วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 03:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2012, 03:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


จันทร์เจ้าขา เขียน:
ขอบคุณคะ มีความเห็นของหลายท่าน ทั้งคุณไม่เที่ยงฯ เรื่องปัญญา ๓
ภาวนามยปัญา เป็นปัญญาที่ดับทุกข์ จึงสงสัยว่า พอเรามีปัญญาก็สามารถดับทุกข์ได้เลยหรือค่ะ แล้วคงไม่ต้องทำอะไรอีก เพราะทุกข์ดับแล้ว อย่างนี้หรือเปล่าค่ะ :b8:

smiley
อุโมทนากับคุณจันทร์เจ้าขาที่ถาม
ภาวนามยปัญญาไม่ใช่ปัญญาดับทุกข์ แต่เป็นปัญญาที่ไปดับเหตุทุกข์หรือสมุทัยครับ
ความดับทุกข์นั้นเป็นผลพลอยได้จากการที่เหตุทุกข์ดับ


เพราะลูกศิษย์พระพุทธเจ้าไม่ย่อมเชื่อและไม่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ละเอียด รอบคอบและถ่องแท้
จึงพากันหลงไปพยายามแก้ทุกข์กันทั่วบ้านทั่วเมือง ทั้งๆที่พระพทธองค์ก็ทรงแสดงเรื่องสมุทัย เหตุทุกข์ไว้ชัดเจน และทรงสอนให้เพียรแก้ที่สมุทัย คือเหตุทุกข์


สัมมาทิฐิ คือปัญญาที่ถูกต้องนั้นจะต้องถูกอบร่ำมาด้วย สุตตมยปัญญาและจินตมยปัญญาที่ถูกต้องก่อน จนเกิดเป็นสัมมาทิฐิโดยทฤษฎี คือเชื่อตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้เรื่อง อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา เป็นต้น และเกิดศรัทธาที่จะพิสูจน์ความจริงโดยการปฏิบัติ

เมื่อปฏิบัติและได้พบความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงดำรัสไว้ ภาวนามยปัญญาจึงเกิดขึ้น ภาวนามยปัญญาที่ไปตัดทำลายเหตุทุกข์จนเข้าถึงนิพพานได้ คือได้รู้ซึ้งและเข้าถึงความเป็น "อนัตตา" จนใจยอมรับโดยสมบูรณ์ สัมมาทิฐิจะเต็มร้อยตรงจุดนี้ อัตตา หรือสักกายทิฐิ ความเห็นผิดว่าเป็น กู เป็นเรา ก็ขาดสะบั้นลงจากใจ ปัญญาที่ไปตัดทำลายเหตุทุกข์ตัวสำคัญครั้งแรกนี้ท่านเรียกว่า
"โสดาปัตติมรรคญาณ"


นำเสนอมาเท่านี้ก่อนหวังว่าคุณจันทร์เจ้าขาคงพอเข้าใจโดยทฤษฎีนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2012, 05:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เพราะลูกศิษย์พระพุทธเจ้าไม่ย่อมเชื่อและไม่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ละเอียด รอบคอบและถ่องแท้
จึงพากันหลงไปพยายามแก้ทุกข์กันทั่วบ้านทั่วเมือง ทั้งๆที่พระพทธองค์ก็ทรงแสดงเรื่องสมุทัย เหตุทุกข์ไว้ชัดเจน และทรงสอนให้เพียรแก้ที่สมุทัย คือเหตุทุกข์

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้แก้ทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ทุกข์รู้เหตุ
และปล่อยวาง

และอีกอย่างลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไม่ยอมเชื่อหรือศึกษาคำสอนให้ละเอียด
แต่เป็นเพราะ มีผู้ไม่รู้เอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาสอนข้ามขั้น ข้ามตอนจึงเป็นสาเหตุ
ที่ทำให้ชาวพุทธหลงทาง
asoka เขียน:
สัมมาทิฐิ คือปัญญาที่ถูกต้องนั้นจะต้องถูกอบร่ำมาด้วย สุตตมยปัญญาและจินตมยปัญญาที่ถูกต้องก่อน จนเกิดเป็นสัมมาทิฐิโดยทฤษฎี คือเชื่อตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้เรื่อง อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา เป็นต้น และเกิดศรัทธาที่จะพิสูจน์ความจริงโดยการปฏิบัติ

สัมมาทิฐิที่แท้ไม่ได้เกิดจากทฤษฎี สัมมาทิฐิที่เกิดจากทฤษฎีเป็นได้แค่ ทานและศีลข้อห้าม
สัมมาทิฐิที่แท้ ไม่ต้องอาศัยสุตตหรือจินตแต่อย่างใด ขอเพียงแต่ให้เรามีสติ

ในสมัยพุทธกาล ยังไม่มีตัวหนังสือใช้ ก็ยังมีสาวกของพระพุทธเจ้าตั้งมากมาย
ที่ดวงตาเห็นธรรมเกิดปัญญาสัมมาทิฐิ เพียงแค่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว

การจะใช้สุตตหรือจินตได้นั้น ต้องหลังจากได้ปัญญาสัมมาทิฐิเสียก่อน
จึงจะเข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2012, 09:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ถ้าคุณไม่ได้จำตัวหนังสือ คุณจะมีปัญญาได้อย่างไร
Onion_L
สาธุ อนุโมทนายิ่งที่คุณไม่เที่ยง เกิด ดับ พูดและถามเช่นนี้ เพราะจะได้โอกาสชี้แจงให้เข้าใจถูกต้องกันเสียทีเรื่อง ปัญญา
:b34:
จำตัวหนังสือ ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นเรื่องของสัญญา ปัญญา ที่ได้จากการจำตัวหนังสือเป็นสุตตมยปัญญา
ที่คุณกำลังคิดใคร่ครวญพิจารณาหาเหตุผลอยู่นี้เป็นจินตมมยปัญญา


ส่วนภาวนามยปัญญานั้นเป็นปัญญาที่ไปรู้สัจจธรรมความจริงซึ่งบัญญัติคำพูดไม่สามารถจะบรรยายให้รู้ได้ ต้องรู้ที่ใจโดยตรงอย่างเรื่องของสภาวธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในกายและจิต เรื่องของสภาวธรรมนั้นเป็นเรื่องที่คนที่เคยสัมผัสสภาวะอย่างเดียวกันนั้นมาแล้วจึงจะคุยกันรู้เรื่องและเข้าใจได้ทันที อุปมาอย่างเช่น ความร้อน หนาว รสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม นิมิตแสงสว่าง สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ จิตหดหู่ จิตประภัสสร สภาวะของฌาณ 1-2-3-4 จิตมีอัตตา จิตไร้อัตตา นิพพาน ฯลฯ :b53:


ปัญญา ที่ได้ทางโลกมีพื้นฐานมาจากการจำ
ปัญญา ทางธรรมก็มีพื้นฐานมาจากจำ แต่ต่างที่วิธีการปฏิบัติเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2012, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 12:27
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณคะ คุณ asoka :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2012, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.ค. 2010, 15:02
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
สัมมาทิฐิที่แท้ไม่ได้เกิดจากทฤษฎี สัมมาทิฐิที่เกิดจากทฤษฎีเป็นได้แค่ ทานและศีลข้อห้าม
สัมมาทิฐิที่แท้ ไม่ต้องอาศัยสุตตหรือจินตแต่อย่างใด ขอเพียงแต่ให้เรามีสติ

ในสมัยพุทธกาล ยังไม่มีตัวหนังสือใช้ ก็ยังมีสาวกของพระพุทธเจ้าตั้งมากมาย
ที่ดวงตาเห็นธรรมเกิดปัญญาสัมมาทิฐิ เพียงแค่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว

การจะใช้สุตตหรือจินตได้นั้น ต้องหลังจากได้ปัญญาสัมมาทิฐิเสียก่อน
จึงจะเข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้า

สงสัยคะ แล้วมี สุตและจินตามยปัญญา ไว้ทำอะไรค่ะ :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2012, 19:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b7:
คงยากที่จะทำให้คุณโฮับ และ คุณไม่เที่ยงเกิดดับหายจากมิจฉาทิฐิได้เสียแล้ว เพราะพากันยืนกระต่ายขาเดียวว่า มรรค 8 เป็นผล ไม่ใช่เหตุ ทั้งๆที่ พระวาจาง่ายๆที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในวันปฐมเทศนาเรื่องอริยสัจ 4 พระองค์ได้ทรงกล่าวถึงปริวัต 3 มีอาการ 12 ซึ่งทรงกล่าวไว้แปลเป็นไทยว่า

1.ทุกข์ ควรกำหนดรู้ เราได้กำหนดรู้ และเราได้รู้แล้ว
2.สมุทัย ควรละ เราได้เพียรละ และเราละได้แล้ว
3.นิโรธ ควรทำให้แจ้ง เราได้เพียรทำให้แจ้ง และเราได้ทำให้แจ้งแล้ว


4.มรรค ควรเจริญ เราได้เพียรเจริญ และทำให้มรรคเจริญแล้วดูให้ดี ข้อนี้ มรรค ควรเจริญ พระพุทธองค์ก่อนบรรลุธรรมได้ทรงเพียรเจริญ จนเมื่อเจริญถึงที่สุดแล้วจึงได้รับผล บรรลุธรรมเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า
พิจารณาดูเฉพาะตรงนี้ คุณผู้หลงผิดทั้ง 2 คนน่าจะมีสามัญสำนึกรู้ได้แล้วนะ


และโปรดจำไว้ด้วยว่า มรรคทั้ง 8 ข้อนั้นแต่ละข้อ บางครั้งเป็นเหตุ บางครั้งเป็นปัจจัย บางครั้งเป็นผล หนุนเนื่องกันขึ้นไป หาใช่เป็นเพียงแต่ผลอย่างเดียวไม่
:b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 03:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จัทร์เพ็ญ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
สัมมาทิฐิที่แท้ไม่ได้เกิดจากทฤษฎี สัมมาทิฐิที่เกิดจากทฤษฎีเป็นได้แค่ ทานและศีลข้อห้าม
สัมมาทิฐิที่แท้ ไม่ต้องอาศัยสุตตหรือจินตแต่อย่างใด ขอเพียงแต่ให้เรามีสติ

ในสมัยพุทธกาล ยังไม่มีตัวหนังสือใช้ ก็ยังมีสาวกของพระพุทธเจ้าตั้งมากมาย
ที่ดวงตาเห็นธรรมเกิดปัญญาสัมมาทิฐิ เพียงแค่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว

การจะใช้สุตตหรือจินตได้นั้น ต้องหลังจากได้ปัญญาสัมมาทิฐิเสียก่อน
จึงจะเข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้า

สงสัยคะ แล้วมี สุตและจินตามยปัญญา ไว้ทำอะไรค่ะ :b10:

ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่า คำว่าสุตตและจินตามยปัญญา มันเป็นเพียง
สมมุติบัญญัติที่ใช้เรียกอาการอันเกิดที่กายใจเรา สุตตฯก็คือการฟังการอ่าน
จินตาฯ คือนึกคิดตริตรอง
สรุปก็คือ มันก็เป็นผัสสะที่เกิดจากอายตนะภายนอกและภายใน คือ รูป เสียง
และธัมมารมณ์ ดังนั้นปุถุชนและอริยบุคคลมีสิ่งนี้เหมือนกัน

แต่มันต่างกันในวิธีการ คือพระอริยบุคคลฟังอ่านและคิด ด้วยปัญญา(สัมมาทิฐิ)
ผลที่ได้เป็นกลาง ไม่มีการปรุงแต่งหรือจินตนาการ
ส่วนปุถุชนใช้การฟัง อ่านแล้วจำ(สัญญา) คิดด้วยการจินตนาการ(สังขาร)

คำว่าสุตตมยปัญญา จินตามยปัญญาและภาวณามยปัญญา
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "ต้องน้อมนำไปด้วยปัญญา" ความหมายก็คือ
การเอาปัญญามาเป็นประธานแล้วจึงฟังอ่าน คิดและปฏิบัติ
ไม่ใช่การฟังอ่านคิดและปฏิบัติให้เกิดปัญญา

ปัญญาที่กำลังกล่าวถึงคือปัญญาสัมมาทิฐินะครับ
สัมมาทิฐิเป็นปัญญาที่เป็นสภาวะธรรมล้วนๆปราศจากความคิด
มันเกิดจากการที่จิตไประลึกรู้สภาวะธรรมที่เป็นจริงเข้า
ตัวที่ทำให้เกิดปัญญาสัมมาทิฐิก็คือสตินั้นเอง

คำว่าสุตตฯ จินตฯและภาวณามยปัญญา
พระพุทธองค์ท่านทรงสอนเหล่าอริยสาวกของท่าน ซึ่งแต่ละท่าน
ล้วนแล้วแต่มีปัญญาสัมมาทิฐิแล้วทั้งนั้น พระองค์ทรงให้เหล่าสาวก
น้อมนำเอาสัมมาทิฐิมาเป็นหลักในการฟัง ในการคิดและภาวนา


ดังนั้นปุถุชนอย่างเรา สิ่งแรกที่ควรทำก็คือการมีสติทั่วพร้อม
เพื่อไปรู้สภาวะธรรมที่เรียกว่าไตรลักษณ์ สภาวะนี้แหล่ะที่เรียกว่า
ปัญญาสัมมาทิฐิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 05:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

[color=#004000]คงยากที่จะทำให้คุณโฮับ และ คุณไม่เที่ยงเกิดดับหายจากมิจฉาทิฐิได้เสียแล้ว เพราะพากันยืนกระต่ายขาเดียวว่า มรรค 8 เป็นผล ไม่ใช่เหตุ ทั้งๆที่ พระวาจาง่ายๆที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในวันปฐมเทศนาเรื่องอริยสัจ 4 พระองค์ได้ทรงกล่าวถึงปริวัต 3 มีอาการ 12 ซึ่งทรงกล่าวไว้แปลเป็นไทยว่า

อย่ามั่วนิ่มซิครับ ทำจิตให้เป็นกุศลแล้วค่อยสนทนา ผมบอกหรือครับว่า
มรรคเป็นผล ไม่ใช่เหตุ ลองดูคำพูดผมก่อนหน้านี้ แล้วคิดใหม่ทำใหม่
อย่าพยายามเอาตัวหนังสือที่ไร้สาระมากลบเกลื้อน
ขอเตือนอีกอย่างครับ อย่ามักง่ายเอาธรรมของพระพุทธองค์มาชี้หน้ากล่าวหาคนอื่น
มันเป็นอกุศลอย่างแรงครับ มันผิดต่อธรรมและผิดต่อผู้ที่ถูกกล่าวหา
อยากว่าใครก็กรุณาเอาคำพูดธรรมดาที่ชาวบ้านเขาใช้กัน ไม่งั้นจะเข้าข่าย"เล่นของสูง"

โฮฮับ เขียน:
ถ้ากล่าวตามอริยสัจจ์สี่มรรคน่ะมันเป็นเหตุ นิโรธเป็นผลมันถูกต้องแล้ว
แต่ในความเป็นมรรคเป็นได้ทั้งเหตุและผล

คุณโสกะกรุณาใช้สามัญสำนึกธรรมดาๆ แล้วพิจารณาดูว่า ผมพูดไว้ว่าอย่างไร

เอางี้ครับคุณโสกะ ไหนคุณลองอธิบายหน่อยว่า มรรคเป็นเหตุตามที่คุณว่าอย่างไร
ต้องปฏิบัติอย่างไรถึงเรียกว่าเป็นเหตุ
เอาเลยครับ รับรองได้ว่า ผมจะไม่กล่าวหาคุณว่า มีมิจฉาทิฐิแน่ๆไม่ต้องกลัว

asoka เขียน:
:b7:4.มรรค ควรเจริญ เราได้เพียรเจริญ และทำให้มรรคเจริญแล้วดูให้ดี ข้อนี้ มรรค ควรเจริญ พระพุทธองค์ก่อนบรรลุธรรมได้ทรงเพียรเจริญ จนเมื่อเจริญถึงที่สุดแล้วจึงได้รับผล บรรลุธรรมเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า
พิจารณาดูเฉพาะตรงนี้ คุณผู้หลงผิดทั้ง 2 คนน่าจะมีสามัญสำนึกรู้ได้แล้วนะ

พูดแบบคุณเด็กมันก็พูดได้ครับ พูดแบบกำปั่นทุบดิน
ไอ้ความหมาย"มรรคควรเจริญ"มันเป็นอย่างไรล่ะครับ มันต้องอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจ
ไม่ใช่แกล้งเนียนมั่วนิ่มแบบนี้ครับ เอาง่ายๆเลยคุณรู้จัก คำ พยางค์ วิเศษณ์หรือวลีมั้ย
ไอ้ที่ผมกล่าวมา ถ้ากล่าวโดดๆชาวบ้านจะเข้าใจมั้ย มันต้องทำให้เป็นประโยค เพื่อให้เข้าใจ
คำพยางค์ วิเศษณ์หรือวลีนั้นๆ
คุณอาจจะตอบแบบไม่รู้ในลักษณะซื่อๆก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าไม่รู้แล้วแกล้งเนียนใช้วิธีตีหน้าตาย พูดได้คำเดียว"ผมรู้ทันครับ"น่าเกลียดมาก
asoka เขียน:
และโปรดจำไว้ด้วยว่า มรรคทั้ง 8 ข้อนั้นแต่ละข้อ บางครั้งเป็นเหตุ บางครั้งเป็นปัจจัย บางครั้งเป็นผล หนุนเนื่องกันขึ้นไป หาใช่เป็นเพียงแต่ผลอย่างเดียวไม่

นี่คุณจะเอาอย่างไรกันแน่ครับ ไหนบอกเป็นเหตุไง ทีนี้มาบางครั้งเป็นเหตุ
บางครั้งเป็นเหตุปัจจัย บางครั้งเป็นผล คุณนี่ยิ่งพูดยิ่งเลอะนะครับ

อย่าพยายามเอาตัวหนังสือมาแก้เกี้ยวเลยครับ
คุณยิ่งเอามามันยิ่งมันยิ่งโชว์อะไรในตัวคุณนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 12:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
จัทร์เพ็ญ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
สัมมาทิฐิที่แท้ไม่ได้เกิดจากทฤษฎี สัมมาทิฐิที่เกิดจากทฤษฎีเป็นได้แค่ ทานและศีลข้อห้าม
สัมมาทิฐิที่แท้ ไม่ต้องอาศัยสุตตหรือจินตแต่อย่างใด ขอเพียงแต่ให้เรามีสติ

ในสมัยพุทธกาล ยังไม่มีตัวหนังสือใช้ ก็ยังมีสาวกของพระพุทธเจ้าตั้งมากมาย
ที่ดวงตาเห็นธรรมเกิดปัญญาสัมมาทิฐิ เพียงแค่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว

การจะใช้สุตตหรือจินตได้นั้น ต้องหลังจากได้ปัญญาสัมมาทิฐิเสียก่อน
จึงจะเข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้า

สงสัยคะ แล้วมี สุตและจินตามยปัญญา ไว้ทำอะไรค่ะ :b10:

ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่า คำว่าสุตตและจินตามยปัญญา มันเป็นเพียง
สมมุติบัญญัติที่ใช้เรียกอาการอันเกิดที่กายใจเรา สุตตฯก็คือการฟังการอ่าน
จินตาฯ คือนึกคิดตริตรอง
สรุปก็คือ มันก็เป็นผัสสะที่เกิดจากอายตนะภายนอกและภายใน คือ รูป เสียง
และธัมมารมณ์ ดังนั้นปุถุชนและอริยบุคคลมีสิ่งนี้เหมือนกัน

แต่มันต่างกันในวิธีการ คือพระอริยบุคคลฟังอ่านและคิด ด้วยปัญญา(สัมมาทิฐิ)
ผลที่ได้เป็นกลาง ไม่มีการปรุงแต่งหรือจินตนาการ
ส่วนปุถุชนใช้การฟัง อ่านแล้วจำ(สัญญา) คิดด้วยการจินตนาการ(สังขาร)

คำว่าสุตตมยปัญญา จินตามยปัญญาและภาวณามยปัญญา
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "ต้องน้อมนำไปด้วยปัญญา" ความหมายก็คือ
การเอาปัญญามาเป็นประธานแล้วจึงฟังอ่าน คิดและปฏิบัติ
ไม่ใช่การฟังอ่านคิดและปฏิบัติให้เกิดปัญญา

ปัญญาที่กำลังกล่าวถึงคือปัญญาสัมมาทิฐินะครับ
สัมมาทิฐิเป็นปัญญาที่เป็นสภาวะธรรมล้วนๆปราศจากความคิด
มันเกิดจากการที่จิตไประลึกรู้สภาวะธรรมที่เป็นจริงเข้า
ตัวที่ทำให้เกิดปัญญาสัมมาทิฐิก็คือสตินั้นเอง

คำว่าสุตตฯ จินตฯและภาวณามยปัญญา
พระพุทธองค์ท่านทรงสอนเหล่าอริยสาวกของท่าน ซึ่งแต่ละท่าน
ล้วนแล้วแต่มีปัญญาสัมมาทิฐิแล้วทั้งนั้น พระองค์ทรงให้เหล่าสาวก
น้อมนำเอาสัมมาทิฐิมาเป็นหลักในการฟัง ในการคิดและภาวนา


ดังนั้นปุถุชนอย่างเรา สิ่งแรกที่ควรทำก็คือการมีสติทั่วพร้อม
เพื่อไปรู้สภาวะธรรมที่เรียกว่าไตรลักษณ์ สภาวะนี้แหล่ะที่เรียกว่า
ปัญญาสัมมาทิฐิ



ใช่ครับปัญญา ทำให้เกิดสัมมาทิฐิ นี่คือ ผลจากการปฏิบัติ
ผู้ที่มีสัมมาทิฐิ ก็จะนำไปสู่องค์ธรรมต่างๆ ที่เหลืออีก 7 ประการ ไม่จำเป็นต้องบรรลุอรหันต์ถึงจะได้องค์ธรรมครบ โสดาบันบุคคลก็เกิดองค์ธรรมนี้ครบเหมือนกัน แต่ยังไม่มากพอเท่านั้นเอง
เกิด (ปัญญา ศีล สมาธิ) เพียงแต่ปัญญาน้อย ศีลน้อย สมาธิน้อย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 12:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญาทั้ง 3 อย่าง
ทั้งหมดนี้มีพื้นฐานมาจากความจำทั้งสิ้น (ไม่มีความจำก็ไม่เกิดปัญญา)
แต่ผลที่ได้ และวิธีปฏิบัติต่างกันเท่านั้นเอง

1. สุตมยปัญญา คือปัญญาเกิดจากการฟัง อันได้แก่ ฟังการอบรม ฟังการบรรยาย ฟังการอภิปราย ฟังการเสวนา ฟังการระดม สมอง การอ่านตำราหรือเอกสารต่าง ๆ การได้ดูได้ฟังจากสื่อต่าง ๆ เป็นต้น

2. จิตตามยปัญญา คือปัญญาเกิดจากความคิด เป็นความคิดที่เป็นระบบถูกต้อง ความคิดที่ละเอียดลึกซึ้ง ความคิดแบบแยบคาย ความคิดรอบด้านที่เรียกว่า ความคิดแบบโยนิโสมนสิการ ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมาย

3. ภาวนามนปัญญา คือปัญญาเกิดจากการอบรมตนเอง โดยการวิปัสสนาภาวนา หรือเจริญปัญญา
ผลออกมา คือ รู้ความจริงของธรรมชาติ ปัญญานี้ดับทุกข์ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 13:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน :b8:
**ผมขออภัยที่ถือวิสาสะเข้ามาแทรกพวกพี่ๆนะครับ สำหรับผมเองนั้นมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้วในเรื่องนี้ คือสิ่งที่ผมได้เคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า "สัญญาเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญญาและสัญญาเป็นจุดเริ่มต้นแห่งโมหะความหลงได้เช่นกัน" แต่ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องผมขออนุญาติแนะนำให้พวกพี่ลองพิจารณาแบบทวนกระแสหรือแบบย้อนกลับจากนั้นก็พิจารณาแบบตามกระแส กลับไปกลับมาหลายๆรอบ จากปลายทางเข้าหาต้นทางจากต้นทางไปหาปลายทาง แล้วเดี๋ญวก็จะได้คำตอบที่เป็นของตนรู้เฉพาะตน แต่รู้เหมือนๆกันครับ
**กลับมาที่ตรงคำพูดนี้ของผม "สัญญาเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญญาและสัญญาเป็นจุดเริ่มต้นแห่งโมหะความหลงได้เช่นกัน" อันนี้ก็เป็นปริศนาธรรมหรืออุบายธรรมเหมือนกันนะ ก็อยากให้ลองพิจารณาดูกันว่าทำไมเริ่มต้นที่จุดเดียวกันแต่ผลหรือปลายทางมันต่างกันครับ คำตอบมันอยู่ตรงนั้นแหละครับ พูดมากอีกแล้วเราวันนี้...
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 16:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน :b8:
**ผมขออภัยที่ถือวิสาสะเข้ามาแทรกพวกพี่ๆนะครับ สำหรับผมเองนั้นมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้วในเรื่องนี้ คือสิ่งที่ผมได้เคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า "สัญญาเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญญาและสัญญาเป็นจุดเริ่มต้นแห่งโมหะความหลงได้เช่นกัน" แต่ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องผมขออนุญาติแนะนำให้พวกพี่ลองพิจารณาแบบทวนกระแสหรือแบบย้อนกลับจากนั้นก็พิจารณาแบบตามกระแส กลับไปกลับมาหลายๆรอบ จากปลายทางเข้าหาต้นทางจากต้นทางไปหาปลายทาง แล้วเดี๋ญวก็จะได้คำตอบที่เป็นของตนรู้เฉพาะตน แต่รู้เหมือนๆกันครับ
**กลับมาที่ตรงคำพูดนี้ของผม "สัญญาเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญญาและสัญญาเป็นจุดเริ่มต้นแห่งโมหะความหลงได้เช่นกัน" อันนี้ก็เป็นปริศนาธรรมหรืออุบายธรรมเหมือนกันนะ ก็อยากให้ลองพิจารณาดูกันว่าทำไมเริ่มต้นที่จุดเดียวกันแต่ผลหรือปลายทางมันต่างกันครับ คำตอบมันอยู่ตรงนั้นแหละครับ พูดมากอีกแล้วเราวันนี้...
ขอบคุณครับ :b8:



สัญญา เกิดดับ เดี๋ยวจำได้ เดี๋ยวจำไม่ได้
ปัญญา เกิดดับ เดี๋ยวมีปัญญา เดี๋ยวไม่มีปัญญา
ทั้งสองเป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องกันเมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อไม่มีปัญญาแสดงว่าไม่มีสัญญา เมื่อมีสัญญาก็ต้องมีปัญญาเกิดขึ้น ทั้งสองอย่าง เกิดดับ เกิดดับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 19:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:

สัญญา เกิดดับ เดี๋ยวจำได้ เดี๋ยวจำไม่ได้
ปัญญา เกิดดับ เดี๋ยวมีปัญญา เดี๋ยวไม่มีปัญญา
ทั้งสองเป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องกันเมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อไม่มีปัญญาแสดงว่าไม่มีสัญญา เมื่อมีสัญญาก็ต้องมีปัญญาเกิดขึ้น ทั้งสองอย่าง เกิดดับ เกิดดับ


:b32: :b32: :b32:
มิน่า......

ข้าพเจ้าเข้าใจในตัวท่าน...แล้วละ :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2012, 19:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดดับ...เกิดดับ....เป็นธรรมที่เราเฝ้าฝันถึง...รึเปล่าหนอ?

ฮุย..เล่..ฮุ้ย...

เจี๊ยบ...เจี๊ยบ...rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2012, 07:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:

คงยากที่จะทำให้คุณโฮับ และ คุณไม่เที่ยงเกิดดับหายจากมิจฉาทิฐิได้เสียแล้ว เพราะพากันยืนกระต่ายขาเดียวว่า มรรค 8 เป็นผล ไม่ใช่เหตุ ทั้งๆที่ พระวาจาง่ายๆที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในวันปฐมเทศนาเรื่องอริยสัจ 4 พระองค์ได้ทรงกล่าวถึงปริวัต 3 มีอาการ 12 ซึ่งทรงกล่าวไว้แปลเป็นไทยว่า

อย่ามั่วนิ่มซิครับ ทำจิตให้เป็นกุศลแล้วค่อยสนทนา ผมบอกหรือครับว่า
มรรคเป็นผล ไม่ใช่เหตุ ลองดูคำพูดผมก่อนหน้านี้ แล้วคิดใหม่ทำใหม่
อย่าพยายามเอาตัวหนังสือที่ไร้สาระมากลบเกลื้อน
ขอเตือนอีกอย่างครับ อย่ามักง่ายเอาธรรมของพระพุทธองค์มาชี้หน้ากล่าวหาคนอื่น
มันเป็นอกุศลอย่างแรงครับ มันผิดต่อธรรมและผิดต่อผู้ที่ถูกกล่าวหา
อยากว่าใครก็กรุณาเอาคำพูดธรรมดาที่ชาวบ้านเขาใช้กัน ไม่งั้นจะเข้าข่าย"เล่นของสูง"

โฮฮับ เขียน:
ถ้ากล่าวตามอริยสัจจ์สี่มรรคน่ะมันเป็นเหตุ นิโรธเป็นผลมันถูกต้องแล้ว
แต่ในความเป็นมรรคเป็นได้ทั้งเหตุและผล

คุณโสกะกรุณาใช้สามัญสำนึกธรรมดาๆ แล้วพิจารณาดูว่า ผมพูดไว้ว่าอย่างไร

เอางี้ครับคุณโสกะ ไหนคุณลองอธิบายหน่อยว่า มรรคเป็นเหตุตามที่คุณว่าอย่างไร
ต้องปฏิบัติอย่างไรถึงเรียกว่าเป็นเหตุ
เอาเลยครับ รับรองได้ว่า ผมจะไม่กล่าวหาคุณว่า มีมิจฉาทิฐิแน่ๆไม่ต้องกลัว

asoka เขียน:
:b7:4.มรรค ควรเจริญ เราได้เพียรเจริญ และทำให้มรรคเจริญแล้วดูให้ดี ข้อนี้ มรรค ควรเจริญ พระพุทธองค์ก่อนบรรลุธรรมได้ทรงเพียรเจริญ จนเมื่อเจริญถึงที่สุดแล้วจึงได้รับผล บรรลุธรรมเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า
พิจารณาดูเฉพาะตรงนี้ คุณผู้หลงผิดทั้ง 2 คนน่าจะมีสามัญสำนึกรู้ได้แล้วนะ

พูดแบบคุณเด็กมันก็พูดได้ครับ พูดแบบกำปั่นทุบดิน
ไอ้ความหมาย"มรรคควรเจริญ"มันเป็นอย่างไรล่ะครับ มันต้องอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจ
ไม่ใช่แกล้งเนียนมั่วนิ่มแบบนี้ครับ เอาง่ายๆเลยคุณรู้จัก คำ พยางค์ วิเศษณ์หรือวลีมั้ย
ไอ้ที่ผมกล่าวมา ถ้ากล่าวโดดๆชาวบ้านจะเข้าใจมั้ย มันต้องทำให้เป็นประโยค เพื่อให้เข้าใจ
คำพยางค์ วิเศษณ์หรือวลีนั้นๆ
คุณอาจจะตอบแบบไม่รู้ในลักษณะซื่อๆก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าไม่รู้แล้วแกล้งเนียนใช้วิธีตีหน้าตาย พูดได้คำเดียว"ผมรู้ทันครับ"น่าเกลียดมาก
asoka เขียน:
และโปรดจำไว้ด้วยว่า มรรคทั้ง 8 ข้อนั้นแต่ละข้อ บางครั้งเป็นเหตุ บางครั้งเป็นปัจจัย บางครั้งเป็นผล หนุนเนื่องกันขึ้นไป หาใช่เป็นเพียงแต่ผลอย่างเดียวไม่

นี่คุณจะเอาอย่างไรกันแน่ครับ ไหนบอกเป็นเหตุไง ทีนี้มาบางครั้งเป็นเหตุ
บางครั้งเป็นเหตุปัจจัย บางครั้งเป็นผล คุณนี่ยิ่งพูดยิ่งเลอะนะครับ

อย่าพยายามเอาตัวหนังสือมาแก้เกี้ยวเลยครับ
คุณยิ่งเอามามันยิ่งมันยิ่งโชว์อะไรในตัวคุณนะครับ

smiley
เอามาให้คุณโฮฮับและคุณ ไม่เที่ยง เกิด ดับ อ่านอีกที ขอให้อ่านด้วยความ สังเกต พินิจ พิจารณา จะได้รู้ว่า ที่ว่่ามรรค ควรเจริญนั้นเขามีลำดับเป็นมาดังที่ยกมาแสดงนี้

b][color=#000080]สัมมาทิฐิ คือปัญญาที่ถูกต้องนั้นจะต้องถูกอบร่ำมาด้วย สุตตมยปัญญาและจินตมยปัญญาที่ถูกต้องก่อน จนเกิดเป็นสัมมาทิฐิโดยทฤษฎี คือเชื่อตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้เรื่อง อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา เป็นต้น และเกิดศรัทธาที่จะพิสูจน์ความจริงโดยการปฏิบัติ

เมื่อปฏิบัติและได้พบความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงดำรัสไว้ ภาวนามยปัญญาจึงเกิดขึ้น ภาวนามยปัญญาที่ไปตัดทำลายเหตุทุกข์จนเข้าถึงนิพพานได้ คือ
ได้รู้ซึ้งและเข้าถึงความเป็น "อนัตตา" จนใจยอมรับโดยสมบูรณ์ สัมมาทิฐิจะเต็มร้อยตรงจุดนี้ อัตตา หรือสักกายทิฐิ ความเห็นผิดว่าเป็น กู เป็นเรา ก็ขาดสะบั้นลงจากใจ ปัญญาที่ไปตัดทำลายเหตุทุกข์ตัวสำคัญครั้งแรกนี้ท่านเรียกว่า
"โสดาปัตติมรรคญาณ"[/b]


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร