วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 04:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 22 ก.พ. 2012, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติให้เกิด พละ คือ กำลัง
พละหมายถึง กำลัง
1.พละ ๕ คือธรรมอันเป็นกำลัง ซึ่งเป็นเครื่องเกื้อหนุนแก่อริยมรรค จัดอยู่ในจำพวกโพธิปักขิยธรรม มี ๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา; ดู
อินทรีย์ ๕ ได้แก่ ความเป็นใหญ่, สภาพที่เป็นใหญ่ในกิจของตน, ธรรมที่เป็นเจ้าการในการทำหน้าที่อย่างหนึ่งๆ เช่น ตาเป็นใหญ่หรือเป็นเจ้าการในการเห็น หูเป็นใหญ่ในการได้ยิน ศรัทธาเป็นเจ้าการในการครอบงำเสียซึ่งความไร้ศรัทธาเป็นต้น 1) อินทรีย์ ๖ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 2) อินทรีย์ ๕ ตรงกับ พละ ๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ธรรม ๕ อย่างชุดเดียวกันนี้ เรียกชื่อต่างกันไป ๒ อย่าง ตามหน้าที่ที่ทำ คือ เรียกชื่อว่า พละ โดยความหมายว่า เป็นกำลังทำให้เกิดความเข้มแข็งมั่นคง ซึ่งธรรมที่ตรงข้ามแต่ละอย่างจะเข้าครอบงำไม่ได้ เรียกชื่อว่า อินทรีย์ โดยความหมายว่าเป็นเจ้าการในการครอบงำเสียซึ่งธรรมที่ตรงข้ามแต่ละอย่างคือความไร้ศรัทธา ความเกียจคร้าน ความประมาท ความฟุ้งซ่าน และความหลงงมงาย ตามลำดับ
2.พละ ๔ คือธรรมอันเป็นพลังทำให้ดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องหวาดหวั่นกลัวภัยต่างๆ ได้แก่ ๑.ปัญญาพละ กำลังปัญญา ๒.วิริยพละ กำลังความเพียร ๓.อนวัชชพละ กำลังคือการกระทำที่ไม่มีโทษ (กำลังความสุจริตและการกระทำแต่กิจกรรมที่ดีงาม) ๔.สังคหพละ กำลังการสงเคราะห์ คือช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยดี ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม
3.พละ ๕ หรือ ขัตติยพละ ๕ ได้แก่กำลังของพระมหากษัตริย์ หรือกำลังที่ทำให้มีความพร้อมสำหรับความเป็นกษัตริย์ ๕ ประการ ดังแสดงในคัมภีร์ชาดกคือ ๑.พาหาพละ หรือ กายพละ กำลังแขนหรือกำลังกาย คือแข็งแรงสุขภาพดี สามารถในการใช้แขนใช้มือใช้อาวุธ มีอุปกรณ์พรั่งพร้อม ๒.โภคพละ กำลังโภคสมบัติ ๓.อมัจจพละ กำลังข้าราชการที่ปรึกษาและผู้บริหารที่สามารถ ๔.อภิชัจจพละ กำลังความมีชาติสูง ต้องด้วยความนิยมเชิดชูของมหาชนและได้รับการศึกษาอบรมมาดี ๕.ปัญญาพละ กำลังปัญญา ซึ่งเป็นข้อสำคัญที่สุด
(หมายเหตุ) กำลังแขน หรือกำลังกาย แม้มีความสำคัญ แต่ท่านจัดว่าต่ำสุด หากไม่มีกำลังอื่นควบคุมค้ำจุนก็อาจกลายเป็นกำลังอันธพาล

แล้วท่านทั้งหลายจะฝึกแบบศาสนาไหนกันละ
ถ้าจะฝึกแบบศาสนา ต้นกำเนิด ก็คือ "ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู" ท่านทั้งหลายก็ต้องรู้และศึกษารวมไปถึง พิจารณาในหลักธรรม ๒ หมวดก็คือ หมวด "พรหมวิหารสี่" และหมวด "อิทธิบาท ๔" ในที่นี้ข้าพเจ้าจะไม่อธิบายในรายละเอียด เอาเพียงรู้ว่า หลักะรรมทั้งสองหมวด ในทางศาสนาพราหมณ์- ฮินดู สามารถสร้าง พละหรือกำลัง ได้ทุกอย่าง

ถ้าจะฝึกแบบศาสนาพุทธ ท่านทั้งหลายก็ต้องเรียนรู้หลายหมวดธรรม อีกทั้งยังต้องเรียนรู้ในพระไตรปิฎก และสามารถทำความเข้าใจในหลักการที่ซ่อนไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งจะเชื่อมโยงสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ซึ่งล้วนเป็น โพธิปักขิยธรรม อันหมายถึง ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค มี ๓๗ ประการคือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘(จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก) หมายความว่า ท่านทั้งหลายจะต้องเรียนรู้ทุกเรื่องในธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ จึงจะสามารถเกิด พละ ๕ โดยอัตโนมัติ อันนี้ถ้าจะอธิบายไปคงยาวไปอีก เอาเป็นว่าในทุกหมวด เกี่ยวข้องสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน มีอย่างหนึ่ง รู้อย่างหนึ่ง เข้าใจอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

ถ้าจะฝึกแบบศาสนาคริสต์ ท่านทั้งหลายก็ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจในหลักอันสำคัญ ๓(สาม)ประการ นั่นก็คือ พระบิดา,พระจิต,พระบุตร รวมไปถึงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ ในหลักบัญญัติ ๑๐ (สิบ)ประการให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ศาสนานี้แม้จะสั้นๆ แต่ความจริงแล้วต้องคิดกว้างพิจารณาอย่างกว้างจึงจะเกิดพละ คือ กำลังทั้งหลายเหล่านั้น

ถ้าจะฝึกแบบศาสนาอิสลาม ท่านทั้งหลายก็ต้องยึดถือและพิจารณาทำความเข้าใจใน ศีลหรือข้อปฏิบัติทั้ง ๕ ข้อ อีกทั้งพิจารณาในข้อห้ามทั้งหลายแห่งศาสนาว่ามีไว้เพื่ออะไร มีไว้ทำไม รวมไปถึงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจหลักศรัทธา 6 ข้อในคัมภีร์กุรอาน ให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ท่านทั้งหลายก็จะเกิด พละคือ กำลังทั้งหลายเหล่านั้น

ถ้าจะฝึกแบบศาสนาซิกส์ ท่านทั้งหลายก็ต้องยึดถือ(ไม่ใช่ยึดถือเพียงอย่างเดียว)ต้อง เรียนรู้และทำความเข้าใจในศีล ๒๑ ข้อ ได้แก่
1. นับถือ ศาสดาทุก องค์ เป็น บิดา และตนเป็นบุตร
2.เมือง ปาฏลีบุตร และกานันทปุระ เป็น ที่ศักดิ์สิทธิ
3.เลิกถือ ชั้น วรรณะ
4.ห้ามทะเลาะ วิวาท ระหว่าง ศิษย์
5.พลีชีพ ในการรบ
6.บูชา สิ่ง ศักดิ์ สิทธิ 3 ประการ คือ
6.1 พระเจ้า เป็น สัจจะ เป็น ศรี เป็น อกาละ
6.2 ศาสโนวาท แห่ง คุรุ ทั่งหลาย
6.3 ความบริสุทธิ
7. มี ก. ทั้ง 5
8.เว้นการพูดเท็จ
9. เว้นโลภโกรธ นับถือ ภรรยาผู้อื่นเสมือนมารดา
10. ไม่เกี่ยวข้องกับ ศัตรู ของ ศาสนา
11. ไม่คบผู้ไม่ส่งเสริมการรบ
12. ห้ามใช้ สีแดง
13. ห้ามใช้ คำว่า สิงห์ ต่อท้าย ตั้งแต่ บัดนี้
14. ห้ามเปลือย ศรีษะ นอกจากตอนอาบน้ำ
15. ไม่เล่นการพนัน
16. ห้ามตัด หรือ โกน หนวด ผม และ เครา
17.ห้ามเกี่ยวข้องกับผู้เบียดเบียน ชาติ และ ศาสนา
18.ให้ ถือ ว่า การ ขี่ม้า มวยปล้ำ ฟันดาบ เป็น กิจกรรม ที่ต้องทำเป็นนิจ
19. ให้ถือ ว่า เกิด มาเพื่อ ทำให้ผู้มี ความทุกข์ได้มาสุข และทำความเจริญ ให้แก่ ชาติ และ ศาสนา
20.เว้นจาก ความหรู หราฟุ่มเฟือย ไร้ สาระ
21. ถือ ว่า การ คบพระเจ้า นับถือแขก เป็น กิจกรรม ที่ควรทำเป็นประจำ
ในศาสนา ซิกส์นี้ หากยึดถือ เรียนรู้ทำความเข้าใจ ก็ย่อมเกิด พละ คือ กำลังทั้งหลายเหล่านั้น ได้ อย่างแน่นอน
ไปพิจารณาเอาเองเถอะขอรับท่านทั้งหลาย
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
ผู้เขียน (21 ก.พ.2555)


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 24 ก.พ. 2012, 20:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 11:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 190


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านจะไปสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อที่จะค้างแรมที่เมืองใดเมืองหนึ่ง ท่านจะเตรียมอะไร จะทำอะไร เพื่อที่จะได้ไปค้างแรมที่นั้น เมืองนั้น อันนี้ ฉันใด ... ปีติ สุข ก็ ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านจะทำอย่างไร เพื่อที่จะได้ จะถึงปีติธรรมอันเป็นความสุขมีกุศลมาก


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


world2/2554 เขียน:
ท่านจะไปสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อที่จะค้างแรมที่เมืองใดเมืองหนึ่ง ท่านจะเตรียมอะไร จะทำอะไร เพื่อที่จะได้ไปค้างแรมที่นั้น เมืองนั้น อันนี้ ฉันใด ... ปีติ สุข ก็ ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านจะทำอย่างไร เพื่อที่จะได้ จะถึงปีติธรรมอันเป็นความสุขมีกุศลมาก


แล้วท่านเขียนเปรียบเทียบอะไรของท่าน การจะไปค้างแรมยังต่างเมือง กับ การที่จะทำให้ถึงปิติธรรม มันคนละเรื่องกัน
การเตรียมการก็ต่างกัน สิ่งอุปกรณ์เครื่องใช้ในการเดินทาง กับ อุปกรณ์เครื่องใช้ในการที่จะทำให้ถึง ธรรมะ ก็ต่างกันคนละเรื่องกันเลยละ เอาเปรียบเทียบมั่วซะงั้นแหละ ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


world2/2554 เขียน:
ท่านจะไปสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อที่จะค้างแรมที่เมืองใดเมืองหนึ่ง ท่านจะเตรียมอะไร จะทำอะไร เพื่อที่จะได้ไปค้างแรมที่นั้น เมืองนั้น อันนี้ ฉันใด ... ปีติ สุข ก็ ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านจะทำอย่างไร เพื่อที่จะได้ จะถึงปีติธรรมอันเป็นความสุขมีกุศลมาก


แล้วท่านเขียนเปรียบเทียบอะไรของท่าน การจะไปค้างแรมยังต่างเมือง กับ การที่จะทำให้ถึงปิติธรรม มันคนละเรื่องกัน
การเตรียมการก็ต่างกัน สิ่งอุปกรณ์เครื่องใช้ในการเดินทาง กับ อุปกรณ์เครื่องใช้ในการที่จะทำให้ถึง ธรรมะ ก็ต่างกันคนละเรื่องกันเลยละ
ถ้าจะอุปมาอุปมัย ก็ควรเอาให้มันใกล้เคียงกันหน่อยนะขอรับ เพราะการจะมี ปีติ สุข ในธรรมได้นั้น ไม่ต้องเตรียมเข้าของเครื่องใช้ภายนอกอะไรมากนัก เพียงแต่เตรียมกายใจ คือมีความตั้งใจหรือมีความตั้งจิตมั่นชอบ มีความระลึกชอบ อันจักก่อให้เกิด สัทธา คือ ความเชื่อ อันจักก่อให้เกิด วิริยะ คือ ความเพียรในพฤติกรรม และการการกระทำต่างๆในทางที่ถูกที่ควร ซึ่ง ย่อมนำไปสู่ความมี ปัญญา คือ ความรู้ทั่ว, ปรีชาหยั่งรู้เหตุผล, ความรู้ความเข้าใจชัดเจน, ความรู้ความเข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น และรู้ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ, ความรอบรู้ในกองสังขาร มองเห็นตามความเป็นจริง(พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ พระธรรมปิฎกฯ)


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.พ. 2012, 09:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 190


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
world2/2554 เขียน:
ท่านจะไปสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อที่จะค้างแรมที่เมืองใดเมืองหนึ่ง ท่านจะเตรียมอะไร จะทำอะไร เพื่อที่จะได้ไปค้างแรมที่นั้น เมืองนั้น อันนี้ ฉันใด ... ปีติ สุข ก็ ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านจะทำอย่างไร เพื่อที่จะได้ จะถึงปีติธรรมอันเป็นความสุขมีกุศลมาก


แล้วท่านเขียนเปรียบเทียบอะไรของท่าน การจะไปค้างแรมยังต่างเมือง กับ การที่จะทำให้ถึงปิติธรรม มันคนละเรื่องกัน
การเตรียมการก็ต่างกัน สิ่งอุปกรณ์เครื่องใช้ในการเดินทาง กับ อุปกรณ์เครื่องใช้ในการที่จะทำให้ถึง ธรรมะ ก็ต่างกันคนละเรื่องกันเลยละ
ถ้าจะอุปมาอุปมัย ก็ควรเอาให้มันใกล้เคียงกันหน่อยนะขอรับ เพราะการจะมี ปีติ สุข ในธรรมได้นั้น ไม่ต้องเตรียมเข้าของเครื่องใช้ภายนอกอะไรมากนัก เพียงแต่เตรียมกายใจ คือมีความตั้งใจหรือมีความตั้งจิตมั่นชอบ มีความระลึกชอบ อันจักก่อให้เกิด สัทธา คือ ความเชื่อ อันจักก่อให้เกิด วิริยะ คือ ความเพียรในพฤติกรรม และการการกระทำต่างๆในทางที่ถูกที่ควร ซึ่ง ย่อมนำไปสู่ความมี ปัญญา คือ ความรู้ทั่ว, ปรีชาหยั่งรู้เหตุผล, ความรู้ความเข้าใจชัดเจน, ความรู้ความเข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น และรู้ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ, ความรอบรู้ในกองสังขาร มองเห็นตามความเป็นจริง(พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ พระธรรมปิฎกฯ)

เฮ้อ ท่านนี่นะ อุปมาก็คืออุปมาสิ แล้วท่านถามว่าอย่างไรล่ะ ทำอย่างไรจะให้มีพละ ไม่ใช่เหรอ แล้วท่านคิดว่า พละ เกิดมาจากอะไร เคยถึงไหม ถ้าไม่ใช่เกิดมาจากปีติธรรมอันเป็นกุศล อยู่ๆ จะมีปีติธรรมได้ง่ายๆเหรอ ก็ต้องทำ ต้องฝึก พิจารณาเถิดนะท่าน


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.พ. 2012, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติให้เกิด พละ คือ กำลัง
พละหมายถึง กำลัง
1.พละ ๕ คือธรรมอันเป็นกำลัง


ท่านเปรียบอะไรของท่าน ธรรมก็คือธรรม พละก็คือพละสิ่ เปรียบมั่วไปหมด

การจะฝึกพละให้เกิดกำลังนั้น เราต้องฝึกอย่างถูกวิธี เช่น หาครูที่มีความรู้ ประสพการณ์ ช่วยแนะนำ
หรือไม่ก็ลองไปขอคำปรึกษาดูที่กรมพลศึกษาจังหวัดก็ได้ เขาจะให้คำแนะนำคุณได้ว่า ฝึกพละยังไงให้เกิดกำลัง มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและปลอดภัย

ฮา ฮ๊า ฮา นะเค่อะ ๆ วิ๊วๆๆ :b13: :b13: :b13:

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.พ. 2012, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


world2/2554 เขียน:
sriariya เขียน:
world2/2554 เขียน:
ท่านจะไปสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อที่จะค้างแรมที่เมืองใดเมืองหนึ่ง ท่านจะเตรียมอะไร จะทำอะไร เพื่อที่จะได้ไปค้างแรมที่นั้น เมืองนั้น อันนี้ ฉันใด ... ปีติ สุข ก็ ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านจะทำอย่างไร เพื่อที่จะได้ จะถึงปีติธรรมอันเป็นความสุขมีกุศลมาก


แล้วท่านเขียนเปรียบเทียบอะไรของท่าน การจะไปค้างแรมยังต่างเมือง กับ การที่จะทำให้ถึงปิติธรรม มันคนละเรื่องกัน
การเตรียมการก็ต่างกัน สิ่งอุปกรณ์เครื่องใช้ในการเดินทาง กับ อุปกรณ์เครื่องใช้ในการที่จะทำให้ถึง ธรรมะ ก็ต่างกันคนละเรื่องกันเลยละ
ถ้าจะอุปมาอุปมัย ก็ควรเอาให้มันใกล้เคียงกันหน่อยนะขอรับ เพราะการจะมี ปีติ สุข ในธรรมได้นั้น ไม่ต้องเตรียมเข้าของเครื่องใช้ภายนอกอะไรมากนัก เพียงแต่เตรียมกายใจ คือมีความตั้งใจหรือมีความตั้งจิตมั่นชอบ มีความระลึกชอบ อันจักก่อให้เกิด สัทธา คือ ความเชื่อ อันจักก่อให้เกิด วิริยะ คือ ความเพียรในพฤติกรรม และการการกระทำต่างๆในทางที่ถูกที่ควร ซึ่ง ย่อมนำไปสู่ความมี ปัญญา คือ ความรู้ทั่ว, ปรีชาหยั่งรู้เหตุผล, ความรู้ความเข้าใจชัดเจน, ความรู้ความเข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น และรู้ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ, ความรอบรู้ในกองสังขาร มองเห็นตามความเป็นจริง(พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ พระธรรมปิฎกฯ)

เฮ้อ ท่านนี่นะ อุปมาก็คืออุปมาสิ แล้วท่านถามว่าอย่างไรล่ะ ทำอย่างไรจะให้มีพละ ไม่ใช่เหรอ แล้วท่านคิดว่า พละ เกิดมาจากอะไร เคยถึงไหม ถ้าไม่ใช่เกิดมาจากปีติธรรมอันเป็นกุศล อยู่ๆ จะมีปีติธรรมได้ง่ายๆเหรอ ก็ต้องทำ ต้องฝึก พิจารณาเถิดนะท่าน


อ้าว...แล้วกัน คุณอ่านภาษาไทยแล้วไม่รู้ความหมายของภาษาไทยหรือขอรับ,,,โอ้อนิจจา...
ใครบอกคุณละขอรับว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าตั้งเป็นกระทู้คือคำถาม ....โอ้โฮ้...น่าตกใจมาก....วิชาภาษาไทย ในโรงเรียน มีการเรียนการสอนที่ตกต่ำมากจริงๆ
กระทรวงศึกษาธิการ ควรได้หันกลับมาใช้วิธีหรือเทคนิคการเรียนการสอนภาษาไทย แบบดั้งเดิมหรือแบบโบราณเถิดขอรับ ขนาด อายุจะ 30 อยู่แล้ว ยังไม่รู้ความหมายของภาษาไทย....เฮ้อ...7เฮ้อ....


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.พ. 2012, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลงซะ เขียน:
sriariya เขียน:
ทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติให้เกิด พละ คือ กำลัง
พละหมายถึง กำลัง
1.พละ ๕ คือธรรมอันเป็นกำลัง


ท่านเปรียบอะไรของท่าน ธรรมก็คือธรรม พละก็คือพละสิ่ เปรียบมั่วไปหมด

การจะฝึกพละให้เกิดกำลังนั้น เราต้องฝึกอย่างถูกวิธี เช่น หาครูที่มีความรู้ ประสพการณ์ ช่วยแนะนำ
หรือไม่ก็ลองไปขอคำปรึกษาดูที่กรมพลศึกษาจังหวัดก็ได้ เขาจะให้คำแนะนำคุณได้ว่า ฝึกพละยังไงให้เกิดกำลัง มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและปลอดภัย

ฮา ฮ๊า ฮา นะเค่อะ ๆ วิ๊วๆๆ :b13: :b13: :b13:


อ้าว... แสดงความไม่รู้อีกรายแล้ว เวลาอ่านกระทู้หัดอ่านให้จบนะ แล้วหัดใช้สมองสติปัญญาคิดพิจารณาด้วย หลักธรรมในพุทธศาสนา สอนบุคคลนับตั้งแต่ร่างกาย ไปจนถึงความคิดอันละเอียดอ่อน อย่าอ่านหลักศาสนาแบบคนปัญญาอ่อน ดังนั้น จึงอธิบายอีกครั้งว่า
พละ คือ กำลัง
ส่วนธรรมหรือเหตุ ที่จะทำให้เกิด พละ คือ กำลัง เพิ่มพูนงอกงามอยู่เป็นนิจ แบ่งเป็น พละ ๕ ได้แก่ สมาธิ สติ สัทธา วิริยะ ปัญญา
ในพละทั้ง ๕ ข้อข้างต้นนั้น ย่อมรวมไว้ตั้งแต่ พละคือ กำลังกาย เป็นต้นไป หากต้องการจะมีกำลังกาย ที่ดี ก็ต้องใช้หลักธรรมหรือหลักการทั้ง ๕ ข้างต้นนั้น หนีไม่พ้น ไม่ว่าจะจบหรือเรียนจากที่ไหนมาก็ตาม
พละ ๔ คือธรรมอันเป็นพลังทำให้ดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องหวาดหวั่นกลัวภัยต่างๆ ได้แก่ ๑.ปัญญาพละ กำลังปัญญา ๒.วิริยพละ กำลังความเพียร ๓.อนวัชชพละ กำลังคือการกระทำที่ไม่มีโทษ (กำลังความสุจริตและการกระทำแต่กิจกรรมที่ดีงาม) ๔.สังคหพละ กำลังการสงเคราะห์ คือช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยดี ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม
ขัตติยพละ ๕ ได้แก่กำลังของพระมหากษัตริย์ หรือกำลังที่ทำให้มีความพร้อมสำหรับความเป็นกษัตริย์ ๕ ประการ ดังแสดงในคัมภีร์ชาดกคือ ๑.พาหาพละ หรือ กายพละ กำลังแขนหรือกำลังกาย คือแข็งแรงสุขภาพดี สามารถในการใช้แขนใช้มือใช้อาวุธ มีอุปกรณ์พรั่งพร้อม ๒.โภคพละ กำลังโภคสมบัติ ๓.อมัจจพละ กำลังข้าราชการที่ปรึกษาและผู้บริหารที่สามารถ ๔.อภิชัจจพละ กำลังความมีชาติสูง ต้องด้วยความนิยมเชิดชูของมหาชนและได้รับการศึกษาอบรมมาดี ๕.ปัญญาพละ กำลังปัญญา
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
(ผู้เขียน 24 ก.พ.2555)


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.พ. 2012, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ปลงซะ เขียน:
sriariya เขียน:
ทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติให้เกิด พละ คือ กำลัง
พละหมายถึง กำลัง
1.พละ ๕ คือธรรมอันเป็นกำลัง


ท่านเปรียบอะไรของท่าน ธรรมก็คือธรรม พละก็คือพละสิ่ เปรียบมั่วไปหมด

การจะฝึกพละให้เกิดกำลังนั้น เราต้องฝึกอย่างถูกวิธี เช่น หาครูที่มีความรู้ ประสพการณ์ ช่วยแนะนำ
หรือไม่ก็ลองไปขอคำปรึกษาดูที่กรมพลศึกษาจังหวัดก็ได้ เขาจะให้คำแนะนำคุณได้ว่า ฝึกพละยังไงให้เกิดกำลัง มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและปลอดภัย

ฮา ฮ๊า ฮา นะเค่อะ ๆ วิ๊วๆๆ :b13: :b13: :b13:


อ้าว... แสดงความไม่รู้อีกรายแล้ว เวลาอ่านกระทู้หัดอ่านให้จบนะ แล้วหัดใช้สมองสติปัญญาคิดพิจารณาด้วย หลักธรรมในพุทธศาสนา สอนบุคคลนับตั้งแต่ร่างกาย ไปจนถึงความคิดอันละเอียดอ่อน อย่าอ่านหลักศาสนาแบบคนปัญญาอ่อน ดังนั้น จึงอธิบายอีกครั้งว่า
พละ คือ กำลัง
ส่วนธรรมหรือเหตุ ที่จะทำให้เกิด พละ คือ กำลัง เพิ่มพูนงอกงามอยู่เป็นนิจ แบ่งเป็น พละ ๕ ได้แก่ สมาธิ สติ สัทธา วิริยะ ปัญญา
ในพละทั้ง ๕ ข้อข้างต้นนั้น ย่อมรวมไว้ตั้งแต่ พละคือ กำลังกาย เป็นต้นไป หากต้องการจะมีกำลังกาย ที่ดี ก็ต้องใช้หลักธรรมหรือหลักการทั้ง ๕ ข้างต้นนั้น หนีไม่พ้น ไม่ว่าจะจบหรือเรียนจากที่ไหนมาก็ตาม
พละ ๔ คือธรรมอันเป็นพลังทำให้ดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องหวาดหวั่นกลัวภัยต่างๆ ได้แก่ ๑.ปัญญาพละ กำลังปัญญา ๒.วิริยพละ กำลังความเพียร ๓.อนวัชชพละ กำลังคือการกระทำที่ไม่มีโทษ (กำลังความสุจริตและการกระทำแต่กิจกรรมที่ดีงาม) ๔.สังคหพละ กำลังการสงเคราะห์ คือช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยดี ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม
ขัตติยพละ ๕ ได้แก่กำลังของพระมหากษัตริย์ หรือกำลังที่ทำให้มีความพร้อมสำหรับความเป็นกษัตริย์ ๕ ประการ ดังแสดงในคัมภีร์ชาดกคือ ๑.พาหาพละ หรือ กายพละ กำลังแขนหรือกำลังกาย คือแข็งแรงสุขภาพดี สามารถในการใช้แขนใช้มือใช้อาวุธ มีอุปกรณ์พรั่งพร้อม ๒.โภคพละ กำลังโภคสมบัติ ๓.อมัจจพละ กำลังข้าราชการที่ปรึกษาและผู้บริหารที่สามารถ ๔.อภิชัจจพละ กำลังความมีชาติสูง ต้องด้วยความนิยมเชิดชูของมหาชนและได้รับการศึกษาอบรมมาดี ๕.ปัญญาพละ กำลังปัญญา
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
(ผู้เขียน 24 ก.พ.2555)


อ้าวมั่วอีกละ ตลกดิ่ งั้นก็ขออธิบายอีกรอบ การจะฝึกพละให้มีกำลัง ร่างกายแข็งแรง ต้องฝึกอย่าถูกวิธี ผมถึงบอกไงว่าให้ไปขอคำแนะนำจากกรมพละศึกษาจังหวัดไง เขาจะได้แนะนำคุณไงว่าออกกำลังกายยังไงให้ปลอดภัย ร่างกายแข็งแรง เช่น วิ่งยังไง ยืดเส้นยืดสายยังไง วิดพื้นยังไง เล่นกีฬายังไงให้ถูกวิธี วู๊ อย่ามาดิ่

ฮ๊า ฮ๊า ฮา นะตะเอง ไอ๊ย่ะๆๆ :b13: :b13: :b13: :b9:

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.พ. 2012, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่อ แล้วเวลาออกกำลังกายนะ อย่าหักโหม เดี๋ยวไม่สบายนะ ฝึกแต่พอดีๆ ปลงซะบ้าง เดี๋ยวไม่ฉะบายขึ้นมา เป็นไข้ ร่างกายไม่มีกำลัง จะมาหาว่า ปล๊งปลง ไม่เตือนนะจ๊ะ ขอบอกๆ

ฮา ฮ๊า ฮา :b13: :b13: :b13:

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลงซะ เขียน:
sriariya เขียน:
ปลงซะ เขียน:
sriariya เขียน:
ทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติให้เกิด พละ คือ กำลัง
พละหมายถึง กำลัง
1.พละ ๕ คือธรรมอันเป็นกำลัง


ท่านเปรียบอะไรของท่าน ธรรมก็คือธรรม พละก็คือพละสิ่ เปรียบมั่วไปหมด

การจะฝึกพละให้เกิดกำลังนั้น เราต้องฝึกอย่างถูกวิธี เช่น หาครูที่มีความรู้ ประสพการณ์ ช่วยแนะนำ
หรือไม่ก็ลองไปขอคำปรึกษาดูที่กรมพลศึกษาจังหวัดก็ได้ เขาจะให้คำแนะนำคุณได้ว่า ฝึกพละยังไงให้เกิดกำลัง มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและปลอดภัย

ฮา ฮ๊า ฮา นะเค่อะ ๆ วิ๊วๆๆ :b13: :b13: :b13:


อ้าว... แสดงความไม่รู้อีกรายแล้ว เวลาอ่านกระทู้หัดอ่านให้จบนะ แล้วหัดใช้สมองสติปัญญาคิดพิจารณาด้วย หลักธรรมในพุทธศาสนา สอนบุคคลนับตั้งแต่ร่างกาย ไปจนถึงความคิดอันละเอียดอ่อน อย่าอ่านหลักศาสนาแบบคนปัญญาอ่อน ดังนั้น จึงอธิบายอีกครั้งว่า
พละ คือ กำลัง
ส่วนธรรมหรือเหตุ ที่จะทำให้เกิด พละ คือ กำลัง เพิ่มพูนงอกงามอยู่เป็นนิจ แบ่งเป็น พละ ๕ ได้แก่ สมาธิ สติ สัทธา วิริยะ ปัญญา
ในพละทั้ง ๕ ข้อข้างต้นนั้น ย่อมรวมไว้ตั้งแต่ พละคือ กำลังกาย เป็นต้นไป หากต้องการจะมีกำลังกาย ที่ดี ก็ต้องใช้หลักธรรมหรือหลักการทั้ง ๕ ข้างต้นนั้น หนีไม่พ้น ไม่ว่าจะจบหรือเรียนจากที่ไหนมาก็ตาม
พละ ๔ คือธรรมอันเป็นพลังทำให้ดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องหวาดหวั่นกลัวภัยต่างๆ ได้แก่ ๑.ปัญญาพละ กำลังปัญญา ๒.วิริยพละ กำลังความเพียร ๓.อนวัชชพละ กำลังคือการกระทำที่ไม่มีโทษ (กำลังความสุจริตและการกระทำแต่กิจกรรมที่ดีงาม) ๔.สังคหพละ กำลังการสงเคราะห์ คือช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยดี ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม
ขัตติยพละ ๕ ได้แก่กำลังของพระมหากษัตริย์ หรือกำลังที่ทำให้มีความพร้อมสำหรับความเป็นกษัตริย์ ๕ ประการ ดังแสดงในคัมภีร์ชาดกคือ ๑.พาหาพละ หรือ กายพละ กำลังแขนหรือกำลังกาย คือแข็งแรงสุขภาพดี สามารถในการใช้แขนใช้มือใช้อาวุธ มีอุปกรณ์พรั่งพร้อม ๒.โภคพละ กำลังโภคสมบัติ ๓.อมัจจพละ กำลังข้าราชการที่ปรึกษาและผู้บริหารที่สามารถ ๔.อภิชัจจพละ กำลังความมีชาติสูง ต้องด้วยความนิยมเชิดชูของมหาชนและได้รับการศึกษาอบรมมาดี ๕.ปัญญาพละ กำลังปัญญา
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
(ผู้เขียน 24 ก.พ.2555)


อ้าวมั่วอีกละ ตลกดิ่ งั้นก็ขออธิบายอีกรอบ การจะฝึกพละให้มีกำลัง ร่างกายแข็งแรง ต้องฝึกอย่าถูกวิธี ผมถึงบอกไงว่าให้ไปขอคำแนะนำจากกรมพละศึกษาจังหวัดไง เขาจะได้แนะนำคุณไงว่าออกกำลังกายยังไงให้ปลอดภัย ร่างกายแข็งแรง เช่น วิ่งยังไง ยืดเส้นยืดสายยังไง วิดพื้นยังไง เล่นกีฬายังไงให้ถูกวิธี วู๊ อย่ามาดิ่
ฮ๊า ฮ๊า ฮา นะตะเอง ไอ๊ย่ะๆๆ :b13: :b13: :b13: :b9:



ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า ขออภัยนะ เจ้า ค..... อ่านภาษาไทยไม่รู้เรื่อง เอ็งไม่รู้จักธรรมะหรืออย่างไรกัน เอ็งจะมีกำลัง มีร่างกายแข็งแรงได้ เอ็งก็ต้อง มีสภาพสภาวะจิตใจตามหลักการทางศาสนา ไอ้พละกำลังที่เอ็งกล่าวไปนะ เขาเรียกว่ากำลังกาย ซึ่งเอ็งจะมีกำลังกายได้ เอ็งก็ต้องฝึกหัด แต่การที่เอ็งจะฝึกหัดได้เอ็๋งก็ต้องมีสภาพสภาวะทางจิตใจตามหลักศาสนา ถ้าเอ็งไม่มีสภาพสภาวะจิตใจตามหลักศาสนา เอ็งมันก็แค่ควาย(ขออภัย)ตัวหนึ่งนะขอรับ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
(หมายเหตุ) ควายที่เคยไถนาแล้วสักปีสองปี อาจจะรู้และฉลาดกว่าเอ็ง (ผู้ใช้ชื่อว่า "ปลงซะ") ด้วยซ้ำไป เพราะควายเหล่านั้น จะรู้จักการเดินให้การไถดิน ไถได้อย่างต่อเนื่องและแถมยังรู้จักการเลี้ยวโดยไม่ต้องสั่ง เพราะมันจะรู้ว่าเจ้าของมันต้องการให้ไถจากไหนถึงไหน ควายน่าจะฉลาดกว่าเอ็งหลายร้อยเท่าวะ คัก,,คัก,,,คัก,,,คัก,,,กิ้ว..กิ้ว..กิ้ว...
โถ..น่าสมเพชในความคิดของเอ็งนะ(เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า"ปลงซะ") มันเข้ามาในเวบธรรมะเพื่ออะไรกันหนอ...ฮ่า ฮ่าฮ่า


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2012, 22:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อนเอ๋ย วันนึง เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ท่านจะเข้าใจกันและกัน

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 01:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ๕

ผมคิดว่าเป็นธรรมที่เกื้อหนุนให้เกิดพละกำลังในการปฏิบัติธรรม(แต่ยังก้าวข้ามวัฏฏะไม่ได้) คือพัฒนากำลังทุกด้านอย่างเดียว ส่วนข้อที่เหลือนั่นแหละเมื่อเอามารวมเข้า จึงจะก้าวข้ามโอฆะสาครนี้ได้


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


อินทรีย์5 เขียน:
อ้างคำพูด:
๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ๕

ผมคิดว่าเป็นธรรมที่เกื้อหนุนให้เกิดพละกำลังในการปฏิบัติธรรม(แต่ยังก้าวข้ามวัฏฏะไม่ได้) คือพัฒนากำลังทุกด้านอย่างเดียว ส่วนข้อที่เหลือนั่นแหละเมื่อเอามารวมเข้า จึงจะก้าวข้ามโอฆะสาครนี้ได้


ธรรมทั้งหลายในหลักพุทธศาสนา ที่ปรากฎมีในพระไตรปิฎก เป็นธรรมที่ได้แจกแจงรายละเอียดแล้ว ดังนั้นหากบุคคลใด ใช้หรือปฏิบัติธรรมในหมวดใดหมวดหนึ่ง ก็สามารถทำให้หลุดพ้นได้ตามกำลังสมองสติปํญญาที่จะคิดพิจารณา หรือแม้ไม่คิดพิจารณา ธรรมที่บุคคลนั้นใช้หรือปฏิบัติอยู่ ก็จะส่งผลให้เกิดธรรมในข้อหรือหมวดอื่นๆตามมาหรือปรากฎขึ้นในสภาพสภาวะจิตใจ เช่น ถ้าบุคคล ยึดมั่นถือมั่นปฏิบัติหรือใช้ สัมมัปปธาน ๔ อยู่เสมอเสมอ ก็จะเกิด ธรรม อิทธิบาทสี่ในจิตใจ เกิด อินทรีย์ ๕ และเกิด พละ ๕ ,ฯ ในจิตใจ ซึ่งย่อมส่งผลให้สามารถก้าวข้ามโอฆะสาคร หรือหลุดพ้นฯได้ฉะนี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร