วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 14:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 17:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคิดว่าน่าจะใช้ได้ถ้า สติใช้ปัญญา เอาวิชชาแทรกเข้าผัสสะ
เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา ( ความรู้สึก )
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิด ตัณหา ( ความทะยานอยาก )
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิด อุปาทาน ( ความยึดถือมั่นว่าเป็นตัวตน ของตน )
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิด ภพ ( ความมีแห่งความรู้สึกว่าเป็นตัวตน )
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ ( ความรู้สึกเป็นตัวตนสมบูรณ์ )
และเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดความเห็นแก่ตัว และความทุกข์ต่างๆตามมา
ดังนั้นถ้าจะเริ่มดับทุกข์ จึงต้องเริ่มที่ผัสสะ

ตามคำกลอนของท่านพุทธทาส ครับ
ความทุกข์ เกิดที่จิต เพราะเห็นผิด เรื่องผัสสะ
ความทุกข์ จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่ เรื่องผัสสะ
ความทุกข์ เกิดไม่ได้ ถ้าเข้าใจ เรื่องผัสสะ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 19:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วจะพิสูจน์...ความคิดนี้อย่างไรดีละ...

เคยลองบ้างรึยัง?...เล่าให้ฟังบ้างซิ

เดียวจะมีคนไม่เคยลอง...แต่นึก ๆ เอาจากหลักวิชาการ...เข้ามาบอกว่า...เป็นไปไม่ได้...

ฮิ..ฮิ..ฮิ.. :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 21:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แล้วจะพิสูจน์...ความคิดนี้อย่างไรดีละ...

เคยลองบ้างรึยัง?...เล่าให้ฟังบ้างซิ

เดียวจะมีคนไม่เคยลอง...แต่นึก ๆ เอาจากหลักวิชาการ...เข้ามาบอกว่า...เป็นไปไม่ได้...

ฮิ..ฮิ..ฮิ.. :b13:


อิอิ งั๊นเอาวิชาการไปก่อนละกัน

Quote Tipitaka:
สติสูตร

[๑๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสติสัมปชัญญะไม่มี หิริและโอตตัปปะ
ชื่อว่ามีเหตุอันบุคคลผู้มีสติและสัมปชัญญะวิบัติกำจัดเสียแล้ว เมื่อหิริและ
โอตตัปปะไม่มี อินทรียสังวรชื่อว่ามีเหตุอันบุคคลผู้มีหิริและโอตตัปปะวิบัติกำจัด
เสียแล้ว เมื่ออินทรียสังวรไม่มี ศีลชื่อว่ามีเหตุอันบุคคลผู้มีอินทรียสังวรวิบัติ
กำจัดเสียแล้ว เมื่อศีลไม่มี สัมมาสมาธิชื่อว่ามีเหตุอันบุคคลผู้มีศีลวิบัติกำจัด
เสียแล้ว เมื่อสัมมาสมาธิไม่มี ยถาภูตญาณทัสนะชื่อว่ามีเหตุอันบุคคลผู้มีสัมมา-
สมาธิวิบัติกำจัดเสียแล้ว เมื่อยถาภูตญาณทัสนะไม่มี นิพพิทาวิราคะชื่อว่ามีเหตุอัน
บุคคลผู้มียถาภูตญาณทัสนะวิบัติกำจัดเสียแล้ว เมื่อนิพพิทาวิราคะไม่มี วิมุตติญาณ-
ทัสนะ ชื่อว่ามีเหตุอันบุคคลผู้มีนิพพิทาวิราคะวิบัติกำจัดเสียแล้ว เปรียบเหมือน
ต้นไม้มีกิ่งและใบวิบัติแล้ว แม้กะเทาะของต้นไม้นั้น ย่อมไม่บริบูรณ์ แม้เปลือก
แม้กะพี้ แม้แก่นของต้นไม้นั้นก็ย่อมไม่บริบูรณ์ ฉะนั้น ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสติสัมปชัญญะมีอยู่ หิริและโอตตัปปะชื่อว่ามี
เหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสติและสัมปชัญญะ เมื่อหิริและ
โอตตัปปะมีอยู่ อินทรียสังวรชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วย
หิริและโอตตัปปะ เมื่ออินทรียสังวรมีอยู่ ศีลชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่
บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยอินทรียสังวร เมื่อศีลมีอยู่ สัมมาสมาธิชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่ ยถาภูตญาณทัสนะชื่อว่า
มีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ เมื่อยถาภูตญาณทัสนะ
มีอยู่ นิพพิทาวิราคะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยยถาภูตญาณ-
ทัสนะ เมื่อนิพพิทาวิราคะมีอยู่ วิมุตติญาณทัสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่
บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีกิ่งและใบสมบูรณ์
แม้กะเทาะของต้นไม้นั้นก็ย่อมบริบูรณ์ แม้เปลือก แม้กะพี้ แม้แก่นของต้นไม้นั้น
ก็ย่อมบริบูรณ์ ฉะนั้น ฯ


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 21 ม.ค. 2012, 21:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ ( ความรู้สึกเป็นตัวตนสมบูรณ์ )
และเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดความเห็นแก่ตัว และความทุกข์ต่างๆตามมา


เป็นการตีความ เอาเอง

เป็น สัทธรรมปฏิรูป

เป็น เนื้องอก ที่ต้องตัดทิ้ง

ลุกลามไปทั่ว ด้วยสิ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 21:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ผมคิดว่าน่าจะใช้ได้ถ้า สติใช้ปัญญา เอาวิชชาแทรกเข้าผัสสะ

:b8:


:b1: สังเกตดี ๆ
แค่ สติ มา จริง ๆ ก็แทบจะไม่ต้องเรียกหาอะไร

สังเกตดี ๆ
แค่ มีสติ กุศลธรรมต่าง ๆ ก็ปรากฎตามมาทันที

เรามีความเห็นมาอย่างนั้น
มันเป็น automatic ของมันอย่างนั้น
ก็คิด ๆ อยู่ว่า น่าจะมี สติสูตร ที่จะชี้นัยไปในลักษณะที่เราเข้าใจ

และก็มี จริง ๆ

เพราะพอมี สติ ปึ๊ดขึ้นมา สำนึกในธรรมอันเป็นกุศลจะปรากฎตามมา ทุกที
(และก็มีความลึกซึ้งไปเป็นลำดับ ๆ เอง)

จิต สติ(เจตสิก)นี้ เหมือนเขาไม่ได้เป็นตามใจใคร
คือ ถ้าเขาปรากฎ เขาเป็นเช่นนั้น


:b1: :b12: :b12:

ส่วนกรณี สติใช้ปัญญา
น่าจะเป็นการเจริญสัญญา ตามกรณี คิริมานนทสูตร

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 21 ม.ค. 2012, 21:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 21:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ ( ความรู้สึกเป็นตัวตนสมบูรณ์ )
และเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดความเห็นแก่ตัว และความทุกข์ต่างๆตามมา


เป็นการตีความ เอาเอง

เป็น สัทธรรมปฏิรูป

เป็น เนื้องอก ที่ต้องตัดทิ้ง

ลุกลามไปทั่ว ด้วยสิ



คุณโกวิทครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ ช่วยอธิบายด้วยนะครับ ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 21:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
อิอิ งั๊นเอาวิชาการไปก่อนละกัน

Quote Tipitaka:
สติสูตร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสติสัมปชัญญะมีอยู่ หิริและโอตตัปปะชื่อว่ามี
เหตุสมบูรณ์ ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสติและสัมปชัญญะ เมื่อหิริและ
โอตตัปปะมีอยู่ อินทรียสังวรชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์



อะ....จึ้ยยย.... :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 21:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
govit2552 เขียน:
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ ( ความรู้สึกเป็นตัวตนสมบูรณ์ )
และเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดความเห็นแก่ตัว และความทุกข์ต่างๆตามมา


เป็นการตีความ เอาเอง

เป็น สัทธรรมปฏิรูป

เป็น เนื้องอก ที่ต้องตัดทิ้ง

ลุกลามไปทั่ว ด้วยสิ



คุณโกวิทครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ ช่วยอธิบายด้วยนะครับ ขอบคุณครับ


:b12: คงเป็นข้อความในวงเล็บ...และ..อื่น ๆ นิดหน่อย..มั้ง..อย่างเช่น...

....( ความรู้สึกเป็นตัวตนสมบูรณ์ )....

....จึงเกิดความเห็นแก่ตัว ....

เป็นต้น... :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 22:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แล้วจะพิสูจน์...ความคิดนี้อย่างไรดีละ...

เคยลองบ้างรึยัง?...เล่าให้ฟังบ้างซิ

เดียวจะมีคนไม่เคยลอง...แต่นึก ๆ เอาจากหลักวิชาการ...เข้ามาบอกว่า...เป็นไปไม่ได้...

ฮิ..ฮิ..ฮิ.. :b13:



คืออย่างนี้ครับคุณกบ ผมนั่งสมาธิ แล้วพิจารณาเรื่องกามมารมณ์ ที่ผมลดลงได้เยอะแล้ว แต่ไม่หมดสักที(กับภรรยาตัวเองนะครับไม่เคยผิดศิล)โดยใช้หลักไตรลักษณ์ สู่ความไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ก็มีคำถามกลับว่าแล้วถ้าผมโสด มีผู้หญิงอื่น ที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีสามี ตัวเปล่า แล้วมามี* กับเราโดยต่างฝ่าย
ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอีกฝ่าย มันผิดมั้ย เพราะสุดท้ายเราก็ปล่อยวางได้ ไม่มีทุกข์เกิด แถมมีสุขด้วย จึงโทรถามเพือนที่ปฎิบัติทางสาย หลวงพ่อฤษีลิงดำ มานาน ได้คำตอบว่า เพราะตอนมี* จะทำให้ไม่มีสติ สมาธิ และปัญญาในขณะนั้น และ ฌาน ก็กลับเสื่อมถอยลงด้วย

จึงได้คำตอบในใจว่า การจะละสิ่งนี้ได้คงต้องมีสติอยู่ใน ปัจจุบันขณะ ตลอดเวลา และจำเรื่องผัสสะได้จึงหาข้อมูลมาจากการฟัง ท่านพุทธทาส และ อ.ท่านอื่น และทดลองปฎิบัติ และผลที่ได้มันได้ผลดีกับทุกๆเรื่อง ทั้งเรื่องกิน กาม เกียรติ และ เกลียด ด้วย (ใช่รวมกับการปล่อยวางที่ใช้กับ อดีตและอนาคต)แต่ที่ทำยากมากคือ ตัวแดงๆ ใหญ่ นั้นแหละครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 22:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ผมคิดว่าน่าจะใช้ได้ถ้า สติใช้ปัญญา เอาวิชชาแทรกเข้าผัสสะ

:b8:


:b1: สังเกตดี ๆ
แค่ สติ มา จริง ๆ ก็แทบจะไม่ต้องเรียกหาอะไร

สังเกตดี ๆ
แค่ มีสติ กุศลธรรมต่าง ๆ ก็ปรากฎตามมาทันที

เรามีความเห็นมาอย่างนั้น
มันเป็น automatic ของมันอย่างนั้น
ก็คิด ๆ อยู่ว่า น่าจะมี สติสูตร ที่จะชี้นัยไปในลักษณะที่เราเข้าใจ


สติ...ก็ไม่ได้มีอย่างเดียว..มิจฉาก็มี...สัมมาก็มี
ในสัมมา...ก็มีคุณภาพไม่เหมือนกัน..มีมหาสติ...อีกเป็นต้น

การมีสติใช้ปัญญา...น่าจะเป็นการฝึกหัด...กำหนดว่า..เมื่อไปเจออะไรมาอย่างหนึ่ง...ก็ให้จิตนึกถึงบทธรรมอะไรสักอย่างหนึ่ง...

เช่น...เจอคนสวยคนหล่อ...ตั้งจิตให้นึกถึงอสุภะ...ให้ได้ทุกครั้ง...
เจอคนหนุ่มคนสาว...ตั้งจิตให้นึกถึงความแก่..ความเจ็บ...ความตาย...ให้ได้ทุกครั้ง

ตอนแรก ๆ ...จะเป็นความตั้งใจ...จงใจ...นึกถึงสัญญา...ธรรมดา ๆ

แต่หากเมื่อเวลามันเป็นเอง...บทธรรมนั้น ๆ มันจะสอนใจเราได้ลึกซึ้ง...มาก..อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เคยได้ยินมาว่า...คนทั้งคนเดินผ่านมา...พระท่านยังเห็นเป็นแค่โครงกระดูก

eragon_joe เขียน:
ส่วนกรณี สติใช้ปัญญา
น่าจะเป็นการเจริญสัญญา.....
:b1:


ช่ายยยย...เลย...ตอนมันยังไม่เป็นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 22:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
eragon_joe เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ผมคิดว่าน่าจะใช้ได้ถ้า สติใช้ปัญญา เอาวิชชาแทรกเข้าผัสสะ

:b8:


:b1: สังเกตดี ๆ
แค่ สติ มา จริง ๆ ก็แทบจะไม่ต้องเรียกหาอะไร

สังเกตดี ๆ
แค่ มีสติ กุศลธรรมต่าง ๆ ก็ปรากฎตามมาทันที

เรามีความเห็นมาอย่างนั้น
มันเป็น automatic ของมันอย่างนั้น
ก็คิด ๆ อยู่ว่า น่าจะมี สติสูตร ที่จะชี้นัยไปในลักษณะที่เราเข้าใจ


สติ...ก็ไม่ได้มีอย่างเดียว..มิจฉาก็มี...สัมมาก็มี
ในสัมมา...ก็มีคุณภาพไม่เหมือนกัน..มีมหาสติ...อีกเป็นต้น

การมีสติใช้ปัญญา...น่าจะเป็นการฝึกหัด...กำหนดว่า..เมื่อไปเจออะไรมาอย่างหนึ่ง...ก็ให้จิตนึกถึงบทธรรมอะไรสักอย่างหนึ่ง...

เช่น...เจอคนสวยคนหล่อ...ตั้งจิตให้นึกถึงอสุภะ...ให้ได้ทุกครั้ง...
เจอคนหนุ่มคนสาว...ตั้งจิตให้นึกถึงความแก่..ความเจ็บ...ความตาย...ให้ได้ทุกครั้ง

ตอนแรก ๆ ...จะเป็นความตั้งใจ...จงใจ...นึกถึงสัญญา...ธรรมดา ๆ

แต่หากเมื่อเวลามันเป็นเอง...บทธรรมนั้น ๆ มันจะสอนใจเราได้ลึกซึ้ง...มาก..อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เคยได้ยินมาว่า...คนทั้งคนเดินผ่านมา...พระท่านยังเห็นเป็นแค่โครงกระดูก

eragon_joe เขียน:
ส่วนกรณี สติใช้ปัญญา
น่าจะเป็นการเจริญสัญญา.....
:b1:


ช่ายยยย...เลย...ตอนมันยังไม่เป็นเอง


:b8: มันเป็นเช่นนั้นแล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 23:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


น้านงั้ย...เอาเข้าแล้ว...

ฝึกจิต เขียน:
คืออย่างนี้ครับคุณกบ ผมนั่งสมาธิ แล้วพิจารณาเรื่องกามมารมณ์ ที่ผมลดลงได้เยอะแล้ว แต่ไม่หมดสักที(กับภรรยาตัวเองนะครับไม่เคยผิดศิล)โดยใช้หลักไตรลักษณ์ สู่ความไม่ยึดมั่นถือมั่น

ตอนมันลด...ดีใจตัวลอย...ตั้งใจจะสอยเจ้าปฏิฆะต่อ
พอตอนมันกำเริบ...ทุกข์ใจทุกวันคืน.. :b2: :b2:

สมถะ...สมถะ...สมถะ...พอสิ้นฤทธิ...ก็เบ่งบาน

กิเลสมันหลอกเรา...นะนี้...มันอ๋อยเหยื่อ...มันว่าเราดีขึ้นนะนี้...มีไปเถอะ...มีไปเถอะ...x กะภรรยาได้...ไม่ผิดศีล....
(มีศีลได้..ก็ให้มีศีลไป...แต่..ไม่มีสมาธิ..ไม่มีปัญญา..ก็ฆ่าเราไม่ได้...มันหัวเร้อ..คิก..คิก..คิก)

กิเลสมันจะหลอกเราเป็นขั้น ๆ ให้เราอยู่กับที่ไม่ก้าวต่อ..

อ้างคำพูด:
แต่ก็มีคำถามกลับว่าแล้วถ้าผมโสด มีผู้หญิงอื่น ที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีสามี ตัวเปล่า แล้วมามี* กับเราโดยต่างฝ่าย ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอีกฝ่าย มันผิดมั้ย เพราะสุดท้ายเราก็ปล่อยวางได้ ไม่มีทุกข์เกิด แถมมีสุขด้วย จึงโทรถามเพือนที่ปฎิบัติทางสาย หลวงพ่อฤษีลิงดำ มานาน ได้คำตอบว่า เพราะตอนมี* จะทำให้ไม่มีสติ สมาธิ และปัญญาในขณะนั้น และ ฌาน ก็กลับเสื่อมถอยลงด้วย


คนที่ไม่มีคนปกครองเลย..ไม่มีนะจ๊ะ :b32: ...นี้เรื่องศีล

หากมาในเรื่องสมาธิธรรม....กามราคะเจริญมาก...ทางเข้าสมาธิมันจะแคบลง...เด้อ...

มันเป็นเช่นนี้เอง... :b12:

อ้างคำพูด:
จึงได้คำตอบในใจว่า การจะละสิ่งนี้ได้คงต้องมีสติอยู่ใน ปัจจุบันขณะ ตลอดเวลา


จงมีสติ..ปัญญา..รักษาใจ... :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 23:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
น้านงั้ย...เอาเข้าแล้ว...

ฝึกจิต เขียน:
คืออย่างนี้ครับคุณกบ ผมนั่งสมาธิ แล้วพิจารณาเรื่องกามมารมณ์ ที่ผมลดลงได้เยอะแล้ว แต่ไม่หมดสักที(กับภรรยาตัวเองนะครับไม่เคยผิดศิล)โดยใช้หลักไตรลักษณ์ สู่ความไม่ยึดมั่นถือมั่น

ตอนมันลด...ดีใจตัวลอย...ตั้งใจจะสอยเจ้าปฏิฆะต่อ
พอตอนมันกำเริบ...ทุกข์ใจทุกวันคืน.. :b2: :b2:


แต่ผมเฉยๆๆมากกว่าครับ ไม่ได้ดีใจ หรือ เสียใจเลย และผมก็ฝึกไปเรื่อยๆไม่ได้รีบเร่งด้วย หาข้อมูลมาวิเคราะห์ตอนทำสมาธิไปเรื่อยๆจนจะแน่ใจว่ามั่นแน่อยู่ในจิตแล้ว ครับ
ได้คำตอบแล้วก็ไม่ได้ยึดไว้ใดๆทั้งสิ้น เพียงต้องกางแผนที่ดูให้แน่ใจว่ามาถูกทางแล้วไปต่อ จบที่ปล่อยว่างทุกสิ่ง รวมทั้งนิพพานก็ปล่อยวางเสีย

อย่าเชื่อจนกว่าจะรู้แจ้งแทงตลอดด้วยตนเอง ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2012, 00:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
น้านงั้ย...เอาเข้าแล้ว...

ฝึกจิต เขียน:
คืออย่างนี้ครับคุณกบ ผมนั่งสมาธิ แล้วพิจารณาเรื่องกามมารมณ์ ที่ผมลดลงได้เยอะแล้ว แต่ไม่หมดสักที(กับภรรยาตัวเองนะครับไม่เคยผิดศิล)โดยใช้หลักไตรลักษณ์ สู่ความไม่ยึดมั่นถือมั่น

ตอนมันลด...ดีใจตัวลอย...ตั้งใจจะสอยเจ้าปฏิฆะต่อ
พอตอนมันกำเริบ...ทุกข์ใจทุกวันคืน..
:b2: :b2:


แต่ผมเฉยๆๆมากกว่าครับ ไม่ได้ดีใจ หรือ เสียใจเลย และผมก็ฝึกไปเรื่อยๆไม่ได้รีบเร่งด้วย หาข้อมูลมาวิเคราะห์ตอนทำสมาธิไปเรื่อยๆจนจะแน่ใจว่ามั่นแน่อยู่ในจิตแล้ว ครับ
ได้คำตอบแล้วก็ไม่ได้ยึดไว้ใดๆทั้งสิ้น เพียงต้องกางแผนที่ดูให้แน่ใจว่ามาถูกทางแล้วไปต่อ จบที่ปล่อยว่างทุกสิ่ง รวมทั้งนิพพานก็ปล่อยวางเสีย

อย่าเชื่อจนกว่าจะรู้แจ้งแทงตลอดด้วยตนเอง ครับ


ผมว่า...ตัวเอง...... s005 s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2012, 00:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นอกเรื่องนิดหนึ่ง... s002

ปล่อยวางนิพพาน...

ยังไม่ถึงที่...ก็ให้ถือใว้ก่อนอย่ารีบปล่อย...

ไม่งั้นพระท่านคงไม่สอน...อุปสมานุสติกรรมฐาน

เมื่อถึงที่แล้วค่อยปล่อย...มันถึงจะเข้าเป้า... :b4: :b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร