระผมจะไม่ห่วงเลย :b6: :b6: :b6:

มีความสุข.....มีความสุข....มีความสุขจริงหนอ
ได้รับใช้พระพุทธเจ้านี้มีความสุข...


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 06:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อโสกะพยายามเขียนตำราใหม่....

ให้คนติดอยู่แค่..วิปัสสนึก...แค่นิพพิทาญาณ...แล้วก็ให้คนหลงว่าเป็นวิปัสสนาญาน

นี้และ..นิ่งรู้..ของอโสกะ..

ไตรลักษณ์ที่เห็นก็เลยเป็นแค่สัญญา....ให้ทำตามแค่สัญชาติญาน...
viewtopic.php?f=1&t=42150&start=15

สัญชาติญาน...มันเลวยิ่งกว่า..สัญญาญาน..อีกนะ...เพราะมันอวิชชาทั้งดุ้น

อโสกะเป็นลูกน้องมาร..รึงัยนะ...ถึงมาวางยาพุทธบริษัท

huh

:b12: :b12:
จิต เมื่อมีโมหะบัง มองอะไรก็เห็นเป็นลบไปหมดเลยนะคุณกบ คุณกบไม่เคยเห็นด้านดีของสัญชาติญาณบ้างเลยหรือครับ ถ้าขืนเป็นอยางนี้คุณกบจะไม่สามารถปลุกเอาความดีความสามารถพิเศษที่ธรรมชาติประทานมาให้ชีวิตทุกชีวิตมาใช้เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม พัฒนาจิตใจของคุณกบไปจนพ้นอาสวะทั้ง 4 ได้เป็นแน่
:b42:
โปรดจงอย่าดูถูกตัวเองด้วยอำนาจโมหะ อคติอยู่เลย จะชวดเชยของดีที่ได้มา
:b43:
คำตอบอื่น รอก่อนนะครับ คุณกบ ของคุณฝึกจิตก็น่าสนใจมากแล้วจะกลับมาวิเคราะหสู่กันฟังเร็วๆนี้ครับ
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 06:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตสมถะวิปัสสนา เปรียบดัง น้ำนิ่งที่ไหล

พ่อครัว ทำกับข้าว จะทำแบบชำนาญ เงียบๆ หรือทำแบบนึกถึงตำรา พูดพร่ำ ก็ ผลแห่งกับข้าว นั้น เช่นกัน เพียงแค่ ความชำนาญต่างกัน เงียบเสียจนไม่รู้ว่า พ่อครัว กำลัง ทำกับข้าวมาให้ทาน อยู่ อิอิ

หากไม่ใช้คิด ก็ไม่อาจหยุดคิด ได้จริง

วิเคราะห์ มันวิปัสสนึก หรือป่าวท่าน มันไม่ลงจิตลงใจ นะ วิเคราะห์ของตัวเองดีกว่า ดีสุดแย้ว :b12:
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน Asoka โชคดีจังเลยนะครับ มีผู้ห่วงใยดูแลตักเตือนเรื่องจิตใจตั้งหลายท่าน

ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสแบบนี้ ต้องมีความผูกพันกันเป็นพิเศษจริงๆ การเตือนกันแบบนี้ผู้เตือนจะเสี่ยงต่อการกระตุ้นอารมณ์ด้านลบของท่านและมิตรสหายของท่าน อาจจะส่งผลให้ท่านเหล่านั้นต้องได้รับอารมณ์ด้านลบเหล่านั้น แต่ท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้ห่วงตัวเอง ยอมเสี่ยงเอ่ยปากเตือน

โอกาสเป็นของท่านแล้ว ท่านใช้โอกาสอันหายากนี้วิจัยธรรมเถิด เราฝึกสติ เจริญปัญญามาเพื่อการนี้ไม่ใช่หรือ

สิ่งที่ทำให้ท่านทุกข์ ไม่ชอบใจนี่ละ คือขีดจำกัดของท่าน การพิจารณาสิ่งนี้เองเป็นจุดเริ่มที่จะทำให้ท่านข้ามพ้นขีดจำกัดของท่านในตอนนี้ไปได้ ข้อนี้ท่านทราบดีไม่ใช่หรือ

บททดสอบขั้นต่อไปมาถึงแล้ว ขีดจำกัดใหม่ที่จะเอียดกว่าที่ท่านเคยเจอมาได้มาอยู่ต่อหน้าท่านแล้ว

ท่านยึดสิ่งใดไว้ ใจท่านถึงได้หวั่นไหวไปกับคำพูดเหล่านั้น

ใช้โอกาสนี้เถิด

ผิดถูกอย่างไรโปรดพิจารณา

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสต์ เมื่อ: 18 มิ.ย. 2012, 11:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ขอบคุณ คุณคนธรรมดาๆ ที่กรุณามาย้ำเตือน
ผมกำลังใช้โอกาสอันวิเศษนี้ เจียนัยจิตให้บริสุทธฺ์หมดจด ด้วยสิ่งกระทบ หรือความบีบคั้น ขัดข้องทั้งหลาย ที่กัลยาณมิตรทั้งหลายประทานให้ กำลังแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันตามความเห็นที่เห็นเช่นกันดังที่คุณคนธรรมดาๆเห็นตั้งแต่แรกเข้ามาในลานธรรมทั้งหลายครับ
:b8: :b27: :b4: :b4: :b4:


โพสต์ เมื่อ: 18 มิ.ย. 2012, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


นิ่งรู้ มาพิจารณาอีกทีก็คือเป็นสมมุติสัจจะ ว่าหากเอ่ยคำว่านิ่งรู้ เป็นอันเข้าใจว่า กำลังพูดเกี่ยวกับการกำหนดรู้ธรรมที่เกิดขึ้นให้ทันเป็นปัจจุบัน โดยเป็นการกล่าวถึงขันธ์5โดยตรง โดยมีผลคือรู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริงในขณะนั้นนั่นเอง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2012, 07:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
จิตสมถะวิปัสสนา เปรียบดัง น้ำนิ่งที่ไหล

พ่อครัว ทำกับข้าว จะทำแบบชำนาญ เงียบๆ หรือทำแบบนึกถึงตำรา พูดพร่ำ ก็ ผลแห่งกับข้าว นั้น เช่นกัน เพียงแค่ ความชำนาญต่างกัน เงียบเสียจนไม่รู้ว่า พ่อครัว กำลัง ทำกับข้าวมาให้ทาน อยู่ อิอิ

หากไม่ใช้คิด ก็ไม่อาจหยุดคิด ได้จริง

วิเคราะห์ มันวิปัสสนึก หรือป่าวท่าน มันไม่ลงจิตลงใจ นะ วิเคราะห์ของตัวเองดีกว่า ดีสุดแย้ว :b12:
:b8:

:b27: :b8: :b12: :b12: :b12: :b12:
อันว่า ความชำนาญนั้น มันเป็นการทำของผู้ที่เป็นแล้วซึ่งจะได้โดยไม่ต้องคิดและก็ทำได้ดีด้วย
:b16: :b16:
อย่างไรก็ตามพ่อครัวผู้ชำนาญนั้นก็เริ่มต้นจากจุดเดียวกัน คือต้องศึกษา (สุตตมยปัญญา) คิดพิจารณา ใคร่ควร วิเคราะห์วิจัย หาเหตุหาผล(จินตมยปัญญา) ที่สุดก็ต้องลงมือทำ (ภาวนามยปัญญา) ทำใหม่ๆ
ก็อาจต้องกลับมาดูตำราบ้าง ทำไปตามธรรมชาติตามสถานการณ์บ้าง ผสมผสานกันไป ไม่ช้าไม่นาน ก็ถึงวารที่ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งตำราไม่ต้องคิด กลายป็นพ่อครัวผู้ชำนาญได้แกงอร่อยทุกจานทุกหม้อ
:b12: :b12: :b12:
วิเคราะห์ มันวิปัสสนึก หรือป่าวท่าน มันไม่ลงจิตลงใจ นะ วิเคราะห์ของตัวเองดีกว่า ดีสุดแย้ว......
:b4: :b4:
ใช่ครับวิเคราะห์เป็นวิปัสสนึก ที่จะมาช่วยหนุนวิปัสสนาในภายหลังถ้าเป็นวิปัสสนาเมื่อไหร่เขาลงใจเองหละครับ

:b4: :b4: :b4: :b16: :b16:


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2012, 08:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
จิตสมถะวิปัสสนา เปรียบดัง น้ำนิ่งที่ไหล

พ่อครัว ทำกับข้าว จะทำแบบชำนาญ เงียบๆ หรือทำแบบนึกถึงตำรา พูดพร่ำ ก็ ผลแห่งกับข้าว นั้น เช่นกัน เพียงแค่ ความชำนาญต่างกัน เงียบเสียจนไม่รู้ว่า พ่อครัว กำลัง ทำกับข้าวมาให้ทาน อยู่ อิอิ

หากไม่ใช้คิด ก็ไม่อาจหยุดคิด ได้จริง

วิเคราะห์ มันวิปัสสนึก หรือป่าวท่าน มันไม่ลงจิตลงใจ นะ วิเคราะห์ของตัวเองดีกว่า ดีสุดแย้ว :b12:
:b8:

:b27: :b8: :b12: :b12: :b12: :b12:
อันว่า ความชำนาญนั้น มันเป็นการทำของผู้ที่เป็นแล้วซึ่งจะได้โดยไม่ต้องคิดและก็ทำได้ดีด้วย
:b16: :b16:
อย่างไรก็ตามพ่อครัวผู้ชำนาญนั้นก็เริ่มต้นจากจุดเดียวกัน คือต้องศึกษา (สุตตมยปัญญา) คิดพิจารณา ใคร่ควร วิเคราะห์วิจัย หาเหตุหาผล(จินตมยปัญญา) ที่สุดก็ต้องลงมือทำ (ภาวนามยปัญญา) ทำใหม่ๆ
ก็อาจต้องกลับมาดูตำราบ้าง ทำไปตามธรรมชาติตามสถานการณ์บ้าง ผสมผสานกันไป ไม่ช้าไม่นาน ก็ถึงวารที่ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งตำราไม่ต้องคิด กลายป็นพ่อครัวผู้ชำนาญได้แกงอร่อยทุกจานทุกหม้อ
:b12: :b12: :b12:
วิเคราะห์ มันวิปัสสนึก หรือป่าวท่าน มันไม่ลงจิตลงใจ นะ วิเคราะห์ของตัวเองดีกว่า ดีสุดแย้ว......
:b4: :b4:
[color=#000080]ใช่ครับวิเคราะห์เป็นวิปัสสนึก ที่จะมาช่วยหนุนวิปัสสนาในภายหลังถ้าเป็นวิปัสสนาเมื่อไหร่เขาลงใจเองหละครับ[/color]

:b4: :b4: :b4: :b16: :b16:


ก็เท่านั้นแหละครับ จริงแล้วผมว่าที่ใครๆเรียก วิปัสสนึก มันก็เป็นส่วนเริ่มต้นหรือส่วนหนึ่ง ของวิปัสสนา นั้นแหละ แต่เล่นเอามาพูด ให้อัตตาตนเองดูดีขึ้น ว่าตัวเองวิปัสสนา ไม่ได้ วิปัสสนึก
เล่นเอา วิปัสสนึก ดูไม่ดีไปเลย :b12: :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2012, 22:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งแต่เกิดมา...มีบ้างไหมที่คิดว่า..ไม่ดี..แล้วทำ

ช่ายย....บางครั้งก็รู้ว่ามันไม่ดี...(ไม่ดีตามจารีตประเพณี...ไม่ดีตามกฎหมาย)...

แต่ที่ลงมือทำ...ก็เพราะลึก ๆ มันคิดว่าดี...กับตัวมัน...ทั้งนั้น

ไม่ว่าจะไปปลิดชีวิตใครเอย....ไม่ว่าจะไปโก่งเงินใคร...หรือคอรัปชันเงินหลวงเงินราษฎ์...ไม่ว่าจะไปผิดลูกผิดเมียใคร...ไม่ว่าจะพูดโป่ปดมดเท็จแอบใส่ร้ายใคร...ก็ล้วนคิดว่า...มันจะดีกับตัว...หมด

รวมความว่า...ทุก ๆ อย่างที่เราทำลงไปนั้น...ก็เพราะคิดว่า...มันดี...นั้นเอง

พระพุทธองค์จึงทรงย้ำหนักหนาว่า....จงเห็นทุกข์....จงเห็นทุกข์ให้ได้

ก็คือให้มันเห็น...ว่า..ไม่ดี...นั้นเอง...ทุกข์มีใครว่าดีสักคนมั้ย...ก็ไม่มี

เมื่อเห็น...ไม่ดี...มันก็จะวิ่งไปหาดีอีกฝั่ง...เป็นโดยธรรมชาติ

เมื่อเห็น..ทุกข์...ทางที่เราดำเนินมาเป็นปกตินั้นมันเป็นทางของทุกข์

มันจะรีบเปลี่ยนทางเดินเอง...แทบจะไม่ต้องมีคนมาบอก...(จริง ๆ คือ..ไม่ต้องให้ใครมาบอกเลย)

หากใครเห็นทุกข์จริง....ย่อมจะเข้าใจความหมายในคำว่า..เพราะความอยาก...ทุกข์ทั้งมวลจึงเกิด..

ย่อมประหวัดได้ว่า...เมื่อไม่อยาก...ทุกข์ทั้งหลายก็ไม่เกิด...ทางดับทุกข์จึงมีอยู่จริง

ทุกข์...คำเดียวนี้...คือใจความทั้งหมดของ..อนิจจัง..ทุกขัง..อนัตตา..(ที่มีต่อเรา)

เห็นทุกข์...ก็แทบจะว่าเห็นอริยะสัจทั้ง 4

ทุกข์...จึงเป็นสิ่งแรกสุดที่ต้องเห็นจริง

หากยังไม่เห็นจริง....ทุกข์จึงต้องพึงกำหนดรู้...กำหนดรู้เพื่อรู้

กำหนดรู้ไปทุกผัสสะ...ทุกผัสสะที่รู้ก็รู้ให้ถึงทุกข์...

รู้ได้ถึงทุกข์...รู้จึงว่าเป็นปัญญา

รู้แต่ไม่ถึงทุกข์...ไม่ถึงเป้าหมาย...ก็เป็นรู้ที่ไม่เป็นประโยชน์


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 20 มิ.ย. 2012, 20:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร