วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 23:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19 ... 23  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
..

แก้ไขล่าสุดโดย ขนมจีบซาลาเปา เมื่อ 11 พ.ค. 2012, 15:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

ช้าไปแล้วครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
แล้วไป ทำบุญ ทำทาน คุณน้องทำมาตั้งแต่เด็กจนโต ตัวตนจริงๆคุนน้องเป็นคนขี้สงสารคน เมตตาผู้อื่นนะ ดูหน้าตาก็รู้ :b32: แต่คุณน้องก็ยังไม่พ้นทุกข์ คุณน้องเลยหันมาปฏิบัติธรรมเพราะต้องการหลุดพ้นจากทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด



พลิกคำพูดพลิกความคิดนิดเดียว พ้นทุกข์ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด :b20:

ที่คุณ nong ยังเป็นทุกข์ ยังไม่พ้นทุกข์ เวียนว่ายตายเกิด ก็เพราะคุณ nong คิด..ยึดมั่นถือมั่นว่า เราเป็นทุกข์ ฉันทุกข์...ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดก็ทำนองเดียวกัน คือคุณ nong คิดยึดติดถือมั่นตัวตนว่า ฉัน-เรา เวียนว่ายตายเกิด :b1:

อย่ามาทำเป็นรู้ดีแทนคนอื่นเลยลุง เอาตัวเองให้ขึ้นสวรรคชั้น จาตุมหาราชิกาภูมิ ให้มันได้ก่อน :b4: หรืออย่างเก่งก็ สวรรค์ชั้นดาวดึง นะลุง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ที่คุณพูดมาคุณไปนึกว่า กระบวนการปฏิจจ์เป็นกระบวนการขันธ์ห้าไง
คุณว่าสังโยชน์เป็นสังขารเกิดแล้วดับ ถ้างั้นคุณว่าอวิชาเกิดแล้วดับมั้ย?

นั่นมันเป็นสิ่งที่โฮฮับ นึกเองเออเอง ว่าเช่นนั้นไปนึกแบบนั้น

ผมไม่ได้นึกเองเออเอง ผมก็เอามาจากความเห็นคุณนั้นแหล่ะ
และขณะนี้ผมกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า คุณเป็นดังที่ผมว่าจริงๆ
ผมจึงได้ถามข้อข้องใจในสิ่งที่คุณกล่าว....

เพราะโฮฮับ มีความเห็นส่วนบุคคลว่า
อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สังขาร
และสังขารนั้นคือสังขารขันธ์ ในขันธ์ 5
โฮฮับจึงพยายามพิสูจน์ไปเรื่อยเปื่อยตามเรื่องตามราว

เอ๋! ผมว่าคุณนี่เริ่มสับสนตัวเองแล้วล่ะครับ
ผมบอกที่ไหนกันครับ มีแต่ผมกล่าวหาคุณว่า
คุณคิดว่ากระบวนปฏิจจ์เป็นกระบวนการเดียวกันกับกระบวนการขันธ์ห้า
ผมว่าคุณเริ่มจะใช่เล่เหลี่ยมแล้วนะ

ตัวคุณเป็นคนอ้างเองแล้วพิสูจน์ไม่ได้
โมเมมาให้ผม ว้า!หลงคุยอยู่กับเด็กหรือนี่
:b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
แล้วไป ทำบุญ ทำทาน คุณน้องทำมาตั้งแต่เด็กจนโต ตัวตนจริงๆคุนน้องเป็นคนขี้สงสารคน เมตตาผู้อื่นนะ ดูหน้าตาก็รู้ :b32: แต่คุณน้องก็ยังไม่พ้นทุกข์ คุณน้องเลยหันมาปฏิบัติธรรมเพราะต้องการหลุดพ้นจากทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด



พลิกคำพูดพลิกความคิดนิดเดียว พ้นทุกข์ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด :b20:

ที่คุณ nong ยังเป็นทุกข์ ยังไม่พ้นทุกข์ เวียนว่ายตายเกิด ก็เพราะคุณ nong คิด..ยึดมั่นถือมั่นว่า เราเป็นทุกข์ ฉันทุกข์...ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดก็ทำนองเดียวกัน คือคุณ nong คิดยึดติดถือมั่นตัวตนว่า ฉัน-เรา เวียนว่ายตายเกิด :b1:

อย่ามาทำเป็นรู้ดีแทนคนอื่นเลยลุง เอาตัวเองให้ขึ้นสวรรคชั้น จาตุมหาราชิกาภูมิ ให้มันได้ก่อน :b4: หรืออย่างเก่งก็ สวรรค์ชั้นดาวดึง นะลุง :b32:



นี่ตัวฟุ้งซ่านธรรมตื่นธรรมตัวพ่อ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำหลักฐานในคัมภีร์มาให้ดู


“ว่าโดยความจริงแท้ ในโลกนี้มีแต่นามและรูป ก็แล ในนามและรูปนั้น สัตว์หรือคน ก็หามีไม่ นามและรูปเหล่านี้ว่างเปล่า ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เหมือนดังเครื่องยนต์ เป็นกองแห่งทุกข์ เช่นกับหญ้าและฟืน”


“ทุกข์นั่นแหละมีอยู่ แต่ผู้ทุกข์หามีไม่ การกระทำมีอยู่ แต่ผู้ทำไม่มี นิพพานมีอยู่ แต่คนผู้นิพพานไม่มี ทางก็มีอยู่ แต่ผู้เดินทางไม่มี”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นำหลักฐานในคัมภีร์มาให้ดู


“ว่าโดยความจริงแท้ ในโลกนี้มีแต่นามและรูป ก็แล ในนามและรูปนั้น สัตว์หรือคน ก็หามีไม่ นามและรูปเหล่านี้ว่างเปล่า ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เหมือนดังเครื่องยนต์ เป็นกองแห่งทุกข์ เช่นกับหญ้าและฟืน”


“ทุกข์นั่นแหละมีอยู่ แต่ผู้ทุกข์หามีไม่ การกระทำมีอยู่ แต่ผู้ทำไม่มี นิพพานมีอยู่ แต่คนผู้นิพพานไม่มี ทางก็มีอยู่ แต่ผู้เดินทางไม่มี”

ลุงอ่าดิตัวตื่นธรรม ถ้าคุณน้องนั่งสมาธิแล้วหลับตา แล้วท่องว่า ฉันจะไปนิพพานๆๆๆๆๆ แล้วมันนิพพานได้ง่ายสมใจปราถนา ก็คงไม่มีสัตว์ เวียนว่าย ตาย เกิด หรอกลุง พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็บบารมีกี่แสนกัปก็จำไม่ได้ถึงจะตรัสรู้นิพพาน แล้วคุนน้องเป็นแค่คนธรรมดานะ ต้องเข้าใจ๊ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:

พิสูจน์โดยประสบการณ์ตรงอย่างไร โดยไม่ต้องคิดพิจารณาปฏิจสมุปบาท




ที่ว่าพิจารณากันนั่นน่า มันพิจารณาตัวอักษรเหล่านี้ฮิ

อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส = ทุกขสมุทัย


นี่ปฏิจจสมุปบาทของจริงจากประสบการณ์ตรง :b1:



เมื่อไหร่รู้เข้าใจแล้วมันสงบระงับ จะเป็นไปตามตัวอักษรเหล่านี้ฮิ :b1:

(วิชชา) อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส = ทุกขนิโรธ

ไม่ใช่ประสบการณ์ตรง ของ กรัชกายนิ
เอาประสบการณ์ตรงของ กรัชกายสิ
มี MV กรัชกาย เวอร์ชั่น ไหม :b6:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ที่คุณพูดมาคุณไปนึกว่า กระบวนการปฏิจจ์เป็นกระบวนการขันธ์ห้าไง
คุณว่าสังโยชน์เป็นสังขารเกิดแล้วดับ ถ้างั้นคุณว่าอวิชาเกิดแล้วดับมั้ย?

นั่นมันเป็นสิ่งที่โฮฮับ นึกเองเออเอง ว่าเช่นนั้นไปนึกแบบนั้น

ผมไม่ได้นึกเองเออเอง ผมก็เอามาจากความเห็นคุณนั้นแหล่ะ
และขณะนี้ผมกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า คุณเป็นดังที่ผมว่าจริงๆ
ผมจึงได้ถามข้อข้องใจในสิ่งที่คุณกล่าว....

เพราะโฮฮับ มีความเห็นส่วนบุคคลว่า
อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สังขาร
และสังขารนั้นคือสังขารขันธ์ ในขันธ์ 5
โฮฮับจึงพยายามพิสูจน์ไปเรื่อยเปื่อยตามเรื่องตามราว

เอ๋! ผมว่าคุณนี่เริ่มสับสนตัวเองแล้วล่ะครับ
ผมบอกที่ไหนกันครับ มีแต่ผมกล่าวหาคุณว่า
คุณคิดว่ากระบวนปฏิจจ์เป็นกระบวนการเดียวกันกับกระบวนการขันธ์ห้า
ผมว่าคุณเริ่มจะใช่เล่เหลี่ยมแล้วนะ

ตัวคุณเป็นคนอ้างเองแล้วพิสูจน์ไม่ได้
โมเมมาให้ผม ว้า!หลงคุยอยู่กับเด็กหรือนี่
:b9:

โฮฮับ .... เห็นไหมหนอ :b32:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นำหลักฐานในคัมภีร์มาให้ดู


“ว่าโดยความจริงแท้ ในโลกนี้มีแต่นามและรูป ก็แล ในนามและรูปนั้น สัตว์หรือคน ก็หามีไม่ นามและรูปเหล่านี้ว่างเปล่า ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เหมือนดังเครื่องยนต์ เป็นกองแห่งทุกข์ เช่นกับหญ้าและฟืน”


“ทุกข์นั่นแหละมีอยู่ แต่ผู้ทุกข์หามีไม่ การกระทำมีอยู่ แต่ผู้ทำไม่มี นิพพานมีอยู่ แต่คนผู้นิพพานไม่มี ทางก็มีอยู่ แต่ผู้เดินทางไม่มี”

ลุงอ่าดิตัวตื่นธรรม ถ้าคุณน้องนั่งสมาธิแล้วหลับตา แล้วท่องว่า ฉันจะไปนิพพานๆๆๆๆๆ แล้วมันนิพพานได้ง่ายสมใจปราถนา ก็คงไม่มีสัตว์ เวียนว่าย ตาย เกิด หรอกลุง พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็บบารมีกี่แสนกัปก็จำไม่ได้ถึงจะตรัสรู้นิพพาน แล้วคุนน้องเป็นแค่คนธรรมดานะ ต้องเข้าใจ๊ :b32:


ถ้ายังงั้นก็อย่าฟุ้งซ่าน พูดพร่ำว่าอยากพ้นทุกข์ ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิด หุงข้าวป้อนข้าวลูกให้ดีนะจ๊ะ อย่างให้ช้อนทิ่มปากลูกนะ :b1:

กะล่อนปลิ้นปล้อนพอๆกันหญิงชายคู่นี้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เมื่อยังมีวัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิดอยู่
ความปรากฏแห่ง ชราและมรณะ จึงมี นั่นคือทุกข์
เมื่อไม่ปรากฏความเวียนว่ายตายเกิด
ความปรากฏแห่งความไม่สลาย จึงมี นั่นคือความสิ้นทุกข์

ที่ว่าชรามรณะคือทุกข์ ก็เพราะคุณไปเอาทุกข์ในกระบวนการขันธ์มาพูด
สิ่งที่ว่าเป็นเป็นการปรุงแต่งเป็นสังขารขันธ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

แต่ถ้าเป็นในกระบวนการปฏิจจ์ ชรามรณะเป็นเพียงเหตุปัจจัยแห่งทุกข์
เพราะทุกข์ในกระบวนการปฏิจจ์ คือการเวียนว่ายตายเกิด หรือการวนเวียนอยู่
ในกระบวนการปฏิจจ์ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ที่คุณพูดมาคุณไปนึกว่า กระบวนการปฏิจจ์เป็นกระบวนการขันธ์ห้าไง
คุณว่าสังโยชน์เป็นสังขารเกิดแล้วดับ ถ้างั้นคุณว่าอวิชาเกิดแล้วดับมั้ย?

นั่นมันเป็นสิ่งที่โฮฮับ นึกเองเออเอง ว่าเช่นนั้นไปนึกแบบนั้น

ผมไม่ได้นึกเองเออเอง ผมก็เอามาจากความเห็นคุณนั้นแหล่ะ
และขณะนี้ผมกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า คุณเป็นดังที่ผมว่าจริงๆ
ผมจึงได้ถามข้อข้องใจในสิ่งที่คุณกล่าว....

เพราะโฮฮับ มีความเห็นส่วนบุคคลว่า
อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สังขาร
และสังขารนั้นคือสังขารขันธ์ ในขันธ์ 5
โฮฮับจึงพยายามพิสูจน์ไปเรื่อยเปื่อยตามเรื่องตามราว

เอ๋! ผมว่าคุณนี่เริ่มสับสนตัวเองแล้วล่ะครับ
ผมบอกที่ไหนกันครับ มีแต่ผมกล่าวหาคุณว่า
คุณคิดว่ากระบวนปฏิจจ์เป็นกระบวนการเดียวกันกับกระบวนการขันธ์ห้า
ผมว่าคุณเริ่มจะใช่เล่เหลี่ยมแล้วนะ

ตัวคุณเป็นคนอ้างเองแล้วพิสูจน์ไม่ได้
โมเมมาให้ผม ว้า!หลงคุยอยู่กับเด็กหรือนี่
:b9:

โฮฮับ .... เห็นไหมหนอ :b32:

อย่าเนียน! :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 15:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาๆๆเอาปฏิจจสมุปบาทมาคิด คิดให้สมองบวม ทั้งหัวปูดเป็นลูกนะนาวก็คิดไม่ออกหรอกพ่อคุณรุนช่อง อาบน้ำกินนมนอนเถอะ :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
เมื่อยังมีวัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิดอยู่
ความปรากฏแห่ง ชราและมรณะ จึงมี นั่นคือทุกข์
เมื่อไม่ปรากฏความเวียนว่ายตายเกิด
ความปรากฏแห่งความไม่สลาย จึงมี นั่นคือความสิ้นทุกข์

ที่ว่าชรามรณะคือทุกข์ ก็เพราะคุณไปเอาทุกข์ในกระบวนการขันธ์มาพูด
สิ่งที่ว่าเป็นเป็นการปรุงแต่งเป็นสังขารขันธ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

แต่ถ้าเป็นในกระบวนการปฏิจจ์ ชรามรณะเป็นเพียงเหตุปัจจัยแห่งทุกข์
เพราะทุกข์ในกระบวนการปฏิจจ์ คือการเวียนว่ายตายเกิด หรือการวนเวียนอยู่
ในกระบวนการปฏิจจ์ฯ

มั่วได้อีกแน่ะ
ชรามรณะเป็นเหตุปัจจัยแห่งทุกข์
จำมาจากไหนอีก โฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
พูดอะไรครับผมว่าคุณหลงแล้วครับ อนุสัยมันเป็นสังโยชน์เหมือนกันนะครับ
ส่วนอาสวะมันเป็น กิเลสที่เกิดจากกระบวนการขันธ์หรืออุปาทานขันธ์อันได้เคยเกิดไปแล้ว
แต่จิตจดจำไว้เป็นสัญญา

สรุปก็คือ อนุศัยก็คือสังโยชน์มันติดตัวมาตั้งแต่เกิด ตามที่ผมบอกไว้แต่ต้น
ส่วนอาสวะไม่ได้ติดตัวมา เพราะมันเป็นกระบวนการขันธ์ มันเกิดแล้วจิตจดจำไว้เป็นสัญญา

โฮฮับ เปิดลิงค์ ศึกษาพระสูตรนี้ให้จงดีนะครับ
Quote Tipitaka:
มหามาลุงโกฺยวาทสูตร ที่ ๔.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=2814&Z=2961&pagebreak=0

มามุขเดิมอีกแล้ว ทำไมไม่ทำแบบที่กล่าวหาผมตอนแรกครับ
โพสมาเลยซิครับ เป็นวรรคไหนตอนไหน ที่สนับสนุนความเห็นคุณ
โพสและอธิบายให้คุณอื่นเข้าใจด้วย ทำใจหนักแน่นไว้นะครับ เพราะผมกำลังจะว่าคุณ..
มั่วนิ่ม

เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ก็ไอ้อนุสัยนั้นแหล่ะ มันเป็นสังโยชน์ เข้าใจมั้ย

สังโยชน์เป็นปัจจัยให้ อนุสัยหนาแน่นขึ้นครับ เพราะอนุสัยคืออาสวะ เข้าใจใหม่นะครับโฮฮับ

สังโยชน์มันมีอยู่สิบ ท่านแบ่งสังโยชน์ในสิบนี่ออกมาต่างหากเพราะว่า
มันมีสังโยชน์บางตัว เป็นกิเลสสังโยชน์ที่ละเอียดมันดับได้ยาก จึงให้บัญญัติมันว่า..
อนุสัยกิเลส

ทั้งสังโยชน์ อนุสัยและอาสวะ มันเป็นตัวเดียวกัน
ต่างกันที่ลักษณะและเหตุปัจจัย ดังที่ได้พูดมาแล้ว


ในมหามาลุงโกยฺวาทสูตร
พระพุทธองค์แสง โอรัมภาคิยสังโยชน์ โดยปรารภถึงความคิดความเห็นของนักบวชนอกพระพุทธศาสนาว่า สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามฉันทะ พยาบาท สังโยชน์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เหมือนเด็กอ่อนก็มีติดตัวมา

พระองค์ได้เคยจำแนก โอรัมภาคิยสังโยชน์ โดยรายละเอียดมาจึงตรัสถามมาลุงกยบุตร ว่าจำได้ไหมว่าพระองค์แสดง โอรัมภาคิยสังโยชน์ไว้ ว่าอย่างนี้อย่างนี้ คือ

Quote Tipitaka:
" ดูกรมาลุงกยบุตร นักบวช พวกอัญญเดียรถีย์จักโต้เถียง ด้วยคำโต้เถียง
อันเปรียบด้วยเด็กนี้ได้ มิใช่หรือว่า แม้แต่ความคิดว่า กายของตน ดังนี้ ย่อมมีแก่เด็ก
กุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่ ก็สักกายทิฏฐิจักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน ส่วนสักกายทิฏฐิ
อันเป็นอนุสัยเท่านั้น
ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น

แม้แต่ความคิดว่า ธรรมทั้งหลายดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่ ก็ความสงสัยในธรรมทั้งหลายจักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน ส่วนวิจิกิจฉาอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น

แม้แต่ความคิดว่า ศีลทั้งหลายดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่ สีลัพพตปรามาสในศีลทั้งหลายจักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน ส่วนสีลัพพตปรามาสอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น

แม้แต่ความคิดว่า กามทั้งหลาย ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนยังนอนหงายอยู่ ก็กามฉันทะ
ในกามทั้งหลายจักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน
ส่วนกามราคะอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตาม
แก่เด็กนั้น


แม้แต่ความคิดว่า สัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่ก็ความพยาบาท ในสัตว์ทั้งหลายจักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน ส่วนพยาบาทอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น

ดูกรมาลุงกยบุตร นักบวช พวกอัญญเดียรถีย์จักโต้เถียง
ด้วยคำโต้เถียงอันเปรียบด้วยเด็กอ่อนนี้ได้มิใช่หรือ?"....


โฮฮับ ส่วนที่ขีดเส้นใต้คือสังโยชน์
ส่วนที่ทำตัวสีน้ำเงิน คืออนุสัย
อนุสัยคืออาสวะ การเข้าไปทำความพอใจในภายหลังอันด้วยอำนาจจากอาสวะอนุสัยเป็นปัจจัยแก่สังโยชน์ จึงเป็นปัจจัยให้ตัณหาเจริญขึ้น


ไปอธิบายมาใหม่ เอาให้มันเป็นภาษาพูด ภาษาใบ้หรือภาษาโมเมไม่เอาครับ
ขอโทษก่อนครับ แบบนี้นึกจะแถอย่างไรก็ได้ ให้เวลาครับ ถ้าอธิบายไม่ได้พรุ่งนี้
ผมจะมาสาธยายให้ฟัง

ปล. ถามหน่อยไม่รู้จักอายลูกศิษย์ที่ชื่อซาลาเปาเลยรึ คุณใช้ภาษาแบบนี้
ลูกศิษย์ก็พยักหน้าเข้าใจคะ เข้าใจค่า! แต่ไปคุยกับผมดันห้ามผมพูดภาษาแบบที่คุณพูด
บอกว่าฟังไม่เข้าใจ พิลึกทั้งครู ทั้งลูกศิษย์ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2012, 16:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ไปอธิบายมาใหม่ เอาให้มันเป็นภาษาพูด ภาษาใบ้หรือภาษาโมเมไม่เอาครับ
ขอโทษก่อนครับ แบบนี้นึกจะแถอย่างไรก็ได้ ให้เวลาครับ ถ้าอธิบายไม่ได้พรุ่งนี้
ผมจะมาสาธยายให้ฟัง

ปล. ถามหน่อยไม่รู้จักอายลูกศิษย์ที่ชื่อซาลาเปาเลยรึ คุณใช้ภาษาแบบนี้
ลูกศิษย์ก็พยักหน้าเข้าใจคะ เข้าใจค่า! แต่ไปคุยกับผมดันห้ามผมพูดภาษาแบบที่คุณพูด
บอกว่าฟังไม่เข้าใจ พิลึกทั้งครู ทั้งลูกศิษย์ :b32:

พระพุทธองค์ ใช้ภาษาพูดครับ
โฮฮับ คงไม่มีปัญญา เข้าใจได้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19 ... 23  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร