วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 00:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2012, 20:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


มีอยู่...แต่รู้ทีละอัน..

หรือ..

รู้ทีละอัน..เพราะมีแค่นั้น

ปรากฎแค่เพราะมีปัจจัยให้ปรากฎ

มีหมูอยู่ตรงหน้า....แค่หลับตา...รูปนั้นก็ไม่มีในเราแล้ว

แต่..เราจะตัดสินว่า..หมูไม่มี...เพราะเราไม่รู้..ได้มั้ย?

ได้ เพราะเราไม่จำเป็นต้อง
รู้ไปให้ถัวถึงในทุก ๆ ความมีอยู่
เราเพียงแต่ทำให้แจ้งในการปรากกฎ


แค่..เอาเท่าที่เรารู้...แล้วมาตัดสินว่า..นี้นั้นมีหรือไม่มี..นั้น..เพียงพอหรือยัง

เพียงพอ และเป็นแง่ที่สำคัญ
ที่จะปล่อยให้จิตนั้นคลุกเคล้าอยู่กับองค์ภาวนาที่ปรากฎ ไม่ซัดส่ายไปไหน
นั่นเป็นวิธีการที่เอกอนใช้ในการจับสิ่งที่จะนำมาพิจารณา เป็นอย่าง ๆ ไป
เพื่อให้สิ่งนั้นคงอยู่ในจิตนานที่สุด และ ปรากฎถี่ที่สุด


หลับสนิท....แล้วขันธ์..5...มีครบมั้ย?

ถ้าวิญญาณยังไม่เข้าไปจับในขันธ์ใด ๆ
ก็มีอยู่เพียง ขันธ์เดียว


มีไม่ครบ...ก็ไม่นับว่าเป็น..ชีวิต...สิ

จิตที่ทำหน้าที่รู้ มีชีวิตมั๊ย

หาก....ไม่มีชีวิต....ฆ่าได้ก็ไม่เป็นบาป..สิ

นั่นมันเป็นไปตามเจตสิก

เห็นรึยัง?

เห็นสิ่

:b6: :b6: :b6:

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2012, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 03:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
หลวงปู่ดุลย์ว่า
'พบจิตให้ทำลายจิต พบผู้รู้ให้ทำลาย ผู้รู้ จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง เข้าใจมั้ย?

หลวงตา พระมหาบัว ว่า
"ผู้รู้ คือ อวิชชาตัวแม่ "

เป็นซะแบบนี้ไงครับ เอาคำครูบาอาจารย์มาโพสเอาเท่
ปะเดี๋ยวถามขึ้นมาก็งงเต็ก หาเรื่องใส่ความผู้ถามอีก

คุณฝึกจิตครับ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจคำสอนของหลวงปู่ หลวงตา
กรุณาอย่าอวดเก่ง ทำเท่เอาคำของท่านเหล่านั้นมาพูด
บอกแล้วไงมันเป็นการมักง่าย ไร้ความรับผิดชอบ

จะบอกให้นะครับ คำของหลวงปู่และหลวงตาเป็นสำนวน
จะเอามาโพสต้องอธิบายหรือหยิบยกเอาคำที่หลวงปู่หลวงตา
อธิบายคำพูดของท่านมาบอกกล่าวด้วย

ไม่ใช่เอาคำสั้นๆที่ครูบาอาจารย์พูดมาโต้ในลักษณะข่มคนอื่น
มันไม่ได้เรื่องครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 03:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แล้วพบผู้รู้ยัง?

ที่หลวงปู่หลวงตาว่ามานั้นนะ....ให้จำใว้เตือนสติตอนพบผู้รู้...อย่างลืมเชียว...เพราะมันมีอวิชชาอยู่

ท่านพูดเตือน...อรหันตมรรค...นะ...ด่านสุดท้ายจะเข้าอรหันตผล

ไม่ใช่สำหรับจำแล้วเอามาพูดเท่..เท่ :b16: :b16:

ทำลายได้...ก็แต่ของเกิดของตาย

ของไม่เกิดไม่ตาย...ทำงัยก็ไม่กระเทือน

ดังนั้น...อะไรที่ยังทำลายได้อยู่...ก็ทำให้หมด..แม้แต่ผู้คิดผู้ทำผู้ทำลาย

จะเหลืออะไรไม่เหลืออะไร...ไม่ต้องไปห่วง

นี้เป็นเรื่องของคนที่ยืนอยู่ด่านสุดท้าย...เขา

เรา...เรา...ก็ให้จำใว้ให้เอ๋ะใจตอนไปถึง....อย่าลืม....ก็เท่านั้นแหละ

:b12: :b12:


การทำลายผู้รู้ เป็นขั้นตอนสุดท้าย จนสามารถเห็น จิตไม่ปรุงแต่ง หรือ โลกวิมุตติ นิพพานธาตุ ได้เนาะ
:b27: ไม่ผิดหวังจริงๆๆๆ ท่านกบ
เห็นปลายทางแล้ว เวลาเดินจะได้ไม่หลงทางกัน :b12:
เฉลยแบบนี้ ก็คงต้องจบกระทู้แล้ว ซิครับ
:b8: :b8: :b8:

ตลกดีครับ เอาคำของครูบาอาจารย์ มาทำเป็นหนังแอ็คชั่น โหดซะไม่มีล่ะ
ความหมายของการทำลายผู้มันไม่โหดขนาดนั้นหรอก จะปฏิบัติธรรมต้องมีสัมมัธประทานก่อน
จะได้มีใจอ่อนโยน ไม่คิดที่จะที่จะทำลายล้าง

ความหมายของการทำลายผู้รู้ มันก็แค่รู้แล้วไม่ยึด
ตัวรู้ก็เป็นไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

การจะรู้อารมณ์เราต้องอาศัยตัวรู้ไปรู้ ที่สำคัญเราต้องรู้ลักษณะ
ของตัวรู้ไปพร้อมกับอารมณ์ด้วย ตัวรู้ตัวใดที่ไปรู้อารมณ์มันจะดับไปตามอารมณ์นั้น
ฉะนั้นที่คุณฝึกจิตว่าการทำลายตัวรู้ในขั้นตอนสุดท้ายมันจึงไม่ถูก

ดังนั้นการทำลายผู้รู้ก็คือ ให้รู้ว่า ทั้งจิตและตัวผู้รู้ก็เป็นขันธ์
อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในตัวผู้รู้ เพราะมันรู้แล้วก็ดับไป
ที่สำคัญการรู้หรือการเกิดตัวรู้แล้วดับไปต้องให้เกิดและดับแต่ต้น
ไม่ใช่ให้ทำลายผู้รู้ในขั้นตอนสุดท้ายเหมือนที่จขกทบอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 05:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แล้วพบผู้รู้ยัง?

ที่หลวงปู่หลวงตาว่ามานั้นนะ....ให้จำใว้เตือนสติตอนพบผู้รู้...อย่างลืมเชียว...เพราะมันมีอวิชชาอยู่

ท่านพูดเตือน...อรหันตมรรค...นะ...ด่านสุดท้ายจะเข้าอรหันตผล

ไม่ใช่สำหรับจำแล้วเอามาพูดเท่..เท่ :b16: :b16:

ทำลายได้...ก็แต่ของเกิดของตาย

ของไม่เกิดไม่ตาย...ทำงัยก็ไม่กระเทือน

ดังนั้น...อะไรที่ยังทำลายได้อยู่...ก็ทำให้หมด..แม้แต่ผู้คิดผู้ทำผู้ทำลาย

จะเหลืออะไรไม่เหลืออะไร...ไม่ต้องไปห่วง

นี้เป็นเรื่องของคนที่ยืนอยู่ด่านสุดท้าย...เขา

เรา...เรา...ก็ให้จำใว้ให้เอ๋ะใจตอนไปถึง....อย่าลืม....ก็เท่านั้นแหละ

:b12: :b12:


การทำลายผู้รู้ เป็นขั้นตอนสุดท้าย จนสามารถเห็น จิตไม่ปรุงแต่ง หรือ โลกวิมุตติ นิพพานธาตุ ได้เนาะ
:b27: ไม่ผิดหวังจริงๆๆๆ ท่านกบ
เห็นปลายทางแล้ว เวลาเดินจะได้ไม่หลงทางกัน :b12:
เฉลยแบบนี้ ก็คงต้องจบกระทู้แล้ว ซิครับ
:b8: :b8: :b8:

ตลกดีครับ เอาคำของครูบาอาจารย์ มาทำเป็นหนังแอ็คชั่น โหดซะไม่มีล่ะ
ความหมายของการทำลายผู้มันไม่โหดขนาดนั้นหรอก จะปฏิบัติธรรมต้องมีสัมมัธประทานก่อน
จะได้มีใจอ่อนโยน ไม่คิดที่จะที่จะทำลายล้าง

ความหมายของการทำลายผู้รู้ มันก็แค่รู้แล้วไม่ยึด
ตัวรู้ก็เป็นไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป


การจะรู้อารมณ์เราต้องอาศัยตัวรู้ไปรู้ ที่สำคัญเราต้องรู้ลักษณะ
ของตัวรู้ไปพร้อมกับอารมณ์ด้วย ตัวรู้ตัวใดที่ไปรู้อารมณ์มันจะดับไปตามอารมณ์นั้น
ฉะนั้นที่คุณฝึกจิตว่าการทำลายตัวรู้ในขั้นตอนสุดท้ายมันจึงไม่ถูก

ดังนั้นการทำลายผู้รู้ก็คือ ให้รู้ว่า ทั้งจิตและตัวผู้รู้ก็เป็นขันธ์
อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในตัวผู้รู้ เพราะมันรู้แล้วก็ดับไป
ที่สำคัญการรู้หรือการเกิดตัวรู้แล้วดับไปต้องให้เกิดและดับแต่ต้น
ไม่ใช่ให้ทำลายผู้รู้ในขั้นตอนสุดท้ายเหมือนที่จขกทบอก


ที่สีแดงนั้น ก็ถูกของท่านครับหลวงพ่อพุธก็เฉลยให้หลวงพ่อปราโมทย์ฟังเป็นเช่นที่ท่านบอก
แต่คำว่าผู้รู้ ไม่ได้แค่รู้อารมณ์ ผู้รู้ มันสามารถเกิดรู้ตั้งแต่ผัสสะ จนกระทั่ง จบสาย และดับไปด้วย คุณลักษณะของไตรลักษณ์ทุกครั้งอยู่แล้ว และคำว่า ผู้รู้ นั้น มันก็มีหลายระดับ เป็นระดับการยึดมั่น แต่การปล่อยวาง ขั้นสุดท้ายนั้น เป็นผลจากการเพียรปฏิบัติ ๆตามลำดับ จนกระทั่ง สังโยชน์เหลืออวิชชาตัวสุดท้าย นั้นแหละ จึงต้องปล่อยวางแบบไม่เกิดขึ้นอีกเลย

ผู้รู้แบบที่ท่านกล่าวนั้น ใน 1 รอบปฏิจจสุปบาท หากเราสามารถมีสติ เกิดผู้รู้ มาได้นั้น จะเห็นว่า ผู้รู้ก็จะดับไปเอง ในขั้นละเอียดนั้นสามารถมองว่า เกิดผัสสะ ผู้รู้รับ(วิญญาณ)เกิด ผู้รับเกลี่ยนหน้าที่ ผู้รู้นึก(จิต)เกิดและทำงานร่วมเจตสิก ผู้รู้นึก เปลี่ยนหน้าที่ เป็นผู้รู้สึก(มโน) ออกมาเป็นเวทนา อารมณ์ ทุกข์ ต่างๆ

และในผู้รู้นึก(จิต) ก็ยังเป็น ผู้รู้เฉยๆ กับ ผู้รู้คิด ที่มีอาสาวะอยู่ โดยหากผู้รู้เฉยเกิด ผู้รู้คิดก็จะดับ สลับการทำงานเช่นนี้

หากปฏิบัติมาถึงเห็นผู้รู้...ว่ามี เห็นว่าช่วงแรก ผู้รู้คิดจะเห็นผู้รู้คิด ยังไม่ใช่รู้เฉยๆ ดูจาก เมือเห็นความคิด แล้วยังตีความหรือ คิดซ้ำลงไปจนกลายเป็นคำพูดในใจ หรือแม้แต่เห็นกาย(กริยากาย) ยังพูดในใจตาม กริยานั้นไปด้วย นั้นยังไม่เกิด ผู้รู้เฉยๆ เลย

เมื่อเพียรทำจนเกิด ผู้รู้เฉยๆ นั้นแหละ จะหลงคิดว่า บรรลุแล้ว ท่านอาจารย์เลยเตือนที่ตรงนี้ ครับ

เห็นน้ำร้อน รู้ว่าน้ำนั้นร้อน เข้าไปใกล้อีกนิด เริ่มรู้สึกถึงความร้อน เมื่อสัมผัส ก็จะ ออ!! มันร้อนเช่นนี้เอง

จะถึงความบริสุทธิ์ได้ ความบริสุทธิ์ ที่เห็นนั้น ก็จะไม่เอา บริจาคให้สิ้น

ทุกครั้งที่เอาคำครูบาร์อาจารย์มาผมก็จะยกชื่อท่านมาด้วย ด้วยความเคารพ ไม่ได้ใช่คำท่านหรือชื่อท่าน มาอ้างว่าใครๆ ให้จิต..ลงเรื่อย ๆครับ

สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 07:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:

การทำลายผู้รู้ เป็นขั้นตอนสุดท้าย จนสามารถเห็น จิตไม่ปรุงแต่ง หรือ โลกวิมุตติ นิพพานธาตุ ได้เนาะ
:b27: ไม่ผิดหวังจริงๆๆๆ ท่านกบ
เห็นปลายทางแล้ว เวลาเดินจะได้ไม่หลงทางกัน :b12:
เฉลยแบบนี้ ก็คงต้องจบกระทู้แล้ว ซิครับ
:b8: :b8: :b8:


อย่าลืมนะ....ผู้รู้....มันจะบอกเราว่า....เราบรรลุแล้ว

หากได้ยินคำว่า...เราบรรลุแล้ว...

ก็ให้จัดการมันซะ....จะใช้ลีลาแบบไหนก็แล้วแต่ถนัด
:b8: :b8: :b8:

เอวัง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ที่สีแดงนั้น ก็ถูกของท่านครับหลวงพ่อพุธก็เฉลยให้หลวงพ่อปราโมทย์ฟังเป็นเช่นที่ท่านบอก
แต่คำว่าผู้รู้ ไม่ได้แค่รู้อารมณ์ ผู้รู้ มันสามารถเกิดรู้ตั้งแต่ผัสสะ จนกระทั่ง จบสาย และดับไปด้วย คุณลักษณะของไตรลักษณ์ทุกครั้งอยู่แล้ว และคำว่า ผู้รู้ นั้น มันก็มีหลายระดับ เป็นระดับการยึดมั่น แต่การปล่อยวาง ขั้นสุดท้ายนั้น เป็นผลจากการเพียรปฏิบัติ ๆตามลำดับ จนกระทั่ง สังโยชน์เหลืออวิชชาตัวสุดท้าย นั้นแหละ จึงต้องปล่อยวางแบบไม่เกิดขึ้นอีกเลย

มันคนละเรื่อง ไปเอาปฏิจฯมาปน เดียวคุณก็สับสนเองหรอก
การจะคุยเรื่องตัวผู้รู้ต้องคุยหรืออธิบาย เฉพาะเจาะจงลงไปที่กระบวนการขันธ์
เพราะผู้รู้เกิดขึ้นได้ก็เพราะกระบวนการขันธ์

ผมจะบอกให้ ลักษณะของผู้รู้ที่แท้จริง จะต้องปล่อยให้จิตเป็นผู้รู้อย่างอิสระ
ครูบาอาจารย์หลายท่านบอกว่า อย่าไปบังคับตัวรู้ และการรู้นั้นเป็นการรู้ย้อน
หรือกล่าวอีกนัยว่า เป็นการรู้สัญญา ด้วยการที่จิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว เมื่อเราได้รับผัสสะ
จิตจะดำเนินการของกระบวนการขันธ์จนจบไปแล้ว การจบกระบวนการขันธ์ต่อผัสสะหนึ่งครั้ง
มันจะจบลงที่สังขารขันธ์ การจะเกิดตัวผู้รู้หรือเราจะรู้ได้ ก็ด้วยการระลึกรู้หรือที่เรียกว่าสติ

ไอ้ทีคุณบอกว่า ผู้รู้ สามารถรู้ลงที่ผัสสะเลย ผมอยากถามว่า
ความรู้สึกกับผู้รู้เหมือนกันมั้ยครับ
และวิญญาณขันธ์กับสติที่เป็นสังขารขันธ์ มันเหมือนหรือแตกต่างกันครับ

ค่อยๆคิดแล้วคุณจะเข้าใจว่าที่คุณพูดมันผิดหรือถูกครับ


อยากเพิ่มเติม การเกิดผัสสะใดขึ้นเมื่อมีสติ จิตก็จะไม่ยึดผลของผัสสะตัวนั้นๆครับ
แต่นี่ไม่ใช่เป็นลักษณะการปล่อยวาง เพียงแต่ไม่ได้ยึดสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ตัวใหม่

การปล่อยวางคือการปล่อยวางสิ่งที่เรายึดไว้แต่อดีตครับ การจะปล่อยวางอดีตได้
ต้องอาศัยปัญญาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 10:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ผู้รู้แบบที่ท่านกล่าวนั้น ใน 1 รอบปฏิจจสุปบาท หากเราสามารถมีสติ เกิดผู้รู้ มาได้นั้น จะเห็นว่า ผู้รู้ก็จะดับไปเอง ในขั้นละเอียดนั้นสามารถมองว่า เกิดผัสสะ ผู้รู้รับ(วิญญาณ)เกิด ผู้รับเกลี่ยนหน้าที่ ผู้รู้นึก(จิต)เกิดและทำงานร่วมเจตสิก ผู้รู้นึก เปลี่ยนหน้าที่ เป็นผู้รู้สึก(มโน) ออกมาเป็นเวทนา อารมณ์ ทุกข์ ต่างๆ

นี่แหล่ะคือความสับสน ที่ไม่เข้าใจในปฏิจฯ แล้วเอามาปนกับการปฏิบัติ
การปฏิบัติเริ่มแรกต้องศึกษาและปฎิบัติในหลักของอริยสัจจ์สี่
การปฏิบัติเรื่องของอริยสัจจ์สี่ เขาปฏิบัติกันที่กระบวนการขันธ์

อย่าพึ่งไปสนใจปฏิจสมุบาท ถ้าเราเข้าใจเรื่องอริยสัจจ์สี่ดีแล้ว
เราถึงจะเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุบาท

เอางี้ผมบอกให้ว่า ตัวผู้รู้เกิดจาก สติไประลึกรู้สัญญา นี้เป็นผู้รู้แบบหยาบ(ตามศัพท์ที่คุณอ้าง)
ส่วนผู้รู้แบบละเอียดคือ สติที่ไประลึกรู้ปัญญาเอาไปพิจารณาขันธ์ห้า ขันธ์ห้าก็คือ
กระบวนการขันธ์ที่พึงจบไป


ทั้งการรู้แบบหยาบหรือละเอียดทั้งหมดล้วนไปรู้สัญญาหรือรู้จิตดวงก่อนที่พึงดับไป
จิตมีคุณสมบัติเกิดดับและเกิดที่ละดวง แต่การเกิดดับเป็นลักษณะสันตติ
ทำให้เราหลงคิดว่า เราดูผัสสะทัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
และในผู้รู้นึก(จิต) ก็ยังเป็น ผู้รู้เฉยๆ กับ ผู้รู้คิด ที่มีอาสาวะอยู่ โดยหากผู้รู้เฉยเกิด ผู้รู้คิดก็จะดับ สลับการทำงานเช่นนี้

หากปฏิบัติมาถึงเห็นผู้รู้...ว่ามี เห็นว่าช่วงแรก ผู้รู้คิดจะเห็นผู้รู้คิด ยังไม่ใช่รู้เฉยๆ ดูจาก เมือเห็นความคิด แล้วยังตีความหรือ คิดซ้ำลงไปจนกลายเป็นคำพูดในใจ หรือแม้แต่เห็นกาย(กริยากาย) ยังพูดในใจตาม กริยานั้นไปด้วย นั้นยังไม่เกิด ผู้รู้เฉยๆ เลย

มันอะไรของคุณครับ ผู้รู้นึก ผู้รู้คิด ผมว่าคุณไปกันใหญ่แล้วครับ
ที่คุณพูดนั้นน่ะ คุณเอาผู้รู้ของคนธรรมดากับคนที่มีปัญญาแล้ว
เอามาพูดปนกันให้ยุ่งไปหมดแล้วครับ

ผมจะเรียบเรียงให้ใหม่ครับ
ในปุถุชน ถ้าเกิดผัสสะใดขึ้น แล้วกระบวนการขันธ์มาลงที่ความคิด
เขาเรียกว่า บุคคลนั้นหลงจนเกิดการปรุงแต่งครับ
แต่ถ้ากระบวนการมาจบที่ สติแบบนี้จึงเรียกว่า รู้เฉยๆ(สังเกตุดูจะไม่มีความคิด)


ส่วนในอริยบุคคลที่มีปัญญาแล้ว ท่านจะใช้สติมาระลึกรู้ปัญญาสัมมาทิฐิ
มาเดินวิปัสสนา เพื่อพิจารณาขันธ์ห้า การพิจารณาขันธ์ห้าแบบนี้เขาเรียกว่า ความคิด
แต่เป็นความคิดที่เป็นปัญญาอีกตัวที่เรียกว่า สังกัปปะครับ

ฝึกจิต เขียน:
ทุกครั้งที่เอาคำครูบาร์อาจารย์มาผมก็จะยกชื่อท่านมาด้วย ด้วยความเคารพ ไม่ได้ใช่คำท่านหรือชื่อท่าน มาอ้างว่าใครๆ ให้จิต..ลงเรื่อย ๆครับสาธุ :b8:

ก็คุณยกชื่อท่านมานั้นแหล่ะมันจะเกิดปัญหา เพราะคุณไม่สามารถอธิบายธรรมนั้นได้
พอเข้ามาแย้งคุณ คุณก็กล่าวหาเขาว่า ปรามาสครูบาอาจารย์ อันที่จริงเขาดูถูกคุณ
ว่า อ้างในสิ่งที่รู้ไม่จริง
อธิบายเพิ่มครับ ธรรมของครูบาอาจารย์เป็นของจริง แต่คุณไม่รู้ว่าความจริงของธรรม
อยู่ตรงไหน


ที่ไม่น่าอภัยก็คือ แทนที่จะสำนึก ดันอ้างจนเป็นลูกโซ่
แถมเอาบุคคลที่เขาเคารพมาอ้างอีกแน่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 12:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคลบางจำพวก เวลาเจอคนรู้จริง เห็นจริง พูดความจริง ที่มันสวนทางกับตนเองหรือเจอบางคนที่วิจารณ์....ติเพื่อให้ก่อ.. แต่มักจะเกิดอาการน้อยเนื้อ ต่ำใจ ขุ่นเคืองใช้วาจาส่อเสียดผู้อื่นบ้าง คนแบบนี้จริงๆต้องเมตตาให้มากๆ
เพราะปัญญาเขายังไม่เข้าถึงทางธรรม ด้วยเหตุที่บุญวาสนาที่สร้างมายังน้อย มารเลยอาศัยขันธ์5สิงใจ สังเกตุง่ายๆจาก คนที่มีจริตอยากสอนธรรมมะ แต่พอเจอคนเห็นแย้งทางธรรมมะของตน ก็เกิด โมหะบ้าง ..เกิดโทสะบ้าง..บัณทิตของพระพุทธเจ้า ต้องยอมรับคำวิจารณ์ของบัณทิตด้วยกัน บันทิตย่อมไม่ขุ่นเคืองในคำตำหนิติเตือน บัณทิตย่อมใช้ปัญญาพิจารณาธรรมด้วยสติปัญญา แต่เราในฐานะชาวพุทธ ถ้าเห็นคนที่มีจริตสอนธรรมบอกธรรมแต่ขาดความเข้าใจ เราในฐานะชาวพุทธ ต้องช่วยกันชี้แนะ เพื่อไม่ให้บิดเบือนความจริง
ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆแล้วไม่ทำอะไร จะมีสักกี่คนที่ยอมเสียสละตัวเอง ออกตัวเพื่อปกป้องพุทธศาสนา แต่คนพวกนี้มักจะโดนตำหนิว่าเป็นบ่อนทำลายศาสนา ทั้งที่ความจริงแล้ว น่าเห็นใจคนเหล่านี้มาก แต่เราต้องอดทนอย่าย่อท้อ เชื่อในสิ่งที่ทำ พระพุทธองค์ท่านก็ฝากความหวังให้กับพวกเราๆ ท่านซึ่งเห็นตถาคตนี่แล บำรุงศาสนาเพื่อให้สืบเนื่องต่อไป.. :b8: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 16:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ใครเห็นเช่นไร ก็ปฏิบัติ ตามที่เห็นกันไปเตอะครับ
หากผมเห็นผิด ก้ช่างผมเถอะครับ ผู้มีปัญญาอื่นๆเขาจะรู้เอง
จะเห็นเองว่า กระบวนการขันธ์5 ปฏิจสมุปบาท และ อริสัจ4 นั้น มันเป็นสิ่งเดียวกัน

ใครจะทุกข์ใจ จนนำเก็บมาเป็นพยาบาท ก็จะรุ้อยู่แก่ใจตน โกหกตนไม่ได้แน่นอน

ยิ่งเก็บกลับยิ่งเปิดเผย 5555

คิดว่าฉลาด กลับยิ่งโง่

หากปล่อยวางได้ สบายๆๆๆๆๆ :b12: :b12: :b12:

แต่จะเป็นกับผู้ใดได้ ก็ฝึกฝนด้วยตน เถิด

ขอบคุณคุณครู ของกระผมทุกท่าน

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ใครเห็นเช่นไร ก็ปฏิบัติ ตามที่เห็นกันไปเตอะครับ
หากผมเห็นผิด ก้ช่างผมเถอะครับ ผู้มีปัญญาอื่นๆเขาจะรู้เอง
จะเห็นเองว่า กระบวนการขันธ์5 ปฏิจสมุปบาท และ อริสัจ4 นั้น มันเป็นสิ่งเดียวกัน

ใครจะทุกข์ใจ จนนำเก็บมาเป็นพยาบาท ก็จะรุ้อยู่แก่ใจตน โกหกตนไม่ได้แน่นอน

ยิ่งเก็บกลับยิ่งเปิดเผย 5555

คิดว่าฉลาด กลับยิ่งโง่

หากปล่อยวางได้ สบายๆๆๆๆๆ :b12: :b12: :b12:

แต่จะเป็นกับผู้ใดได้ ก็ฝึกฝนด้วยตน เถิด

ขอบคุณคุณครู ของกระผมทุกท่าน

:b8: :b8: :b8:

ฟังเพลงหน่อยม่ะ เด่วจะฟุ้งซ่านธรรม :b32:
http://www.youtube.com/watch?v=1Uz_bRUec4Q


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 17:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


จากกระทู้
42333.บางคนปฏิบัติธรรมแล้ว เกิดกิเลสพอกพูนว่าฉันเป็นคนวิเศษ??
เอาไว้เตือนตัวผมเอง


ถูกใจมากเลยค่ะ !!
กับเกร็ดธรรมจาก...พระไพศาล วิสาโล ข้า่งล่างนี้
เลยนำมาฝากเพื่อนๆ ทุกท่านค่ะ


“ปฏิบัติธรรม” ช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้จริง ถ้าปฏิบัติถูก
...แต่ถ้าปฏิบัติไม่ถูก...
นอกจากจะไม่ช่วยให้พ้นทุกข์แล้ว อาจเพิ่มทุกข์ด้วย

คนที่ปฏิบัติธรรมผิดแล้วหลงลืมตัวตน เห็นแก่ตัวก็มี
คนที่ปฏิบัติธรรมแล้วเครียดยิ่งกว่าเดิม หรือสร้างความทุกข์ให้แก่คนอื่นก็มี
ปฏิบัติธรรมแล้วกลายเป็นคนหนีปัญหาก็มี
ชอบหนีความขัดแย้งเพราะไม่อยากเจอความไม่สงบ


บางคนปฏิบัติธรรมแล้ว
เกิดกิเลสพอกพูนว่าฉันเป็นคนวิเศษ ฉันเป็นคนประเสริฐ


การปฏิบัติธรรมที่ถูก
ต้องลดละ “ความเห็นแก่ตัว” และ “ทิฏฐิมานะ” ได้




คัดบางตอนมาจาก...
สุดยอด “เกร็ดธรรม” สั้นๆ จาก...พระไพศาล วิสาโล
viewtopic.php?f=7&t=41871
.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว

ร้อนมั้ยละเนี่ย
:b16: :b12: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร