วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 20:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2012, 07:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักทาย เขียน:
[b]


สลับ กลับไปกลับมา วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า....





คิดในใจดังๆ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2012, 07:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักทาย เขียน:

สลับ กลับไปกลับมา วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า....นานๆเข้า เริ่มเห็นความไม่แน่นอนของชีวิต

ถ้าวันไหนได้เงินมาก...ก็ชักจะไม่ฝันแล้ว เริ่มคิดได้แล้วว่า พรุ่งนี้อาจจะไม่เหมือนวันนี้
ถ้าวันไหนได้เงินน้อย ก็จะไม่ค่อยกลุ้มแล้ว คิดว่า พรุ่งนี้ก็จะไม่เหมือนวันนี้


กำทุกอย่างไว้ ก็ทุกข์ วางทุกอย่างลง ก็ไม่ทุกข์

สรุป...ความสุขที่แท้จริงก็คือ ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย

เป็นความรู้สึกส่วนตัว ที่ผุดขึ้นมาเองในบางครั้ง
อาจจะใช้เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบได้นะค่ะ



ความคิดความรู้สึกของผู้ซึ่งผ่านโลก ผ่านชีวิต ผ่านวัยผ่านประสบการณ์ในแต่ละวัยๆๆมาแล้ว ย่อมมองเห็นโลกและชีวิตตามลำดับดนตรีชีวิตเช่นนี้

ยามเยาว์เห็นโลกล้วน แสนสนุก
เป็นหนุ่มสาวก็หลงสุข ค่ำเช้า
กลางคนเริ่มเห็นทุกข์ สุขคู่กันนอ
ตกแก่จึงรู้เค้า ว่าล้วนอนิจจัง.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 01:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ตกแก่จึงรู้เค้า ว่าล้วนอนิจจัง.



พี่ยังไม่แก่หรอกน้อง... :b28: :b28:



.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2012, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกรัชกายเขียน

อ้างคำพูด:
ยามเยาว์เห็นโลกล้วน แสนสนุก
เป็นหนุ่มสาวก็หลงสุข ค่ำเช้า
กลางคนเริ่มเห็นทุกข์ สุขคู่กันนอ
ตกแก่จึงรู้เค้า ว่าล้วนอนิจจัง.


คุณทักทายเขียน

อ้างคำพูด:
พี่ยังไม่แก่หรอกน้อง... :b28: :b28:


เข้ามาขำค่ะ :b32: :b32: วันหลังคุณกรัชกายลงแค่ประโยคที่3พอน่ะค่ะ :b12:
พออ่านประโยคที่4แล้ว
วัยที่สู่วัยเริ่มต้นของชีวิต รับไม่ด้ายยยยย......รับไม่ได้ค่ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




blume905.gif
blume905.gif [ 87.3 KiB | เปิดดู 3102 ครั้ง ]
ความรัก ถ้าแยกตามหลักพระพุทธศาสนาก็แบ่งง่ายๆก่อนว่า มี ๒ แบบ

ความรักแบบที่หนึ่ง คือ ความชอบใจอยากได้เขามาเพื่อทำให้ตัวเรามีความสุข เป็นความปรารถนาต่อบุคคลหรือสิ่งที่จะเอามาบำรุงบำเรอความสุขของเรา ชอบใจคนนั้นเพราะว่า จะมาสนองความต้องการ ช่วยบำรุงบำเรอ ทำให้เรามีความสุขได้ อะไรที่จะทำให้เรามีความสุข เราชอบใจ เราต้องการมัน นี่คือ ความรักแบบที่หนึ่ง ซึ่งมีมากมายทั่ว่ไป


ความรักแบบที่สอง คือ ความอยากให้เขามีความสุข ความต้องการให้คนอื่นมีความสุข หรือความปรารถนาให้คนอื่นอยู่ดีมีความสุข


ความรัก ๒ อย่างนี้ แทบจะตรงข้ามกันเลย แบบที่ ๑ ชอบใจเพราะว่าจะเอาเขามาบำรุงความสุขของเรา

แต่แบบที่ ๒ อยากให้เขาเป็นสุข ความรักมี ๒ แบบอย่างนี้ ซึ่งเห็นได้ในชีวิตประจำวัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 10:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




31744-attachment.jpg
31744-attachment.jpg [ 37.68 KiB | เปิดดู 3100 ครั้ง ]
ความรักที่คนหนุ่มสาวพูดกันมาก ก็คือ ความรักแบบที่ว่า ชอบใจอยากจะได้เขามาสนองความต้องการของตน ทำให้ตนมีความสุข


แต่ในครอบครัว จะมีความรักอีกแบบหนึ่งให้เห็น คือ ความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก โดยเฉพาะความรักของพ่อแม่ต่อลูก คือ ความอยากให้ลูกเป็นสุข

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 16:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉะนั้น ตอนแรกจะต้องแยกระหว่างความรัก ๒ แบบนี้เสียก่อน ความรักชอบใจที่จะได้คนอื่นมาบำเรอความสุขเรานี้ ทางพระเรียกว่า ราคะ
ส่วนความรักที่อยากให้คนอื่นเป็นสุข ท่านเรียกว่า เมตตา

ความรัก ๒ แบบนี้ไม่เหมือนกัน แล้วอะไรจะตามมาจากความรักทั้ง ๒ แบบนี้ ความรัก ๒ แบบนี้ มีลักษณะต่างกัน และมีผลต่างกันด้วย


ถ้ามีความรักแบบที่หนึ่ง ก็ต้องการได้ ต้องการเอาเพื่อตนเอง เมื่อทุกคน ต่างคนต่างอยากได้ ความรักประเภทนี้ ก็จะนำมาซึ่งปัญหา คือ ความเบียดเบียนแย่งชิงซึ่งกันและกัน เข้าลักษณะเป็นความเห็นแก่ตัว


ส่วนความรักแบบที่สอง อยากให้ผู้อื่นเป็นสุข เมื่ออยากให้ผู้อื่นเป็นสุข ก็จะพยายามทำให้เขาเป็นสุข เหมือนพ่อแม่รักลูก ก็พยายามทำให้ลูก และเมื่อทำให้เขาเป็นสุขได้ ตัวเองก็จึงจะเป็นสุข
ความรักของพ่อแม่ คือ อยากทำให้ลูกเป็นสุข และมีความสุข เมื่อเห็นลูกเป็นสุข

ความรักแบบที่หนึ่งนั้น ต้องได้จึงจะเป็นสุข ซึ่งเป็นกระแสกิเลสของปุถุชนทั่วไป มนุษย์ผู้ในโลกนี้ เมื่อยังเป็นปุถุชนก็ต้องการได้ต้องการเอา เมื่อได้เมื่อเอาแล้ว ก็มีความสุข แต่ถ้าต้องให้ต้องเสีย ก็เป็นทุกข์

วิถีของปุถุชนนี้ จะทำให้ไม่สามารถพัฒนาในเรื่องของคุณธรรมเพราะว่า ถ้าการให้เป็นทุกข์เสียแล้ว คุณธรรมก็มาไม่ได้ มนุษย์จะต้องเบียดเบียนกัน ความรักแบบที่หนึ่ง จึงเพิ่มปัญหาหาสังคม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ถ้าเมื่อไรเราสามารถมีความสุขจากการให้ เมื่อไรการให้กลายเป็นความสุข เมื่อนั้นปัญหาสังคมจะลดน้อยลงไป หรือแก้ไขได้ทันที เพราะมนุษย์จะเกื้อกูลกัน

ความรักแบบที่สอง ทำให้คนมีความสุขจากการให้ จึงเป็นความรักที่สร้างสรรค์และแก้ปัญหา

เมื่อมนุษย์มีความสุขจากการให้ จะเป็นความสุขแบบสองฝ่ายสุขด้วยกัน คือ เราผู้ให้ก็สุข เมื่อเห็นเขามีความสุข

ส่วนผู้ได้รับก็มีความสุขจากการได้รับอยู่แล้ว สองฝ่ายสุขด้วยกัน หรือร่วมกันสุข จึงเป็นความสุขแบบประสาน หรือสุขร่วมกัน

ความสุขแบบนี้ดีแก่ชีวิตของตนเองด้วย คือ ตนเองก็มีทางได้ความสุขเพิ่มขึ้น แล้วก็ดีต่อสังคม เพราะเป็นการเกื้อกูลกัน ทำให้อยู่ร่วมกันด้วยดี

นี่แหละที่ว่า เป็นการแยกความหมายของความรักเป็น ๒ แบบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 16:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉะนั้น เราน่าจะสอนคนให้รู้จักความรัก ๒ แบบ และให้พัฒนาจากความรักแบบที่หนึ่ง ไปสู่ความรักแบบที่สอง คือ ให้ความรักแบบที่สองเกิดมีขึ้นมา เพื่อช่วยสร้างดุลยภาพในเรื่องความรัก

มองเห็นง่ายๆ เช่น ระหว่างหนุ่มสาว ถ้ามีความรักแบบที่หนึ่งอย่างเดียว จะไม่ยั่งยืน ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องเกิดปัญหาแน่นอน เพราะว่า คนที่มีความรักแบบที่หนึ่งนั้น ต้องการจะเอาเขามาเป็นเครื่องบำรุงบำเรอตัวเองเท่านั้น

ถ้าเมื่อใด ตนไม่ได้สมใจปรารถนาก็จะเกิดโทสะ ความรักใคร่กลายเป็นความชิงชัง ปัญหาก็จะเกิดขึ้น

ฉะนั้น คนเราอาจจะเริ่มต้นด้วยความรักแบบที่หนึ่งได้ ตามเรืองของปุถุชน แต่จะต้องเริ่มพัฒนาความรักแบบที่สองให้เกิดขึ้น

พออยู่เป็นคู่ครองกันแล้ว ถ้ามีความรักแบบที่สองเข้าหนุน จะทำให้อยู่กันได้ยั่งยืน ความรักแบบที่สองจะเป็นเครื่องผูกพันสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตครองเรือนมีความมั่นคง

ดังนั้น ปุถุชนอย่างน้อยก็ให้มีความรัก ๒ แบบนี้ มาดุลกัน ก็ยังดีขอให้ได้แค่นี้ก็พอ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




gfagp9043504-02.bmp
gfagp9043504-02.bmp [ 107.79 KiB | เปิดดู 2996 ครั้ง ]
ในกรณีของสามีภรรยา ถ้ามีความรักแบบแรกที่จะเอาแต่ใจฝ่ายตัวเอง ก็คือ ตัวเองต้องการเขามาเพื่อบำเรอความสุขของตน ถ้าอย่างนี้ก็ต้องตามใจตัว ไม่ช้าก็จะต้องเกิดปัญหาการทะเลาะวิวาท หรือเบื่อหน่าย แล้วก็อยู่กันไม่ได้ ไม่ยั่งยืน

แต่ถ้ามีความรักแบบที่สอง คืออยากให้เขามีความสุข เราก็จะมีน้ำใจ พยายามทำให้เขาเป็นสุข ถ้ามีความรักแบบที่สองอยู่ ความรักก็จะยั่งยืนแน่นอน เพราะต่างฝ่ายต่างก็คิดว่า ทำอย่างไรจะให้อีกฝ่ายหนึ่งมีความสุข

สามีก็คิดว่า ทำอย่างไรจะให้ภรรยามีความสุข
ภรรยาก็คิดว่า ทำอย่างไรจะให้สามีมีความสุข คิดกันอย่างนี้ก็มีแต่ความเกื้อกูลกัน ก็ทำให้ครอบครัวอยู่ยั่งยืน ชีวิตครองเรือนก็มีความสุขได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร