วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 02:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 170 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ NongKong
การพยากรณ์ สภาวะการบรรลุธรรมใดๆ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านการพิมพ์ทางหน้าจอเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ครับ
ล้วนเป็นการคาดเดาสภาวะทั้งสิ้น เช่นนั้นจึงไม่อาจที่จะตอบได้ครับ

หวังว่า NongKong พิจารณารักษาสติ ด้วยความไม่ประมาท ในจงดี และรู้จักจิตว่าอยู่ในภายใน หรือแส่ไปตามอารมณ์ภายนอก ก็จะเป็นเครื่องคุ้มครองใจไม่ให้ผัสสะอันเป็นอกุศลเกิดได้

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่กับความมืด เขียน:
nongkong เขียน:
ดิฉันเอาผลการปฏิบัติมาให้ท่านเช่นนั้น พิจารณาและชี้แนะด้วยนะเจ้าค่ะ (ท่านโฮช่วยชี้แนะด้วยก็ได้เจ้าค่ะเผื่อดิฉันเข้าใจผิดไปตรงจุดใด)ตอนนี้ดิฉันกำลังฝึกอบรมสติให้เป็นสมาธิโดย การรู้ ลมหายใจ เข้า-ออก ของตัวเอง ด้วยการ กิน การเดิน การทำงานบ้านเช่น กวาดบ้าน ล้างจาน ดิฉนปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่งก็รู้ อารมณ์ตัวเองเร็วขึ้น เช่น จิตดิฉันไปกระทบกับผัสสะคือความยินร้าย มีคนนินทาดิฉัน แต่ดิฉันเฉยไม่โกรธ(แต่จิตยังปรุงแต่งเป็นเวทนาและดับไป คือดิฉันไม่สนใจใครจะคิดไง ดิฉันรู้ตัวว่าทำอะไร)หรือบางครั้งดิฉันโกรธก็รู้ตัวเองว่าโกรธ แต่ดิฉันจะนิ่งก่อนคือใจเย็น บางครั้งผัสสะที่มากระทบให้ดิฉันรู้สึกโกรธ ถ้าไม่มีสมาธิพอในตอนนั้น ก็กลายเป็นสติที่ปรุงแต่งออกไปเป็นความคิดโต้แย้ง คือดิฉันจะชี้แจงแบบมีเหตุผล แต่พวกนั้นเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็เหมือนไปเติมเชื้อไฟ ดิฉันก็รู้ว่าต้องนิ่งหลังจากรู้อารมณืตัวเองแล้ว ดิฉันคิดว่าได้ปัญญาามาระดับต้นๆแล้ว จากการอบรมสติจนเป็นสมาธิ เลยอยากนั่งกรรมฐาน เพื่อเป็นการอบรมจิตให้เจริญสติปัญญาให้มากขึ้นกว่านี้ อ่อมีอีกอย่างนึงที่ดิฉันเหมือนรู้ได้เอง คือ อภิญญา เจโตยปริญาณ แต่เป็นแบบเจโตยปริญาณขั้นต้นๆ (กำหนดรู้จิตใจผู้อื่น)แต่ดิฉันก็ไม่แน่ใจว่าดิฉันคิดไปเองหรือเปล่า คือถ้าดิฉันได้เข้าไปคุยกับ บุคคลที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ดิฉันจะรู้ได้ด้วยจิตเองเลยว่าบุคคลนั้นมีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร แม้ว่าเค้าจะอยู่ในมาดสำรวมก็ตาม ขอแค่ได้ไปคุยดิฉันก็เดาออก แต่ดิฉันเดาได้เฉพาะคนที่จิตหยาบกว่าดิฉัน ถ้าเป็นคนที่จิตละเอียด ดิฉันยังเดาไม่ออกเลยเจ้าค่ะ แต่ดิฉันก็รู้ได้จากการสนทนาว่าบุคคลนั้นมีปัญญาที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าหรื่อต่ำกว่าดิฉันจากการสนทนา เพราะอภิญญาคือ ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน

และท่านเช่นนั้นก็บำเพ็บกรรมฐานมานานแล้ว จิตละเอียดกว่าดิฉันเลยอยากถามว่าดิฉันได้ได้อภิญญา เจโตยปริญาณขั้นต้นจริงหรือเปล่าเจ้าค่ะ


ตอนแรกว่าจะด่าสักหน่อยเพื่อทดสอบว่าจะโกรธไหม แต่ดูแล้วมันรุนแรงไปหน่อยเดียวจะโดนแบน เอาเป็นว่าตอนนี้คุณกำลังหลงอยู่นะ ทางที่ดีคือปฏิบัติไปเรื่อยๆก่อนอย่างพึงด่วนสรุปอะไรเคยเป็นเหมือนกันตอนปฏิบัติแรกเกิดความสงบใจมีความสุขถึงกับอยากทิ้งเรื่องเรียนไปเลยอยากปฏิบัติอย่างเดียวอยากเข้าป่าด้วยซ้ำแต่พอมาช่างหลังเรียนไกล้จบต้องเรียนหนักเลยไม่ค่อยมีเวลาปฏิบัติอารมณต่างๆรู้สึกเริ่มหายไป แต่สิ่งสำคัญของการปฏิบัติคือการมีสติรู้ทุกอิริยาบทของการเคลื่อนไหว เพราะสติเป็นใหญ่ถ้ามีสติแล้วเดียวธรรมอย่างอื่นก็จะตามมา :b9:

เดี๋ยวนี้เวลาโดนด่าไม่ค่อยโกรธแล้ว(ต้องรู้เจตนาของคนด่าด้วยเจ้าค่ะ)แต่เป็นความรู้สึก เวทนาก็ยังมีอยู่แต่มันปรุงแต่งและดับไปเอง (คนนะเจ้าค่ะมะใช่หุ่นยนต์)แบบนี้เรียกว่า โมหะ ลดลงแล้วใช่หรือยังเจ้าค่ะบางครั้งเจอคนสติบ๊องตื้นด่ากลับรู้สึกขำๆ ไม่ได้รู้สึกทุรนทุรายในจิตเลยแม้แต่นิด รู้สึกเหมือนกิเลสน่าจะลดลงแล้วแต่ดิฉันก็ยังปฏิบัติไปเรื่อยๆอยู่เจ้าค่ะ ตั้งแต่ปฏิบัติธรรมรู้สึกหายกลัวผีขึ้นเยอะ(คิดในใจ ถ้าเจอก็จะแผ่เมตตาให้ แต่ทางที่ดีอย่าเจอดีกว่าเพราะจะแผ่เมตตาให้ก่อนทุกครั้งเวลานั่งกรรมฐาน)เมื่อคืนดิฉันก็ทดลองฝึกสมาธิโดยการนั่งกรรมฐาน ทั้งที่ดิฉันปวดฟัน แต่ตอนนั่งกรรมฐานพอจิตเรานิ่ง มันไม่รู้สึกปวดเลยเจ้าค่ะ เหมือนกับเรามีแต่จิตว่างไม่มีอะไร แต่ถ้าเผลอคิดอะไรฟุ้งซ่านก็จะเริ่มปวด ดิฉันจะออกจากสมาธิทันทีถ้ารู้ว่ากำลังคิดเพ้อเจ้อ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ถามหน่อยเคยได้ยินได้ฟังบัญญัติที่ว่า
สัมมาญาณและสัมมาวิมุติมั้ยล่ะ
คำว่าสุตตะมยปัญญา จินตมยปัญญาและภาวนามยปัญญา
ผมทายได้โดยรู้จากความเห็นของคุณ คุณคงคิดว่าปัญญาที่เกิดจากสามสิ่งที่กล่าวมา
คงเป็นปัญญาสัมมาทิฐิแหง่ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เชิญเถอะครับ

โฮฮับ...
การฟังเพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม เป็นอุปการะแก่ปัญญา
พระสูตรแสดงชัดเจน ไม่กำกวม พิจารณาให้ดี

โฮฮับ
สัมมาญาณ สัมมาวิมมุติ ที่โฮฮับพยายามแตกประเด็น เป็นเหตุหรือเป็นผล
โฮฮับก็พยายามตรึกตรองเอาเอง
อย่าเบี่ยงประเด็นออก จาก การเห็นไตรลักษณ์เป็นสัมมาทิฏฐิ

มั่ว ก็ให้มั่วอยู่ในเรื่องเดียวก็เพียงพอ อย่ามั่วกระจัดกระจายเลย โฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
คุณ NongKong
การพยากรณ์ สภาวะการบรรลุธรรมใดๆ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านการพิมพ์ทางหน้าจอเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ครับ
ล้วนเป็นการคาดเดาสภาวะทั้งสิ้น เช่นนั้นจึงไม่อาจที่จะตอบได้ครับ

หวังว่า NongKong พิจารณารักษาสติ ด้วยความไม่ประมาท ในจงดี และรู้จักจิตว่าอยู่ในภายใน หรือแส่ไปตามอารมณ์ภายนอก ก็จะเป็นเครื่องคุ้มครองใจไม่ให้ผัสสะอันเป็นอกุศลเกิดได้

เจริญธรรม

:b8: เจ้าค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่าง การอธิบายพุทธพจน์ โดยไม่บิดเบือนพุทธพจน์
โดยไม่บัญญัติ ศัพท์ใหม่
และสามารถนำมาเจริญสมถะวิปัสสนา จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ก็ศึกษาได้จาก ธรรมบรรยายแสดงโดยพระสารีบุตรเถระ อัครสาวกของพระพุทธองค์ ตามลิงค์ ข้างล่างนี้

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=1518&Z=1753&pagebreak=0

แม้แต่ ธรรมเสนาบดี ก็ยังไม่ได้ อธิบายว่า
การรู้อนิจจัง การรู้ทุกขัง การรู้อนัตตา เป็นสัมมาทิฏฐิ

จริงหรือไม่จริง โฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อะไร "ปธาน" จ๊ะเนี่ย :b14:



.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ตัวอย่าง การอธิบายพุทธพจน์ โดยไม่บิดเบือนพุทธพจน์
โดยไม่บัญญัติ ศัพท์ใหม่
และสามารถนำมาเจริญสมถะวิปัสสนา จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ก็ศึกษาได้จาก ธรรมบรรยายแสดงโดยพระสารีบุตรเถระ อัครสาวกของพระพุทธองค์ ตามลิงค์ ข้างล่างนี้

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=1518&Z=1753&pagebreak=0

แม้แต่ ธรรมเสนาบดี ก็ยังไม่ได้ อธิบายว่า
การรู้อนิจจัง การรู้ทุกขัง การรู้อนัตตา เป็นสัมมาทิฏฐิ

จริงหรือไม่จริง โฮฮับ



สวัสดีครับท่านเช่นนั้น ที่จริงก็ไม่อยากจะขัดบทสนทนาหรอกนะครับ

เพียงอยากจะฝากให้พิจารณาดูครับว่า
การเห็นจริงซึ่งสังขารธรรมทั้งปวงด้วยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสัมมาทิฏฐิ รึเปล่า
ลองพิจารณาดูอีกซักรอบนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ตัวอย่าง การอธิบายพุทธพจน์ โดยไม่บิดเบือนพุทธพจน์
โดยไม่บัญญัติ ศัพท์ใหม่
และสามารถนำมาเจริญสมถะวิปัสสนา จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ก็ศึกษาได้จาก ธรรมบรรยายแสดงโดยพระสารีบุตรเถระ อัครสาวกของพระพุทธองค์ ตามลิงค์ ข้างล่างนี้

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=1518&Z=1753&pagebreak=0

แม้แต่ ธรรมเสนาบดี ก็ยังไม่ได้ อธิบายว่า
การรู้อนิจจัง การรู้ทุกขัง การรู้อนัตตา เป็นสัมมาทิฏฐิ

จริงหรือไม่จริง โฮฮับ

อนุโมทนาด้วย เจ้าค่ะ :b8: ดิฉันกำลังอยากเทียบเคียงผลการปฏิบัติของตัวเองอยู่พอดีเลยว่าจิตดิฉันเป็น สัมมาทิฐิหรือยัง โชคดีที่ได้อ่านลิงค์ของท่านเช่นนั้น ผลการปฏิบัติดิฉันมานตรงไปตามที่ท่านเช่นนั้นพูดมา แต่ยังขัดข้องตรงที่ท่านโฮแย้งว่า การที่จะมีสัมมาทิฐิคือเราต้องเห็นไตรลักษณ์ แต่ผลการปฏิบัติของดิฉันคือ จิตจะไประลึกเอาสัญญาที่มีความจำเป็นเครื่องกั้นกระแสต่อกิเลส จนจิตดิฉันเป็นกุศล ทำให้ศีลมันก็บริสุทธิ์ไปโดยปริยาย โดยไม่ต้องไปยึดถือว่ากลัวจะผิดศีลเลยเจ้าค่ะ ที่สำคัญการอบรมจิตเป็นการเจริญปัญญาให้ไปสู่สัมมาทิฐิคือเข้าใจธรรมสอนของพระพุทธเจ้าแบบไม่บิดเบือน ไม่ยึดถือยึดมั่น มองลงมาที่จิตของเราเท่านั้น และอีกอย่างดิฉันไม่ได้อ่านตำราหรือท่องจำเลยแม้แต่น้อย เหมือนพระธรรมมันไหลวนเวียนในสมองแต่พอได้เปิดอ่านก็ อ้อเข้าใจแล้ว ถ้าติดขัดตรงไหน ก็แค่เปิดตำรา เหมือนเราไม่ต้องไป ท่อง ก ไก่ถึง โฮ นกฮูก เพราะดิฉันเชื่อว่าผู้ใหญ่หลายคนท่องไม่จบเหมือนเด็กอนุบาล แต่ถ้าให้จับเอาพยัญชนะมาโยงกันเป็นคำพูดเราก็ทำได้เองเลย แบบนี้เรียกได้ว่าดิฉันเข้าถึงกระแสธรรมแล้วหรือยังเจ้าค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ถามหน่อยเคยได้ยินได้ฟังบัญญัติที่ว่า
สัมมาญาณและสัมมาวิมุติมั้ยล่ะ
คำว่าสุตตะมยปัญญา จินตมยปัญญาและภาวนามยปัญญา
ผมทายได้โดยรู้จากความเห็นของคุณ คุณคงคิดว่าปัญญาที่เกิดจากสามสิ่งที่กล่าวมา
คงเป็นปัญญาสัมมาทิฐิแหง่ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เชิญเถอะครับ

โฮฮับ...
การฟังเพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม เป็นอุปการะแก่ปัญญา
พระสูตรแสดงชัดเจน ไม่กำกวม พิจารณาให้ดี

โฮฮับ
สัมมาญาณ สัมมาวิมมุติ ที่โฮฮับพยายามแตกประเด็น เป็นเหตุหรือเป็นผล
โฮฮับก็พยายามตรึกตรองเอาเอง
อย่าเบี่ยงประเด็นออก จาก การเห็นไตรลักษณ์เป็นสัมมาทิฏฐิ

มั่ว ก็ให้มั่วอยู่ในเรื่องเดียวก็เพียงพอ อย่ามั่วกระจัดกระจายเลย โฮฮับ

จะไปแตกประเด็นอะไร คุณมันรู้อยู่แค่บัญญัติ พอมีคนจะอธิบายความให้ละเอียดขึ้น
ก็เริ่มกลัว เพราะไม่เคยอ่าน :b13:

มันเป็นคุณเองที่ไปเอาธรรมเรื่อง "ธรรมที่มีอุปการะต่อปัญญา"
จะบอกว่าคำว่าอุปการะไม่ได้ทำให้เกิดปัญาตามที่คุณเข้าใจ แต่อุปการะคือการช่วยส่งเสริม
ปัญญาสัมมาทิฐิไปสู่ปัญญาสัมมาญาณและสัมมาวิมุติ


แค่นี้ก่อนแล้วจะพูดเรื่องที่คุณไปทิ่มแทงปฏิจสมุบาท มันชวนหัวจริงๆครับ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 16:39
โพสต์: 209


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
อยู่กับความมืด เขียน:
กำลังจะบอกว่าพระควรมกตัวอยู่แต่ในรูใช่ปะ ไม่ต้องไปสนใจพวกชาวบ้านใช่ปะ เพราะเดียวถ้ามันอยากรู้อะไรก็ไปอ่านพระไตรปิฏกก็ได้ใช่ปะ :b13:

ถุๆๆถูกต้องแล้วคร้าบบบบ อยากเตือนหลวงพี่เลือกหารูตามเขาที่สูงๆนะครับ
เมืองไทยน้ำท่วมบ่อย เมื่อปีที่ผ่านมา แถวบ้านผมแย้มันวิ่งกันกระเจิงเลยครับ

แมงสาปวิ่งออกจากรูท่อระบาย มาเกาะตามแขนตามขายะแหยงมากครับ

หลวงพี่มืดครับถามครับ รู้จักกาละเทศะมั้ยครับ
หลวงพี่จะเข้ามาป่วนบอร์ดเขาทำไมกันครับ เขากำลังถกธรรมกันอยู่
ประเดี๋ยวกระทู้โดนล็อกผมโทษหลวงพี่นะครับ
พระอาไรมากระแนะกระแหนชาวบ้าน เดี๋ยวไม่มีคน
ใส่บาตรหรอก


นี้มันยุคสมัยใหนแล้วคุณ เป็นฆาราวาสชะเปล่าความคิดยังจมอยู่กับอดีต ความคิดที่ว่าพระควรอยู่ในวัดอารามนี้เป็นความคิดที่ล้าสมัยมากนะหรือทำนองเห็นแก่ตัว หรือใช้อารมณ์โดยขาดเหตุผล อย่าลืมว่าพระเป็นส่วนหนึ่งของรัฐและปัจัยการดำรงชีพของพระขึ้นอยู่กับชาวบ้าน ดังนั้นบทบาทหน้าที่คืออะไร ก็คือการตอบแทบชาวบ้านอย่าไงละ ถามหน่อยว่าฆาราวาสทำไมต้องศึกษาธรรมะหรือวินัยของพระก็เพื่อไม่ให้ถูกหลอกเชื่อแบบหลง งมงาย อย่างไงละ ทำนองเดียวกันกับที่พระต้องออกจากวัดเพื่อศึกษาทางโลกก็เพื่อไม่ให้พวกมิตรฉาชิพมาหลอกเอาอย่างไงละ ทุกวันนี้นะถ้าพระไม่มีความรู้ทางโลกนี้แย่เลยนะ ใหนจะถูกพวกนักการเมืองหลอก ขนาดที่ดินวัดมันยังจะยึดไปเลย และอีกหน่อยมันจะเหลืออะไร ดูอย่างพระพยอมสิยังถูกหลกไปเป็นสิบล้าน แล้วถามหน่อยเมื่อเกิดกรณีแบบนี้จะมีฆาราวาสหน้าใหนมาช่วยปกป้องไหมไม่มี มีแต่สมน้ำน่ามากกว่า ทุกวันนี้พระจึงต้องเรียกร้องสิทธหลายๆอย่าง อย่างเช่นสำนักงานพุทธศาสนาถ้าพระไม่ไปเรียกร้องจะได้ไหมคำตอบคือไม่ได้ หรือตามโรงเรียนศาสนาอิสลามคริส มีหนึ่งหน่าวกิต แต่พุทธไม่มี เมืองไทยเป็นเมืองพุทธแต่ไม่มีสอนพุทธศาสนาในโรงเรียน แต่ดันหน้าด้านมาบอกว่าพระยกคำว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่มาขู่ชาวบ้านให้เชื่อหลงงมงาย เพื่อพระจะได้อยู่สบาย พูดไปได้ไงก็ในเมื่อพวกคุณไม่เคยสนใจจะศึกษาหรือสนับสนุนให้มีการสอนพุทธศาสนาเพื่อปลูกฝั่งศีลธรรมความดีงามให้กับเด็กเลย ขนาดพระเกษมออกเรียกร้องให้ไปศึกษาพระไตรปิฏกยังถุกกล่าวสาระพัด ตัวเองละโง่งมงายเองแต่ไปโยนความผิดให้กับพระ
อย่างที่กล่าวแต่แรก พระเป็นส่วนหนึ่งของประชาชน ดังนั้นพระก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองบ้าง เพราะคำว่าการเมืองในความหมายของพระคืออะไรคือการจัดการทำให้คนที่อยู่ร่วมกันเป้นจำนวนมากเป้นไปอย่างสันติ สงบสุข เมื่อเป้นเช่นนี้อะไรที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุขพระก็มีสิทธที่จะทำ แต่เวลาพระทำอะไรๆหน่อยก็ถูกพวกนักอนุรักษ์หัวโบราณออกมากล่าวอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตัวเองไม่เคยทำอะไรเพื่อพระศาสนาหรอ พวกนี้มันดีแต่วิจารย์คนนั้นคนโน้น มองแต่ความผิดของคนอื่นแต่มองไม่เห็นความชั่วของตัวเอง ทุกวันนี้พระจึงวางตัวลำบากในสังคมเพราะถ้าอยู่แต่ในวัดก็จะถูกกล่าวหาว่าไม่สนใจชาวบ้าน ไม่รู้จักบุญคุณที่ชาวบ้านเอาอาหารมาถวายมุ่งแต่หาความสุขความหลุดพ้นเพื่อตัวเอง แต่พอพระมาเรียกร้องอะไรหน่อยหรือมาเผยแพร่หรือสอนธรรมตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปของสังคม ก็จะถูกพวกที่มองไม่เห็นความชั่วของตัวเองออกมากว่าหาว่า เฮ้…นั้นไม่ใช่กิจของสงฆ์พระทำอย่างนั้นได้ไง …ก็อยากไว้ว่าเวลาจะกล่าวหาอะไรก็หัดมองในมุงที่กว่าหน่อย ว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นเป็นประโยชน์หรือไม่ ไม่ใช่ว่าเอาอารมณ์ความรู้สึกไม่ชอบมาเป็นเกฑณ์ตัดสิน :b9:
จงใช้ปัญญาตัดสิน…อย่าใช้อารมณ์ตัดสิน

.....................................................
_______________(-_-) (๑_๑)____________(^_^) (^ ^)_____________


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 12:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 16:39
โพสต์: 209


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นได้ว่าพวกที่มีความรู้ธรรมะ ดีดูเผินๆอาจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ลึกๆแล้วพวกนี้แหละตัวทำลายศาสนาเพราะพวกนี้สักแต่ว่ารู้แต่ไม่มีธรระในใจศึกษามาเพื่อใช้เป็นคู่มือหากิน

.....................................................
_______________(-_-) (๑_๑)____________(^_^) (^ ^)_____________


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่กับความมืด เขียน:

อย่างที่กล่าวแต่แรก พระเป็นส่วนหนึ่งของประชาชน ดังนั้นพระก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองบ้าง เพราะคำว่าการเมืองในความหมายของพระคืออะไรคือการจัดการทำให้คนที่อยู่ร่วมกันเป้นจำนวนมากเป้นไปอย่างสันติ สงบสุข
เมื่อเป้นเช่นนี้อะไรที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุขพระก็มีสิทธที่จะทำ แต่เวลาพระทำอะไรๆหน่อยก็ถูกพวกนักอนุรักษ์หัวโบราณออกมากล่าวอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตัวเองไม่เคยทำอะไรเพื่อพระศาสนาหรอ

พวกนี้มันดีแต่วิจารย์คนนั้นคนโน้น มองแต่ความผิดของคนอื่นแต่มองไม่เห็นความชั่วของตัวเอง ทุกวันนี้พระจึงวางตัวลำบากในสังคมเพราะถ้าอยู่แต่ในวัดก็จะถูกกล่าวหาว่าไม่สนใจชาวบ้าน ไม่รู้จักบุญคุณที่ชาวบ้านเอาอาหารมาถวายมุ่งแต่หาความสุขความหลุดพ้นเพื่อตัวเอง

แต่พอพระมาเรียกร้องอะไรหน่อยหรือมาเผยแพร่หรือสอนธรรมตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปของสังคม ก็จะถูกพวกที่มองไม่เห็นความชั่วของตัวเองออกมากว่าหาว่า เฮ้…นั้นไม่ใช่กิจของสงฆ์พระทำอย่างนั้นได้ไง …ก็อยากไว้ว่าเวลาจะกล่าวหาอะไรก็หัดมองในมุงที่กว่าหน่อย ว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นเป็นประโยชน์หรือไม่ ไม่ใช่ว่าเอาอารมณ์ความรู้สึกไม่ชอบมาเป็นเกฑณ์ตัดสิน
จงใช้ปัญญาตัดสิน…อย่าใช้อารมณ์ตัดสิน



พูดมีเหตุผลขอรับ หนับหนุน :b1:

หากมองย้อนอดีตเมื่อครั้งพุทธกาล ชาวพุทธกับภิกษุสนับสนุนกันร่วมกันทำงานเพื่อสังคม
ลองดูพุทธดำรัสที่พระพุทธเจ้าส่งสาวกออกประกาศศาสนาดิ :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่กับความมืด เขียน:
พูดไปได้ไงก็ในเมื่อพวกคุณไม่เคยสนใจจะศึกษาหรือสนับสนุนให้มีการสอนพุทธศาสนาเพื่อปลูกฝั่งศีลธรรมความดีงามให้กับเด็กเลย ขนาดพระเกษมออกเรียกร้องให้ไปศึกษาพระไตรปิฏกยังถุกกล่าวสาระพัด ตัวเองละโง่งมงายเองแต่ไปโยนความผิดให้กับพระ
:b8: อนุโมทนากับคำพูดหลวงพี่มืด ทำให้ดิฉันเกิดไอเดียว่าทำอย่างไรจะปลูกฝัง ลูกดิฉันให้มีอริยทรัพย์ติดตัวต่อไปภายในภาคหน้า ดิฉันคิดมาหลายวันแล้ว ดิฉันจะศึกษาพระไตรปิฎกแล้วก็นิทานชาดกของพระพุทธเจ้า อ่านเป็นนิทานให้ลูกดิฉันฟังก่อนนอน :b39:


แก้ไขล่าสุดโดย nongkong เมื่อ 03 เม.ย. 2012, 13:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ตัวอย่าง การอธิบายพุทธพจน์ โดยไม่บิดเบือนพุทธพจน์
โดยไม่บัญญัติ ศัพท์ใหม่
และสามารถนำมาเจริญสมถะวิปัสสนา จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ก็ศึกษาได้จาก ธรรมบรรยายแสดงโดยพระสารีบุตรเถระ อัครสาวกของพระพุทธองค์ ตามลิงค์ ข้างล่างนี้

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=1518&Z=1753&pagebreak=0

แม้แต่ ธรรมเสนาบดี ก็ยังไม่ได้ อธิบายว่า
การรู้อนิจจัง การรู้ทุกขัง การรู้อนัตตา เป็นสัมมาทิฏฐิ

จริงหรือไม่จริง โฮฮับ

อนุโมทนาด้วย เจ้าค่ะ :b8: ดิฉันกำลังอยากเทียบเคียงผลการปฏิบัติของตัวเองอยู่พอดีเลยว่าจิตดิฉันเป็น สัมมาทิฐิหรือยัง โชคดีที่ได้อ่านลิงค์ของท่านเช่นนั้น ผลการปฏิบัติดิฉันมานตรงไปตามที่ท่านเช่นนั้นพูดมา แต่ยังขัดข้องตรงที่ท่านโฮแย้งว่า การที่จะมีสัมมาทิฐิคือเราต้องเห็นไตรลักษณ์ แต่ผลการปฏิบัติของดิฉันคือ จิตจะไประลึกเอาสัญญาที่มีความจำเป็นเครื่องกั้นกระแสต่อกิเลส จนจิตดิฉันเป็นกุศล ทำให้ศีลมันก็บริสุทธิ์ไปโดยปริยาย โดยไม่ต้องไปยึดถือว่ากลัวจะผิดศีลเลยเจ้าค่ะ ที่สำคัญการอบรมจิตเป็นการเจริญปัญญาให้ไปสู่สัมมาทิฐิคือเข้าใจธรรมสอนของพระพุทธเจ้าแบบไม่บิดเบือน ไม่ยึดถือยึดมั่น มองลงมาที่จิตของเราเท่านั้น และอีกอย่างดิฉันไม่ได้อ่านตำราหรือท่องจำเลยแม้แต่น้อย เหมือนพระธรรมมันไหลวนเวียนในสมองแต่พอได้เปิดอ่านก็ อ้อเข้าใจแล้ว ถ้าติดขัดตรงไหน ก็แค่เปิดตำรา เหมือนเราไม่ต้องไป ท่อง ก ไก่ถึง โฮ นกฮูก เพราะดิฉันเชื่อว่าผู้ใหญ่หลายคนท่องไม่จบเหมือนเด็กอนุบาล แต่ถ้าให้จับเอาพยัญชนะมาโยงกันเป็นคำพูดเราก็ทำได้เองเลย แบบนี้เรียกได้ว่าดิฉันเข้าถึงกระแสธรรมแล้วหรือยังเจ้าค่ะ

อนุโมทนา กับธรรมปฏิบัติ ที่ คุณNongKong ได้ปฏิบัติครับ
NongKong มีพระพุทธองค์เป็นสรณะ
มี พระธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสรณะ
มีความเห็นตรงต่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คือสงฆ์ เป็นสรณะ
ติดขัดต่อข้อปฏิบัติใด ปรึกษากับพระสูตร พระวินัยที่ได้แสดงไว้ แล้วปฏิบัติตามนั้น ดีแล้วครับ
ถ้ารักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วย ก็จะเข้าถึงกระแสธรรม ครับ

พระพุทธองค์ ทรงแสดง ทุกข์ และการดับทุกข์
แสดงเหตุ และผล
จับเหตุจับผล ที่เป็นไปในกายและจิตนี้ ด้วยจิตที่ไม่พลอยไปยินดี พลอยไปยินร้าย ต่อโลก
เพื่อดับทุกข์โทมนัสในโลก ...

เจริญในธรรมยิ่งขึ้นไปครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้สัมโพธิแล้ว มีพุทธดำริว่า ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นยาก หยั่งรู้ตามยาก สงบ ประณีต ตรรกะหยั่งไม่ถึง ละเอียดอ่อน เป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงทราบ"

"ธรรมเราเข้าถึงโดยยาก เวลานี้ ไม่ควรประกาศ ธรรมนี้มิใช่สิ่งที่สัตว์ผู้ถูราคะโทสะครอบงำจะรู้เข้าใจง่าย สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองความมืด คือ อวิชชาห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก"


จึงดำริที่จะไม่ประกาศธรรม แต่อาศัยความกรุณาต่อสัตว์โลก...จึงส่งสาวกออกเที่ยวประกาศธรรม
ซึ่งถือว่า เป็นคำสั่งของพระพุทธเจ้าก็ได้ เช่นที่ว่า


มุตฺตาหํ ภิกฺขเว สพฺพปาเสหิ เย ทิพฺพา เย จ มานุสฺสา, ตุมฺเหปิ ภิกฺขเว มุตฺตา สพฺพปาเสหิ, เย ทิพฺพา จ เย มานุสฺสา.

จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ.

มา เอเกน เทฺว อคมิตฺถ, เทเสถ ธมฺมํ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ, สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสถ, สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา อสฺสวนฺตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ, ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร, อหมฺปิ ภิกฺขเว, เยน อุรุเวลา เสนานิคโม เตนุปสงฺกมิสฺสามิ ธมฺมเทสนายาติ.


“ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์ แม้เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์ และของมนุษย์เช่นกัน

เธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์ และความสุขแก่คนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย

ขอจงอย่าได้ไปทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 170 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร