วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 05:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 08 เม.ย. 2012, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


เราอาจกล่าวได้ว่าปริยัติก็เป็นผลมาจากปฏิเวธ และยังทำให้เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติอีกด้วย
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุผลของการปฏิบัติของพระองค์แล้ว จึงทรงแนะนำประสบการณ์ที่เป็นผลของกาปฏิบัติ ของพระองค์นั้นมาเรียบเรียงร้อยกรอง นำมาสั่งสอนพวกเรา คือสั่งสอนพระธรรมวินัยไว้ คำสั่งสอนของพระองค์นั้นก็มาเป็นปริยัติของพวกเรา คือสิ่งที่พวกเราจะต้องเรียนรู้ แต่ปริยัติที่เป็นผลมาจากปฏิเวธนั้นก็หมายถึงปฏิเวธของพระพุทธองค์โดยเฉพาะ คือการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าทรงยอมรับเท่านั้น ไม่เอาผลการปฏิบัติของโยคี ฤาษี ดาบส นักพรต ชีไพร อาจารย์ เจ้าลัทธิ หรือ ศาสดาใดๆ
ถ้าไม่เล่าเรียนปริยัติ ก็ไม่รู้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติของเราก็ไขว่เขว ก็ผิด ก็เฉไฉออกนอกศาสนา ถ้าปฏิบัติผิดผลที่ได้รับก็ผิด หลอกตัวเองด้วยสิ่งที่พบซึ่งตัวเองเข้าใจผิด ปฏิเวธก็เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีปริยัติเป็นฐาน ปฏิบัติและปฏิเวธก็พลาดหมด เป็นอันว่าล้มเหลวไปด้วยกัน
พูดง่ายๆ ว่าจากปฏิเวธของพระพุทธเจ้าก็มาเป็นปริยัติของเรา แล้วเราก็ปฏิบัติตามปริยัตินั้น เมื่อปฏิบัติถูกต้องการบรรลุปฏิเวธก็เป็นดังพระพุทธองค์ ถ้าวงจรนี้ดำเนินไป พระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็คงอยู่
ปริยัติที่มาจากปฏิเวธของพระพุทธเจ้าและเป็นฐานแห่งการปฏิบัติของพวกเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายก็อยู่ในพระไตรปิฎกนี้แหละ ฉะนั้นมองในแง่นี้ก็ได้ความว่า ถ้าเราจะรักษาปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธไว้ ก็ต้องรักษาพระไตรปิฎกนั้นเอง ถ้าใครปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ที่แสดงไว้ตามพระไตรปิฎก ชีวิตของผู้นั้นจะกลายเป็นเหมือนตัวพระพุทธศาสนาเอง เหมือนเรารักษาพระพุทธศาสนาด้วยชีวิตของเราตราบเท่าชีวิตของเรายังอยู่ที่นั้น ก้าวไปถึงนั้น
อย่างนี้เรียกว่าพระพุทธศาสนาอยู่ด้วยวิธิการรักษาอย่างสูงสุด พูดได้ว่าพระไตรปิฎกมาอยู่ในตัวเรา ไม่ใช่อยู่แค่ตัวหนังสือ
สรุปว่าเราชาวพุทธอิงอาศัยพระไตรปิฎกโดยตรงด้วยการนำเอาคำสอนมาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตจริง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 04:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมายของคำว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ความหมายของคำทั้ง 3 ไม่มีอะไรมาก หากนำมารวมกันก็จะได้ความหมายที่สั้นกระชับได้ใจความที่สุดว่า นำทฤษฎีมาปฏิบัติให้เกิดผล แต่ถ้าขยายความก็หมายความว่า ปริยัติหมายถึงทฤษฎี วิธีการที่จะนำไปปฏิบัติ แล้วนำวิธีที่รู้มาไปปฏิบัติ คงไม่ต้องแปลคำว่าปฏิบัติว่าหมายความว่าอย่างไร ก็มาถึงปฏิเวธ คือผลที่เราพึงได้รับจากการปฏิบัตินั้น ๆ ว่าได้ผลออกมาเป็นอย่างไร

แนวทางของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทั้งก่อนและหลังตรัสรู้ คือเริ่มต้นจากการปฏิบัติก่อน ลองผิดลองถูกอยู่นานหลายวิธี เพื่อให้เข้าถึงปฏิเวธในทั้งวิธีการที่ผิดและที่ถูกนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เริ่มต้นด้วยปฏิบัติ เมื่อถึงปฏิเวธทั้งวิธีการที่ผิดและที่ถูกแล้ว จากนั้นก็นำการปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติแล้วทำให้ตนพ้นทุกข์โดยมีนัยสำคัญคือแจ้งประจักษ์ในตนเอง แล้วนำปฏิเวธที่ได้ไปสร้างเป็นปริยัติในที่สุด ฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงเป็นผู้ที่เสียสละยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีคำสอนว่าหากใครไปทำร้ายพระพุทธเจ้าจึงมีบาปมหันต์ หรือแม้แต่การนำคำสอนของตนไปแนะนำคนอื่นโดยที่ตนรู้อยู่แล้วว่านั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์ แล้วไปแอบอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเป็นคำสอนที่ปรากฏจะเรียกว่า "กล่าวตู่ตถาคต" จึงเท่ากับเป็นการทำบาปอันหนักยิ่ง เพราะแนวทางเหล่านั้นเป็นการสะกัดกั้นมิให้มหาชนไปถึงเป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนาหรือถึงพระนิพพานนั่นเอง

ฉะนั้นผู้เขียนเองก็ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องแยกคำสอนของตนเองออกจากคำสอนของพระพุทธองค์ หากสังเกตในบทความผู้เขียนจะแยกเอาไว้ โดยเฉพาะในส่วนเรื่องเกี่ยวกับเทพ จะไม่ปรากฏว่ามี "นี่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์" ปรากฏ หรือแม้แต่การใช้คำว่าพระพุทธเจ้า ในหลาย ๆ บทความจะเป็นคำกลาง ๆ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใด แต่ถ้าใช้คำว่าพระพุทธองค์ จะหมายถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ทำหน้าที่อยู่ นั่นหมายความว่าคุณลักษณะของความเป็นเทพจะไม่มีปรากฏอยู่ในคำสอน แล้วถ้าพิจารณาให้ดีผู้เขียนได้อธิบายไปอย่างชัดเจนแล้วว่า พระพุทธองค์ไม่ให้เราขอให้เทพช่วยพร้อมทั้งอธิบายเหตุผลไว้ด้วย

ฉะนั้นอะไรก็ตามถ้าเขียนไว้ลอย ๆ ไม่ปรากฏแหล่งที่มา หรือถ้าเขียนจะมีคำว่า "จากประสบการณ์" นั่นหมายความว่าเป็นสิ่งที่ผู้เขียนรู้เอง เมื่อเป็นสิ่งที่รู้เองเห็นเองด้วยประสบการณ์ แล้วถึงแม้เป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้ มิเช่นนั้นผู้เขียนจะเป็นคนกล่าวตู่ตถาคตเสียเอง ถึงแม้ผู้เขียนจะทำไปด้วยเจตนาดีเพียงใดก็ตาม เช่นผู้เขียนรู้อยู่แล้วว่าพวกเราศรัทธาพระพุทธองค์มากกว่าผู้เขียน ก็เขียนโดยกล่าวตู่ทึกทักเสียเลยว่านี่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์เช่นนี้ก็ไม่ได้ แล้วคำสอนใด ๆ ก็ตามที่ผู้เขียนรู้เห็นมาแล้วพิสูจน์ผลได้ด้วยตนเอง แล้วคำสอนนั้นตรงกับสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอนไว้แล้ว ผู้เขียนก็พูดได้เต็มปากด้วยความกตัญญูว่านี่คือคำสอนของพระพุทธองค์ การปฏิบัติบูชาด้วยการนำปริยัติไปปฏิบัติเพื่อให้ถึงปฏิเวธ เป็นการแสดงความกตัญญูสุงสุดต่อพระพุทธองค์โดยไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนแล้ว ไม่ถึงกับต้องนำมาเขียนออกมาว่าเป็นเพราะอะไรถึงการปฏิบัติตามคำสอนนั้นจึงส่งผลนั้นแก่ตน

ดังนั้นการจะเป็นพุทธบุตรที่ดีของพระพุทธองค์ คือต้องนำวิธีการที่ทรงสอนมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตรงไปตรงมา สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คือการเรียนแต่ปริยัติ แล้วนำทฤษฎีนั้นมาถกเถียงกันเพื่อหาความถูกผิดโดยไม่ลงมือปฏิบัติ แล้วถึงแม้จะปฏิบัติแล้วแต่ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการปฏิบัติ ถือว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพทั้งต่อพระพุทธองค์เองหรือแม้แต่พระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้มา ด้วยเหตุผลสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็เพราะพระพุทธองค์สอนให้นำวิธีปฏิบัติไปปฏิบัติแล้วเราปฏิบัติกันหรือไม่ ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไร

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 04:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาสาธุ ^^

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสต์ เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 21:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ปฏิเวท.........ปริยัติ.........ปฏิบัติ........

ปริยัติ........ปฏิบัติ.........ปฏิเวท

เป็นได้ทั้งอนุโลมและปฏิโลม
สาธุ

:b8:


โพสต์ เมื่อ: 10 เม.ย. 2012, 04:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
ปฏิเวท.........ปริยัติ.........ปฏิบัติ........

ปริยัติ........ปฏิบัติ.........ปฏิเวท

เป็นได้ทั้งอนุโลมและปฏิโลม
สาธุ

:b8:

ตลกตรงที่ ปฏิเวท...ปริยัติ...ปฏิบัตินี่แหล่ะ :b9:


โพสต์ เมื่อ: 10 เม.ย. 2012, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
ปฏิเวท.........ปริยัติ.........ปฏิบัติ........

ปริยัติ........ปฏิบัติ.........ปฏิเวท

เป็นได้ทั้งอนุโลมและปฏิโลม
สาธุ

:b8:

ตลกตรงที่ ปฏิเวท...ปริยัติ...ปฏิบัตินี่แหล่ะ :b9:

ไม่ใช่ตลกอะไรหรอกครับ อ่านข้อความด้านบนจะเห็นว่าเป็นไปได้จริงตามที่กล่าวไว้
คำว่า"ปฏิเวธ"เป็นผลของการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าที่ลองผิดลองถูกมา ๔ อสงไขย แสนกัปล์
เมื่อเป็นผล พระพุทธองค์จึงนำมาร้อยกรองเรียกว่า"ปริยัติ"
ให้เหล่าสาวกทั้งหลายนำปริยัติมาศึกษาเพื่อปฏิบัติและเพื่อให้เกิดปฏิเวธ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 03:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
ปฏิเวท.........ปริยัติ.........ปฏิบัติ........

ปริยัติ........ปฏิบัติ.........ปฏิเวท

เป็นได้ทั้งอนุโลมและปฏิโลม
สาธุ

:b8:

ตลกตรงที่ ปฏิเวท...ปริยัติ...ปฏิบัตินี่แหล่ะ :b9:

ไม่ใช่ตลกอะไรหรอกครับ อ่านข้อความด้านบนจะเห็นว่าเป็นไปได้จริงตามที่กล่าวไว้
คำว่า"ปฏิเวธ"เป็นผลของการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าที่ลองผิดลองถูกมา ๔ อสงไขย แสนกัปล์
เมื่อเป็นผล พระพุทธองค์จึงนำมาร้อยกรองเรียกว่า"ปริยัติ"
ให้เหล่าสาวกทั้งหลายนำปริยัติมาศึกษาเพื่อปฏิบัติและเพื่อให้เกิดปฏิเวธ

ลุงหมานกำลังเอาบรรญัติมาเล่นนะครับ
แบบนี้ผมว่ามันไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง จะทำให้เด็กๆเขาสับสนครับ
ปฏิเวธของใคร ปริยัติของใครต้องบอกไว้ด้วยครับ
ไม่ใช่มาบอกว่า ปฏิเวธ...ปริยัติ....ปฏิบัติ
การพูดแบบนี้ ความหมายก็คือ ปฏิเวธของผู้พูดครับ
ไม่ใช่ปฏิเวธของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นปฏิเวธของพระพุทธเจ้าต้องอยู่
ตรงปริยัติครับ ผมขอความกรุณาอย่าเอาบัญญัติมาเล่นสำนวนเลยครับ
แค่นี้ชาวพุทธเขาก็สับสนพอแล้ว ถ้าลุงหมานไม่มีอะไรแสดง แต่อยากแสดงออก
ลุงหมานก็ไปเอาคำสอนของครูบาอาจารย์มาโพสก็ได้ครับ


โพสต์ เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 04:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงตรัสไว้ดีแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนคือผู้ที่มีความศรัทธาแต่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง ความเห็นยังปนด้วยอาสวะ4อยู่ มีผิดถูกในการปฏิบัติทั้ง กาย วาจา ใจ อย่างหลีกเลี่ยงลำบาก ความเห็นของผมคือการยึดถือเอาการปฏิบัติต้องใช้ปัญญาประกอบด้วยการจำแนกธรรม พอธรรมที่รู้นั้นตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็คือปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงซึ่งต้องมีความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าด้วยความสมบูรณ์ หากไม่สามารถทำได้ ผู้ปฏิบัติยังถือว่ามีกิเลสอยู่อาจบิดเบือน หนักเข้าเอาคำสอนมาเป็นของตน อย่างหลังคือคนนอกศาสนาไปเลย ไม่อาจรู้ได้ว่ากรรมนั้นจะหนักหนาเพียงใด ดังนั้นผู้ที่รู้ธรรมตามความเป็นจริงคือผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ครับย่อมถือเอาพระพุทธเจ้าผู้เป็นครูมีพระมหากรุณาธิคุณทางธรรมครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 04:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ปริยัติ...ปฏิบัติ...ปฏิเวธ...นี้เป็นแนวทางของสาวกะ

ปริยัติ...ก็ใช่ว่าจะต้องมาจากหนังสือ...การได้ฟังคำแนะนำจากกัลยาณมิตรที่บรรลุกัลยาณธรรม...ก็ควรรนับรวมเข้าเป็น..ปริยัติ

คำแนะนำของกัลยาณมิตร....ก็คือธรรมจากการปฏิบัติของท่านนั้นเอง


โพสต์ เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 07:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณความคิดเห็นหลายๆท่านครับ
สำหรับคุณ โฮฮับ จะไปในแนวทาง ดุดุ หน่อย ๕๕๕

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 09:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ขอบคุณความคิดเห็นหลายๆท่านครับ
สำหรับคุณ โฮฮับ จะไปในแนวทาง ดุดุ หน่อย ๕๕๕

:b12:
คุณโฮฮับเขาก็เป็นของเขาอย่างนี้มานานแล้วครับ
อย่างกรณี ปฏิเวท.....ปริยัติ.....ปฏิบัติ นี่ก็เพราะคุณโฮฮับไม่ตรองด้วยธรรมว่า ผลที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงได้รับ ก็เรียก "ปฏิเวท" ผลที่พระอริยสาวกทั้งหลายได้รับ ก็เรียก "ปฏิเวท"เหมือนกัน พระสาวกที่ได้ปฏิเวทแล้วก็มา บอกปริยัติ แจงวิธีปฏิบัติ ก็มีเยอะแยะไปครับ
คุณโฮ...เขายึดติดตำรา ละความเห็นที่ยึดไม่ได้ จึงมักออกอาการรุนแรงเมื่อพบสิ่งที่ขัดความเห็นของตนเองครับ
ขอให้หายสบายเป็นปกติโดยเร็ววันเทอญ
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 03 ม.ค. 2013, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


อาจถูกเพ่งเล็งว่าจะมาแย่งพื้นที่หากิน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2013, 02:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุง :b33: เขียน:
อาจถูกเพ่งเล็งว่าจะมาแย่งพื้นที่หากิน

พุทโธ่! ลุง :b33: เป็นเอามากนะครับ ไหนรับปากพระแล้วไงว่าจะไม่ยุ่งกับผม
ผิดไปจากที่ผมปรามาสไว้หรือเปล่า ดันมาหาว่า กลัวจะมาแย่งพิ้นที่หากิน
แบบนี้บาปนะครับ ผมไม่ใช่คนทำเว็บหรือเป็นเจ้าสำนักนะครับ ผมมีอาชีพของผม
และเป็นอาชีพที่ไม่เกี่ยวกับธรรมะด้วย

การสนทนาธรรมมันเป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องมีคนแย้งคนอนุโมทนา
ความเห็นไหนถูกแย้ง เจ้าของความเห็นก็ต้องหาเหตุผลมาอธิบาย
มันเป็นการเพิ่มพูนความรู้ของตนให้มากขึ้น

มันใช่สาระมั้ยที่จะต้องมาโกรธกัน ถึงขั้นหมิ่นประมาทในเรื่องไม่ใช่เรื่อง
ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่ง ผมประกาศอยู่บ่อยๆว่า ใครคุยกับผมจะต้องควบคุมสติตนเองด้วย
เพราะวิธีการคุยของผมเป็นการฝึกสติไปในตัว นี่ขนาดเตือนแล้วลุง :b33: ยังทำไม่ได้
นี่แค่เป็นการปฏิบัติเบื้องต้นยังทำไม่ได้ แล้วพระอภิธรรมที่ลุง :b33: ชอบเอามาโพส
ถามหน่อยเถอะจะทำได้หรือ แล้วคนอื่นเขาจะมองพระธรรมเอามาโพสไปในทางไหน
เขาจะเชื่อหรือว่าถูกต้อง เพราะอะไรก็เพราะคนที่เอามาสอนคนอื่น ยังควบคุมสติตัวเองไม่ได้

ผมว่าลุง :b33: เสียเวลาเปล่าครับ แทนที่จะไปหาเหตุผลว่า ทำไมถึงมีคนมาแย้ง
ธรรมที่ลุงแสดงความเห็น กลับเสียเวลาไปขุดกระทู้เก่าขึ้น แล้วก็ทำในลักษณะ....
เสียดสีประชดประชัน :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร