วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 22:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2012, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2008, 17:25
โพสต์: 62


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขาร เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสและอุปายาส
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

ขออนุญาตค่ะ
ในเชิงการปฏิบัติธรรมเพื่อการรู้แจ้งนั้น
ครูบาอาจารย์เน้นย้ำให้เฝ้าระวังที่ ผัสสะ อันเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
หรือหากเกิดเป็นเวทนาแล้ว ก็อย่าให้เกิดเป็นตัณหา
หากเลยจุดนี้แล้วก็จะไหลไปตามวงจรจนถึงทุกข์ฯ

ดังนั้น เราจึงมักจะได้ยินคำว่า
"ได้ยิน ก็สักว่าได้ยิน" "เห็น ก็สักแต่ว่าเห็น" ฯ
คือ สำรวม ระวัง ในทุกๆ ผัสสะอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเกิดผัสสะ แล้วก็ให้เป็นเพียงการรับรู้
ไม่ให้เกิดเป็นชอบ - ชัง
และหากเลยไปชอบ-ชัง แล้ว ก็อย่าให้เลยไปถึง "อยากได้ อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น"

ที่ฝึกสติ ก็คือให้มีความละเอียดอย่างยิ่ง รวดเร็วอย่างยิ่งต่อผัสสะ
และมีความหนักแน่นอย่างยิ่งต่อผลของผัสสะ ที่จะต่อไปถึง ชอบ-ชัง

จากประสบการณ์ของตัวเองก็เห็นว่า
หากต้องการตัดวงจรของปฏิจจสมุปบาท
ที่ง่ายที่สุดในเชิงปฏิบัติก็ควรเริ่มที่จุดนี้

คือเมื่อเราเห็นอย่างชัดเจนว่า ว่าคำสอนของพระพุทธองค์ เป็นจริง ปฏิบัติได้จริง
เราจะมีศรัทธามั่นคง และก็จะมุ่งมั่นฝึกฝนต่อๆไป เพื่อละอวิชชา

ขอทุกท่านเจริญในธรรมค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2012, 15:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขออนุญาตค่ะ
ในเชิงการปฏิบัติธรรมเพื่อการรู้แจ้งนั้น
ครูบาอาจารย์เน้นย้ำให้เฝ้าระวังที่ ผัสสะ อันเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
หรือหากเกิดเป็นเวทนาแล้ว ก็อย่าให้เกิดเป็นตัณหา
หากเลยจุดนี้แล้วก็จะไหลไปตามวงจรจนถึงทุกข์ฯ

ดังนั้น เราจึงมักจะได้ยินคำว่า
"ได้ยิน ก็สักว่าได้ยิน" "เห็น ก็สักแต่ว่าเห็น" ฯ
คือ สำรวม ระวัง ในทุกๆ ผัสสะอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเกิดผัสสะ แล้วก็ให้เป็นเพียงการรับรู้
ไม่ให้เกิดเป็นชอบ - ชัง
และหากเลยไปชอบ-ชัง แล้ว ก็อย่าให้เลยไปถึง "อยากได้ อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น"

ที่ฝึกสติ ก็คือให้มีความละเอียดอย่างยิ่ง รวดเร็วอย่างยิ่งต่อผัสสะ
และมีความหนักแน่นอย่างยิ่งต่อผลของผัสสะ ที่จะต่อไปถึง ชอบ-ชัง

จากประสบการณ์ของตัวเองก็เห็นว่า
หากต้องการตัดวงจรของปฏิจจสมุปบาท
ที่ง่ายที่สุดในเชิงปฏิบัติก็ควรเริ่มที่จุดนี้


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2012, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุรวุฒิ เขียน:
สรุปอย่างนี้ได้หรือเปล่าครับ (สรุปแบบตีความปฏิจจสมุปบาทเป็นภพเดียว ไม่ใช่แบบข้ามภพข้ัามชาติ)
เพราะไม่รู้แจ้งในอริยสัจ คือจิตไม่ประภัสสร (คืออวิชชา) จึงเป็นปัจจัยให้เจตนาต่างๆเกิดขึ้น (คือมีสังขาร ตามที่คุณ FLAME ช่วยยกมาตอบ) ทำให้การรับรู้ของตา หู ลิ้น ฯลฯ เกิดการทำงาน (คือมีวิญญาณ) ซึ่งทำให้ ร่างกายและใจทำงานตามไป มีความหมายเป็นร่างกายและใจที่ทำงานได้ (คือนามรูป) ตอนนี้สวิทช์ก็เปิดแล้ว(เจตนา) สายไฟก็เชื่อมแล้วครบระบบ(วิญญานและนามรูป) อายตนะจึงสมบูรณ์ที่จะทำงานเป็นตัวรับสัญญาน ...

:b4: :b4:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2012, 19:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ออก...ด้วยทางที่เข้า..มา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2012, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ย. 2011, 10:31
โพสต์: 36


 ข้อมูลส่วนตัว


เราไปอ่านเค้ามา ก็เป็นธรรมของผู้นั้นๆ

แต่ถ้า เราพิจารณาธรรมนั้น ก็เป็นธรรมของเราแล้วล่ะครับ

จะถูกบ้าง ผิดบ้างก็ธรรมดา พระพุทธเจ้าก็ทรงลองถูกลองผิดมาเหมือนกัน

เมื่อเราพิจารณาไปเรื่อยๆ แล้ว ธรรมนั้น ก็จะแจ่มแจ้งเอง

แต่ถ้าจับต้นชนปลายไม่ถูกหรือ ปรุงมากไปก็ติดฟุ้งซ่านได้อีกครับ เพราะฉะนั้น ปัญญาอบรมสมาธินั้น มีทั้งแง่ + และ - ได้ เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อพิจารณาไปนานเข้า ก็ควรมาพัก ที่สมาธิบ้างก็ดีนะครับ อย่างผม ก็ใช้ ดูลมหายใจเข้า กับ ออก รู้แค่นี้พอ รู้มากกว่านี้ยังไม่ได้ แต่ก็จับลมได้ทั้งวันนะครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2012, 21:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:
การศึกษาทางเข้า...ว่ามันเข้ามาอย่างไร....เป็นสมุทัย

ใช้กระบวนการเข้า..ย้อนศรเพื่อการออก....เป็นมรรค

:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2012, 05:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ขออนุญาตค่ะ
ในเชิงการปฏิบัติธรรมเพื่อการรู้แจ้งนั้น
ครูบาอาจารย์เน้นย้ำให้เฝ้าระวังที่ ผัสสะ อันเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
หรือหากเกิดเป็นเวทนาแล้ว ก็อย่าให้เกิดเป็นตัณหา
หากเลยจุดนี้แล้วก็จะไหลไปตามวงจรจนถึงทุกข์ฯ


[112] เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์ — feeling)
1. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief)
5. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference)


ผัสสะ แล้ว สุข ................................ ก็มี
ผัสสะ แล้ว ทุกข์ ...............................ก็มี
ผัสสะ แล้ว โสมนัส ...........................ก็มี
ผัสสะ แล้ว โทมนัส .............................ก็มี
ผัสสะ แล้ว อุเบกขา ............................ ก็มี

คนธรรมดา ผัสสะ แล้วก็มีครบ..........ทุกเวทนา

แต่ พระอรหันต์ ผัสสะ แล้ว.................. ยกเว้นข้อ โทมนัส ............ ไม่มี

สาเหตุ ที่ไม่มีโทมนัส เพราะพระอรหันต์ไม่มีโทสะ

อะไรหนอ เป็นต้นเหตุของโทสะ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2012, 07:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


..ไม่รู้..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2012, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2009, 21:22
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20: งง คำถาม ที่ถามนั่นแหละครับเป็นคำตอบในตัวอยู่แล้ว

คำถาม...ทำไมต้องขึ้นต้นด้วยอวิชชา คำตอบก็คือ ไม่รู้ ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นถูกต้องแล้ว(ที่ถามเพราะว่าไม่รู้ความจริง)
คำถาม... ควรจะเป็นสังขารขึ้นต้น คำตอบก็คือ มันเกิดการปรุงการคาดคะเน(เพราะไม่รู้จึงคิดคาดคะเน)

สรุปโดยรวม คำถาม ก็คือคำตอบ เพราะไม่รู้ความจริงก็เลยปรุงแต่ง(คาดคิด) ขึ้นมา
ความเห็นส่วนตัว ปฎิจจสมุปบาทแสดงตัวอยู่แล้ว หยุดดูซักนิดก็เห็นแล้วครับ


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2012, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2009, 21:22
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เข้าใจจริงๆครับว่า ในปฏิจจสมุปบาท ที่ว่า อวิชชา ทำให้เกิดสังขาร เท่าที่ฟังมาคือหมายความว่า ความไม่รู้แจ้ง ทำให้เจตนาที่จะรับรู้เกิดกับอายตนะของเรา เช่นทำให้เกิดหูฟังเสียงแล้วเป็นเสียงขึ้น (ตรงข้ามกับเสียงผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่รับรู้เข้าไป อย่างตอนเรานอนหลับ) งงตรงที่ว่า ความไม่รู้ จะไปเกี่ยวอะไรกับ การทำงานของระบบประสาท ทำไมวงจรไม่เิ่ริ่มตรงสังขารเป็นจุดแรกเลยครับ ขอบคุณครับ

ความไม่รู้ จะไปเกี่ยวอะไรกับ การทำงานของระบบประสาท ต้อ งไล่เรียงจาก อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ

เนื่องจากในกระบวนการของปฎิจจสมุปบาท ความจริงแล้วเร็วมาก บางครั้ง เราจะเห็นเฉพาะสังขารแล้ววิ่งไปที่เวทนา ยากสุดตรงที่ วิญญาณ ผมยกตัวอย่างอย่างนี้ครับ

เช่น เราเที่ยงนี้ไม่รู้จะกินอะไรดี ข้าวผัดก็แล้วกัน เริ่มต้น ไม่รู้ จะกินอะไรดี ก็ต้องคิดขึ้นมาก่อนว่ากิน ข้าวผัด หลังจากนั้นเราก็จะเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อจะไปหาข้าวผัดกิน กระบวนการในช่วงนี้คือ สังขาร วิญญาณ นามรูป คือเมื่อคิดขึ้นมา จะต้องเกิดการรับรู้ เนื้อเรื่อง เนื้อหาของความคิด ถึงจะเกิดการเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ของ นามหรือรูป หรือทั้งนามทั้งรูป

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2012, 07:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
ขออนุญาตค่ะ
ในเชิงการปฏิบัติธรรมเพื่อการรู้แจ้งนั้น
ครูบาอาจารย์เน้นย้ำให้เฝ้าระวังที่ ผัสสะ อันเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
หรือหากเกิดเป็นเวทนาแล้ว ก็อย่าให้เกิดเป็นตัณหา
หากเลยจุดนี้แล้วก็จะไหลไปตามวงจรจนถึงทุกข์ฯ


[112] เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์ — feeling)
1. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief)
5. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference)

tongue
ถ้าระวังที่ผัสสะสติจะตัดความรับรู้สงบไวแต่จะค้นหาสมุทัยไม่เจอจะได้ความสงบจากสมาธิเป็นผล
แต่ครูบาอาจารย์ท่านให้ระวังตรงช่วงต่อระหว่าง....เวทนา กับ ตัณหา.....ที่นี่จะสอดคล้องกับสติปัฏฐาน 4 และจะทำให้สติปัญญาได้พบกับสมุทัยเหตุทุกข์แล้วมีโอกาสเอาเหตุทุกข์ออก ลองพิจารตากันดูดีๆนะครับ
ว่าจะแก้ที่ผัสสะ หรือจะแก้ที่ สมุทัย
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2012, 09:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จะแก้ตรงไหนก็ตาม....ต่างก็ต้องใช้วิชชา...คือธรรมทั่งหลาย..ที่โยนิโสมาแล้วทั้งนั้น...จนมาเป็นบทสรุปสั้น..ๆ..ว่า..ไม่เอา

คือ..ไม่เอา...เพราะทุกข์...ทุกข์เพราะอะไร....
:b9:
ทีนี้...การจะไม่เอา...จะเอามาใช้ตรงไหน....ก็ขึ้นกับความถนัดของแต่ละคน

ฉนั่น...จะตรงที่..หลังผัสสะ..ก็ได้

หรือจะหลัง...เวทนา...ตัณหา....หรือ..อุปาทาน...ก็ไม่น่าแปลกอะไร

แต่หากไม่ประกอบด้วยปัญญาแล้วละก้อ...จะตรงไหน..ก็เป็นการกดข่ม..


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 12 มี.ค. 2012, 19:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2012, 09:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวปฏิจจสมุปบาท...นั่นแหละ....สมุทัยทั้งหมด


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร