วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 04:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 12:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
student เขียน:
ปัญญาที่เริ่มก่อตัวเพราะความเห็นที่ถูกย่อมพัฒนาขึ้นตามลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นสำหรับคนทั้งหลายที่เป็นบัวทั้ง4 เหล่า คือไม่จำกัดว่าต้องเป็นบัวที่จะพ้นน้ำแล้วเท่านั้น ไม่ใช่เจาะจงแต่เฉพาะบัวที่จะพ้นน้ำแล้วเท่านั้น เพียงแต่บัวที่จมใต้น้ำนั้นไม่สนใจในธรรม เช่นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่นั้นอาจจะเป็นบัวใต้น้ำอยู่ก็ได้เพราะความเห็นที่เป็นวิทยาศาสตร์มาบดบังจนไม่พิจารณาธรรมที่เป็นเครื่องหลุดพ้น แต่คนที่ไร้การศึกษาอยู่ตามป่าตามดงอาจจะเป็นบัวเหนือน้ำก็ได้เพราะหากเพียงแต่ได้ฟังธรรมที่ตรงกับจริตก็อาจจะได้ปัญญาเป็นแนวทางให้พ้นทุกข์ได้ มรรคมีองค์8 เป็นธรรมและเป็นแนวทางที่วางไว้สำหรับคนทั้งหลายที่ตั้งแต่ยังไม่เป็นพระอริยะบุคคลจนกระทั่งเป็นพระอริยะบุคคล ไม่จำกัดหรือห้ามบุคคลใดคนหนึ่ง คนที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนาอาจจะปฏิบัติตนในทางแห่งมรรคมีองค์8ได้มากกว่าคนที่นับถือศาสนาพุทธก็ได้เพราะฒรรคมีองค์8คือความดีที่ถูกทางตั้งแต่ พูดจาดี คิดดี มีเมตตา กรุณา เหล่านี้ล้วนแต่เป็นมรรคมีองค์8ทั้งนั้น ดังนั้นการที่เป็นคนนับถือพุทธศาสนาก็อย่าได้ประมาทในธรรมที่พระพุทธเจ้าวางไว้ด้วยว่าตัวเองรู้ลึกซึ้งจนมองข้ามสิ่งที่เล็กน้อยเช่น มรรคมีองค์8 มาทีหลัง เป็นธรรมที่วางไว้สำหรับพระอริยะบุคคลที่มีปัญญาแล้ว อย่างนี้เป็นความเห็นที่ผิด เพราะธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้ดีแล้วนั้น ล้วนแต่สำหรับมนุษย์ทั้งหลายให้ปฏิบัติ


:b1: :b12: :b12:

ออกมาจากใจ

และ ใจเราก็มาตรงกันได้

อย่างกะว่าใจเราก็เป็นหนึ่งเดียวกัน

ธรรมก็มีแนวโนม้ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกัน

:b27: :b27: :b27:



มรรค 8 คือผลที่ได้จากการวิปัสสนาภาวนา ใครปฏิบัติก็จะได้ผลออกมาอย่างนี้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นเป็น ฆราวาส พระสงฆ์ อริยบุคคล อริยสงฆ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มรรคภาวนา คือสมถะวิปัสสนา
อริยอัฏฐังคิกมรรค เป็นทางปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ เป็นเหตุ
และเป็นสัจจะของเหตุ ที่นำผลมาให้ ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอื่นได้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีค่ะ คุณไม่เที่ยง

อริยสัจจ์สี่ ท่านเปรียบเหมือนรอยเท้าช้างซึ่งใหญ่ที่สุด รอยเท้าสัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่นๆนั้นย่อมรวมลงได้ในรอยเท้าช้างทั้งสิ้น ซึ่งถ้าจับคู่จะได้ดังนี้
ทุกขสัจจะ คือผลทุกข์
สมุทัยสัจจะ คือเหตุทุกข์
นิโรธสัจจะ ผลสุข คือนิพพาน
มรรคสัจจะ เหตุสุข วิธีทำให้เหตุทุกข์ดับ ซึ่งแบ่งเป็น 8 ข้อหรือที่เรียกว่า มรรค 8

สมุทัย ควรละ
มรรค ควรทำให้มาก เจริญให้มาก

การทำเหตุที่ถูกตรงย่อมนำไปสู่ผลที่ถูกตรงเช่นกัน
การเจริญวิปัสสนา เป็นเหตุที่ต้องทำซึ่งรวมอยู่ในมรรค 8 (สัมมาสติ) เพื่อนำไปสู่ผลคือนิพพาน

ขอเจริญในธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 13:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5015


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:

มรรค 8 คือผลที่ได้จากการวิปัสสนาภาวนา ใครปฏิบัติก็จะได้ผลออกมาอย่างนี้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นเป็น ฆราวาส พระสงฆ์ อริยบุคคล อริยสงฆ์


ไม่ เราไม่ได้ผลอย่างที่คุณนำเสนอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 13:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:

มรรค 8 คือผลที่ได้จากการวิปัสสนาภาวนา ใครปฏิบัติก็จะได้ผลออกมาอย่างนี้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นเป็น ฆราวาส พระสงฆ์ อริยบุคคล อริยสงฆ์


ไม่ เราไม่ได้ผลอย่างที่คุณนำเสนอ


ท่านพยายามปฏิบัติแล้วหรือยัง หรือยังไม่เข้าใจ หรือยังติดขัด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 13:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
tongue สวัสดีค่ะ คุณไม่เที่ยง

อริยสัจจ์สี่ ท่านเปรียบเหมือนรอยเท้าช้างซึ่งใหญ่ที่สุด รอยเท้าสัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่นๆนั้นย่อมรวมลงได้ในรอยเท้าช้างทั้งสิ้น ซึ่งถ้าจับคู่จะได้ดังนี้
ทุกขสัจจะ คือผลทุกข์
สมุทัยสัจจะ คือเหตุทุกข์
นิโรธสัจจะ ผลสุข คือนิพพาน
มรรคสัจจะ เหตุสุข วิธีทำให้เหตุทุกข์ดับ ซึ่งแบ่งเป็น 8 ข้อหรือที่เรียกว่า มรรค 8

สมุทัย ควรละ
มรรค ควรทำให้มาก เจริญให้มาก

การทำเหตุที่ถูกตรงย่อมนำไปสู่ผลที่ถูกตรงเช่นกัน
การเจริญวิปัสสนา เป็นเหตุที่ต้องทำซึ่งรวมอยู่ในมรรค 8 (สัมมาสติ) เพื่อนำไปสู่ผลคือนิพพาน

ขอเจริญในธรรม :b8:


บัญญัติ ศัพท์ องค์ธรรมต่างๆ
สุดท้ายก็รวมอยู่ที่กฎไตรลักษณ์ทั้งสิ้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี่คือ ต้นตอแห่งทุกข์ทั้งปวง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 13:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5015


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ท่านพยายามปฏิบัติแล้วหรือยัง หรือยังไม่เข้าใจ หรือยังติดขัด


ตามแนวทางของท่านน่ะเหร๋อ
ไม่เอา จร้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 13:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ท่านพยายามปฏิบัติแล้วหรือยัง หรือยังไม่เข้าใจ หรือยังติดขัด


ตามแนวทางของท่านน่ะเหร๋อ
ไม่เอา จร้า


ผมก็ไม่เคยเชื่ออย่างท่านนะแหละ ผมเชื่อหลังจากที่ปฏิบัติแล้วเห็นผล
ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 14:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5015


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ผมก็ไม่เคยเชื่ออย่างท่านนะแหละ ผมเชื่อหลังจากที่ปฏิบัติแล้วเห็นผล
ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ


เชื่อ ไม่เชื่อ อะไรจ๊ะ

เราเคยเชื่อพระพุทธองค์อย่างไร ยิ่งเมื่อเราปฏิบัติตามที่อาจารย์ใหญ่สอน
เราก็เห็นผลตามที่จะสอบทานได้
และธรรมเราก็ลาดเอียงไปตามลำดับ ศีล สมาธิ ปัญญา จร้า
ยิ่งตอนที่อ่านพระสูตร เราก็มีความเห็นในสัจจะสอดคล้องกับพระสูตร
ดังนั้น การปฏิบัติของเรา ผลที่เราได้ มีพระสูตรเป็นเครื่องคอยวัด จร้า
และก็มีพระสูตรเป็นเครื่องคอยชำระทิฐิ จร้า
เราปฏิบัติธรรมที่พระพุทธองค์สอน
ก็ต้องใช้ธรรมที่พระองค์สอนมาเป็นเครื่องสอบทานพิสูจน์

จะไปเอาความเห็น ความเชื่อ ไม่เชื่อของท่านมาเป็นตัววัดได้ไง

ทำไมล่ะ หรือคุณมีความเห็นว่า การตรวจสอบผลโดยใช้พระสูตรเทียบเคียง
เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง ไม่เพียงพอ

:b1: :b16: :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 18 ม.ค. 2012, 15:42, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 14:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5015


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ผมก็ไม่เคยเชื่ออย่างท่านนะแหละ ผมเชื่อหลังจากที่ปฏิบัติแล้วเห็นผล
ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ


เราไม่เชื่อตั้งแต่เห็นผู้ปฏิบัติที่ยังแสดงกิเลสออกมา
และเป็นกิเลสข้อที่ละเมิดศีลข้อ 3
การปฏิบัติธรรม การวิปัสสนาที่แสดงผลออกมาอย่างนี้
มันน่าศรัทธาตรงไหน

คุณว่าคุณเห็นผลจริง ๆ
เราก็เห็นแบบนั้นมาจริง ๆ เช่นกัน
ดังนั้น แนวทางที่คุณนำเสนอ มันไม่เที่ยง
ต่อให้คุณพยายามนำเสนอแต่ข้อดี ภาพดี
แต่ ก็คนมันเห็น ยังไงมันก็เห็น ว่าผลจากแนวทางนี้ ไม่เที่ยง
เมื่อรู้อย่างนั้นแล้ว เราจะไปสนใจที่จะยึดแนวทางที่ไม่เที่ยงทำไม
และแนวทางที่เราเห็นว่า ผลที่ได้ไม่เที่ยง
เราก็ไม่คิดจะยึดและเอามาถ่ายทอดต่อ

ส่วนทางดั่งเดิม ที่พระพุทธองค์ได้สอนและสืบต่อกันมา
เรานับถือพระพุทธองค์ นับถือคำสอนพระพุทธองค์ อยู่แล้ว
คุณเห็นว่ามีใครที่สอนได้ดีกว่าพระพุทธองค์อีกเหร๋อ

:b12: :b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 18 ม.ค. 2012, 15:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 15:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5015


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณไม่เที่ยงช่วยอธิบาย ปัญญา ตามนัยนี้ได้รึเปล่า
คุณเข้าใจว่าอย่างไร

อ้างคำพูด:
๓. มหาเวทัลลสูตร
การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ
[๔๙๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก-
*เศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นเวลาเย็น ท่านพระมหาโกฏฐิกะออกจากที่หลีกเร้นแล้ว
จึงเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ทักทายปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการทักทาย
ปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
เรื่องปัญญากับวิญญาณ
[๔๙๔] ท่านพระมหาโกฏฐิกะครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงถามท่านพระสารีบุตรว่าดูกร
ท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทรามๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึง
ตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทราม?
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ท่านผู้มีอายุ บุคคลไม่รู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค
จึงตรัสว่า เป็นบุคคลมีปัญญาทราม ไม่รู้ชัดอะไร ไม่รู้ชัดว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ
นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลไม่รู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทราม.
ท่านพระมหาโกฏฐิกะ ยินดี อนุโมทนาภาษิต ของท่านพระสารีบุตรว่า ถูกละ ท่านผู้มี
อายุ ดังนี้แล้ว ได้ถามปัญหาต่อไปว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลมีปัญญาๆ
ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงตรัสว่าบุคคลมีปัญญา?
สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ บุคคลรู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เป็นบุคคล
มีปัญญา รู้ชัดอะไร รู้ชัดว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เพราะ
ฉะนั้น จึงตรัสว่า บุคคลมีปัญญา.
ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า วิญญาณๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ
จึงตรัสว่า วิญญาณ?
สา. ธรรมชาติที่รู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่าวิญญาณ รู้แจ้งอะไร
รู้แจ้งว่า นี้สุข นี้ทุกข์ นี้มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ธรรมชาติย่อมรู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า
วิญญาณ.
ก. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน หรือแยกจากกันท่านผู้มีอายุ
อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่?
สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่อาจแยก
ออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณ
รู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม ๒ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่
อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.
ก. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน แต่มีกิจที่จะพึง
ทำต่างกันบ้างหรือไม่?
สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน แต่ปัญญาควร
เจริญ วิญญาณควรกำหนดรู้ นี่เป็นกิจที่จะพึงทำต่างกันแห่งธรรม ๒ ประการนี้.
เรื่องเวทนาสัญญาและวิญญาณ
[๔๙๕] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เวทนาๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไร
หนอ จึงตรัสว่า เวทนา?
สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ ธรรมชาติที่รู้ๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เวทนา
รู้อะไร รู้สุขบ้าง รู้ทุกข์บ้าง รู้สิ่งที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง ธรรมชาติย่อมรู้ๆ ฉะนั้น จึงตรัสว่า
เวทนา.
ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สัญญาๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ
จึงตรัสว่า สัญญา?
สา. ธรรมชาติที่จำๆ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า สัญญา จำอะไร จำสีเขียว
บ้าง จำสีเหลืองบ้าง จำสีแดงบ้าง จำสีขาวบ้าง ธรรมชาติย่อมจำๆ ฉะนั้น จึงตรัสว่า สัญญา
ก. เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน หรือแยกจากกัน
ท่านผู้มีอายุ อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่?
สา. เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะเวทนารู้สิ่งใด สัญญาก็จำสิ่งนั้น
สัญญาจำสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม ๓ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.
[๔๙๖] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระโยคาวจรมีมโนวิญญาณ (จิตอันสัมปยุตด้วยรูปาวจร-
*ฌานที่ ๔) อันสละแล้ว อันบริสุทธิ์จากอินทรีย์ ๕ พึงรู้สิ่งอะไร?
สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระโยคาวจรมีมโนวิญญาณอันสละแล้ว อันบริสุทธิ์จากอินทรีย์ ๕
พึงรู้อากาสานัญจายตนฌานว่า อากาศหาที่สุดมิได้ พึงรู้วิญญาณัญจายตนฌานว่า วิญญาณหาที่สุด
มิได้ พึงรู้อากิญจัญญายตนฌานว่า น้อยหนึ่งมิได้มี.


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 19 ม.ค. 2012, 00:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 16:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5015


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าคุณคิดว่าเราปั้นแต่งคำพูดโจมตีแนวทางที่คุณนำเสนอ
ก็บอกได้นะ
เราจะได้ส่งหลักฐานอ้างอิงไปให้ท่านพุทธฏีกาผู้ดูแลบอร์ด พิจารณา
ว่าเข้าข่ายว่าเป็นกลุ่มสนทนาธรรมที่ต้องเฝ้าระวังหรือไม่

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มิ.ย. 2011, 20:18
โพสต์: 90


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
จากที่ท่าน "ไม่เที่ยง เกิดดับ"ได้โพส ลงในกระทู้ สัญญา VS ปัญญา และอื่นๆ
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
:b4: :b17:

สรุปแล้ว สัมมาิทิฐิ และสัมมาสังกัปปะ คือส่วนของ " ปัญญา " เมื่อมีปัญญาก็จะไม่ทำผิด พูดผิด
เรียกว่า คนมี "ศีล" เมื่อมีศีลแล้วสติ และ "สมาธิ" ก็เกิดขึ้นเอง ปัญญา ศีล สมาธิ คือ มรรคมีองค์ 8 ผลจากการปฏิบัติ ไม่ใช่แนวทางในการปฏิบัติ
ท่านต้องไปหาว่าปัญญาที่ใช้ดับทุกข์เกิดได้อย่างไร ใช้ดับอย่างไร แล้วได้ผลออกมาอย่างไร
ไม่ใช่แนะนำให้ไปเห็นชอบ คิดชอบ ทำชอบ อาชีพชอบ ท่านจะเห็นได้อย่างไรถ้าท่านยัง "เห็นผิด"


แต่ที่ผมฟังธรรมจากอาจารย์หลายท่าน และ หาข้อมูลมา ว่า มรรค 8 เป็นเหตุหรือ ทางสายกลางสำหรับปฎิบัติเพื่อเข้านิโรธ ซึ่งเป็นผล->นิพพาน

กระผมจึง งง ว่า ผมรู้มาถูกหรือไม่ จึงอยากข้อคำแนะนำจากท่านผู้รู้ทั้งหลายครับ
ขอบคุณสำหรับคำตอบ และขออภัย ท่าน"ไม่เที่ยง เกิดดับ"ไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากทำให้โกรธเคือง แต่กระผมมิได้หวังร้ายกับท่านแน่นอน ครับ



คนนี้เขาชอบทำให้งงอยู่แล้วขนาด มีศีล รักษาศีล ยังจะอธิบายให้งง สับสน แล้วก็ชอบอ้างพระไตรปิฏก เพื่อปิดปากคนที่ไม่รู้ :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 21:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ผมก็ไม่เคยเชื่ออย่างท่านนะแหละ ผมเชื่อหลังจากที่ปฏิบัติแล้วเห็นผล
ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ


เราไม่เชื่อตั้งแต่เห็นผู้ปฏิบัติที่ยังแสดงกิเลสออกมา
และเป็นกิเลสข้อที่ละเมิดศีลข้อ 3 :b12: :b12: :b12:

s006 s006
ไปแอบติดกล้อง...ตั้งแต่เมื่อไรนี้
s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 21:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5015


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
eragon_joe เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ผมก็ไม่เคยเชื่ออย่างท่านนะแหละ ผมเชื่อหลังจากที่ปฏิบัติแล้วเห็นผล
ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ


เราไม่เชื่อตั้งแต่เห็นผู้ปฏิบัติที่ยังแสดงกิเลสออกมา
และเป็นกิเลสข้อที่ละเมิดศีลข้อ 3 :b12: :b12: :b12:

s006 s006
ไปแอบติดกล้อง...ตั้งแต่เมื่อไรนี้
s002


:b1: :b13: :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร