วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 06:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 23  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 07:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ไม่มีพระสุตรไหน ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ตัดวงจรปฏิจสมุปบาท
มีแต่คนชั้นหลัง พูดเองเออเองเป็นตุเป็นตะ ทั้งนั้น


:b8: เห็นด้วยครับ ถูกใจเลย :b8:

อ้างคำพูด:
อุปมาด้วยกงรถ

“ พระนาคเสนจึงขีดเป็นกงรถลงที่พื้นดินแล้วถามพระเจ้ามิลินท์ว่า ที่สุดแห่งกงรถนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
“ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร สมเด็จพระธรรมสามิสรตรัสไว้ว่า “ กงจักรเหล่านี้ได้แก่ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ” ขอถวายพระพร จักขุวิญญาณ ย่อมเกิดพราะอาศัย จักขุ กับ รูป เมื่อสิ่งทั้ง ๓ นั้นรวมกันก็เป็น ผัสสะ ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา”
เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา
ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน
อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด กรรม
จักขุ ก็เกิดจาก กรรม อีก ที่สุดแห่งการสืบต่ออันนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
“ ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ขอถวายพระพร โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยเสียงกับหู จมูกกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ มโนกับธรรมะ เมื่อสิ่งทั้ง ๓ รวมกันเข้าก็เป็น ผัสสะ แล้วทำให้เกิด เวทนา ตัณหา อุปทาน กรรม แล้ว โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ก็เกิดจากกรรมนั้นอีก ที่สุดแห่งการสืบต่อนี้มีอยู่หรือไม่ ? ”
“ ไม่มี พระผู้เจ้าเป็นเจ้า ”
“ ข้อนี้ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ขอถวายพระพร ”
“ ชอบแล้ว พระนาคเสน ”

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 07:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ปฏิจสมุปบาท มีการอธิบายเป็น สองลักษณะ
คือปฏิจสมุปบาท ที่อธิบาย สมุทยวาร คือเหตุปัจจัย ที่เป็นข้างเกิด
และ ปฏิจสมุปบาท ที่อธิบาย นิโรธวาร คือ ความดับเหตุปัจจัย เป็นข้างดับ

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ตัดวงจรปฏิจสมุปบาท
เพราะปฏิจสมุปบาทเป็น ธรรมที่เป็นไปโดยเหตุปัจจัย

ไม่มีพระสุตรไหน ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ตัดวงจรปฏิจสมุปบาท
มีแต่คนชั้นหลัง พูดเองเออเองเป็นตุเป็นตะ ทั้งนั้น


คนเราไม่ปรินิพพานในทิฏฐธรรม
เพราะไม่สามารถตัดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท๑
ท้าวสักกะได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! อะไรหนอ
เป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ไม่ปรินิพพานในทิฏฐธรรม?
และอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในทิฏฐธรรม
(คือทันเวลา, ทันควัน, ไม่ต้องรอเวลาข้างหน้า) พระเจ้าข้า?”
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! รูปทั้งหลายที่จะพึงรู้ได้ด้วยจักษุมี
อยู่, เป็นรูปที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่ง
ความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด; ถ้าหากว่า ภิกษุย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ
เมาหมกอยู่ ซึ่งรูปนั้น แล้วไซร้, เมื่อภิกษุนั้น เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่
กะรูปนั้น, วิญญาณนั้นอันตัณหาในอารมณ์คือรูปอาศัยแล้ว ย่อมมีแก่เธอนั้น;
วิญญาณนั้น คืออุปาทาน. ๑ ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! ภิกษุผู้
มีอุปาทาน ย่อมไม่ปรินิพพาน

ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! ธัมมารมณ์ทั้งหลายที่จะพึงรู้สึก
ด้วยมโน มีอยู่, เป็นธัมมารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก
เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด; ถ้าหากว่า ภิกษุย่อมไม่
เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งธัมมารมณ์นั้น แล้วไซร้, เมื่อภิกษุนั้น
ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ กะธัมมารมณ์นั้น, วิญญาณนั้น
อันตัณหาในอารมณ์คือธัมมารมณ์อาศัยแล้ว ย่อมไม่มีแก่เธอนั้น; วิญญาณ
ที่จะเป็นอุปาทาน ย่อมไม่มี. ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทั้งหลาย! ภิกษุผู้
ไม่มีอุปาทาน ย่อมปรินิพพาน.


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 07:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
eragon_joe เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อสิ่งล่อใจหมดค่าหมดราคา....จะยื่นอะไรมาก็ราวกับว่า..ไม่ได้เห็น...ไม่ได้ยิน

ผัสสะดับ...เพราะ...เวทนาดับ...ก็ด้วยเหตุนี้


มันเป็นเช่นนี้หรือท่าน เวทนาดับก่อน ผัสสะจึงดับ ท่านนี้เหนือชั้นมากๆกาบ


อาจจะเป็นไปโดยนัยที่ว่า

ถ้าความพอใจ-ไม่พอใจในเวทนานั้น ๆ ดับไป
การแสวงหาผัสสะใดเพื่อให้ได้มาซึ่งเวทนานั้น หรือไม่ให้ได้มาซึ่งเวทนานั้น
ก็ไม่มี
แต่ผัสสะนั้นก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้
และเวทนานั้นก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้
แต่ไม่ได้เกิดด้วยตัณหาราคะ
แต่เป็นไปโดยเหตุและปัจจัย ที่เกิดขึ้นและก็ดับไป

:b12: :b8:

เมื่อสิ่งล่อใจหมดค่าหมดราคา...จะยื่นอะไรมาก็ราวกับว่า...ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน
ซึ่งหมายความว่า รูปนั้นอารมณ์นั้นไม่ได้เป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์แห่งกิเลสกามแล้ว
ผัสสะดับ เวทนาก็ดับ
ไม่ใช่เพราะเวทนา ดับก่อนแต่ประการใด
ในขณะจิตที่เกิดก่อนนั้น เวทนาดับ ตัณหาดับ ตัณหาดับ อุปาทานดับ
ในขณะจิตที่ตามมาภายหลัง ความดับแห่งผัสสะ จึงไม่ใช่เกิดเพราะความดับแห่งเวทนาของจิตที่เกิดก่อนแต่ประการใด แต่ดับเพราะความรู้ที่เกิดแล้ว ญาณ อันเป็นวิบากให้ผล
ดังนั้น ในขณะที่จิตที่ตามมาภายหลังจึงประกอบด้วยญาณ อันเป็นเหตุให้ผัสสะนั้นดับ


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิเถิด. ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย! ภิกษุผู้มีจิตเป็นสมาธิตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริง. ก็ภิกษุนั้น ย่อม
รู้ชัดตามที่เป็นจริง ซึ่งอะไรเล่า? ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริง ซึ่งความเกิดขึ้น
และความดับไปแห่งรูป ...แห่งเวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารทั้งหลาย
…..แห่งวิญญาณ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็การเกิดขึ้นแห่งรูป...แห่งเวทนา...แห่งสัญญา
...แห่งสังขารทั้งหลาย...แห่งวิญญาณ. เป็นอย่างไรเล่า?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ
ย่อมเมาหมกอยู่. ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่
ซึ่งอะไรเล่า?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อม
เมาหมกอยู่ซึ่งรูป เมื่อภิกษุนั้น เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งรูป,
นันทิ (ความเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น. ความเพลินใด ในรูป, ความเพลินนั้นคือ
อุปาทาน. เพราะอุปาทานของภิกษุนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพ
เป็นปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะ-
ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน: ความเกิดขึ้นพร้อมแห่ง
กองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อม
เม าหม กอยู่ ซึ่งเว ท น า ...ฯลฯ...ฯลฯ... ค วาม เกิด ขึ้นพ ร้อม แห่งกองทุกข์
ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อม
เมาหมกอยู่ ซึ่งสัญ ญ า ...ฯลฯ...ฯลฯ... ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์
ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว เป็นผู้อันเวทนาอันเกิด
จากอวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว, ความถึงทับจับฉวย ว่า "เรามีอยู่ (อสฺมีติ)" ดังนี้บ้าง
ย่อมมีแก่เขา : ว่า "นี้เป็นเรา (อยมหมสฺมีติ)" ดังนี้บ้าง ย่อมมีแก่เขา: ว่า "เราจักมี
(ภวิสสํอิติ) “ ดังนี้บ้าง ย่อมมีแก่เขา : ว่า "เราจักไม่มี (น ภวิสสํอิติ) “ ดังนี้บ้าง ย่อมมี
แก่เขา : ว่า "เราจักเป็นสัตว์มีรูป (รูปี ภวิสฺสํอิติ)" ดังนี้บ้าง ย่อมมีแก่เขา : ว่า "เราจัก
เป็นสัตว์ไม่มีรูป (อรูปี ภวิสฺสํอิติ)" ดังนี้บ้าง ย่อมมีแก่เขา ว่า "เราจักเป็นสัตว์มีสัญญา
(สญฺญี ภวิสฺสํอิติ) " ดังนี้บ้าง ย่อมมีแก่เขา ว่า "เราจักเป็นสัตวฺไม่มีสัญญา (อสญฺญี
ภวิสฺสํอิติ)" ดังนี้บ้าง ย่อมมีแก่เขา : ว่า "เราจักเป็นสัตว์มีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
(เนวสญฺญินาสญฺญี ภวิสฺสํอิติ) " ดังนี้บ้าง ย่อมมีแก่เขา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ทั้งหลาย ๕ ประการ ย่อมตั้งอยู่ ในการ
ถึงทับจับฉวยเหล่านั้นนั่นเทียว. แต่ว่า ในกรณีที่อวิชชา เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้ได้สดับ
ย่อมละเสียได้ , วิชชาย่อมเกิดขึ้น.
เพราะการเกิดขึ้นแห่งวิชชา โดยการสำรอก
ไม่เหลือแห่งอวิชชา ของอริยสาวกนั้น ความถึงทับจับฉวยว่า "เรามีอยู่" ดังนี้ก็ดี
ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น, ว่า "นี้เป็นเรา" ดังนี้ก็ดี ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น, ว่า
”เราจักมี” ดังนี้ก็ดี ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น, ว่า "เราจักไม่มี" ดังนี้ก็ดี ย่อมไม่มี
แก่อริยสาวกนั้น; ว่า "เราจักเป็นสัตว์มีรูป" ดังนี้ก็ดี ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น;
ว่า "เราจักเป็นสัตว์ไม่มีรูป" ดังนี้ก็ดี ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น; ว่า "เราจักเป็นสัตว์
มีสัญญา" ดังนี้ก็ดี ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น; ว่า "เราจักเป็นสัตว์ไม่มีสัญญา" ดังนี้
ก็ดี ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น; ว่า "เราจักเป็นสัตว์มีสัญญาก็ไม่ใช่สัญญาก็ไม่ใช่"
ดังนี้ก็ดี ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น, ดังนี้ แล.


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 09:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
โฮฮับ เขียน:
nongkong เขียน:
จะดับได้ยังงัยละท่านพี่โฮ เห็นสาวสวยๆล่อตาล่อใจแต่งตัวเซกซี่ ผัสสะกระทบลูกตาปุ๊บ สมองมันกะแล่นปี๊ด หันควับไปเลย :b22: ชะอ้าว..หลงใหลไปกับรูปลักษณ์อีกแล้ว ท่องไว้เจ้าค่ะ สาวคนนั้นมะใช่ของกูสาวคนนี้ก็มะใช่ของกู ไม่มีใครเป็นของกูเลย (เด่วอีกหน่อยก็แก่ หนังเหี่ยว นานยม) ว่าแต่ท่านพี่โฮ อินทรีย์แกร่งกล้าพอรึยังเจ้าค่ะ :b32:

ก็พี่โฮรู้ไง ว่าผัสสะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ พี่โฮเลยต้องด่ายัยเสมียน
ว่าอย่าแต่งตัวโป้ เห็นแล้วต้องมายุบหนอพองหนอ :b32:



ผมก็ว่า ถูกต้อง นา ครับ ผัสสะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบบ100% แต่เช่น เรา สามารถ หลีกหลบไม่ให้เกิด หรือ หากเกิดแล้ว ก็ให้ สักว่า เสีย หาก สักว่า ไม่ได้ ก็นำธรรมมา พิจารณาให้คลายลง

ใช่มั้ยครับ
:b1: :b8:

คุณรู้จักวิเวกมั้ยครับ แปลง่ายๆว่า ความสงัดหรือปลีกตัวออก
การปฏิบัติธรรมมันต้องปฏิบัติที่กายใจของเรา ที่ถูกต้องที่สุดก็คือ..
เราต้อง ยึดธรรมในเรื่องกายวิเวก แต่ด้วยสภาพแวดล้อมมันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะ
ปลีกตัวออกมา

และเรื่องสักแต่ว่านี่ก็เหมือนกัน เรายังเป็นปุถุชนหรือเป็นเสขะบุคคลอยู่
ยังมีกามฉันทะ ราคะ หรือมานะ ปฏิฆะ เราอย่าคิดว่าสิ่งที่เราเห็นมัน
จะเป็นกามแต่อย่างเดียว

ดังนั้นการปฏิบัติที่ดีที่สุดคือ ต้องยึดวิเวก วิราคะ นิโรธครับ


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 09:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:37
โพสต์: 35


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เมื่อสิ่งล่อใจหมดค่าหมดราคา...จะยื่นอะไรมาก็ราวกับว่า...ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน
ซึ่งหมายความว่า รูปนั้นอารมณ์นั้นไม่ได้เป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์แห่งกิเลสกามแล้ว
ผัสสะดับ เวทนาก็ดับ
ไม่ใช่เพราะเวทนา ดับก่อนแต่ประการใด
ในขณะจิตที่เกิดก่อนนั้น เวทนาดับ ตัณหาดับ ตัณหาดับ อุปาทานดับ



สาธุค่ะ อ่านแล้วเข้าใจแต่ขอถามนะค่ะ


อ้างคำพูด:
ในขณะจิตที่ตามมาภายหลัง ความดับแห่งผัสสะ จึงไม่ใช่เกิดเพราะความดับแห่งเวทนาของจิตที่เกิดก่อนแต่ประการใด แต่ดับเพราะความรู้ที่เกิดแล้ว ญาณ อันเป็นวิบากให้ผล
ดังนั้น ในขณะที่จิตที่ตามมาภายหลังจึงประกอบด้วยญาณ อันเป็นเหตุให้ผัสสะนั้นดับ



คือ ดิฉันอ่านแล้วเข้าใจด้วยใจ แต่มันไม่สามารถเรียบเรียงให้กระจ่างแก่ใจได้ รู้แต่ว่าเข้าใจ รบกวนคุณเช่นนั้น อธิบายให้เข้าใจแบบง่ายๆได้ไหมค่ะ(เอาแบบว่าเป็นภาษาชาวบ้านสุดๆนะค่ะ) กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ขอถามผู้รู้ทุกท่านหน่อยนะครับ ว่า
"อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อวิชชา ครับ

อาสวะ


[ขอถามต่อ ว่า
"อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อาสวะ ครับ
อวิชาครับ


คุณเช่นนั้นครับ ไอ้หนูข้างบ้านผมฝากบอกครับว่า"ลุงเช่นนั้น ตอบได้ สุโค่ยเลยครับ"
แต่ผมว่ามันตลกดีครับ....
:b9:

อาสวะมันก็มีอยู่ มันไม่ได้มีเหตุปัจจัยมาจากอวิชา
พูดให้ตรงฟังง่ายๆก็คือ อาสวะมันมีอยู่มันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
หรือจะกล่าวว่า อาสวะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด กระบวนการปฏิจจสมุบาท

ส่วนอวิชามันมีความหมายว่า ไม่รู้ว่าอาสวะมันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์หรือปฏิจจ์

ถามหน่อยครับ อาสวะกับอวิชามันเป็นเหตุปัจจัยกันตรงไหนครับ


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ขอถามผู้รู้ทุกท่านหน่อยนะครับ ว่า
"อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อวิชชา ครับ

อาสวะ


[ขอถามต่อ ว่า
"อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อาสวะ ครับ

อวิชชาครับ



แล้วอะไรเกิดก่อนครับ
ไม่มีการระบุก่อนหลังครับ
อวิชชามีอาสวะเป็นเหตุเกิด
อาสวะย่อมมีอวิชชาเป็นเหตุเกิด
เมื่อ อวิชชามีอาสวะเป็นเหตุเกิด ต้นคืออวิชชา ปลายคืออาสวะ
เมื่ออาสวะมีอวิชชาเป็นเหตุเกิด ต้นคืออาสวะ ปลายคืออวิชชา

อวิชชาเป็นความไม่รู้
อาสวะเป็นความเศร้าหมองความซ่านไปในอารมณ์ของจิต

เมื่อจิตหลุดพ้น จึงหลุดพ้นด้วยปัญญา
เมื่อจิตผ่องใส จึงผ่องใสเพราะไม่เศร้าหมอง

เจริญธรรม


ต้องเข้าใจก่อนครับว่า พระพุทธเจ้าทรงได้วิชชาแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถ
แทงตลอดปฏิจจสมุบาทได้ พูดง่ายๆก็คือพระองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจจ์สี่ก่อน
และทรงมารู้อวิชาแปดภายหลัง ที่สำคัญการรู้อวิชาสี่ตัวหลังนั้นก็คือ รู้อดีต รู้อนาคต
รู้อดีตและอนาคต สุดท้ายรู้ปฏิจจสมุบาท

จะเห็นได้ว่า จะรู้อดีตและอนาคต ผู้ที่รู้ก็คือปัจจุบัน และอะไรคือปัจจุบัน
นั้นก็คือรูปนามหรือกายใจ ดังนั้นจุดเริ่มของปุถุชนก็คือรูปนาม จุดปลายยังไม่มี
เพราะยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่

ส่วนพระอรหันต์ จุดเริ่มปัจจุบันเริ่มที่รูปนาม และจุดปลายอยู่ที่มรณะ
ถ้าพระอรหันต์ย้อนมองอดีต ตามวงปฏิจจฯ จุดเริ่มก็คือรูปนาม จุดปลายก็คือรูปนาม
ถ้ามองอนาคต มีอย่างเดียวนิพพาน

ต้องจำใส่ใจไว้เลย ว่า ปฏิจจสมุบาทเป็นเรื่องของวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิด
อย่าเอาไปผสมปนเปกับเรื่องกระบวนการขันต์ห้า ไม่งั้นความเห็นก็จะออกมาในแนว
เดียวกับที่คุณเช่นนั้นแสดงความเห็นไว้


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเช่นนั้นอธิบายถูกแล้ว มันเกิดร่วมกันในจิตดวงเดียวกัน


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 11:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
โฮฮับ เขียน:
nongkong เขียน:
จะดับได้ยังงัยละท่านพี่โฮ เห็นสาวสวยๆล่อตาล่อใจแต่งตัวเซกซี่ ผัสสะกระทบลูกตาปุ๊บ สมองมันกะแล่นปี๊ด หันควับไปเลย :b22: ชะอ้าว..หลงใหลไปกับรูปลักษณ์อีกแล้ว ท่องไว้เจ้าค่ะ สาวคนนั้นมะใช่ของกูสาวคนนี้ก็มะใช่ของกู ไม่มีใครเป็นของกูเลย (เด่วอีกหน่อยก็แก่ หนังเหี่ยว นานยม) ว่าแต่ท่านพี่โฮ อินทรีย์แกร่งกล้าพอรึยังเจ้าค่ะ :b32:

ก็พี่โฮรู้ไง ว่าผัสสะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ พี่โฮเลยต้องด่ายัยเสมียน
ว่าอย่าแต่งตัวโป้ เห็นแล้วต้องมายุบหนอพองหนอ :b32:



ผมก็ว่า ถูกต้อง นา ครับ ผัสสะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบบ100% แต่เช่น เรา สามารถ หลีกหลบไม่ให้เกิด หรือ หากเกิดแล้ว ก็ให้ สักว่า เสีย หาก สักว่า ไม่ได้ ก็นำธรรมมา พิจารณาให้คลายลง

ใช่มั้ยครับ
:b1: :b8:

คุณรู้จักวิเวกมั้ยครับ แปลง่ายๆว่า ความสงัดหรือปลีกตัวออก
การปฏิบัติธรรมมันต้องปฏิบัติที่กายใจของเรา ที่ถูกต้องที่สุดก็คือ..
เราต้อง ยึดธรรมในเรื่องกายวิเวก แต่ด้วยสภาพแวดล้อมมันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะ
ปลีกตัวออกมา

และเรื่องสักแต่ว่านี่ก็เหมือนกัน เรายังเป็นปุถุชนหรือเป็นเสขะบุคคลอยู่
ยังมีกามฉันทะ ราคะ หรือมานะ ปฏิฆะ เราอย่าคิดว่าสิ่งที่เราเห็นมัน
จะเป็นกามแต่อย่างเดียว

ดังนั้นการปฏิบัติที่ดีที่สุดคือ ต้องยึดวิเวก วิราคะ นิโรธครับ

:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 11:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ขอถามผู้รู้ทุกท่านหน่อยนะครับ ว่า
"อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อวิชชา ครับ

อาสวะ


[ขอถามต่อ ว่า
"อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อาสวะ ครับ

อวิชชาครับ



แล้วอะไรเกิดก่อนครับ
ไม่มีการระบุก่อนหลังครับ
อวิชชามีอาสวะเป็นเหตุเกิด
อาสวะย่อมมีอวิชชาเป็นเหตุเกิด
เมื่อ อวิชชามีอาสวะเป็นเหตุเกิด ต้นคืออวิชชา ปลายคืออาสวะ
เมื่ออาสวะมีอวิชชาเป็นเหตุเกิด ต้นคืออาสวะ ปลายคืออวิชชา

อวิชชาเป็นความไม่รู้
อาสวะเป็นความเศร้าหมองความซ่านไปในอารมณ์ของจิต

เมื่อจิตหลุดพ้น จึงหลุดพ้นด้วยปัญญา
เมื่อจิตผ่องใส จึงผ่องใสเพราะไม่เศร้าหมอง

เจริญธรรม


ต้องเข้าใจก่อนครับว่า พระพุทธเจ้าทรงได้วิชชาแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถ
แทงตลอดปฏิจจสมุบาทได้ พูดง่ายๆก็คือพระองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจจ์สี่ก่อน
และทรงมารู้อวิชาแปดภายหลัง ที่สำคัญการรู้อวิชาสี่ตัวหลังนั้นก็คือ รู้อดีต รู้อนาคต
รู้อดีตและอนาคต สุดท้ายรู้ปฏิจจสมุบาท

จะเห็นได้ว่า จะรู้อดีตและอนาคต ผู้ที่รู้ก็คือปัจจุบัน และอะไรคือปัจจุบัน
นั้นก็คือรูปนามหรือกายใจ ดังนั้นจุดเริ่มของปุถุชนก็คือรูปนาม จุดปลายยังไม่มี
เพราะยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่

ส่วนพระอรหันต์ จุดเริ่มปัจจุบันเริ่มที่รูปนาม และจุดปลายอยู่ที่มรณะ
ถ้าพระอรหันต์ย้อนมองอดีต ตามวงปฏิจจฯ จุดเริ่มก็คือรูปนาม จุดปลายก็คือรูปนาม
ถ้ามองอนาคต มีอย่างเดียวนิพพาน

ต้องจำใส่ใจไว้เลย ว่า ปฏิจจสมุบาทเป็นเรื่องของวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิด
อย่าเอาไปผสมปนเปกับเรื่องกระบวนการขันต์ห้า ไม่งั้นความเห็นก็จะออกมาในแนว
เดียวกับที่คุณเช่นนั้นแสดงความเห็นไว้


อาจจะไม่อย่างนั้นดอก
การคิดค้นปฏิจจสมุปบาท ก่อนการตรัสรู้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็น
โพธิสัตว์อยู่
, ความปริวิตกอันนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "สัตว์โลกนี้หนอ ถึงทั่วแล้วซึ่งความ
ยากเข็ญ ย่อมเกิด ย่อมแก่ ย่อมตาย ย่อมจุติ และย่อมอุบัติ, ก็เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จัก
อุบายเครื่องออกไปพันจากทุกข์คือชรามรณะแล้ว การออกจากทุกข์คือชรามรณะนี้จัก
ปรากฏขึ้นได้อย่างไร?"
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ
ชรามรณะ จึงได้มี : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ" ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดย
แยบคาย ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เพราะชาตินั่นแล มีอยู่ ชรามรณะจึงได้มี : เพราะมี
ชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ"ดังนี้.
....เพราะภพนั่นแล มีอยู่ ชาติจึงได้มี : เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ"
ดังนี้.
....เพราะอุปาทานนั่นแล มีอยู่ ภพจึงได้มี : เพราะมีอุปทานเป็นปัจจัย
จึงมีภพ" ดังนี้.
....เพราะตัณหานั่นแล มีอยู่ อุปาทานจึงได้มี : เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย
จึงมีอุปาทาน ดังนี้.
....เพราะเวทนานั่นแล มีอยู่ ตัณหาจึงได้มี : เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย
จึงมีตัณหา ดังนี้.
....เพราะผัสสะนั่นแล มีอยู่ เวทนาจึงได้มี : เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย
จึงมีเวทนา ดังนี้.
....เพราะสฬายตนะนั่นแล มีอยู่ ผัสสะจึงได้มี : เพราะมีสฬายตนะเป็น
ปัจจัย จึงมีผัสสะ ดังนี้.
ว่าด้วยปฏิจจฯ กับความเป็นพระพุทธเจ้า ๔๗๑
....เพราะนามรูปนั่นแล มีอยู่ สฬายตนะจึงได้มี : เพราะมีนามรูปเป็น
ปัจจัย จึงมี สฬายตนะ ดังนี้.
....เพราะวิญญาณนั่นแล มีอยู่ นามรูปจึงได้มี : เพราะมีวิญญาณเป็น
ปัจจัย จึงมีนามรูป" ดังนี้.
....เพราะสังขารนั่นแล มีอยู่ วิญญาณจึงได้มี : เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ
สังขารทั้งหลายจึงได้มี : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย" ดังนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดย
แยบคาย ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เพราะอวิชชานั่นแล มีอยู่ สังขารทั้งหลายจึงได้มี :
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย" ดังนี้.
เพราะเหตุนั้น ข้อนี้จึงมีว่า เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญ ญ าณ ; ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...; เพราะ
มีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้น
ครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 12:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ขอถามผู้รู้ทุกท่านหน่อยนะครับ ว่า
"อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อวิชชา ครับ

อาสวะ


ต้องจำใส่ใจไว้เลย ว่า ปฏิจจสมุบาทเป็นเรื่องของวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิด
อย่าเอาไปผสมปนเปกับเรื่องกระบวนการขันต์ห้า ไม่งั้นความเห็นก็จะออกมาในแนว
เดียวกับที่คุณเช่นนั้นแสดงความเห็นไว้



smiley smiley smiley
แบบนี้ข้ามภพข้ามชาติมั้ยละหว่า
เพราะอาศัยซึ่งมโนด้วย, ซึ่งธัมมารมณ์ทั้งหลายด้วย, จึงเกิดมโนวิญญาณ;
การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการนี้ คือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี
เวทนา; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; เพราะความจางคลายดับไป
ไม่เหลือแห่งตัณหานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งอุปาทาน; เพราะมีความดับ
แห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ;
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย
จึงดับสิ้น: ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้. นี้คือ ความ
ตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทุกข์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้แล คือความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทุกข์.





ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อม
เม าหม กอยู่ ซึ่งเว ท น า ...ฯลฯ...ฯลฯ... ค วาม เกิด ขึ้นพ ร้อม แห่งกองทุกข์
ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อม
เมาหมกอยู่ ซึ่งสัญ ญ า ...ฯลฯ...ฯลฯ... ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์
ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อม
เมาหมกอยู่ ซึ่งสังข ารทั้งหลาย ...ฯลฯ...ฯลฯ... ความเกิดขึ้นพ ร้อมแห่ง
กองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อม
เมาหมกอยู่ ซึ่งวิญญาณ เมื่อภิกษุนั้น เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่
ซึ่งวิญญาณ, นันทิ ย่อมเกิดขึ้น. ความเพลินใด ในวิญญาณ, ความเพลินนั้น
คือ อุปาทาน. เพราะอุปาทานของภิกษุนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพ
เป็นปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะ-
โทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน: ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์
ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้คือ ความเกิดขึ้นแห่งรูป...แห่งเวทนา...แห่ง
สัญญา...แห่งสังขารทั้งหลาย...แห่งวิญญาณ


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
[มีแต่ผู้รู้ผู้เห็น ผู้บรรลุอรหัตผลแล้ว จึงดับอวิชชาได้
ผู้ทรงอรหัตผล ย่อมไม่หน่วงอารมณ์นั้นไว้ในจิตปรุงแต่งประกอบกรรม จิตของท่านหลุดพ้นแล้ว อวิชชาดับแล้ว ทุกขณะจิตที่ท่านดำเนินไปในขณะที่ยังมีวิบากแห่งขันธ์เหลืออยู่ ท่านอยู่ด้วยวิชชา วิมุตติ การกระทำของท่านเป็นกิริยา ไม่ถูกต้องแล้วด้วยอวิชชาแต่ประการใด
ดังนั้น อรหันตบุคคลทรงจิตอยู่ในอรหัตผล ย่อมดับอวิชชาทุกขณะจิต เป็นผู้รู้ผู้เห็น

โบราณครับ พูดธรรมแบบนี้ ไม่มีใครรู้เรื่องหรอกครับ ผมว่าตัวผู้พูดก็ไม่เข้าใจ
ในสิ่งที่พูดด้วย

พระอรหันต์ท่านไปดับอวิชาอะไรตรงไหนครับ การปฏิบัติของพระอรหันต์ได้มาจาก
ขั้นตอนของรูปนาม วิชชามันเกิดที่รูปนาม มันไม่ได้เกิดที่ อวิชา

สิ่งที่พระอรหันต์ดับได้ก็คือสังโยชน์สิบ สังโยชน์สิบเป็นเหตุปัจจัย
แห่งความยึดมั่นถือมั่นของวงปฏิจจ์ทั้งวง


ฉะนั้นบอกกล่าวไว้เลยครับ เราอย่ามาดูที่วงปฏิจจ์ เพราะวงปฏิจจ์ไม่ได้เกี่ยวกับการปฏิบัติ
การปฏิบัติมันอยู่ที่กระบวนการขันธ์ห้า ขั้นแรกคือ รู้อริยสสัจจ์สี่
ขั้นตอนต่อมาก็คือปฏิบัติให้ได้มรรคแปด เมื่อได้ก็จะรู้อวิชาอีกสี่ตัวที่เหลือ นั้นก็คือ รู้อดีต
รู้อนาคต รู้อดีตและอนาคต ที่สำคัญที่สุดจะรู้ปฏิจจสมุบาทครับ :b13:

โฮฮับ ไม่รู้เรื่อง ก็สมควรอยู่แล้วครับ
เพราะโฮฮับ ไม่ทำความศึกษาหรือทำความเข้าใจในสิ่งที่แสดง
"อรหันตบุคคลทรงจิตอยู่ในอรหัตผล ย่อมดับอวิชชาทุกขณะจิต เป็นผู้รู้ผู้เห็น"
ท่านทำกิจเสร็จแล้วครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 13:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ช่วยอธิบายผัสสะชัดๆหน่อยขอรับ หมายถึงอะไรขั้นตอนไหนจึงเรียกว่าผัสสะ

Quote Tipitaka:
[๓๔๖] ดูกรท่านมีอายุทั้งหลาย อากาศอาศัยไม้และอาศัยเถาวัลย์ ดินเหนียวและหญ้า
แวดล้อมแล้ว ย่อมถึงความนับว่า เป็นเรือนฉันใด ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อากาศอาศัยกระดูก
และอาศัยเอ็นเนื้อและหนังแวดล้อมแล้ว ย่อมถึงความนับว่า รูป ฉันนั้นเหมือนกันแล. ดูกรท่าน
ผู้มีอายุทั้งหลาย หากว่า จักษุอันเป็นไปในภายใน เป็นของไม่แตกทำลายแล้ว และรูปทั้งหลาย
อันเป็นภายนอกย่อมไม่มาสู่คลองจักษุ
ทั้งความกำหนดอันเกิดแต่จักษุและรูปนั้นก็ไม่มี ความ
ปรากฏแห่งส่วนแห่งวิญญาณอันเกิดแต่จักษุ และรูปนั้น ก็ยังมีไม่ได้ก่อน
. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้ง
หลาย หากว่า จักษุอันเป็นไปในภายใน เป็นของไม่แตกทำลายแล้ว และรูปทั้งหลายอันเป็น
ภายนอก ย่อมมาสู่คลองจักษุ แต่ความกำหนดอันเกิดแต่จักษุ และรูปนั้นไม่มี ความปรากฏ
แห่งส่วนแห่งวิญญาณอันเกิดแต่จักษุ และรูปนั้นก็ยังมีไม่ได้ก่อน. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
แต่ว่าในกาลใดแลจักษุอันเป็นไปในภายในเป็นของไม่แตกไม่ทำลายแล้ว และรูปทั้งหลายอันเป็น
ภายนอก ย่อมมาสู่คลองจักษุ
ทั้งความกำหนดอันเกิดแต่จักษุและรูปก็ย่อมมีในกาลนั้น ความปรากฏแห่งส่วนแห่งวิญญาณอันเกิดแต่จักษุและรูปนั้น ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้. รูปแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นอันใด รูปนั้น ย่อมถึงความสงเคราะห์ ในอุปาทานขันธ์ คือ รูปเวทนาแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นอันใด เวทนานั้น ย่อมถึงความสงเคราะห์ในอุปาทานขันธ์คือ เวทนา สัญญาแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นอันใด สัญญานั้น ย่อมถึงความสงเคราะห์
ในอุปาทานขันธ์ คือ สัญญา สังขารแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นเหล่าใด สังขารเหล่านั้น ย่อม
ถึงความสงเคราะห์ในอุปาทาน คือ สังขาร วิญญาณแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นอันใด วิญญาณนั้น
ย่อมถึงความสงเคราะห์ ในอุปาทานขันธ์ คือ วิญญาณ. ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า
การสงเคราะห์ การประชุมพร้อม หมวดหมู่แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ย่อมมีได้ ด้วยประ
การอย่างนี้. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ไว้ว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อ
ว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ดังนี้. ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ใด
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรมแล. ความพอใจความอาลัย ความยินดี ความ
ชื่นชอบ ในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้อันใด อันนั้นชื่อว่าทุกขสมุทัย การกำจัดความกำหนัดด้วย
สามารถความพอใจ การละความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้อันใด
อันนั้นชื่อว่าทุกขนิโรธแล. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้แล. คำสอนของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอันภิกษุทำให้มากแล้ว.....


แม้ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ มนะ พระพุทธองค์ก็แสดงไว้โดยการเดียวกัน
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=6042&Z=6308&pagebreak=0
อ้างคำพูด:
อธิบายว่า
อายตนะภายใน คือถ้าเป็นผู้มีตา ก็ต้องตาไม่บอด
อายตนะภายนอก คือ ต้องมีรูปปรากฏตั้งอยู่
อายตนะภายนอกนั้นต้องมาสู่คลองแห่งการรับรู้ของอายตนะภายใน
ความกำหนด(ที่ขีดเส้นใต้ไว้) บาลีใช้คำว่า สมันฺนาหาระ ซึ่งหมายถึงจิตออกจากภวังค์ขึ้นสู่วิถีมากำหนดอารมณ์ที่มากระทบตามทวารนั้น ๆ มีอวิชชาประกอบอยู่
การที่จิตขึ้นสู่วิถีออกจากภวังค์มากำหนดอารมณ์ตามสมควรแก่อายตนะภายในนั้นวิญญาณย่อมปรากฏ
นี่คือการแสดงความเป็นไปแห่งผัสสะ ผัสสะที่อายตนะใด ก็มีชื่อตามอายตนะนั้น
และความปรากฏแห่งวิญญาณขณะผัสสะนั้นเองที่ สงเคราะห์เข้าในอุปาทานขันธ์..

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
เพราะไม่สามารถตัดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท๑

เป็นการอธิบายใช้คำที่ถูกต้องแล้วครับ
ตัดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท
ไม่ใช่ตัดวงจรแห่งปฏิจสมุปบาท :b8:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 13:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขนมจีบซาลาเปา เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
เมื่อสิ่งล่อใจหมดค่าหมดราคา...จะยื่นอะไรมาก็ราวกับว่า...ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน
ซึ่งหมายความว่า รูปนั้นอารมณ์นั้นไม่ได้เป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์แห่งกิเลสกามแล้ว
ผัสสะดับ เวทนาก็ดับ
ไม่ใช่เพราะเวทนา ดับก่อนแต่ประการใด
ในขณะจิตที่เกิดก่อนนั้น เวทนาดับ ตัณหาดับ ตัณหาดับ อุปาทานดับ



สาธุค่ะ อ่านแล้วเข้าใจแต่ขอถามนะค่ะ


อ้างคำพูด:
ในขณะจิตที่ตามมาภายหลัง ความดับแห่งผัสสะ จึงไม่ใช่เกิดเพราะความดับแห่งเวทนาของจิตที่เกิดก่อนแต่ประการใด แต่ดับเพราะความรู้ที่เกิดแล้ว ญาณ อันเป็นวิบากให้ผล
ดังนั้น ในขณะที่จิตที่ตามมาภายหลังจึงประกอบด้วยญาณ อันเป็นเหตุให้ผัสสะนั้นดับ



คือ ดิฉันอ่านแล้วเข้าใจด้วยใจ แต่มันไม่สามารถเรียบเรียงให้กระจ่างแก่ใจได้ รู้แต่ว่าเข้าใจ รบกวนคุณเช่นนั้น อธิบายให้เข้าใจแบบง่ายๆได้ไหมค่ะ(เอาแบบว่าเป็นภาษาชาวบ้านสุดๆนะค่ะ) กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ :b8: :b8:

ง่ายสุดๆ คือ รู้แล้วก็ไม่สน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 23  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร