วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 23:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2012, 02:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ดังนั้นที่จะมาขัดขวางและขู่สำทับผมโดยอ้างว่าจะเป็นการบิดเบือนพระสัทธรรม ไม่ให้ผมพูดเรื่องปัญญาวิมุติดังที่ผมแสดงไว้ข้างต้นนั้นคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่เชื่อคุณและยังเกรงไปด้วยว่า คนที่ยึดมั่นถือมั่นแลมีความเห็นสุดโต่งอย่างคุณเสียอีกที่อาจจะเป็นผู้บิดเบือนพระสัทธรรมไปด้วยมานะทิฐิของตน

:b34:

เชื่อผมเถอะ...

วันนี้ถูกตีแรงไปหน่อย...อาจจะโกรธ

หากไปดูผลคือปฏิเวทของตนแล้ว...เห็นแล้ว

วันหลัง...จะคุยกันสนุก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2012, 03:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ความเห็นต่างๆในกระทู้คือความเห็น ตรงและเข้าได้กับจริตของใครก็เอาไปประยุกต์ใช้ให้เป็นวิธีการเฉพาะตัว ของใครของมันเถิด มิบังควรมาเบรคเบลมกันดังคำพูดที่คุณกบบอกว่า[/color]
:b7:
ขอเตือนว่า...

อย่าได้กล่าว...ถึงปัญญาวิมุติ...อย่างที่ท่านว่าในข้อที่ 2 อีก...ไม่รู้..แม้เจตนาดี...ก็ผิด

เราบอกท่าน...ก็ถือว่าท่านรู้แล้ว

รู้แล้ว..ยังทำอีก..จะผิดมากนะ

อีกประโยคหนึ่งที่พาลไปถึงสำนักต่างๆด้วย
"กิเลสความขี้เกียจ+มักง่าย....ก็หาทางตีความตามบัญญัติมาเข้าทางสำนักมักง่ายของตน" :b34:


แรง...ก็แรงของกิเลส

ธรรมแล้ว...ไม่แรง

ลองพิจารณาคำเหล่านี้ดู...

ทำไม...กิเลสถึงแรง...ทำไมธรรมถึงไม่แรง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2012, 03:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
คุณกบนอกกะลาครับ ผมเองก็ได้ฟังได้รู้มาประมาณท่านอโศกเหมื่อนกัน หลวงพ่อทูล และ ท่านพุทธทาส ก็กล่าวประมาณนี้ครับ
...

ธรรมสากัจฉา....เอตัมมังคะละมุตตะมัง..ครับ..อันนี้ผมว่าเองนะ

:b8: :b8: ครูบาอาจารย์..นะของจริง

ความเข้าใจของคนที่ฟังมา...ก็มีจริงบ้าง...ไม่จริงบ้าง..ปนไป

ตรงไหนไม่จริง...รู้แล้ว...หากนิ่งเฉย...คือการประหารกันดี ๆ นี้เอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 07:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




dd147_resize.jpg
dd147_resize.jpg [ 34.83 KiB | เปิดดู 5111 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
ดังนั้นที่จะมาขัดขวางและขู่สำทับผมโดยอ้างว่าจะเป็นการบิดเบือนพระสัทธรรม ไม่ให้ผมพูดเรื่องปัญญาวิมุติดังที่ผมแสดงไว้ข้างต้นนั้นคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่เชื่อคุณและยังเกรงไปด้วยว่า คนที่ยึดมั่นถือมั่นแลมีความเห็นสุดโต่งอย่างคุณเสียอีกที่อาจจะเป็นผู้บิดเบือนพระสัทธรรมไปด้วยมานะทิฐิของตน

:b34:

เชื่อผมเถอะ...

วันนี้ถูกตีแรงไปหน่อย...อาจจะโกรธ

หากไปดูผลคือปฏิเวทของตนแล้ว...เห็นแล้ว

วันหลัง...จะคุยกันสนุก

Onion_L
คุณกบ.พูดเองเออเองทั้งนั้น จึงพลาดอยู่เรื่อย ใครจะไปโกรธคุณกบ มีแต่สงสารครับ
การมาสนทนาธรรมในลานธรรมจักรแห่งนี้หรือทุกลานธรรม asoka มาสนทนาด้วยเมตตาและพรหมวิหารธรรม
จะยิ้มน้อยๆจนถึงหัวเราะทุกครั้งเมื่อมีคนที่อาจจะหัวเสียเพราะถูกกระทบแล้วแสดงวาทะโต้ตอบออกมา สังเกตดูในวาทะเหล่านั้นมีโทสะหรือปฏิฆะปนมานิดๆเสมอ ผสมไปด้วยความคิดในมุมลบ(Negative Thinking)อยู่ตลอดเวลา


ไม่มีที่ใดที่จะคุ้ยค้นเอามานะทิฐิออกมาได้ดีเท่ากับการนำทิฐิ ความเห็นของตน มาชนกับความเห็นของผู้อื่น
เมื่อถูกกระทบจนมีปฏิฆะ มานะโผล่ จึงเป็นโอกาสอันดีทีจะได้เจริญวิปัสสนาภาวนาเอาสติปัญญามาชำระขุดถอนมานะทิฐิ กิเลส ตัณหาไปด้วย สนทนาธรรมไปด้วย ได้ประโยชน์ 2 ต่อ 3 ต่อ เข้าฮอร์สไปเลย


สบายใจกันได้นะครับ คุณกบและสหายแนวร่วมทั้งหลาย อโหสิกรรมไม่มีบาปเวรใดให้ไปขัดวางทางสู่มรรคผลของใคร เพราะเมตตาและอโหสิให้เสมอ

การแสดงความเห็นในสภาต้องแสดงเหตุผลให้เต็มที่และถูกต้องตามธรรม เพื่อความถูกต้องของส่วนรวมในที่สุด
จึงบางครั้งดูเหมือนมีวาจาที่ดูว่ากราดเกรี้ยวไปบ้าง กระทบกระเทียบเปรียบเปรยไปบ้าง แคะไค้ ขุดคุ้ยไปบ้างทั้งนี้ก็เพราะถูกกระทบมาก่อน จึงต้องตอบโต้กลับไปเพื่อปลุกให้เกิดสัมปชัญญะขึ้นทั้งสองหรือทุกฝ่าย มีประสงค์เพียงเท่านั้น จบการอภิปรายในสภา หมดเวลาก็ต้องกลับไปอยู่ที่ปกติตามเคยเท่านั้นเองครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนที่จะถกเถียงกันต่อมาเข้าใจคำศัพท์ที่เป็นประเด็นกันก่อน

-----------------------------------------------------------------------------------------------

[อ้างอิง]
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต)

http://www.watnyanaves.net/th/book_detail/268

หน้า 74
เจโตวิมุตติ ความหลุดพ้นแห่งจิต, การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิต หรือด้วยกำลังสมาธิ เช่น สมาบัติ ๘ เป็นเจโตวิมุตติอันละเอียดประณีต (สันตเจโตวิมุตติ)

หน้า 229
ปัญญาวิมุต "ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา" หมายถึง พระอรหันต์ผู้สำเร็ขด้วยบำเพ็ญวิปัสสนาโดยมิได้อรูปสมาบัติมาก่อน
ปัญญาวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยปัญญา, ความหลุดพ้นที่บรรลุด้วยการกำจัดอวิชชาได้ ทำให้สำเร็จอรหัตตผล
และทำให้เจโตวิมุตติ เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือไม่กลับกลายได้อีกต่อไป

หน้า 567
อุภโตภาควิมุต "ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน" คือ พระอรหันต์ผู้บำเพ็ญสมถะมาเป็นอย่างมากจนได้สมาบัติ ๘ แล้ว จึงใช้สมถะนั้นเป็นฐานบำเพ็ญวิปัสสนาต่อไปจนบรรลุอรหัตผล; หลุดพ้นทั้งสองส่วน (และสองวาระ) คือหลุดพ้นจากรูปกายด้วยอรูปสมาบัติ (เป็นวิภขัมภนะ) หนหนึ่งแล้ว จึงหลุดพ้นจากนามกายด้วยอริยมรรค (เป็นสมุจเฉท) อีกหนหนึ่ง; เทียบ ปัญญาวิมุต
[จบการอ้างอิง]

คู่ เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ เป็นคำบอกสภาวะการหลุดพ้นว่าหลุดพ้นด้วยสมถะ(ชั่วคราว) หรือด้วยปัญญา(ถาวร)

คู่ อุภโตภาควิมุต และ ปัญญาวิมุต เป็นคำเรียกพระอรหันต์ที่บรรลุอรหัตตผลโดยที่ได้ และไม่ได้สมาบัติ ๘ ก่อนที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์

สังเกตุว่าการใช้คู่ เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ ซึ่งเป็นคำแยกแยะการหลุดพ้นจากกิเลสถูกนำไปใช้เป็นคำเรียกพระอรหันต์จนเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน(ในคนบางหรือหลายๆคน) ว่า ปัญญาวิมุตติ หมายถึงใช้ปัญญาล้วนบ้าง ใช้สมาธิเล็กน้อยบ้าง หรือ สมาธิไม่เด่นบ้าง แต่แท้จริงแล้ว พระอรหันต์ล้วนเป็นปัญญาวิมุตติทั้งสิ้นคือกำจัดกิเลสอย่างสิ้นเชิงด้วยปัญญา

ส่วนใครจะบรรลุมาอย่างไร จะใช้คำอื่นเช่น อุภโตภาควิมุต และ ปัญญาวิมุต เป็นต้น
หากสนใจตรวจค้นใน หน้า ๕๑๑ หัวข้อ อริยบุคคล ๗ ซึ่งเป็นชื่อเรียกของอริยบุคคล จำแนกเป็น ๗ ประเภท

-----------------------------------------------------------------------------------------------

อยากให้สนใจเรื่องความถูกต้องของคำศัพท์ที่จะนำมาเผยแพร่ หรือถกเถียงกันก่อน
เพราะ เพียงแค่เข้าใจความหมายของคำผิดพลาดก็สามารถส่งผลถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้มากครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำตอบสำหรับกระทู้

----------------------------------------------------------------------------------
อินทรีย์ ๕
-สัทธินทรีย์ (ความศรัทธา)
-วิริยินทรีย์ (ความเพียร)
-สตินทรีย์ (สติ)
-สมาธินทรีย์ (สมาธิ)
-ปัญญินทรีย์ (ปัญญา)
----------------------------------------------------------------------------------

ให้ลองพิจารณาดูว่า คนสมัยพุทธกาล เทียบกับคนสมัยนี้ มีอินทรย์ ๕ มากน้อยต่างกันแค่ไหน
ลองเทียบง่ายๆว่า
-ผู้ที่ฝึกสมาธิจนได้ฌาน ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นก็อยู่ไม่น้อยในสมัยนั้น
-คนที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อความหลุดพ้นก็มีอยู่มาก(จะเดินถูกผิดนี่อีกเรื่องนึง)
-คนก็มีความเพียรมากกว่า (พิจารณาสองข้อข้างต้น)
-สิ่งล่อใจที่ทำให้เกิดความฟุ้งซ่านซึ่งเป็นศัตรูของสมาธิ/สติ ก็มีน้อยกว่า
แค่ 4 ข้อข้างต้นก็น่าจะเปรียบเทียบได้ว่าพื้นฐานของคนสมัยนั้นแข็งแกร่งกว่าคนในปัจจุบันมาก
(ต่อให้ปัญญินทรีย์เท่ากันก็ได้นะครับ)

ยังไม่นับผู้สอนก็มีความสามารถมากกว่า (พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร ฯลฯ)
เรื่องภาษาที่ใช้ก็มาจากพระพุทธเจ้าโดยตรงไม่ต้องมีการแปล ความผิดพลาดตกหล่นจากการแปลก็ไม่มี

รวมๆเหตุผลข้างต้นแล้ว คุณฝึกจิต คิดว่าเป็นไปได้ไหมล่ะที่คนในอดีตแค่ฟังพระพุทธเจ้าสอนก็บรรลุธรรมแล้ว?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 18:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


Yodyood เขียน:
คำตอบสำหรับกระทู้

----------------------------------------------------------------------------------
อินทรีย์ ๕
-สัทธินทรีย์ (ความศรัทธา)
-วิริยินทรีย์ (ความเพียร)
-สตินทรีย์ (สติ)
-สมาธินทรีย์ (สมาธิ)
-ปัญญินทรีย์ (ปัญญา)
----------------------------------------------------------------------------------

ให้ลองพิจารณาดูว่า คนสมัยพุทธกาล เทียบกับคนสมัยนี้ มีอินทรย์ ๕ มากน้อยต่างกันแค่ไหน
ลองเทียบง่ายๆว่า
-ผู้ที่ฝึกสมาธิจนได้ฌาน ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นก็อยู่ไม่น้อยในสมัยนั้น
-คนที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อความหลุดพ้นก็มีอยู่มาก(จะเดินถูกผิดนี่อีกเรื่องนึง)
-คนก็มีความเพียรมากกว่า (พิจารณาสองข้อข้างต้น)
-สิ่งล่อใจที่ทำให้เกิดความฟุ้งซ่านซึ่งเป็นศัตรูของสมาธิ/สติ ก็มีน้อยกว่า
แค่ 4 ข้อข้างต้นก็น่าจะเปรียบเทียบได้ว่าพื้นฐานของคนสมัยนั้นแข็งแกร่งกว่าคนในปัจจุบันมาก
(ต่อให้ปัญญินทรีย์เท่ากันก็ได้นะครับ)

ยังไม่นับผู้สอนก็มีความสามารถมากกว่า (พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร ฯลฯ)
เรื่องภาษาที่ใช้ก็มาจากพระพุทธเจ้าโดยตรงไม่ต้องมีการแปล ความผิดพลาดตกหล่นจากการแปลก็ไม่มี

รวมๆเหตุผลข้างต้นแล้ว คุณฝึกจิต คิดว่าเป็นไปได้ไหมล่ะที่คนในอดีตแค่ฟังพระพุทธเจ้าสอนก็บรรลุธรรมแล้ว?


กระจ่างแท้แน่ในจิต ขอบคุณมากครับ คุณ ยอดยุทธ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 18:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเห็นด้วยนะ...คุณยอดยุทธ...ที่สุดท้ายต้องกำจัดกิเลสด้วยปัญญาทั้งนั้น :b8: :b8:

asoka เขียน:
จะยิ้มน้อยๆจนถึงหัวเราะทุกครั้งเมื่อมีคนที่อาจจะหัวเสียเพราะถูกกระทบแล้วแสดงวาทะโต้ตอบออกมา สังเกตดูในวาทะเหล่านั้นมีโทสะหรือปฏิฆะปนมานิดๆเสมอ ผสมไปด้วยความคิดในมุมลบ(Negative Thinking)อยู่ตลอดเวลา

:b32: :b32:
ดีใจกับคุณ asoka ด้วย...ที่ไม่มีโทสะ...ปฏิฆะ..และ...มานะ...แล้ว

ละปฏิฆะได้นี้..อย่างน้อยก็อนาคามี

ละมานะได้นี้...ก็มีเพียงพระอรหันต์

ใครทำได้แล้ว...จะไม่ให้ดีใจด้วยได้อย่างไร :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 00:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่หาก...ปุถุชน..นะ...ว่าตัวไม่มีปฏิฆะ..ไม่มีมานะ...นะ

มัน...ขี้...โม้....

เอิ้ก...เอิ้ก..เอิ้ก....
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 21:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




dd146_resize.jpg
dd146_resize.jpg [ 41.77 KiB | เปิดดู 5043 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
ผมเห็นด้วยนะ...คุณยอดยุทธ...ที่สุดท้ายต้องกำจัดกิเลสด้วยปัญญาทั้งนั้น :b8: :b8:

asoka เขียน:
จะยิ้มน้อยๆจนถึงหัวเราะทุกครั้งเมื่อมีคนที่อาจจะหัวเสียเพราะถูกกระทบแล้วแสดงวาทะโต้ตอบออกมา สังเกตดูในวาทะเหล่านั้นมีโทสะหรือปฏิฆะปนมานิดๆเสมอ ผสมไปด้วยความคิดในมุมลบ(Negative Thinking)อยู่ตลอดเวลา

:b32: :b32:
ดีใจกับคุณ asoka ด้วย...ที่ไม่มีโทสะ...ปฏิฆะ..และ...มานะ...แล้วละปฏิฆะได้นี้..อย่างน้อยก็อนาคามี

ละมานะได้นี้...ก็มีเพียงพระอรหันต์

ใครทำได้แล้ว...จะไม่ให้ดีใจด้วยได้อย่างไร :b13: :b13:

Onion_L
คุณกบมีสติดีแต่ขาดสตัง หรือสัมปชัญญะ มีตรงไหนที่ผมบอกว่าผมหมดมานะและปฏิฆะ โปรดกลับไปอ่านใหม่ด้วยความพินิจพิจารณาให้ดี (ปัญญาสัมมาสังกัปปะ) อย่ามาสรุปความเอาตามใจตนเองไม่ดีนะครับ

นี่คือการฝึกหัดปฏิบัติธรรมกับของจริง อย่างที่ผมบอกไว้ข้างต้น
คณกบตกความสังเกต พิจารณา ต้องเพิ่มพูนหรือเติมเต็มในส่วนนี้ให้มากๆจึงจะเกิดสมดุลย์ในการปฏิบัติธรรมครับ
:b16:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 23:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
การมาสนทนาธรรมในลานธรรมจักรแห่งนี้หรือทุกลานธรรม asoka มาสนทนาด้วยเมตตาและพรหมวิหารธรรม
จะยิ้มน้อยๆจนถึงหัวเราะทุกครั้งเมื่อมีคนที่อาจจะหัวเสียเพราะถูกกระทบแล้วแสดงวาทะโต้ตอบออกมา สังเกตดูในวาทะเหล่านั้นมีโทสะหรือปฏิฆะปนมานิดๆเสมอ ผสมไปด้วยความคิดในมุมลบ(Negative Thinking)อยู่ตลอดเวลา




Sorry....Sorry....

หากว่าบทนี้..เป็นการว่าตัวท่านเอง...
:b32: :b32:

แต่...หากว่าเป็นการดู...ปฏิฆะผู้อื่น...

เกรงว่า...อาจจะดูผิด... :b32:

ดูของตัว...จะมีประโยชน์กว่า...เด้อ :b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2012, 21:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเห็นด้วยกับความเห็นของท่านวิริยะนะ

ความจริงคนเหล่านี้สร้างมาเต็มมากพอแล้ว เคยสร้างพุทธภูมิกับสาวกภูมิร่วมกันมาเนิ่นนานมีกรรมเกี่ยวเนื่องกัน อีกอย่างท่านเหล่านั้นได้ครูดีจึงสามารถพ้นจากทุกข์ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2012, 06:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




dd148_resize.jpg
dd148_resize.jpg [ 57.18 KiB | เปิดดู 5006 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
การมาสนทนาธรรมในลานธรรมจักรแห่งนี้หรือทุกลานธรรม asoka มาสนทนาด้วยเมตตาและพรหมวิหารธรรม
จะยิ้มน้อยๆจนถึงหัวเราะทุกครั้งเมื่อมีคนที่อาจจะหัวเสียเพราะถูกกระทบแล้วแสดงวาทะโต้ตอบออกมา สังเกตดูในวาทะเหล่านั้นมีโทสะหรือปฏิฆะปนมานิดๆเสมอ ผสมไปด้วยความคิดในมุมลบ(Negative Thinking)อยู่ตลอดเวลา




Sorry....Sorry....

หากว่าบทนี้..เป็นการว่าตัวท่านเอง...
:b32: :b32:

แต่...หากว่าเป็นการดู...ปฏิฆะผู้อื่น...

เกรงว่า...อาจจะดูผิด... :b32:

ดูของตัว...จะมีประโยชน์กว่า...เด้อ :b22:

onion
คุณกบก็ตกสังเกต(สังกัปปะ) ไปอีกนั่นแหละ(เป็นธรรมดาของคนที่เน้นแต่เจริญสติแล้วละเลยการเจริญปัญญา) ลองอ่าน สังเกต(ไม่ใช้ความคิด ) พิจารณา(ใช้ความคิด) ข้อความที่ยกมาให้อ่านนี้ให้ดีๆซ้ำอีกทีนะครับ

ไม่มีที่ใดที่จะคุ้ยค้นเอามานะทิฐิออกมาได้ดีเท่ากับการนำทิฐิ ความเห็นของตน มาชนกับความเห็นของผู้อื่น
เมื่อถูกกระทบจนมีปฏิฆะ มานะโผล่ จึงเป็นโอกาสอันดีทีจะได้เจริญวิปัสสนาภาวนาเอาสติปัญญามาชำระขุดถอนมานะทิฐิ กิเลส ตัณหาไปด้วย สนทนาธรรมไปด้วย ได้ประโยชน์ 2 ต่อ 3 ต่อ เข้าฮอร์สไปเลย


สบายใจกันได้นะครับ คุณกบและสหายแนวร่วมทั้งหลาย อโหสิกรรมไม่มีบาปเวรใดให้ไปขัดวางทางสู่มรรคผลของใคร เพราะเมตตาและอโหสิให้เสมอ

การแสดงความเห็นในสภาต้องแสดงเหตุผลให้เต็มที่และถูกต้องตามธรรม เพื่อความถูกต้องของส่วนรวมในที่สุด
จึงบางครั้งดูเหมือนมีวาจาที่ดูว่ากราดเกรี้ยวไปบ้าง กระทบกระเทียบเปรียบเปรยไปบ้าง แคะไค้ ขุดคุ้ยไปบ้างทั้งนี้ก็เพราะถูกกระทบมาก่อน จึงต้องตอบโต้กลับไปเพื่อปลุกให้เกิดสัมปชัญญะขึ้นทั้งสองหรือทุกฝ่าย มีประสงค์เพียงเท่านั้น จบการอภิปรายในสภา หมดเวลาก็ต้องกลับไปอยู่ที่ปกติตามเคยเท่านั้นเองครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2012, 08:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
การมาสนทนาธรรมในลานธรรมจักรแห่งนี้หรือทุกลานธรรม asoka มาสนทนาด้วยเมตตาและพรหมวิหารธรรม
จะยิ้มน้อยๆจนถึงหัวเราะทุกครั้งเมื่อมีคนที่อาจจะหัวเสียเพราะถูกกระทบแล้วแสดงวาทะโต้ตอบออกมา
สังเกตดูในวาทะเหล่านั้นมีโทสะหรือปฏิฆะปนมานิดๆเสมอ ผสมไปด้วยความคิดในมุมลบ(Negative Thinking)อยู่ตลอดเวลา




asoka เขียน:
คุณกบก็ตกสังเกต(สังกัปปะ) ไปอีกนั่นแหละ(เป็นธรรมดาของคนที่เน้นแต่เจริญสติแล้วละเลยการเจริญปัญญา) ลองอ่าน สังเกต(ไม่ใช้ความคิด ) พิจารณา(ใช้ความคิด) ข้อความที่ยกมาให้อ่านนี้ให้ดีๆซ้ำอีกทีนะครับ

ไม่มีที่ใดที่จะคุ้ยค้นเอามานะทิฐิออกมาได้ดีเท่ากับการนำทิฐิ ความเห็นของตน มาชนกับความเห็นของผู้อื่น
เมื่อถูกกระทบจนมีปฏิฆะ มานะโผล่ จึงเป็นโอกาสอันดีทีจะได้เจริญวิปัสสนาภาวนาเอาสติปัญญามาชำระขุดถอนมานะทิฐิ กิเลส ตัณหาไปด้วย สนทนาธรรมไปด้วย ได้ประโยชน์ 2 ต่อ 3 ต่อ เข้าฮอร์สไปเลย


เมตตาแบบไหนกัน....
ปฏิฆะ..มานะตนถึงโผล่มาได้...

เมตตาขี้จุ๊...หรอ... :b9: :b9: :b9:

สังเกตุปฏิเวทของตนให้ดี....จริงหรือไม่จริง
เมตตาจริง...หรือเทียม...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2012, 10:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
การมาสนทนาธรรมในลานธรรมจักรแห่งนี้หรือทุกลานธรรม asoka มาสนทนาด้วยเมตตาและพรหมวิหารธรรม
จะยิ้มน้อยๆจนถึงหัวเราะทุกครั้งเมื่อมีคนที่อาจจะหัวเสียเพราะถูกกระทบแล้วแสดงวาทะโต้ตอบออกมา
สังเกตดูในวาทะเหล่านั้นมีโทสะหรือปฏิฆะปนมานิดๆเสมอ ผสมไปด้วยความคิดในมุมลบ(Negative Thinking)อยู่ตลอดเวลา




asoka เขียน:
คุณกบก็ตกสังเกต(สังกัปปะ) ไปอีกนั่นแหละ(เป็นธรรมดาของคนที่เน้นแต่เจริญสติแล้วละเลยการเจริญปัญญา) ลองอ่าน สังเกต(ไม่ใช้ความคิด ) พิจารณา(ใช้ความคิด) ข้อความที่ยกมาให้อ่านนี้ให้ดีๆซ้ำอีกทีนะครับ

ไม่มีที่ใดที่จะคุ้ยค้นเอามานะทิฐิออกมาได้ดีเท่ากับการนำทิฐิ ความเห็นของตน มาชนกับความเห็นของผู้อื่น
เมื่อถูกกระทบจนมีปฏิฆะ มานะโผล่ จึงเป็นโอกาสอันดีทีจะได้เจริญวิปัสสนาภาวนาเอาสติปัญญามาชำระขุดถอนมานะทิฐิ กิเลส ตัณหาไปด้วย สนทนาธรรมไปด้วย ได้ประโยชน์ 2 ต่อ 3 ต่อ เข้าฮอร์สไปเลย


เมตตาแบบไหนกัน....
ปฏิฆะ..มานะตนถึงโผล่มาได้...

เมตตาขี้จุ๊...หรอ... :b9: :b9: :b9:

สังเกตุปฏิเวทของตนให้ดี....จริงหรือไม่จริง
เมตตาจริง...หรือเทียม...




วางกันเถอะท่าน วางกันเถอะท่าน พวกเราหวังดีให้แก่กันทั้งนั้นแหละครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร