เจาะข่าวเด่นสรยุทธ-หลวงพ่อเกษม พระอยากดัง?

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ.2555

http://www.krobkruakao.com/%E0%B8%A3%E0 ... 8%87-.html

5 5 5

มาพิจารณา เรื่องพระพุทธรูป กัน นะครับ
ตอนเป็นเด็ก หากมีคนยื่น ของเล่นที่ท่านชอบ กับเพชร ที่ท่านไม่รู้ค่า ท่านจะเลือกอะไร
ตอบว่า......
ถ้ามีใครมาเยียบของเล่นที่คุณชอบ คุณโกรธมั้ย
เมื่อท่านโต ท่านจะเลือกอะไร
ตอบว่า....
ก็นั้นไง คนเราก็เป็นอย่างนั้นแหละ แล้วเราควรจะเหยียบของเล่นเด็กที่เราเห็นว่ามันไม่มีค่ามั้ย ละครับ

ส่วนเรื่องเงิน เห็นด้วยตามพระท่านพูด ควรให้เป็นเรื่องของฆารวาส ส่วนตัวพระไม่ควรรับเงินไม่ว่ากรณีใดๆ
แต่พระท่านเองก็ไม่ควรลืมเรื่อง วจีสุจริต ด้วยนะครับ

ผมว่าโยมถวายเงินพระท่านได้นะ แต่พระท่านจับไม่ได้ จะใช้สอยอะไรต้องบอกโยมเอา ไม่อย่างนั้นการศาสนาทางโลกก็ไม่ก้าวไป

เรื่องเงิน
ผมเคยบวชพระตามประเพณี และในวัดมีพระจำนวนหนึ่ง คุยกันแต่เรื่องเงิน ว่าสวดที่นี้ที่นั้นได้เงินเท่าน้ันเท่านี้ และมีพระรูปหนึ่งบวช 2-3 รอบแล้ว เงินหมดก็บวช ทำเอาผมหมดศรัทธาในพระสงฆ์ไปพักใหญ่เลย
จึงมีความเห็นว่าพระอยู่ได้ด้วยการบิณบาตรแล้วปฎิบัติธรรม ส่วนเรื่องอื่นควรเป็นเรื่องของฆารวาสที่เขาศรัทธาดำเนินการไป ครับ
ส่วนการก้าวไปของศาสนาผมก็ว่ามันดำเนินมายังไงไม่รู้จะว่าถูกก็ไม่เชิง จะว่าผิดก็ไม่ใช่ คือหน้าที่หลักของพระสงฆ์ คือ ปฎิยัติ และ ปฎิบัติ ได้ความรู้ มาสั่งสอนชาวพุทธ ให้ดำเนินชีวิตตามหลักธรรม เป็นการดำรงไว้ศึกศาสนาอย่างยังยืน ผลที่เกิดแก่สังคมคือ สังคมดีขึ้น แต่ตอนนี้ท่านคิดว่า สังคมเรา ดีขึ้นไหม ละครับ คนที่ว่าตัวเองเป็นพุทธ นั้น ปฎิบัติตามศิล 5 ได้สักกี่ข้อ

แล้วแต่จะพิจารณา ยิ่งพิ่มพ์ยิ่งยาว

อีกคนถวายเงิน..อีกคนรับเงิน...นี้มันดูได้แค่รูปลักษณ์ภาพนอก...

ดูภายนอกแล้วจะตัดสินอะไรทั้งหมดนั้นยังไม่ได้....

ที่สำคัญมันอยู่ที่ภายในใจคนรับ....บางทีคนไม่จับเงินเลย..เขาก็แสดงออกมาเท่านั้น...คนทุจริตคอรัปชันขั้นเทพ...เขาก็ไม่ได้จับเงินด้วยมือเขาเองหรอก....บัญชีก็ไม่ใช่ของเขาด้วย

มันสำคัญอยู่ที่ใจของคนรับเงิน..ต่างหาก

แต่...กฎห้ามจับเงินจับทอง...มีเพื่อช่วยพระช่วยโยม...

ขอกล่าวแค่สั้นๆเป็นข้อความว่า

"อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นชาวเมืองสาวัตถีในสมัยพุทธกาล มีชีวิตร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า เดิมท่านมีนามว่าสุทัตตะเศรษฐี เกิดในตระกูลของสุมนะเศรษฐีผู้เป็นบิดา ท่านเป็นเศรษฐีที่ใจบุญ ชอบช่วยเหลือคนตกยาก ทำให้ท่านถูกเรียกจากชาวเมืองสาวัตถีว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี แปลว่า เศรษฐีผู้เป็นที่พึ่งของคนยาก (แปลตามศัพท์ว่า เศรษฐีผู้มีก้อนข้าวให้กับคนยากจน)

อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ไปค้าขายและได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าที่เมืองราชคฤห์จนบรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านจึงมีศรัทธาสร้างวัดเชตวันมหาวิหารถวายแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเงินจำนวนมาก ท่านได้เป็นผู้ให้ความอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์อย่างดีมาก"

วัดพระเชตวันมหาวิหารที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวายด้วยทรัพย์ของตนนี้แลที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับและทรงเผยแพร่ธรรมจนเกิดพระอรหันต์ขึ้นหลายรูป เกิดพระอนาคามีหลายรูป เกิดพระสกิทาคามีหลายรูป เกิดโสดาบัน และเกิดผู้เลื่อมใสศาสนามากประมาณจำนวนมิได้.........สาธุ

[size=150]อันนี้คลิป2 วันที่26 มค 2555

คลิป2
http://www.krobkruakao.com/%E0%B8%A3%E0 ... %99-2.html

พระเกษม บอกถอดจิตลงนรก ให้ยมฑูตไปหาพ่อที่เจ้าชู้ แล้วบอกต่อยพ่้อ จากหน้าดำมีไฟลุก จนไสจ้า แล้วต่อยอีก2ที จนมีชฎา นุ่งกางเกงแบบพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเต่ะพ่อเข้าไปอีกที จนพ่อมีบริวาณ แล้วพาพ่อไปไว้ยามา แต่ไปเป็นชู้ จึงตกมาที่ชั้นดาวดึงส์ << แก้ึีครับ

คือหลวงพ่อเกษมท่านจิตวิปลาสไปแล้วหรือเปล่า??? จะช่วยยังไง?

ตัวอย่าง ของการไม่ปล่อยว่าง และยึดมั่นถือมั่น

พระเกษม บอกถอดจิตลงนรก ให้ยมฑูตไปหาพ่อที่เจ้าชู้ แล้วบอกต่อยพ่้อ จากหน้าดำมีไฟลุก จนไสจ้า แล้วต่อยอีก2ที จนมีชฎา นุ่งกางเกงแบบพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเต่ะพ่อเข้าไปอีกที จนพ่อมีบริวาณ แล้วพาพ่อไปไว้ยามา แต่ไปเป็นชู้ จึงตกมาที่ชั้นดุสิต

คือหลวงพ่อเกษมท่านจิตวิปลาสไปแล้วหรือเปล่า??? จะช่วยยังไง?

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

[๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด
เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการ
เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัย
ของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความ
เป็นบ้า เดือดร้อน ฯ

ทำไมหนอจะสอนธรรมใคร ถึงได้กล้าๆกลัวๆ
แล้วอย่างนี้เขาจะรู้หรือครับ กำลังทำกุศลไม่ใช่ทำบาปนะครับ

คุณฝึกจิตกับจขกทครับ คุณtonngกำลังสอนธรรมคุณครับ
ผมช่วยเป็นสื่อกลางให้ครับ
หวังว่าคงเข้าใจ ผมเป็นคนอื่นยังเข้าใจเลย

ก็ปล่อยเป็นเรื่องของหลวงพ่อเกษมกับคุณสรยุทธ์และเถรสมาคมไปน่ะครับ เรื่องบางเรื่อง
ทำไปแล้วไม่ได้ช่วยอะไรก็คงต้องปล่อยไปตามทาง เรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลมันเป็น
อะไรที่เปลี่ยนกันยาก ใครจะมาหักล้างความเชื่อของใครนั้นทำไม่ได้ ให้ระยะเวลาเป็นผู้
ตัดสินเองครับ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ถามวิืธีช่วยพระจิตวิปลาส ไปเกี่ยวอะไรกับอจินไตย งั้นมีพระอาจารย์ที่ เขาแก้จิตวิปลา่ส ให้แก่พระที่จิตวิปลา่ส งั้น พระอาจารย์ ก็เป็นบ้าไปด้วยหรือ

งง ?

คำสอนอจินไตย4 ที่ยกมา เขายกมาเพื่อคนที่เชื่อคำสอนที่ออกมาจากวิปลาสของพระ แล้วผมไปเชื่อตรงไหน งง

ไม่เป็นไรหรอก เขารู้มาอย่างนั้นเขาก็คิดอย่างนั้น เรารู้มาอย่างนี้ เราก็คิดอย่างนี้ อะไรมันก็ไม่แน่หรอก

แบบนี้นี่เอง ถึงได้เที่ยววิพาก์คนอื่น เป็นเพราะไม่มีความรู้เรื่องอจินไตยนี่เอง
อจินไตยท่านไว้สอนคนแบบคุณนี่แหล่ะครับ

อจินไตยสี่ ในเรื่องฌาณวิสัย ท่านไม่ให้เราไปคิดในเรื่องฌาณ
ในที่นี้ก็หมายถึง ไม่ให้คุณไปคิดว่า เรื่องที่พระเกษมพูดเป็นเรื่องจริงหรือโกหก
เพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฌาณวิสัย พระเกษมอาจได้ฌาณหรือไม่ได้ พระเกษม
เท่านั้นที่จะรู้ได้ อจินไตยเป็นเรื่องทางจิต จะรู้ได้แต่เฉพาะผู้บรรลุธรรมเท่านั้น

สรุปก็คือที่พระเกษมอาจจะบ้าหรือไม่ก็ได้
แต่สำหรับคุณถ้ายังขืนไปยุ่งที่เกี่ยวกับการได้ฌาณ
หรือไม่ได้ญาณของคนอื่น รับรองได้อีกหน่อยบ้าแน่ๆครับ
ขอยืมคำพูดพระเกษมมาพูดหน่อยครับ
"เราไม่ได้บอก พระธรรมบอก"

รู้อย่างนั้น รู้อย่างนี้อะไรครับ เป็นชาวพุทธรู้ต้องรู้พระธรรมซิครับมันถึงจะถูก
ไม่ใช่ไปรู้แต่เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม

คุณฝึกจิตก็เหมือนกันครับ เที่ยวไปวิพากษ์คนอื่นว่า
"ตัวอย่าง ของการไม่ปล่อยว่าง และยึดมั่นถือมั่น"
แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นตัวคุณเองที่ไม่ปล่อยวางยึดมั่นถือมั่น

เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของพระเกษมท่าน ที่ท่านบอกไปนรก
มันก็เป็นเรื่องของพระเกษมเอง พระเกษมไม่ได้บอกว่า
คุณฝึกจิตหรือจขกทไปนรก การที่คนๆหนึ่งเล่าเรื่องของตัวเอง
กับการที่มีบุคคลที่สามเข้าไปวุ่นวายกับเขาไปปรามาสเขา
คุณว่าใครกันแน่ครับ ที่มันยึดมั่นถือมั่น