วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 18:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ถามท่าน อโสกะ หน่อยว่า ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งบุคคลที่ดิฉันเคารพรักต้องจากโลกนี้ไป ดิฉันก็ทำใจยอมรับได้แล้วตั้งแต่เนิ่นๆว่ามันต้องมาถึงวันนี้สักวันหนึ่ง เมื่อเรารับความจริงได้แล้ว จิตใจเลยไม่เกิดความรู้สึกโศกเศร้า เสียใจ ไม่ได้ร้องไห้ กับการจากไปของบุคคลที่เราเคารพรักนับถือ แบบนี้ปุถุชนคงกล่าวหาว่าดิฉันเป็นคนเลว คนอกตัญญูสินะเจ้าค่ะ ที่ไม่ร้องไห้ ไม่เสียใจกับบุคคลที่ดิฉันเคารพนับถือ :b24: แบบนี้ดิฉันต้องสร้างภาพบีบน้ำตารึป่าว จะได้ไม่โดนคำนินทาครหา :b32:

:b27:
สาธุครับnongkong
คำถามดีครับ
"ดิฉันก็ทำใจยอมรับได้" คำพูดนี้สำคัญกับประเด็นธรรมครับ
1.การทำใจยอมรับได้ กับ
2.การทำใจจนหมดหมดความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเรา
มีผลต่างกันค่อนข้างมากครับ

ถ้าเป็น 1 นั้นอาศัยเหตุผล ความอดทนข่มใจ ใช้สติกำกับ ความโศกเศร้าเสียใจไม่ขาดจริงๆหรอกครับ จึงยังคงมีความสงสัยลังเลใจดังข้อวิตกที่ยกมา
:b41:
ถ้าเป็นข้อ 2 ถ้าความเห็นผิดเป็นกูเป็นเราขาดสะบั้นไปแล้ว จะหมดสงสัย ไม่วิตกกับสังคมปุถุชน คำคนว่ากล่าวอีกเลย กลับจะเป็นตัวอยางที่น่าทึ่งน่าถามสำหรับคนที่มีปัญญาทั้งหลายว่าnongkongทำใจได้อย่างไร ไม่ร้องให้เสียใจเมื่อพลัดพรากจากคนที่รักเคารพ
:b4:


โพสต์ เมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 18:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
ฝึกจิต....
แล้วควรดำรงอยู่อย่างไรครับ
สมมติ ว่า ตัวกูไม่มีอยู่จริง แล้ว พ่อแม่ ลูกเมีย และผู้อื่นก็คงไม่มีใช่มั้ยครับ แล้ว ....
:b12:
5555 ง่ายจะตายครับคุณฝึกจิต
พ่อแม่ ลูกเมีย และผู้อื่นมี ธาตุขันธ์ที่สมมุติชื่อให้ว่า "ฝึกจิต"มีอยู่ด้วย เหตุ ปัจจัย และวิบากที่เกี่ยวเนื่องกันมา ก็ทำหน้าที่กันไปด้วยสำนึกรับผิดชอบ ด้วยเหตุและผล
แต่ พ่อฉัน(กู) แม่ฉัน ลูกเมียฉัน(กู) ไม่มี หรือไม่มี "กูหรือของกู"ไปยึดถือในพ่อ แม่ ลูก เมีย และ ใครอื่น
พูดง่าย ฟังยากหน่อย แต่ถ้าคุณฝึกจิตทำความเพียรต่อเนื่องไปจนความรู้สึกเป็น "ตัวกู ของกู" เขาเงียบไป หลบหายไปหรือที่สุด "ตายไป" คุณฝึกจิตจะรู้ที่ใจของคุณฝึกจิตเองว่า "จะอยู่อย่างไรครับ คงจะตอบให้รู้ด้วยตัวหนังสือและความคิดไม่ได้ครับ
:b1:
:b12: :b12: อุปมาคล้ายดั่งผมอยากจะให้คุณฝึกจิตรู้จักรสชาติของละมุดอินเดีย หรือลมุดเขมร คงยากจะอธิบาย มีแต่ต้องส่งมันมาให้คุณฝึกจิตชิม หรือคุณฝึกจิตต้องขวันขวายขึ้นไปหาชิมเองแถวเมืองเชียงใหม่ จึงจะได้รู้รสของมันครับ
:b12:


1."ฝึกจิต"มีอยู่ด้วย เหตุ ปัจจัย แล้ว สรุปว่า มีหรือไม่มีละครับ
2.แล้วท่านเข้าใจคำว่าตัวกูของกู ของท่านพุทธทาส นั้น หมายถึงอย่างไรครับ
3.การดับตัวกูของกูนั้นที่แท้นั้นคือการดับของสิ่งใด
4.เมื่อตัวกูของกูดับไปนั้นสิ่งใดที่เกิดมาแทน ครับ
5.แล้วท่านได้ทานละมุดนั้นแล้วยังละครับ
ส่วนเรื่องอุปมาที่ท่านว่านั้น พอเข้าใจครับ เพราะฟัง หลวงปูชา มาพอควรแล้ว ครับ
สาธุครับ

:b12:
เจริญสุข เจริญธรรมครับ คุณฝึกจิต
ข้อ1.ฝึกจิต โดยโลกย์ มี โดยธรรม ไม่มี ถ้าคุณฝึกจิตเข้าถึงธรรมแล้วจะรู้ว่า "ฝึกจิต" ไม่มี
ข้อ 2.ตัวกู ของกู คือความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ อันได้แก่ตัวสักกายทิฐิ สังโยชน์ตัวที่ 1 นั่นเลยทีเดียว
ข้อ 3.การดับตัวกูของกู คือการดับความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ อันได้แก่ตัวสักกายทิฐิ
ข้อ 4.ตัวกูของกู คือสภาวะ "อัตตา" ถ้าดับไปแล้ว "อนัตตา"สภาวะไร้ตัวกู จักเกิดขึ้นมาแทนครับ
ข้อ 5.ละมุดเขมรหรือละมุดอินเดียนั้นผมได้รับประทานมาหลายปีแล้วครับ ทั้งยังได้ส่งเสริมผู้คนให้ปลูกไว้กินมากมาย และจะทำต่อไปจนกว่าจะพูดไม่ได้หมดลมครับ

onion


โพสต์ เมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 18:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
ฝึกจิต....
แล้วควรดำรงอยู่อย่างไรครับ
สมมติ ว่า ตัวกูไม่มีอยู่จริง แล้ว พ่อแม่ ลูกเมีย และผู้อื่นก็คงไม่มีใช่มั้ยครับ แล้ว ....
:b12:
5555 ง่ายจะตายครับคุณฝึกจิต
พ่อแม่ ลูกเมีย และผู้อื่นมี ธาตุขันธ์ที่สมมุติชื่อให้ว่า "ฝึกจิต"มีอยู่ด้วย เหตุ ปัจจัย และวิบากที่เกี่ยวเนื่องกันมา ก็ทำหน้าที่กันไปด้วยสำนึกรับผิดชอบ ด้วยเหตุและผล
แต่ พ่อฉัน(กู) แม่ฉัน ลูกเมียฉัน(กู) ไม่มี หรือไม่มี "กูหรือของกู"ไปยึดถือในพ่อ แม่ ลูก เมีย และ ใครอื่น
พูดง่าย ฟังยากหน่อย แต่ถ้าคุณฝึกจิตทำความเพียรต่อเนื่องไปจนความรู้สึกเป็น "ตัวกู ของกู" เขาเงียบไป หลบหายไปหรือที่สุด "ตายไป" คุณฝึกจิตจะรู้ที่ใจของคุณฝึกจิตเองว่า "จะอยู่อย่างไรครับ คงจะตอบให้รู้ด้วยตัวหนังสือและความคิดไม่ได้ครับ
:b1:
:b12: :b12: อุปมาคล้ายดั่งผมอยากจะให้คุณฝึกจิตรู้จักรสชาติของละมุดอินเดีย หรือลมุดเขมร คงยากจะอธิบาย มีแต่ต้องส่งมันมาให้คุณฝึกจิตชิม หรือคุณฝึกจิตต้องขวันขวายขึ้นไปหาชิมเองแถวเมืองเชียงใหม่ จึงจะได้รู้รสของมันครับ
:b12:


1."ฝึกจิต"มีอยู่ด้วย เหตุ ปัจจัย แล้ว สรุปว่า มีหรือไม่มีละครับ
2.แล้วท่านเข้าใจคำว่าตัวกูของกู ของท่านพุทธทาส นั้น หมายถึงอย่างไรครับ
3.การดับตัวกูของกูนั้นที่แท้นั้นคือการดับของสิ่งใด
4.เมื่อตัวกูของกูดับไปนั้นสิ่งใดที่เกิดมาแทน ครับ
5.แล้วท่านได้ทานละมุดนั้นแล้วยังละครับ
ส่วนเรื่องอุปมาที่ท่านว่านั้น พอเข้าใจครับ เพราะฟัง หลวงปูชา มาพอควรแล้ว ครับ
สาธุครับ

:b12:
เจริญสุข เจริญธรรมครับ คุณฝึกจิต
ข้อ1.ฝึกจิต โดยโลกย์ มี โดยธรรม ไม่มี ถ้าคุณฝึกจิตเข้าถึงธรรมแล้วจะรู้ว่า "ฝึกจิต" ไม่มี
ข้อ 2.ตัวกู ของกู คือความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ อันได้แก่ตัวสักกายทิฐิ สังโยชน์ตัวที่ 1 นั่นเลยทีเดียว
ข้อ 3.การดับตัวกูของกู คือการดับความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ อันได้แก่ตัวสักกายทิฐิ
ข้อ 4.ตัวกูของกู คือสภาวะ "อัตตา" ถ้าดับไปแล้ว "อนัตตา"สภาวะไร้ตัวกู จักเกิดขึ้นมาแทนครับ
ข้อ 5.ละมุดเขมรหรือละมุดอินเดียนั้นผมได้รับประทานมาหลายปีแล้วครับ ทั้งยังได้ส่งเสริมผู้คนให้ปลูกไว้กินมากมาย และจะทำต่อไปจนกว่าจะพูดไม่ได้หมดลมครับ

onion

ผมยังเข้าไม่ถึงหรอกครับ แต่ผมรู้ว่า จะเกิดไฟได้ต้องมี เชื้อเพลิง + อุณหภูมิ+ความชื้น+ออกซิเจน เมื่อปัจจัยเหล่านี้ พร้อม เหตุของการเกิดอุณหภูมิที่ร้อนจนเหมาะสม ย่อมเกิดไฟเมื่อนั้น แต่เมื่อมีเหตุให้ไฟดับ ปัจจัย กระจายกันกลับสู่ สภาพก่อนการประชุมกันเข้ามาก็แค่นั้นเอง มันก็คือ การสืบเนื้องกันมาเป็นทอดๆ

ผมคิดว่าหากท่านเห็น แค่ที่ สังโยชน์ตัวที่ 1 อย่างเดียว ท่านคงต้องหาละมุดรับประทานเพิ่มอีกนะครับ หากเอาธรรมของท่านพุทธทาส มาแล้ว ก็ หาธรรมท่านมาฟัง ให้เข้าใจมากยิ่งๆขึ้นด้วยเถิดครับ

แต่อย่างว่า อะไรๆมันไม่แน่ดอก :b12:
สาธุครับ


โพสต์ เมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 22:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b27:

ต้องนำโลกุตรธรรมผสมโลกียธรรมอย่าง สมดุล หรือที่เรียกว่า สายกลาง เท่านั้น หากยังอยู่ในโลก นี้



:b1:

ท่านผสมมันเข้าด้วยกันได้ด้วย...

:b1:


ที่ผมกล่าวเช่นนั้นเพราะกระะผมรู้ดีว่าตัวเองยัง ไม่สิ้นกิเลส อาสาวะ อนุสัย และ ยังบรรลุถึงอีกฝั่งหนึ่งของธรรม ที่เป็น อสังขตธรรม ถึงอสังขตธาตุ หรือธรรมธาตุ นะครับ จึงเข้าถึงมาเพียงแค่นี้ จึงกล่าวไว้ได้เพียงแค่นี้นะครับ ส่วนหากเข้าถึงแล้วความเห้นเป็นเช่นไรต่อไปนั้น ก็บ่หู้ อะคราบ :b12:


:b8: ต้องขอโทษด้วยที่เผลอมาแย๊บท่าน

:b1:

กับท่านฝึกจิตเอกอนเข้าใจค่ะ ถ้าเห็นแต่แรกว่าเป็นข้อความของท่าน
เอกอนจะไม่ทัก
เพราะเราต่างก็ต้องค่อย ๆ ปฏิบัติและทำความเข้าใจกันไป :b12: :b13: :b4:

แต่เป็นท่านอโศก ต้องแย๊บ ค่ะ :b13:
เพราะ ท่านอโศกมีใจคิดที่จะสอนธรรม ถ่ายทอดธรรม

:b11: :b32: :b4:


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 01:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16:
ศิษย์ ก. "ต้องขยันเช็ดกระจกเงามิให้ฝุ่นมาจับ กระจกเงาจึงจะใสบริสุทธิ์อยู่เสมอ" (สตินำหน้า)

ศิษย์ ข. "กระจกเงาก็ไม่มี คนคอยเช็ดกระจกก็ไม่มี แล้วฝุ่นจะเปื้อนอะไร" (ปัญญานำหน้า)

นี่คือวิธีชำระขยะใจแบบเบ็ดเสร็จ ใครเข้าใจและใช้วิธีนี้ได้ก็เยี่ยมครับ
สาธุเจริญธรรมครับ

:b36:


ศิกย์ ก. เขียนด้วยจิตนาการ

ศิษย์ ข. เขียนออกมาจากใจที่เข้าไปเห็น

ทั้งคู่...เป็นผลผลิตที่ตกผลึกของแต่ละคน

เหตุใดเขาถึงสรุปได้อย่างนี้...ต่างหาก...ที่ควรเจะเป็นวิธีใช้พิจารณา


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 06:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
ฝึกจิต....
แล้วควรดำรงอยู่อย่างไรครับ
สมมติ ว่า ตัวกูไม่มีอยู่จริง แล้ว พ่อแม่ ลูกเมีย และผู้อื่นก็คงไม่มีใช่มั้ยครับ แล้ว ....
:b12:
5555 ง่ายจะตายครับคุณฝึกจิต
พ่อแม่ ลูกเมีย และผู้อื่นมี ธาตุขันธ์ที่สมมุติชื่อให้ว่า "ฝึกจิต"มีอยู่ด้วย เหตุ ปัจจัย และวิบากที่เกี่ยวเนื่องกันมา ก็ทำหน้าที่กันไปด้วยสำนึกรับผิดชอบ ด้วยเหตุและผล
แต่ พ่อฉัน(กู) แม่ฉัน ลูกเมียฉัน(กู) ไม่มี หรือไม่มี "กูหรือของกู"ไปยึดถือในพ่อ แม่ ลูก เมีย และ ใครอื่น
พูดง่าย ฟังยากหน่อย แต่ถ้าคุณฝึกจิตทำความเพียรต่อเนื่องไปจนความรู้สึกเป็น "ตัวกู ของกู" เขาเงียบไป หลบหายไปหรือที่สุด "ตายไป" คุณฝึกจิตจะรู้ที่ใจของคุณฝึกจิตเองว่า "จะอยู่อย่างไรครับ คงจะตอบให้รู้ด้วยตัวหนังสือและความคิดไม่ได้ครับ
:b1:
:b12: :b12: อุปมาคล้ายดั่งผมอยากจะให้คุณฝึกจิตรู้จักรสชาติของละมุดอินเดีย หรือลมุดเขมร คงยากจะอธิบาย มีแต่ต้องส่งมันมาให้คุณฝึกจิตชิม หรือคุณฝึกจิตต้องขวันขวายขึ้นไปหาชิมเองแถวเมืองเชียงใหม่ จึงจะได้รู้รสของมันครับ
:b12:


1."ฝึกจิต"มีอยู่ด้วย เหตุ ปัจจัย แล้ว สรุปว่า มีหรือไม่มีละครับ
2.แล้วท่านเข้าใจคำว่าตัวกูของกู ของท่านพุทธทาส นั้น หมายถึงอย่างไรครับ
3.การดับตัวกูของกูนั้นที่แท้นั้นคือการดับของสิ่งใด
4.เมื่อตัวกูของกูดับไปนั้นสิ่งใดที่เกิดมาแทน ครับ
5.แล้วท่านได้ทานละมุดนั้นแล้วยังละครับ
ส่วนเรื่องอุปมาที่ท่านว่านั้น พอเข้าใจครับ เพราะฟัง หลวงปูชา มาพอควรแล้ว ครับ
สาธุครับ

:b12:
เจริญสุข เจริญธรรมครับ คุณฝึกจิต
ข้อ1.ฝึกจิต โดยโลกย์ มี โดยธรรม ไม่มี ถ้าคุณฝึกจิตเข้าถึงธรรมแล้วจะรู้ว่า "ฝึกจิต" ไม่มี
ข้อ 2.ตัวกู ของกู คือความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ อันได้แก่ตัวสักกายทิฐิ สังโยชน์ตัวที่ 1 นั่นเลยทีเดียว
ข้อ 3.การดับตัวกูของกู คือการดับความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ อันได้แก่ตัวสักกายทิฐิ
ข้อ 4.ตัวกูของกู คือสภาวะ "อัตตา" ถ้าดับไปแล้ว "อนัตตา"สภาวะไร้ตัวกู จักเกิดขึ้นมาแทนครับ
ข้อ 5.ละมุดเขมรหรือละมุดอินเดียนั้นผมได้รับประทานมาหลายปีแล้วครับ ทั้งยังได้ส่งเสริมผู้คนให้ปลูกไว้กินมากมาย และจะทำต่อไปจนกว่าจะพูดไม่ได้หมดลมครับ

onion

ผมยังเข้าไม่ถึงหรอกครับ แต่ผมรู้ว่า จะเกิดไฟได้ต้องมี เชื้อเพลิง + อุณหภูมิ+ความชื้น+ออกซิเจน เมื่อปัจจัยเหล่านี้ พร้อม เหตุของการเกิดอุณหภูมิที่ร้อนจนเหมาะสม ย่อมเกิดไฟเมื่อนั้น แต่เมื่อมีเหตุให้ไฟดับ ปัจจัย กระจายกันกลับสู่ สภาพก่อนการประชุมกันเข้ามาก็แค่นั้นเอง มันก็คือ การสืบเนื้องกันมาเป็นทอดๆ

ผมคิดว่าหากท่านเห็น แค่ที่ สังโยชน์ตัวที่ 1 อย่างเดียว ท่านคงต้องหาละมุดรับประทานเพิ่มอีกนะครับ หากเอาธรรมของท่านพุทธทาส มาแล้ว ก็ หาธรรมท่านมาฟัง ให้เข้าใจมากยิ่งๆขึ้นด้วยเถิดครับ

แต่อย่างว่า อะไรๆมันไม่แน่ดอก :b12:
สาธุครับ

:b12:
ตอบแบบสั้นๆ คงไม่จุใจ ไม่ตรงกับสัญญาที่คุณฝึกจิตบันทึกไว้ เลยแนะให้ผมกลับไปอ่านธรรมะของหลวงพ่อพุทธทาสซ้ำอีก ขอบคุณครับที่แนะนำ
เรื่องของตัวกูของกู ถ้าจะเอ าให้ยาวก็ยาวอย่างที่หลวงพ่อพุทธทาสแจกแจงขยายความมาตลอดอายุขัยของท่าน แต่ถ้าจะให้สั้นก็สั้นอยู่เท่าที่่ตอบมาครับ
:b41:
สังโยชน์ข้อที่ 1 เป็นเป้าหมายแรกที่ต้องรู้ให้ชัดเพราะสำคัญมาก ถ้าสังโยชน์ตัวนี้ดับขาด วิจิกิจฉาสังโยชน์ตัวที่ 2 จะดับตามโดยอัตโนมัติ ส่วน สีลัพพตปรามาสนั้นเป็นผลพลอยได้จากการที่วิจิกิจฉาดับขาด และสักกายทิฐิตายไป
:b12:
ละมุดเขมรนั้นทานจนอิ่มพอแล้วตอนนี้กำลังเพียรเพื่อจะให้ได้ทานสมุนไพรที่ทำให้อะไรๆมันเหี่ยวแห้งอยู่ครับ
:b12:
ทราบว่าช่วงนี้ฟุ้งมากกลัวจะออกนอกทาง ต้องรีบไปหาสมุนไพรสลายนิวรณ์มากินนะครับ ที่ร้านพุทธโอสถเขามีขายครับ
:b12: :b17:


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 06:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b16:
ศิษย์ ก. "ต้องขยันเช็ดกระจกเงามิให้ฝุ่นมาจับ กระจกเงาจึงจะใสบริสุทธิ์อยู่เสมอ" (สตินำหน้า)

ศิษย์ ข. "กระจกเงาก็ไม่มี คนคอยเช็ดกระจกก็ไม่มี แล้วฝุ่นจะเปื้อนอะไร" (ปัญญานำหน้า)

นี่คือวิธีชำระขยะใจแบบเบ็ดเสร็จ ใครเข้าใจและใช้วิธีนี้ได้ก็เยี่ยมครับ
สาธุเจริญธรรมครับ

:b36:


ศิกย์ ก. เขียนด้วยจิตนาการ

ศิษย์ ข. เขียนออกมาจากใจที่เข้าไปเห็น

ทั้งคู่...เป็นผลผลิตที่ตกผลึกของแต่ละคน

เหตุใดเขาถึงสรุปได้อย่างนี้...ต่างหาก...ที่ควรเจะเป็นวิธีใช้พิจารณา

:b8:
สาธุ คุณกบให้ข้อสังเกตไว้ดีมากครับ อนุโมทนา
ที่เราถกกันอยู่ขณะนี้ ที่คุณฝึกจิตกำลังสนใจ ที่หลวงพ่อพุทธทาสท่านแจงไว้ น่าจะเกี่ยวกันกับความเป็นไปภายในของศิษย์ ข. และตอบข้อสงสัยตามข้อสังเกตของท่านกบได้กระมังครับ
:b16:


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 07:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b27:

ต้องนำโลกุตรธรรมผสมโลกียธรรมอย่าง สมดุล หรือที่เรียกว่า สายกลาง เท่านั้น หากยังอยู่ในโลก นี้



:b1:

ท่านผสมมันเข้าด้วยกันได้ด้วย...

:b1:


ที่ผมกล่าวเช่นนั้นเพราะกระะผมรู้ดีว่าตัวเองยัง ไม่สิ้นกิเลส อาสาวะ อนุสัย และ ยังบรรลุถึงอีกฝั่งหนึ่งของธรรม ที่เป็น อสังขตธรรม ถึงอสังขตธาตุ หรือธรรมธาตุ นะครับ จึงเข้าถึงมาเพียงแค่นี้ จึงกล่าวไว้ได้เพียงแค่นี้นะครับ ส่วนหากเข้าถึงแล้วความเห้นเป็นเช่นไรต่อไปนั้น ก็บ่หู้ อะคราบ :b12:


:b8: ต้องขอโทษด้วยที่เผลอมาแย๊บท่าน

:b1:

กับท่านฝึกจิตเอกอนเข้าใจค่ะ ถ้าเห็นแต่แรกว่าเป็นข้อความของท่าน
เอกอนจะไม่ทัก
เพราะเราต่างก็ต้องค่อย ๆ ปฏิบัติและทำความเข้าใจกันไป :b12: :b13: :b4:

แต่เป็นท่านอโศก ต้องแย๊บ ค่ะ :b13:
เพราะ ท่านอโศกมีใจคิดที่จะสอนธรรม ถ่ายทอดธรรม

:b11: :b32: :b4:

:b12:
แย๊ปมาต้องโยกตัวหลบนิดหนึ่งแล้วสอยกลับที่ท้อง.....โอ๊ะ!...ไม่ได้ลืมไปว่าน้องเอก้อนเธอพูดค๊ะ ขา
:b12:
ไม่ทราบว่าที่น้องเอก้อนแย๊ปกลับนี่เพราะความ (เพียรใส้)หรือเพราะใจอนุโมทนานะครับ หรือว่าอยากจะมาช่วยเจียรนัยและขัดเกลา? ฯลฯ......
:b10:
แต่ทุกอย่างก็ขอบคุณครับ อนุโมทนาด้วย
สาธุ
:b12:


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 09:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
แย๊ปมาต้องโยกตัวหลบนิดหนึ่งแล้วสอยกลับที่ท้อง.....โอ๊ะ!...ไม่ได้ลืมไปว่าน้องเอก้อนเธอพูดค๊ะ ขา
:b12:
ไม่ทราบว่าที่น้องเอก้อนแย๊ปกลับนี่เพราะความ (เพียรใส้)หรือเพราะใจอนุโมทนานะครับ หรือว่าอยากจะมาช่วยเจียรนัยและขัดเกลา? ฯลฯ......
:b10:
แต่ทุกอย่างก็ขอบคุณครับ อนุโมทนาด้วย
สาธุ
:b12:


อืมม์ สนทนาธรรม แต่ดันถูกที่ท้อง ... :b16:

ความคิดออกมาจากที่ใดล่ะ :b1:
ถ้าท่านไม่ทราบ ท่านก็ไม่ต้องคิดก็ได้นี่ รู้มั๊ย.. :b16:


:b1: :b13:


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 14:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
แย๊ปมาต้องโยกตัวหลบนิดหนึ่งแล้วสอยกลับที่ท้อง.....โอ๊ะ!...ไม่ได้ลืมไปว่าน้องเอก้อนเธอพูดค๊ะ ขา
:b12:
ไม่ทราบว่าที่น้องเอก้อนแย๊ปกลับนี่เพราะความ (เพียรใส้)หรือเพราะใจอนุโมทนานะครับ หรือว่าอยากจะมาช่วยเจียรนัยและขัดเกลา? ฯลฯ......
:b10:
แต่ทุกอย่างก็ขอบคุณครับ อนุโมทนาด้วย
สาธุ
:b12:


อืมม์ สนทนาธรรม แต่ดันถูกที่ท้อง ... :b16:

ความคิดออกมาจากที่ใดล่ะ :b1:
ถ้าท่านไม่ทราบ ท่านก็ไม่ต้องคิดก็ได้นี่ รู้มั๊ย.. :b16:


:b1: :b13:

:b27:
ยังไม่ถูกท้องกระมังครับ เพราะหมัดถูกระงับยัยยั้งไว้ก่อนแล้ว
:b12:
แต่ไอ้เรื่องที่ว่า "ไม่ต้องคิดก็ได้" นี่โดนใจเดี๊ยะเลยครับ
เพราะที่เพียรปฏิบัติภาวนาอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อให้ได้เข้าถึงการมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องคิดไม่ต้องปรุง ให้ชีวิตได้อยู่กับกิริยาอาการตามธรรมชาติทำหน้าที่ไปจนกว่าเหตุปัจจัยจะหมดกำลัง
:b20:
เจริญธรรมนะครับคุณเอราก้อน ตกลงไม่ได้ถูกตุ้ยท้องนะครับ
:b12:


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 14:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b27:
ยังไม่ถูกท้องกระมังครับ เพราะหมัดถูกระงับยัยยั้งไว้ก่อนแล้ว
:b12:

เจริญธรรมนะครับคุณเอราก้อน ตกลงไม่ได้ถูกตุ้ยท้องนะครับ :b12:


ตกลง คิด อะไรล่ะ :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 23 พ.ค. 2012, 15:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 15:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
ฝึกจิต....
แล้วควรดำรงอยู่อย่างไรครับ
สมมติ ว่า ตัวกูไม่มีอยู่จริง แล้ว พ่อแม่ ลูกเมีย และผู้อื่นก็คงไม่มีใช่มั้ยครับ แล้ว ....
:b12:
5555 ง่ายจะตายครับคุณฝึกจิต
พ่อแม่ ลูกเมีย และผู้อื่นมี ธาตุขันธ์ที่สมมุติชื่อให้ว่า "ฝึกจิต"มีอยู่ด้วย เหตุ ปัจจัย และวิบากที่เกี่ยวเนื่องกันมา ก็ทำหน้าที่กันไปด้วยสำนึกรับผิดชอบ ด้วยเหตุและผล
แต่ พ่อฉัน(กู) แม่ฉัน ลูกเมียฉัน(กู) ไม่มี หรือไม่มี "กูหรือของกู"ไปยึดถือในพ่อ แม่ ลูก เมีย และ ใครอื่น
พูดง่าย ฟังยากหน่อย แต่ถ้าคุณฝึกจิตทำความเพียรต่อเนื่องไปจนความรู้สึกเป็น "ตัวกู ของกู" เขาเงียบไป หลบหายไปหรือที่สุด "ตายไป" คุณฝึกจิตจะรู้ที่ใจของคุณฝึกจิตเองว่า "จะอยู่อย่างไรครับ คงจะตอบให้รู้ด้วยตัวหนังสือและความคิดไม่ได้ครับ
:b1:
:b12: :b12: อุปมาคล้ายดั่งผมอยากจะให้คุณฝึกจิตรู้จักรสชาติของละมุดอินเดีย หรือลมุดเขมร คงยากจะอธิบาย มีแต่ต้องส่งมันมาให้คุณฝึกจิตชิม หรือคุณฝึกจิตต้องขวันขวายขึ้นไปหาชิมเองแถวเมืองเชียงใหม่ จึงจะได้รู้รสของมันครับ
:b12:


1."ฝึกจิต"มีอยู่ด้วย เหตุ ปัจจัย แล้ว สรุปว่า มีหรือไม่มีละครับ
2.แล้วท่านเข้าใจคำว่าตัวกูของกู ของท่านพุทธทาส นั้น หมายถึงอย่างไรครับ
3.การดับตัวกูของกูนั้นที่แท้นั้นคือการดับของสิ่งใด
4.เมื่อตัวกูของกูดับไปนั้นสิ่งใดที่เกิดมาแทน ครับ
5.แล้วท่านได้ทานละมุดนั้นแล้วยังละครับ
ส่วนเรื่องอุปมาที่ท่านว่านั้น พอเข้าใจครับ เพราะฟัง หลวงปูชา มาพอควรแล้ว ครับ
สาธุครับ

:b12:
เจริญสุข เจริญธรรมครับ คุณฝึกจิต
ข้อ1.ฝึกจิต โดยโลกย์ มี โดยธรรม ไม่มี ถ้าคุณฝึกจิตเข้าถึงธรรมแล้วจะรู้ว่า "ฝึกจิต" ไม่มี
ข้อ 2.ตัวกู ของกู คือความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ อันได้แก่ตัวสักกายทิฐิ สังโยชน์ตัวที่ 1 นั่นเลยทีเดียว
ข้อ 3.การดับตัวกูของกู คือการดับความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ อันได้แก่ตัวสักกายทิฐิ
ข้อ 4.ตัวกูของกู คือสภาวะ "อัตตา" ถ้าดับไปแล้ว "อนัตตา"สภาวะไร้ตัวกู จักเกิดขึ้นมาแทนครับ
ข้อ 5.ละมุดเขมรหรือละมุดอินเดียนั้นผมได้รับประทานมาหลายปีแล้วครับ ทั้งยังได้ส่งเสริมผู้คนให้ปลูกไว้กินมากมาย และจะทำต่อไปจนกว่าจะพูดไม่ได้หมดลมครับ

onion

ผมยังเข้าไม่ถึงหรอกครับ แต่ผมรู้ว่า จะเกิดไฟได้ต้องมี เชื้อเพลิง + อุณหภูมิ+ความชื้น+ออกซิเจน เมื่อปัจจัยเหล่านี้ พร้อม เหตุของการเกิดอุณหภูมิที่ร้อนจนเหมาะสม ย่อมเกิดไฟเมื่อนั้น แต่เมื่อมีเหตุให้ไฟดับ ปัจจัย กระจายกันกลับสู่ สภาพก่อนการประชุมกันเข้ามาก็แค่นั้นเอง มันก็คือ การสืบเนื้องกันมาเป็นทอดๆ

ผมคิดว่าหากท่านเห็น แค่ที่ สังโยชน์ตัวที่ 1 อย่างเดียว ท่านคงต้องหาละมุดรับประทานเพิ่มอีกนะครับ หากเอาธรรมของท่านพุทธทาส มาแล้ว ก็ หาธรรมท่านมาฟัง ให้เข้าใจมากยิ่งๆขึ้นด้วยเถิดครับ

แต่อย่างว่า อะไรๆมันไม่แน่ดอก :b12:
สาธุครับ

:b12:
ตอบแบบสั้นๆ คงไม่จุใจ ไม่ตรงกับสัญญาที่คุณฝึกจิตบันทึกไว้ เลยแนะให้ผมกลับไปอ่านธรรมะของหลวงพ่อพุทธทาสซ้ำอีก ขอบคุณครับที่แนะนำ
เรื่องของตัวกูของกู ถ้าจะเอ าให้ยาวก็ยาวอย่างที่หลวงพ่อพุทธทาสแจกแจงขยายความมาตลอดอายุขัยของท่าน แต่ถ้าจะให้สั้นก็สั้นอยู่เท่าที่่ตอบมาครับ
:b41:
สังโยชน์ข้อที่ 1 เป็นเป้าหมายแรกที่ต้องรู้ให้ชัดเพราะสำคัญมาก ถ้าสังโยชน์ตัวนี้ดับขาด วิจิกิจฉาสังโยชน์ตัวที่ 2 จะดับตามโดยอัตโนมัติ ส่วน สีลัพพตปรามาสนั้นเป็นผลพลอยได้จากการที่วิจิกิจฉาดับขาด และสักกายทิฐิตายไป
:b12:
ละมุดเขมรนั้นทานจนอิ่มพอแล้วตอนนี้กำลังเพียรเพื่อจะให้ได้ทานสมุนไพรที่ทำให้อะไรๆมันเหี่ยวแห้งอยู่ครับ
:b12:
ทราบว่าช่วงนี้ฟุ้งมากกลัวจะออกนอกทาง ต้องรีบไปหาสมุนไพรสลายนิวรณ์มากินนะครับ ที่ร้านพุทธโอสถเขามีขายครับ
:b12: :b17:



อีกนิดนะครับท่านไม่ได้อวดเก่งหรืออวดภูมิแข่งกับท่านนะครับ เพราะผม่เริ่มได้แค่ต้นปีเอง ยังไม่ถึงไหนแน่ๆ แต่ที่ท่านว่า ถ้าสังโยชน์ตัวนี้ดับขาด วิจิกิจฉาสังโยชน์ตัวที่ 2 จะดับตามโดยอัตโนมัติ ส่วน สีลัพพตปรามาสนั้นเป็นผลพลอยได้จากการที่วิจิกิจฉาดับขาด
แต่ตามสัญญาที่ผมมีนั้น มันไม่ใช่ครับ หากสักกายทิฏฐฺินี้ดับขาด สังโยชน์ที่เหลือมันดับหมดแล้ว ก็เป็นพระอรหันต์แล้วละครับ ลองฟังดูใหม่นะครับ จากท่านพุทธทาส(ลักษณะของโสดาบัน) หรือ หลวงพ่อฤษีลิ่งดำ ก็ได้ เพราะโสดาบัน นั้น ลดได้แค่ระดับนึ่งเท่านั้น (แต่ระวังติดสมมุติ)
และที่ว่าตัวกูของกูดับแล้วนั้น อะไรมาแทน ก็ไม่ใช่อนัตตา นะครับ ลองฟังที่สิ่งใดที่มาแทนที่ "ตัวกูของกู"ของท่านพุทธทาส อีกสักครั้งนะครับ"

:b8:


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 15:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ละ 1 แล้วจะได้อีก 2 หรือ ละ อีก 9 ได้

ก็ขึ้นอยู่กับ..สักกายทิฏฐิ...ของเรากินความหมายไปถึงไหน...

มันเป็นสมมุติ...ของเราอยู่...


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 15:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ละ 1 แล้วจะได้อีก 2 หรือ ละ อีก 9 ได้

ก็ขึ้นอยู่กับ..สักกายทิฏฐิ...ของเรากินความหมายไปถึงไหน...

มันเป็นสมมุติ...ของเราอยู่...


เบญจขันธ์ได้นามว่าสักกายะและสักกายันตะ
ภิก ษุ ท .! สัก ก า ย ะ เป็น อ ย่างไรเล่า? ภิก ษุ ท .! คำ ต อ บ คือ
อุปาทานขันธ์ทั้งห้า. ห้าเหล่าไหนเล่า? ห้าคือ รูปขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน ๑
เวทนาขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน ๑ สัญ ญ าขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน ๑ สังขารขันธ์ที่ยังมี
อุ ป า ท า น ๑ แ ล ะ วิ ญ ญ า ณ ขั น ธ์ ที่ ยั ง มี อุ ป า ท า น ๑ ภิ ก ษุ ท .! นี้ เรีย ก ว่ า
สักกายะ.
ภิ ก ษุ ท .! สั ก ก า ยั น ต ะ เป็ น อ ย่ า ง ไรเล่ า ? ภิ ก ษุ ท .! คำ ต อ บ
คือ อุปาทานขันธ์ทั้งห้า. ห้าเหล่าไหนเล่า ? ห้าคือ รูปขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน ๑
เวทนาขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน ๑ สัญ ญ าขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน ๑ สังขารขันธ์ที่ยังมี
อุป า ท า น ๑ แ ล ะ วิญ ญ า ณ ขัน ธ์ที่ยั งมี อุป า ท า น ๑. ภิ ก ษุ ท .! นี้ เรีย ก ว่า
สักกายันตะ แล.

ใช่มั้ยครับท่าน


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2012, 17:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ใช้ตอบข้อสอบแล้วละก้อ. :..คงไม่ผิด

:b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร