วันเวลาปัจจุบัน 03 ต.ค. 2025, 09:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 74 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 12:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ต่อไปคงได้เห็นผู้บรรลุธรรม ผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นขันธ์ 5 ในเมืองไทยขี้ไม่ล้างก้น :b9: :b32:

ท่านกรัชกายแขวะดิฉันทำไม ก็ดิฉันเพิ่งบรรลุ มันก็รู้ได้ด้วยปัจจัตตัง เอาเป็นว่าดิฉันจะอธิบายตามความเข้าใจของตัวเองนะ แต่ไม่รู้จะอธิบายได้ดีแค่ไหน ขันธ์ 5 คือ
1.รูปขันธ์ =ดิฉันพิจารณา รูป ที่มีส่วนประกอบคือ อาตนะ หู ตา จมุก ลิ้น กาย ใจ เป็นผัสสะที่ทำให้เกิด จิตปรุงแต่งนะ ดิฉันเห็นความเป็นจริงของร่างกายตัวเองด้วยสัจธรรมเลยละ ความอยากที่บอกไปตั้งแต่ต้น(ขณะนี้ดิฉันละได้แล้ว)
2.เวทนา= ความรู้สึก ผัสสะที่มากระทบ เวลาเราได้ยินดีหรือร้าย เราพอใจ หรือไม่พอใจ=อันนี้ก็ลดได้ในระดับหนึ่ง(แต่ก็ปรุงแต่งเป็นเวทนาอยู่)
3.สัญญา=อันนี้ก็รุ้ได้ด้วยปัจจัตตัง
4.สังขาร=คือ อาการที่จิตปรุงแต่งโดยมีความจำเป็นสัญญา จิตกุศล กับไม่กุศลนะเจ้าค่ะ
5.วิญญาณ=อารมณ์ คือ เป็นการ รับรู้อารมณ์ของอายตนะทั้ง6 นะเจ้าค่ะ
คืออันนี้ดิฉันอธิบายความเข้าใจของดิฉันส่วนกามราคะ คือ รูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะ
รูป= ดิฉันหมดความอยากไม่รู้สึกอะไรกับรูปลักษณืภายนอกแล้ว เพราะพิจารณาว่ามันไม่เที่ยง(พุดง่ายๆต่อให้เจอคนหน้าตาหล่อเหลาคารมดี จิตดิฉันก็ไม่แกว่ง เพราะ มันแค่รูปหลักภายนอก คนเราเกิดมา จะหล่อจะสวย พอแก่ก็เสื่อมสภาพไปตามไว ตายก็เอาไปเผาเป็นขี้เถ้าโครงกระดูก จิตดิฉันรับรู้เช่นนี้เลยไม่หวั่นไหว)
2.รส= ดิฉันกินอาหารก็สักแต่ว่ากินเพื่อให้มีชีวิตอยู่ พออิ่มก็เหมือนกัน ต่อให้มันจะอร่อยปานไหน กินเข้าไปก็อุจจาระอกมาเป็นของเน่าเหม็นอยู่ดี คือ กินเพื่อให้มีชีวิตอยู่ โดยไม่พิไรรำพันว่าอยากกินนั่นนะอยากกินนี่นะ และดิฉันก็ไม่ติเตือนถึงแม้อาหารจะมีรสไม่อร่อย
3.กลิ่น=มันเป็นปัจจัตตังอ่ะ อธิบายยาก แบบว่าเอาง่ายๆ ใครใส่น้ำหอม ดิฉันก็ไม่ได้ไปหลงใหลในกลิ่นนั้นแต่
4.เสียง= อันนี้ก็สักแต่ได้ยิน แล้วมองมาที่จิตว่าเราไคว้เขวไปกับมันแค่ไหน (ก็พยายามทำอยู่ คือทำจิตเป็นสมาธิ)
5.ผัสสะ=เวลามีอาไรมากระทบเราไคว้เขวไปกับมันไหม อยากเช่นเราโดน เราโดนด่า หรือโดน ตบ เราหวั่นไหวไปกับมันมากน้อยแค่ไหน อันนี้ก็รู้ได้ด้วยปัจจัตตัง เจ้าค่ะ
แต่โดยรวมคือดิฉันสามารถลดกิเลศให้เบาบางลงได้แล้ว ไม่หวั่นไหวไปกับมันง่ายๆ โดยที่จิตดิฉันมีสมาธิพอในระดับไหนก็ลดได้ในระดับนั้น แล้วท่านกรัชกายมีไรจะชี้แนะเพิ่มเติมอีกไหมเจ้าค่ะ ต้องบอกก่อนดิฉันไม่ค่อยเก่งปริยัติเลยอธิบายไม่ค่อยเก่งคือมันรับรู้ได้ ด้วยกายและใจตนอ่ะ :b9:

สวัสดีครับคุณ nongkong :b8:
ขอยินดีกับผลการปฏิบัติข้างต้นด้วยนะครับที่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเรียกว่าชาตินี้อยู่ได้สบายแล้วครับ...แต่ขออนุญาติแสดงความเห็นสักนิดว่า สภาวะธรรมข้างต้นนี่ยังไม่ใช่การละขันธ์ 5 หรือการปล่อยวาง ขันธ์ 5 นะครับ แต่เป็นผลจากกำลังสมาธิที่เรามีมากขึ้น ทำให้กำลังสติและปัญญาเรามีมากขึ้น จึงตามรู้เท่าอาการของขันธ์ 5 ได้มากกว่าเมื่อก่อน...ดังคำพระอาจารย์มั่นท่านว่า"ศีลอันใดสมาธิอันนั้น สมาธิอันใดปัญญาอันนั้น"...แต่ถ้าทำให้มากเจริญให้มากขึ้นประกอบกับแสวงหาครูบาอาจารย์ที่เราฝากตัวเป็นที่พึ่งได้ ผมว่าคุณ nongkong มีโอกาสที่ดีที่จะบรรลุธรรมที่สูงกว่านี้จนสามารถปล่อยวางขันธ์ 5 ได้หมดจริงๆ เพราะห่วงอะไรก็ไม่มีแล้ว
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณขณะจิตเขียน

:
อ้างคำพูด:
b9: ว่าเรื่องการบรรลุธรรมต่อนะครับ

เมื่อเราถือพระพุทธองค์เป็นศาสดาแล้วก็คงต้องปฏิบัติตามแนวธรรมที่ทรงวางไว้

คือละอกุศลที่มีแล้ว และไม่สร้างอกุศลใหม่ขึ้นมาอีก

ทำกุศลที่ยังไม่มีให้เกิดมี รักษากุศลที่มีแล้วและเพิ่มพูนให้ถึงพร้อม

เจริญภาวนาทางจิตให้เห็นแจ้ง นี่แหละครับ ผมว่าวงล้อแห่งธรรมย่อมหมุนไปด้วยหลักง่ายๆอย่างนี้

ขอให้ทำจริง ไม่ทอดทิ้ง คงใกล้เข้าไปและถึงได้ในสักวันอันใกล้แน่นอน



อ่านนี้แล้ว เราคิดว่าเราเดินมาถูกทางแล้วน่ะค่ะ แต่ขันธ์5นี่เราคงค่อยๆเริ่มปรับให้น้อยลงล่ะค่ะ

ส่วนอินทรีย์5 ที่คุณกรัชกายชี้แนะนั้น เราคงต้องปรับให้สมดุลย์กัน เพราะเรารู้สึกว่า
ตัวเราบางข้อก็ไปยึดไว้มากเกินไป
เราก็สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันค่ะ ว่าเราต้องขัดข้องอะไรซักอย่าง
มาอ่านที่คุณกรัชกายเขียนตรงนี้ มองเห็นจุดที่จะต้องปรับเลยค่ะ :b8:


อ้างคำพูด:
ถ้าศรัทธาแรงไป วิริยะก็ทำหน้าที่ยกจิตไม่ได้ สติก็ไม่สามารถดูแลจิต สมาธิก็ไม่สามารถทำจิตให้แน่ว ปัญญาก็ไม่สามารถเห็นตามเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับคุณ nongkong
ขอยินดีกับผลการปฏิบัติข้างต้นด้วยนะครับที่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเรียกว่าชาตินี้อยู่ได้สบายแล้วครับ...แต่ขออนุญาติแสดงความเห็นสักนิดว่า สภาวะธรรมข้างต้นนี่ยังไม่ใช่การละขันธ์ 5 หรือการปล่อยวาง ขันธ์ 5 นะครับ แต่เป็นผลจากกำลังสมาธิที่เรามีมากขึ้น ทำให้กำลังสติและปัญญาเรามีมากขึ้น จึงตามรู้เท่าอาการของขันธ์ 5 ได้มากกว่าเมื่อก่อน...ดังคำพระอาจารย์มั่นท่านว่า"ศีลอันใดสมาธิอันนั้น สมาธิอันใดปัญญาอันนั้น"...แต่ถ้าทำให้มากเจริญให้มากขึ้นประกอบกับแสวงหาครูบาอาจารย์ที่เราฝากตัวเป็นที่พึ่งได้ ผมว่าคุณ nongkong มีโอกาสที่ดีที่จะบรรลุธรรมที่สูงกว่านี้จนสามารถปล่อยวางขันธ์ 5 ได้หมดจริงๆ เพราะห่วงอะไรก็ไม่มีแล้ว
ขอบคุณครับ
ยังหรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้ดิฉันแค่กำลังเริ่มสู่หนทางแสงสว่าง แต่ดิฉันยังมีห่วงอยู่ ดิฉันก็คงต้องยึด มรรค มีองค์8เพื่อเป็นหนทางไม่ให้ตัวเองพลาดเจ้าค่ะ ท่านลูกพระป่า ดิฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง คือวันนี้ดิฉันฝัน คือดิฉันคิดถึงผู้หญิงคนนึงเป็นสมาชิกในเวปนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านลูกพระป่ายังเคยคุยกับผู้หญิงคนนั้นแต่เด่วนี้ไม่เจอแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง คือดิฉันกลัวไม่กล้านั่งกรรมฐาน เพราะถ้าจิตเรามีกำลังสมาธิพอ เราจะเจอนิมิตร เพื่อมาทดสอบจิตเราว่าจะสามารถผ่านมันไปได้ไหม ดิฉันเลยตัดสินใจไม่นั่งกรรมฐานแล้วเพราะยังไม่พร้อมคือ อายุยังน้อยอยู่กลัวสติแตกถ้าเจออะไร เข้าเรื่องนะค่ะ ดิฉันนึกถึงผุ้หญิงคนนั้น แล้วดิฉันฝันแต่ไม่เห็นหน้าแต่จิตดิฉันรู้ว่าเป็นคนนั้น มาแสดงความยินดีกับดิฉันแล้วบอกว่า ให้ดิฉันจิตยึดพระรัตนไตรเป็นสรณะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรตอนนั่งกรรมฐาน ดิฉันก็จะฝ่าฝันไปได้ แล้วก็บอกอีกว่า สิ่งที่ดิฉันกำลังจะได้มานั้นมันดี...คือสมาธิยังไม่นิ่งพอเลยปะติดปะต่อมะค่อยรู้เรื่อง พอดิฉันตื่น ดิฉันนึกถึงผู้หญิงคนนั้น เลยตั้งจิตอธิษฐานแผ่บุญกุศลไปให้ แล้วดิฉันเกิดปิติซ่านไปทั่วรูขุมขนเลยเจ้าค่ะ ดิฉันไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเค้ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เพราะเค้าเคยบอกว่า ชีวิตเค้านับได้เป็นวินาที... ปล.ใครที่รู้ตัวว่ามีกลิ่นไอมารไม่ควรอ่าน(อย่ามาหาว่าดิฉันบ้า มันรุ้ได้ด้วยปัตจัตตัง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกบฯเขียน

อ้างคำพูด:
ต้องมีแรงบันดาลใจครับ...หากอยู่แต่กับตัวเราเอง..ดูจะเนือย..เนือย..ไปเรื่อง ๆ
หากได้พบกัลนยาณมิตร...ครูอาจารย์..ที่ถึงพร้อม...นี้นะ..จะได้ใจอย่างไม่ต้องพูดถัง

กิเลส...ไม่ว่าสมัยไหน..มันก็เหมือนกัน...
บุญเราก็ไม่น้อย...พระธรรมคำสอนก็ยังสมบูรณ์...ผู้ที่เขาบรรลุก็มี
แล้ว...กับเราทำไมถึงจะเป็นไปไม่ได้

มีแต่กิเลส..เท่านั้นแหละที่บอกเราว่าเป็นไปไม่ได้

นี้ให้คือการคิดให้กำลังใจกับตัวเอง....



ตรงนี้จริงเลยค่ะ ถ้าเราไม่เข้าหาผู้รู้เราก็คงไม่รู้ว่า สิ่งที่เราทำอยู่นี้
คือหนทางที่ไปสู่ผลของการบรรลุธรรม

เพราะตามความเข้าใจของเรา หนทางที่ไปสู่บรรลุธรรมได้นั้น คงจะต้องออกบวช
ปล่อยวางทุกสิ่งไม่ยึดติดอะไรทั้งนั้น ออกธุดงค์ในป่าให้จิตจับอยู่กับลมหายใจเท่านั้น

แต่พออ่านตรงที่คุณขณะจิตเขียน ทำให้เรารู้ว่าตอนนี้เราได้มายืนอยู่ต้นทาง
ที่จะไปแล้ว คือรู้ทางที่จะไปสู่เส้นธรรมแล้ว
เพราะที่ผ่านๆมา เราเหมือนคนเดินสะเป๊ะสะป่ะน่ะค่ะ

แต่จะเดินได้ไปจนถึงจุดที่สู่บรรลุธรรมได้หรือไม่นั้น
คงต้องอาศัยการสร้างบุญบารมีเพื่อให้เกิดพลังใช่หรือไม่ค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
bbby เขียน:
เข้ามาอ่านที่คุณเขียนโต้ตอบกันไปมาแล้วนั่งขำค่ะ :b32: :b32: :b32: นี่แหละค่ะที่เราบอกว่าโลกของกิเลส

ทีนี้คุยเรื่องบรรลุธรรมต่อน่ะค่ะ :b12: คงต้องรอท่านผู้รู้มาแนะนำแล้วล่ะค่ะ
ว่าคนที่อยู่ในโลกที่มีกิเลสต่างๆเย้ายวนใจนั้น จะมีหนทางที่จะบรรลุธรรมได้หรือไม่ค่ะ
ขอเรื่องบรรลุธรรมต่อน่ะค่ะ
ส่วนเรื่องวัยทองเอาไว้ทีหลังน่ะค่ะ :b32: :b32: :b32: :b41: :b55: :b43:

สนองเจตนารมเจ้าค่ะ ดิฉันเอาผลการปฏิบัติที่เข้าถึงกระแสธรรม มาให้เทียบเคียงดู ถ้ามีอารมณ์คล้ายๆกับดิฉันก็แปลว่าเข้าถึงกระแสธรรมแล้ว แต่ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนนะค่ะว่า การจะเป็นโสดาบัน จะต้องละ ขันธ์5 ยึดมั่นถือมั่นในตัวเราว่ามีเรา มีศรัธทราต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างไม่งมงาย และอีกอย่าง ต้องมีศีลที่บริสุทธิ์ แล้วการละขันธ์5 ดิฉันก็อยากรู้ว่า คนอื่นมีสภาวะอารมณ์แบบไหนกัน ที่บอกละขันธ์5ไม่รู้ละได้จริงอย่างที่พูดหรือป่าว
การละขันธ์5 ที่มีอารมณ์เป็นสัมมาทิฏฐิ ผลจะต้องออกมาเป็นแบบนี้ ส่องกระจกไม่รู้สึกไม่พอใจ หรือ พอใจ ในรูปลกษณ์ของตัวเองเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่รู้สึกอยากได้ของสวยๆงามๆไม่ ไม่อยากได้เครื่องประดับ ไม่อยากได้เสื้อผ้าแบรนเนม ไม่แต่งตัว พูดง่ายๆ ปล่อยวาง(ตอนนี้ดิฉันเห็นตัวเองในกระจกเหมือนศพเน่าบ้าง เห็นเป็นโครงกระดูกบ้าง ไม่แต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนแต่ก่อนไม่รักสวยรักงาม เป็นอิเพิ้ง :b32:
ลองไปเทียบเคียงดูนะเจ้าค่ะ ว่ามีอารมคล้ายๆแบบนี้หรือเปล่า ไม่ใช่บอกตัวเองว่า ละขันธ์5 เราไม่เอามัน มันไม่ใช่ตัวตนของเรา แต่ ไปซื้อนาฬิกาแพงๆมาใส่ อยากได้กระเป๋าหลุยติงต๊อง รักสวยรักงาม นั่นมันผิดแล้ว เพราะการละความยึดมั่นถือมั่นว่าเรามีเรา จะไม่มีอารมณ์อยากได้ของที่เป็นสิ่งของนอกกายเจ้าค่ะ :b16:
nongkong เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับคุณ nongkong
ขอยินดีกับผลการปฏิบัติข้างต้นด้วยนะครับที่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเรียกว่าชาตินี้อยู่ได้สบายแล้วครับ...แต่ขออนุญาติแสดงความเห็นสักนิดว่า สภาวะธรรมข้างต้นนี่ยังไม่ใช่การละขันธ์ 5 หรือการปล่อยวาง ขันธ์ 5 นะครับ แต่เป็นผลจากกำลังสมาธิที่เรามีมากขึ้น ทำให้กำลังสติและปัญญาเรามีมากขึ้น จึงตามรู้เท่าอาการของขันธ์ 5 ได้มากกว่าเมื่อก่อน...ดังคำพระอาจารย์มั่นท่านว่า"ศีลอันใดสมาธิอันนั้น สมาธิอันใดปัญญาอันนั้น"...แต่ถ้าทำให้มากเจริญให้มากขึ้นประกอบกับแสวงหาครูบาอาจารย์ที่เราฝากตัวเป็นที่พึ่งได้ ผมว่าคุณ nongkong มีโอกาสที่ดีที่จะบรรลุธรรมที่สูงกว่านี้จนสามารถปล่อยวางขันธ์ 5 ได้หมดจริงๆ เพราะห่วงอะไรก็ไม่มีแล้ว
ขอบคุณครับ
ยังหรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้ดิฉันแค่กำลังเริ่มสู่หนทางแสงสว่าง แต่ดิฉันยังมีห่วงอยู่ ดิฉันก็คงต้องยึด มรรค มีองค์8เพื่อเป็นหนทางไม่ให้ตัวเองพลาดเจ้าค่ะ ท่านลูกพระป่า ดิฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง คือวันนี้ดิฉันฝัน คือดิฉันคิดถึงผู้หญิงคนนึงเป็นสมาชิกในเวปนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านลูกพระป่ายังเคยคุยกับผู้หญิงคนนั้นแต่เด่วนี้ไม่เจอแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง คือดิฉันกลัวไม่กล้านั่งกรรมฐาน เพราะถ้าจิตเรามีกำลังสมาธิพอ เราจะเจอนิมิตร เพื่อมาทดสอบจิตเราว่าจะสามารถผ่านมันไปได้ไหม ดิฉันเลยตัดสินใจไม่นั่งกรรมฐานแล้วเพราะยังไม่พร้อมคือ อายุยังน้อยอยู่กลัวสติแตกถ้าเจออะไร เข้าเรื่องนะค่ะ ดิฉันนึกถึงผุ้หญิงคนนั้น แล้วดิฉันฝันแต่ไม่เห็นหน้าแต่จิตดิฉันรู้ว่าเป็นคนนั้น มาแสดงความยินดีกับดิฉันแล้วบอกว่า ให้ดิฉันจิตยึดพระรัตนไตรเป็นสรณะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรตอนนั่งกรรมฐาน ดิฉันก็จะฝ่าฝันไปได้ แล้วก็บอกอีกว่า สิ่งที่ดิฉันกำลังจะได้มานั้นมันดี...คือสมาธิยังไม่นิ่งพอเลยปะติดปะต่อมะค่อยรู้เรื่อง พอดิฉันตื่น ดิฉันนึกถึงผู้หญิงคนนั้น เลยตั้งจิตอธิษฐานแผ่บุญกุศลไปให้ แล้วดิฉันเกิดปิติซ่านไปทั่วรูขุมขนเลยเจ้าค่ะ ดิฉันไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเค้ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เพราะเค้าเคยบอกว่า ชีวิตเค้านับได้เป็นวินาที... ปล.ใครที่รู้ตัวว่ามีกลิ่นไอมารไม่ควรอ่าน(อย่ามาหาว่าดิฉันบ้า มันรุ้ได้ด้วยปัตจัตตัง)



ผมยินดีกับการเห็นสภาวะธรรมนั้น ที่เห็นอนิจจังทุกขัง และอนัตตา แต่อย่าลืมนะครับว่าแม้ความเห็น(ขอเน้นว่าสภาวะความเห็น)ว่าอนิจจัง ทุกขังและอนัตตา นี้ก็สิ่งเหล่านี้อยู่ในอำนาจแห่งไตรลักษ์เหมือนกัน

แม้นหยุดรู้อยู่เท่านี้ ติดรู้อยู่เท่านี้ ความรู้นี้ก็อาจเสื่อมลงได้เช่นกัน

ขอให้ความเพียรเพื่อความรู้ยิ่งจงดำเนินต่อไปจนสุดสาย

เพราะยังมีวิมุติธรรมอันประณีตยิ่งขึ้นไปที่ควรรู้ถึงอีกเป็นอันมาก จนกว่าจะสิ้นทุกข์

:b8: อนุโมทนา

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณกบฯเขียน

อ้างคำพูด:
ต้องมีแรงบันดาลใจครับ...หากอยู่แต่กับตัวเราเอง..ดูจะเนือย..เนือย..ไปเรื่อง ๆ
หากได้พบกัลนยาณมิตร...ครูอาจารย์..ที่ถึงพร้อม...นี้นะ..จะได้ใจอย่างไม่ต้องพูดถัง

กิเลส...ไม่ว่าสมัยไหน..มันก็เหมือนกัน...
บุญเราก็ไม่น้อย...พระธรรมคำสอนก็ยังสมบูรณ์...ผู้ที่เขาบรรลุก็มี
แล้ว...กับเราทำไมถึงจะเป็นไปไม่ได้

มีแต่กิเลส..เท่านั้นแหละที่บอกเราว่าเป็นไปไม่ได้

นี้ให้คือการคิดให้กำลังใจกับตัวเอง....



ตรงนี้จริงเลยค่ะ ถ้าเราไม่เข้าหาผู้รู้เราก็คงไม่รู้ว่า สิ่งที่เราทำอยู่นี้
คือหนทางที่ไปสู่ผลของการบรรลุธรรม

เพราะตามความเข้าใจของเรา หนทางที่ไปสู่บรรลุธรรมได้นั้น คงจะต้องออกบวช
ปล่อยวางทุกสิ่งไม่ยึดติดอะไรทั้งนั้น ออกธุดงค์ในป่าให้จิตจับอยู่กับลมหายใจเท่านั้น

แต่พออ่านตรงที่คุณขณะจิตเขียน ทำให้เรารู้ว่าตอนนี้เราได้มายืนอยู่ต้นทาง
ที่จะไปแล้ว คือรู้ทางที่จะไปสู่เส้นธรรมแล้ว
เพราะที่ผ่านๆมา เราเหมือนคนเดินสะเป๊ะสะป่ะน่ะค่ะ

แต่จะเดินได้ไปจนถึงจุดที่สู่บรรลุธรรมได้หรือไม่นั้น
คงต้องอาศัยการสร้างบุญบารมีเพื่อให้เกิดพลังใช่หรือไม่ค่ะ :b8:



ผมเชื่อมั่นการรู้ธรรมถึงธรรมนั้น แม้เป็นผู้ครองเรือนก็รู้ได้ เพราะในสมัยพุทธกาลมีอุบาสก อุบาสิกาจำนวนมากที่บรรลุโสดา สกิทาคา อนาคามีผล เช่นนางวิสาขาฯลฯ

เมื่อปฏิบัติถึงความมั่นใจจะปลงผมออกบวชก็ยังไม่สาย

ส่วนวิธีจะเพิ่มพูนปัจจัยในการไปให้ถึงนั้น วิธีเจริญอินทรีย์ ๕ คุณกรัชกรายได้อธิบายเหตุ ผล ไว้กระจ่างยิ่งนัก สาธุ :b8:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


แก้ไขล่าสุดโดย ขณะจิต เมื่อ 09 เม.ย. 2012, 18:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 14:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ยังหรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้ดิฉันแค่กำลังเริ่มสู่หนทางแสงสว่าง แต่ดิฉันยังมีห่วงอยู่ ดิฉันก็คงต้องยึด มรรค มีองค์8เพื่อเป็นหนทางไม่ให้ตัวเองพลาดเจ้าค่ะ ท่านลูกพระป่า ดิฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง คือวันนี้ดิฉันฝัน คือดิฉันคิดถึงผู้หญิงคนนึงเป็นสมาชิกในเวปนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านลูกพระป่ายังเคยคุยกับผู้หญิงคนนั้นแต่เด่วนี้ไม่เจอแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง คือดิฉันกลัวไม่กล้านั่งกรรมฐาน เพราะถ้าจิตเรามีกำลังสมาธิพอ เราจะเจอนิมิตร เพื่อมาทดสอบจิตเราว่าจะสามารถผ่านมันไปได้ไหม ดิฉันเลยตัดสินใจไม่นั่งกรรมฐานแล้วเพราะยังไม่พร้อมคือ อายุยังน้อยอยู่กลัวสติแตกถ้าเจออะไร เข้าเรื่องนะค่ะ ดิฉันนึกถึงผุ้หญิงคนนั้น แล้วดิฉันฝันแต่ไม่เห็นหน้าแต่จิตดิฉันรู้ว่าเป็นคนนั้น มาแสดงความยินดีกับดิฉันแล้วบอกว่า ให้ดิฉันจิตยึดพระรัตนไตรเป็นสรณะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรตอนนั่งกรรมฐาน ดิฉันก็จะฝ่าฝันไปได้ แล้วก็บอกอีกว่า สิ่งที่ดิฉันกำลังจะได้มานั้นมันดี...คือสมาธิยังไม่นิ่งพอเลยปะติดปะต่อมะค่อยรู้เรื่อง พอดิฉันตื่น ดิฉันนึกถึงผู้หญิงคนนั้น เลยตั้งจิตอธิษฐานแผ่บุญกุศลไปให้ แล้วดิฉันเกิดปิติซ่านไปทั่วรูขุมขนเลยเจ้าค่ะ ดิฉันไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเค้ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เพราะเค้าเคยบอกว่า ชีวิตเค้านับได้เป็นวินาที... ปล.ใครที่รู้ตัวว่ามีกลิ่นไอมารไม่ควรอ่าน(อย่ามาหาว่าดิฉันบ้า มันรุ้ได้ด้วยปัตจัตตัง)

สวัสดีครับคุณ nongkong :b8:
ความรู้ที่ปรากฏในนิมิตนั้นผมว่าถูกต้องเลยครับ เพราะพ่อแม่ครูอาจารย์สายหลวงปู่มั่นทุกท่านก็สอนให้เราเริ่มต้นการเข้าภาวนาด้วยการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยก่อนเสมอ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ 3 รอบตามจังหวะการหายใจเข้าออก หรือจะอธิษฐานจิตตามด้วยก็ได้ อานิสงฆ์ตรงนี้จะทำให้จิตของเรามีที่พึ่งยามที่เกิดนิมิตเห็นอะไรที่แปลก จิตจะไม่หลงไปตามนิมิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับกำลังสติของเราด้วย...ส่วนความกลัวการนั่งกรรมฐานนั้น ก็เป็นเรื่องของนิวรณ์ ข้อ วิจิกิจฉา ความสงสัยความไม่รู้ อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน ความกังวล ไปก่อน....ทั้งๆที่กรรมฐานก็คือการฝึกจิตฝึกใจให้สงบและเห็นความจริงตามธรรมดาเท่านั้นเองครับ...ถ้าเรามีสติแล้วจะมีใครกลัวเงาตัวเองบ้าง...การเข้าภาวนากรรมฐานถ้าเรามีสติสำรวมระวังพร้อมอยู่ก็ไม่ต้องกังวลครับ...
**พูดถึงเรื่องนิมิตแล้วผมเองก็มีอยู่เหมือนกัน...เป็นนิมิตที่ปรากฏในฝันตั้งแต่ตอนเด็กและเกิดขึ้นเรื่อยมาจนโต...นิมิตนั้นไม่มีอะไรมากครับ เห็นแค่ตัวเองกำลังพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างแบบสุดกำลัง...แต่ภาพที่เห็นมันเหมือนภาพช้าที่ไม่ว่าจะพยายามยังไงมันก็ยังเคลื่อนไหวช้าๆอยู่แบบนั้น...จนครั้งสุดท้ายที่นิมิตอันนี้ปรากฏขึ้นตอนที่บวชเมื่อวัยเบญจเพศ จึงได้นั่งกำหนดพิจารณานิมิตอันนี้ว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร...จนตีความหมายออกว่า มันหมายถึงการออกมาจากโลกที่เป็นโลกิยะเข้าสู่โลกโลกุตระของตัวเอง ที่ยังมีวิบากกรรมอยู่อีกมาก ถึงใจนี้จะอยากออกมาให้เร็วแค่ไหนแต่ตัวกลับออกมาตามใจไม่ได้...และหลังจากตีความหมายนิมิตนี้ออกแล้ว นิมิตนี้ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นมาอีกเลย ทั้งๆที่ก่อนหน้าอย่างน้อยต้องเกิดขึ้นปีละครั้ง
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
nongkong เขียน:
ยังหรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้ดิฉันแค่กำลังเริ่มสู่หนทางแสงสว่าง แต่ดิฉันยังมีห่วงอยู่ ดิฉันก็คงต้องยึด มรรค มีองค์8เพื่อเป็นหนทางไม่ให้ตัวเองพลาดเจ้าค่ะ ท่านลูกพระป่า ดิฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง คือวันนี้ดิฉันฝัน คือดิฉันคิดถึงผู้หญิงคนนึงเป็นสมาชิกในเวปนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านลูกพระป่ายังเคยคุยกับผู้หญิงคนนั้นแต่เด่วนี้ไม่เจอแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง คือดิฉันกลัวไม่กล้านั่งกรรมฐาน เพราะถ้าจิตเรามีกำลังสมาธิพอ เราจะเจอนิมิตร เพื่อมาทดสอบจิตเราว่าจะสามารถผ่านมันไปได้ไหม ดิฉันเลยตัดสินใจไม่นั่งกรรมฐานแล้วเพราะยังไม่พร้อมคือ อายุยังน้อยอยู่กลัวสติแตกถ้าเจออะไร เข้าเรื่องนะค่ะ ดิฉันนึกถึงผุ้หญิงคนนั้น แล้วดิฉันฝันแต่ไม่เห็นหน้าแต่จิตดิฉันรู้ว่าเป็นคนนั้น มาแสดงความยินดีกับดิฉันแล้วบอกว่า ให้ดิฉันจิตยึดพระรัตนไตรเป็นสรณะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรตอนนั่งกรรมฐาน ดิฉันก็จะฝ่าฝันไปได้ แล้วก็บอกอีกว่า สิ่งที่ดิฉันกำลังจะได้มานั้นมันดี...คือสมาธิยังไม่นิ่งพอเลยปะติดปะต่อมะค่อยรู้เรื่อง พอดิฉันตื่น ดิฉันนึกถึงผู้หญิงคนนั้น เลยตั้งจิตอธิษฐานแผ่บุญกุศลไปให้ แล้วดิฉันเกิดปิติซ่านไปทั่วรูขุมขนเลยเจ้าค่ะ ดิฉันไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเค้ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เพราะเค้าเคยบอกว่า ชีวิตเค้านับได้เป็นวินาที... ปล.ใครที่รู้ตัวว่ามีกลิ่นไอมารไม่ควรอ่าน(อย่ามาหาว่าดิฉันบ้า มันรุ้ได้ด้วยปัตจัตตัง)

สวัสดีครับคุณ nongkong :b8:
ความรู้ที่ปรากฏในนิมิตนั้นผมว่าถูกต้องเลยครับ เพราะพ่อแม่ครูอาจารย์สายหลวงปู่มั่นทุกท่านก็สอนให้เราเริ่มต้นการเข้าภาวนาด้วยการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยก่อนเสมอ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ 3 รอบตามจังหวะการหายใจเข้าออก หรือจะอธิษฐานจิตตามด้วยก็ได้ อานิสงฆ์ตรงนี้จะทำให้จิตของเรามีที่พึ่งยามที่เกิดนิมิตเห็นอะไรที่แปลก จิตจะไม่หลงไปตามนิมิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับกำลังสติของเราด้วย...ส่วนความกลัวการนั่งกรรมฐานนั้น ก็เป็นเรื่องของนิวรณ์ ข้อ วิจิกิจฉา ความสงสัยความไม่รู้ อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน ความกังวล ไปก่อน....ทั้งๆที่กรรมฐานก็คือการฝึกจิตฝึกใจให้สงบและเห็นความจริงตามธรรมดาเท่านั้นเองครับ...ถ้าเรามีสติแล้วจะมีใครกลัวเงาตัวเองบ้าง...การเข้าภาวนากรรมฐานถ้าเรามีสติสำรวมระวังพร้อมอยู่ก็ไม่ต้องกังวลครับ...
**พูดถึงเรื่องนิมิตแล้วผมเองก็มีอยู่เหมือนกัน...เป็นนิมิตที่ปรากฏในฝันตั้งแต่ตอนเด็กและเกิดขึ้นเรื่อยมาจนโต...นิมิตนั้นไม่มีอะไรมากครับ เห็นแค่ตัวเองกำลังพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างแบบสุดกำลัง...แต่ภาพที่เห็นมันเหมือนภาพช้าที่ไม่ว่าจะพยายามยังไงมันก็ยังเคลื่อนไหวช้าๆอยู่แบบนั้น...จนครั้งสุดท้ายที่นิมิตอันนี้ปรากฏขึ้นตอนที่บวชเมื่อวัยเบญจเพศ จึงได้นั่งกำหนดพิจารณานิมิตอันนี้ว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร...จนตีความหมายออกว่า มันหมายถึงการออกมาจากโลกที่เป็นโลกิยะเข้าสู่โลกโลกุตระของตัวเอง ที่ยังมีวิบากกรรมอยู่อีกมาก ถึงใจนี้จะอยากออกมาให้เร็วแค่ไหนแต่ตัวกลับออกมาตามใจไม่ได้...และหลังจากตีความหมายนิมิตนี้ออกแล้ว นิมิตนี้ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นมาอีกเลย ทั้งๆที่ก่อนหน้าอย่างน้อยต้องเกิดขึ้นปีละครั้ง
ขอบคุณครับ :b8:

คุนลูกพระป่าเจ้าค่ะ นิมิตคุนทำไมเหมือนกับของดิฉันจัง ไปอ่านกระทู้ผีอำหน้าสุดท้ายของดิฉันดูสิเจ้าค่ะ :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
. ปล.ใครที่รู้ตัวว่ามีกลิ่นไอมารไม่ควรอ่าน(อย่ามาหาว่าดิฉันบ้า มันรุ้ได้ด้วยปัตจัตตัง


รู้ด้วยปัญญาหรือปล่าวครับ? ขอโทษที่ตั้งคำถาม เพราะหากรู้ด้วยปัญญาคือรู้ความจริง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อ้างคำพูด:
. ปล.ใครที่รู้ตัวว่ามีกลิ่นไอมารไม่ควรอ่าน(อย่ามาหาว่าดิฉันบ้า มันรุ้ได้ด้วยปัตจัตตัง


รู้ด้วยปัญญาหรือปล่าวครับ? ขอโทษที่ตั้งคำถาม เพราะหากรู้ด้วยปัญญาคือรู้ความจริง

คงจะเป็นการรู้ด้วยปัญญา ในจิตใต้สำนึก เลยเกิดนิมิตในฝัน กระมังเจ้าค่ะ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล บอก
"คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้"
สงสัยดิฉันคงได้ อภิญญาในระดับจิตหยาบกระมังเจ้าค่ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 15:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าไปหาดูแล้วแต่ไม่เจอครับ...แต่ถ้ามันเหมือนกัน...รึว่า...สิ่งที่ผมวิ่งหนีเป็นคุณ nongkong กันหว่า... s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
เข้าไปหาดูแล้วแต่ไม่เจอครับ...แต่ถ้ามันเหมือนกัน...รึว่า...สิ่งที่ผมวิ่งหนีเป็นคุณ nongkong กันหว่า... s002

อยู่หน้า2 กระมังค่ะ เค้าบอกว่า คนที่มีธรรมเสมอกันมักจะมีกระแสทำให้มาพบกันเจ้าค่ะ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 16:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
... ปล.ใครที่รู้ตัวว่ามีกลิ่นไอมารไม่ควรอ่าน(อย่ามาหาว่าดิฉันบ้า มันรุ้ได้ด้วยปัตจัตตัง)


:b12: กลิ่นไอมาร

:b32:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุโมทนากับทุกท่านนะครับ

ในการปฏิบัติธรรม เจริญปัญญา แน่นอนว่าปัญญาเป็นสิ่งที่เราควรพยายามทำให้เจริญขึ้น แต่ถ้าหากได้ปัญญามาแล้วละ ควรทำอย่างไรต่อไป

ใจความของพระพุทธศาสนา คือไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด เพราะทุกสิ่งล้วนแต่ไม่เที่ยง ไม่คงที่ปรวนแปรไปเสมอ และบังคับบัญชาไม่ได้ ทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุ และจะดับลงเมื่อเหตุดับ

แน่นอน ว่านี่รวมถึงปัญญาจากการวิปัสนาด้วย ปัญญาจากการปฏิบัติธรรม เป็นของดีของล้ำค่า แต่ก็เช่นเดียวกับทุกสิ่ง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

การยึดมั่น ยินดีในปัญญาที่ได้มาจะทำให้ปัญญานั้นมีอิทธิพลเหนือจิตใจ ส่งออกไปทางคำพูด และการกระทำ ไม่ว่ายึดมั่นในอะไร สิ่งนั้นก็จะยึดใจไว้ ทำให้ใจไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง ไม่เป็นปกติ ไม่เป็นธรรมแท้จริง นำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง ความไม่พอใจเมื่อมีผู้ไม่ยอมรับ และความทุกข์ในที่สุด และยังทำให้ไม่สามารถก้าวหน้าสู่จุดหมายต่อไปได้ เพราะใจติดใจ พอใจในศาลาที่พักริมทางจนลืมเป้าหมายไปเสียแล้ว

การได้ปัญญาเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ แต่การปล่อยปัญญาได้ต่างหากคือชัยชนะอย่างแท้จริง

เพียงแค่รู้ทันเท่านั้น ว่าใจพอใจอยู่ ว่าใจยึดอยู่ และเห็นว่าการพอใจนี้นำทุกข์นำโทษอะไรมาให้บ้าง เพียงแค่นี้ก็เป็นเหตุของการข้ามพ้นปัญญาแล้ว

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับอารมณ์ 10 อย่าง ที่เป็นกับดักของนักปฏิบัติธรรมได้ในวิปัสนูปกิเลส 10

ความเห็นส่วนบุคคล ผิดถูกอย่างไรโปรดพิจารณา

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2012, 23:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
:b8: ขออนุโมทนากับทุกท่านนะครับ

ในการปฏิบัติธรรม เจริญปัญญา แน่นอนว่าปัญญาเป็นสิ่งที่เราควรพยายามทำให้เจริญขึ้น แต่ถ้าหากได้ปัญญามาแล้วละ ควรทำอย่างไรต่อไป

ใจความของพระพุทธศาสนา คือไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด เพราะทุกสิ่งล้วนแต่ไม่เที่ยง ไม่คงที่ปรวนแปรไปเสมอ และบังคับบัญชาไม่ได้ ทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุ และจะดับลงเมื่อเหตุดับ

แน่นอน ว่านี่รวมถึงปัญญาจากการวิปัสนาด้วย ปัญญาจากการปฏิบัติธรรม เป็นของดีของล้ำค่า แต่ก็เช่นเดียวกับทุกสิ่ง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

การยึดมั่น ยินดีในปัญญาที่ได้มาจะทำให้ปัญญานั้นมีอิทธิพลเหนือจิตใจ ส่งออกไปทางคำพูด และการกระทำ ไม่ว่ายึดมั่นในอะไร สิ่งนั้นก็จะยึดใจไว้ ทำให้ใจไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง ไม่เป็นปกติ ไม่เป็นธรรมแท้จริง นำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง ความไม่พอใจเมื่อมีผู้ไม่ยอมรับ และความทุกข์ในที่สุด และยังทำให้ไม่สามารถก้าวหน้าสู่จุดหมายต่อไปได้ เพราะใจติดใจ พอใจในศาลาที่พักริมทางจนลืมเป้าหมายไปเสียแล้ว

การได้ปัญญาเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ แต่การปล่อยปัญญาได้ต่างหากคือชัยชนะอย่างแท้จริง

เพียงแค่รู้ทันเท่านั้น ว่าใจพอใจอยู่ ว่าใจยึดอยู่ และเห็นว่าการพอใจนี้นำทุกข์นำโทษอะไรมาให้บ้าง เพียงแค่นี้ก็เป็นเหตุของการข้ามพ้นปัญญาแล้ว

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับอารมณ์ 10 อย่าง ที่เป็นกับดักของนักปฏิบัติธรรมได้ในวิปัสนูปกิเลส 10

ความเห็นส่วนบุคคล ผิดถูกอย่างไรโปรดพิจารณา

สวัสดีครับพี่ คนธรรมดาๆ :b8:
ปัญญาไม่ใช่ตัวยึด..ปัญญาคือตัวรู้...ตัวที่ยึดไม่ใช่ปัญญาแต่เป็นตัวโมหะอวิชชา...เมื่อปัญญารู้เข้าไปฆ่าตัวไม่รู้คือโมหะอวิชชา ปัญญาก็จะปล่อยของมันเองเพราะปัญญาไม่ใช่ตัวยึด...ดังนั้นถ้าเป็นปัญญาแท้มันมีแต่คุณไม่มีโทษครับ
ขอบคุณครับ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 74 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร