วันเวลาปัจจุบัน 17 ส.ค. 2025, 20:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 155 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 08:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
คนบ้ามีสติ (เป็นคนต้องมีสติอยู่แล้ว) เพราะสติทำหน้าที่ดึงสัญญา คนไม่เข้าใจหาว่าคนไม่มีสติคือ คนบ้า ต้องบอกว่า คนเสียสติ ถึงจะถูก ถ้าคนไม่เสียสติก็ให้เรียกว่า คนมีสติดี
คนบ้า หรือคนธรรมดา มักดึงสัญญาที่เป็นความ พอใจ ไม่พอใจ
ถ้าไม่พอใจก็แสดงอาการออกมา บ้าคลั่ง ทำลายผู้อื่น คนบ้า กับคนธรรมดาไม่ต่างกันเลย

คนพ้นทุกข์ มักดึงสัญญาที่เป็นความจริงมาดับเหตุแห่งทุกข์


คนบ้าไม่มีสติ คนที่ทำชั่วในขณะที่ทำชั้วก็ไม่มีสติ ผมถึงได้ถามไงว่า..
โฮฮับ เขียน:
คุณไม่เที่ยงครับ ที่คุณบอกว่า "สัญญาดึง อกุศลมารับการกระทบ
ผลออกมาคือคิดชั่วทำชั่ว คุณแน่ใจแล้วหรือว่า เป็นสติที่คุณว่า :b13:

จะบอกให้ครับ สติเกิดได้จากเหตุปัจจัย และที่สำคัญต้องเป็นเหตุปัจจัยที่เป็นกุศล
และลักษณะของสติคือ การหยุดยั้งอารมณ์ไม่ให้ปรุงแต่งต่อ จนเป็นจิตสังขาร วจีสังขาร
และกายสังขาร

คนบ้า ไปเอาสัญญามาแล้วหยุดหรือเปล่าครับ
คนบ้าไปดึงสัญญามาแล้วก็ปรุงเป็นวจีสังขารและกายสังขาร
คนบ้าไปเอาสัญญาเรื่องจันทโครพมาก็ร้องลิเกหน้าตาเฉย
หรือไปจำเรื่องของเด็กทารกมา ก็เดินแก้ผ้าเพราะคิดว่าตัวเป็นเด็ก

คนชั่วไปดึงสัญญามาก็ไม่หยุดนะครับ บางครั้งโจรเห็นตำรวจแล้วหยุดการกระทำชั่ว
นั้นไม่ได้เรียกว่าสตินะครับ เขาเรียกว่า จิตสังขาร อันเกิดจากที่โจรไปดึงเอาสัญญามา
แล้วปรุงแต่งจนเกิดความกลัว ไปปรุงแต่งกายจนเกิดกายสังขารขึ้น เขาเรียกการเปลี่ยน
แปลงของกิเลส ไม่ใช่การหยุดกิเลส

สติเกิดจากเหตุปัจจัย มีปัจจัยให้เกิดมันก็เกิด ไม่มีเหตุมันก็ไม่เกิด
สติเกิดแล้วก็ดับ ดังนั้นจะใช้คำว่าเสียสติไม่ได้

สวัสดีครับพี่โฮฮับ
ผมขอ ปุจฉาพี่หน่อยนะครับ ที่พี่บอกว่า สติคือ การหยุดยั้งอารมณ์ไม่ให้ปรุงแต่งต่อนั้น พี่คิดเช่นนั้นจริงๆหรือครับ
ข้อ2 คนทำชั่วนั้นทำชั่วเพราะมีสติหรือไม่มีสติ
ข้อ3 คนเมาเหล้านั้น สติของเค้าจะยังครบถ้วนเหมือนตอนไม่เมาเหล้าหรือไม่
ข้อ4 คำว่าคนบ้านั้นในความคิดของพี่ใช้กับเฉพาะคนเช่นไร ประเภทไหนครับ
ขออนุโมทนาในคำตอบของพี่ล่วงหน้านะครับ ขอบคุณครับ


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 09:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ตีศัพท์ทางพระพุทธศาสนาไม่แตก เอาไปใช้ทางโลกผิด เรียกคนบ้า คนชั่ว คนเลวว่าไอ้พวก ไม่มีสติ ต้องบอกว่าพวกเสียสติถึงจะถูก
สติ แปลว่า ระลึกได้ จะระลึกสิ่งดี หรือไม่ดีเท่านั้นเอง
คนดีก็ละลึกสิ่งดี คือ มีสติสัมปชัญญะ
คนชั่วก็ละลึกสิ่งชั่ว คือ ไม่มีสติสัมปชัญญะ (คนเสียสติ) ยกตัวอย่าง คนโรคจิต คนบ้า คนฆ่าบิดารมารดา คนเสพยาเสพติด

ไม่เที่ยง เกิดดับ


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 09:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเห็นจริงว่าทุกข์...นะ...มันปล่อยของมันเอง

เหมือนอะไรน่า....

ถือถ่านที่ร้อนแดง...รึ...จะถืออุนจิ...ดี

ปล่อยทิ้งเพราะอะไร...

เห็นโทษ...งัย

ถ้ายังไม่ปล่อยอะไรไปนะ...แสดงว่า..ยังเห็นโทษไม่จริง

หน้าที่..คือ...ชี้โทษทุกข์..ให้มันเห็นอย่างเดียว

ซ้ำตรงที่เดิมนั้นแหละ...ทำซ้ำ ๆ ...ไปอย่างนั้น...


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 09:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลส...มันเป็นไปเพื่อรูปกาย...เป็นไปเพื่อคุณกับรูป

บางที...เราก็ใช้มัน...จริตของมัน....ล่อมันให้มาทางธรรม

บอกมันไป...โลภ..โกรธ...หลง...มันทำลายรูปนี้นะ

อาจเห็นอาการ...ค้างชะงัก :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ ไม่เที่ยง เกิดดับ คร้าบบบบ ผมเห็นการกระทำของคุณแล้วผมขอบอกว่ารำคาญกระทู้ของคุณมากๆ เพราแต่ละกระทู้นี่ไร้สาระทั้งนั้น เป็นกระทู้ขยะทั้งนั้นเลย ผมรู้ครับว่าการที่คุณตั้งกระทู้ลักษณะนี้ก็เพราะว่าคุณต้องการสิ่งนี้

รูปภาพ


รูปภาพ


รูปภาพ


เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้คุณภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก แต่กระทู้ของคุณไม่ได้มีเนื้อหาสาระอะไรเลย หากคุณต้องการสิ่งเหล่านั้นมากจริงๆ จนทนไม่ได้ ก็ขอให้เอาอะไรที่มันมีสาระกว่านี้มาโพสต์หน่อยนะครับ ไม่ใช่โพสสะเปะสะปะ โพสต์มั่วๆ

ฮ๊าฮาอ่ะ ฮากลิ้งตะลุ๊บตุ๊บป่อง นะข่ะ ๆๆ

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 11:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


การตั้งกระทู้เพื่อจุดประเด็น ถ้าไม่มีคนบ้าบิ่น ไม่มีคนสงสัย ไม่มีผู้บุกเบิก ไม่มีผู้เริ่มต้น
ก็ไม่มีสิ่งดีๆ ให้ลูกให้หลานใช้ถึงปัจจุบัน ดีกว่ากระทู้นิ่ง ไม่มีการโต้ตอบ เพราะการโต้ตอบต้องตอบด้วยเหตุผลด้วยปัญญา ผิดบ้าง ถูกบ้าง ไร้สาระบ้างเป็นธรรมดา (ก็เพราะความไม่เที่ยง) ไม่ใช่ใช้อารมณ์โต้
ตอบ จุดประสงค์เพื่อคลายความสงสัย คลายปัญหา onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 13:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่กบนอกกะลา ขอบคุณสำหรับธรรมที่นำมาแบ่งบันกันครับ ขออนุโมทนาฯครับ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 14:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเที่ยง พอจะอธิบาย

ปัญญาจากความมี
กับ ปัญญาจากความว่าง

ได้รึเปล่า
ว่าทั้งสองอย่างนั้น เหมือน หรือ แตกต่างกันอย่างไร

ยกตัวอย่างประกอบปัญญาแต่ละอย่างได้ด้วย ก็ดี

ลักษณะสภาวะ
อารมณ์
อาการ
ฯลฯ


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อ้างคำพูด:
โฮฮับ เขียน
โดยหลักแล้วการพิจารณากายให้เกิดสติ คือการตามรู้ผัสสะที่เกิดจาก
อายตนะภายนอกภายในให้ทันครับ เขาถึงเรียกว่า การเจริญสติ
การพิจารณาอาการ32เป็นการทำสมถะเพื่อดับนิวรณ์ ซึ่งต้องอาศัยปัญญานำ
ผู้ที่ยังไม่มีปัญญาสัมมาทิฐิ ถ้าใช้วิธีนี้ก็เหมือนการปรุงแต่งครับ


แยกธรรมได้ลึกซึ้งมากเลยครับ อ่านแล้วเหมือนเป็นการปฏิบัติได้ทุกเวลา แต่หากไม่ตั้งใจก็เข้าไม่ถึงครับ แสดงถึงการผ่านความรู้สึกแบบนี้มาแล้วจึงอธิบายได้ เพราะตัวผมเองก็กำลังฝึกอยู่ การอยู่กับสตินั้น มีสติจริงแต่นิวรณ์ยังอยู่ แต่หากพิจารณาอาการ32 นิวรณ์ดับลงรู้ตัวพร้อมรู้ปัจจุบันเหตุ จิตไม่ปรุงแต่ง ไม่รู้ผมเข้าใจอย่างที่คุณโฮฮับอธิบายมากน้อบแค่ไหน

คุณstudent ครับ สติของปุถุชน คือการอยู่กับประจุบัน ว่าโดยลักษณะก็คือ
การรู้ทันผัสสะที่ได้รับ คนเรามีสิ่งที่ทำให้เกิดผัสสะถึงหกทาง ส่วนใหญ่แล้ว
จะไปจมแช่กับผัสสะที่แรงๆ ตัวอย่างเช่น ตาเป็นเห็นผู้หญิงสวย แม้จะเลยผ่านรูป
นั้นมาแล้ว แต่จิตก็ยังอยู่กับรูปผู้หญิงนั้น ทั้งๆที่ผัสสะที่เกิดจากอายตนะอื่น
ได้มากระทบตั้งมากมายแล้ว แต่จิตก็ไม่รู้สึก แบบนี้เรียกว่าขาดสติ

ทำไมเราจึงต้องเจริญสติ ก็เพราะการมีสติที่รวดเร็วทันต่อสภาวะที่เกิดในจิต
จะสามารถทำให้เราเห็น ไตรลักษณ์ได้นั้นเอง อย่าลืมนะครับจิตเกิดดับรวดเร็ว
แถมยังชอบหลงอีกต่างหาก การได้เห็นสภาวะไตรลักษณ์นั้นแหล่ะคือ
การเห็นตามความเป็นจริง หรือเรียกว่าปัญญาสัมมาทิฐิ

อยากจะบอกครับว่า ปัญญาสัมมาทิฐิที่เป็นไตรลักษณ์ มันเป็นคนละอย่าง
กับที่สมาชิกชอบเอาอวดเอามาสอนชาวบ้าน นั้นมันเป็น สัมมาทิฐิที่เป็นสาสวะ
เป็นโลกียะ เป็นแค่ทานและศีลดีๆนี้เอง มันไม่ใช่หนทางนิพพาน

ปัญญาสัมมาทิฐิหรือไตรลักษณ์เป็น อนาสวะโลกุตระ เป็นปัญญาของอริยบุคคล


เรื่องของนิวรณ์มันดับได้ยากครับ ปุถุชนธรรมดาดับนิวรณ์ไม่ได้หรอกครับ
การทำสมถะของปุถุชน เป็นเพียงการข่มไว้หรือกดไว้ชั่วคราว ที่ใครๆเขาเรียกกันว่า
หินทับหญ้านั้นแหล่ะครับ
การะดับนิวรณ์ได้ต้องอาศัยปัญญานำครับ ปัญญาสัมมาทิฐิของอริยะบุคคลครับ

วิธีการพิจารณาอาการ32.มาแก้นิวรณ์ของคุณstudent ใช้ได้ครับ
แต่มันเป็นเพียงการเรียกสติให้มาอยู่กับปัจจุบันใหม่ครับ
ส่วนนิวรณ์มันก็ยังหลบซ่อนเป็นเชื้ออยู่ครับ

ผู้ที่จะดับนิวรณ์ได้ต้ต้องเป็นอริยบุคคลเท่านั้น เพราะต้องอาศัยปัญญา
สัมมาทิฐิที่เป็นโลกุตตระนำครับ ซึ่งท่านเรียกวิธีนี้ว่า ธัมมาวิปัสนาสติปัสฐานครับ

เรื่องการปฏิบัติการเจริญสติ อยู่กับปัจจุบันถูกต้องแล้วครับ
มันเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญในการปฏิบัติธรรมของปุถุชนครับ
จุดมุ่งหมายคือ การหาปัญญาสัมมาทิฐิครับ
ส่วนเรื่องอื่นๆที่สูงขึ้นไปอ่านไว้เป็นปริยัติเป็นความรู้
ยังไม่ต้องไปปฏิบัติเพราะจะทำให้เสียเวลาและหลงทางครับ


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 15:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


และคุณเที่ยง คิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่อง "ธาตุ"

"กำลังธาตุ"
ความเป็น "ธาตุ"

และ กรรม กับ กำลังธาตุ มีความเกี่ยวพันกันหรือไม่อย่างไร


อืมมม ถ้าหากว่า
ท่านพบว่าอาจารย์ที่สอนธรรมให้กับผู้ปฏิบัติธรรม
มีข้อด่างพร้อยในศีล
ท่านมีความเห็นต่ออาจารย์ที่สอนธรรมเหล่านั้นว่าอย่างไร

อาจารย์เหล่านั้น ยังน่าเชื่อถืออยู่ หรือ ไม่
ธรรมที่อาจารย์ท่านนั้นสอน ยังน่าเชื่อถืออยู่ หรือไม่
หากอาจารย์ท่านนั้นกล่าวสิ่งใดออกมา ท่านจะยังเชื่อมั่นอยู่ หรือไม่

ในความรับรู้ และ ความเข้าใจของท่าน
ท่านจะยังคิดเข้าไปศึกษากับอาจารย์ที่ท่านพบว่ามีศีลด่างพร้อยอยู่อีกหรือไม่
และยังจะน้อมรับธรรมนั้น ๆ มาเจริญต่อไปอีกหรือ ไม่

และท่านคิดว่า ถ้าท่านได้พบอาจารย์เช่นนั้น ท่านจะทำอย่างไร


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 08 ม.ค. 2012, 15:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 15:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
คุณเที่ยง พอจะอธิบาย

ปัญญาจากความมี
กับ ปัญญาจากความว่าง

ได้รึเปล่า
ว่าทั้งสองอย่างนั้น เหมือน หรือ แตกต่างกันอย่างไร

ยกตัวอย่างประกอบปัญญาแต่ละอย่างได้ด้วย ก็ดี

ลักษณะสภาวะ
อารมณ์
อาการ
ฯลฯ



ปัญญาจากความมี
ปัญญา หรือสัมมาทิฐิ คือ มีความเห็นชอบ เห็นถูก ไม่เห็นผิด รู้ผิดชอบชั่วดี
สามารถใช้ดับความพอใจ ไม่พอใจ (โลภ โกรธ หลง) ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งปัญหา และทุกข์ตามมา

ความว่างไม่ก่อให้เกิดปัญญา ดับเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ เพราะว่ามันว่าง เหมือนทำสมาธิ หรือสมถะ
แค่ความสงบเท่านั้น สมาธิต้องเกิดขึ้นหลังจากมี ปัญญา และศีลแล้วเรียกว่า สัมมาสมาธิ
สมาธิเฉยๆ ไม่มีปัญญาประกอบ เรียกว่า มิจฉาสมาธิ

ส่วนเรื่องญาณอะไรนั้นเป็นแค่ผลพลอยได้ คงจะระดับฝึกปฏิบัติขึ้นสูง หรือจิตบริสุทธิ์แล้วมั้ง มีหูทิพย์ ตาทิทย์ ผมก็ไม่เคยมีญาณ ผมไม่ต้องการญาณ แค่ดับเหตุแห่งทุกข์ได้ก็พอแล้ว เพราะในพระไตรปิฎกสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์เ่ท่านั้น


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 15:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญาจากความว่าง ว่างจากสังขาร

การรู้ อาการที่จิตว่างจากสังขาร เป็น ปัญญาหรือไม่


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่โฮฮับ
ผมขอ ปุจฉาพี่หน่อยนะครับ ที่พี่บอกว่า สติคือ การหยุดยั้งอารมณ์ไม่ให้ปรุงแต่งต่อนั้น พี่คิดเช่นนั้นจริงๆหรือครับ

ครับสติเป็นการหยุดยั้งอารมณ์ไม่ให้ปรุงแต่งต่อ แต่อย่าลืมนะว่า
ผัสสะและสติ เกิดแล้วก็ดับ ถึงแม้สติจะหยุดอารมณ์นั้นแล้ว แต่ถ้ายังไปรับ
ผัสสะตัวเดิมเข้ามาอีก อารมณ์มันก็เกิดอีก ดังนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวจิตนั้นๆว่า
จะระลึกรู้ได้บ่อยแค่ไหน
ลูกพระป่า เขียน:
ข้อ2 คนทำชั่วนั้นทำชั่วเพราะมีสติหรือไม่มีสติ

ณ.เวลานั้นเขาไม่มีสติครับ คุณต้องเข้าใจนะครับว่า
สติคือการระลึกรู้สัญญาที่เป็นกุศลเป็นความดีเท่านั้น
ในที่นี้สติของปุถุชน ก็คือศีลธรรมและกฎหมาย
ถ้าคนเราเพียงแค่รู้ว่ามีศีลข้อห้ามและมีกฎหมายบังคับอยู่
เมื่อรู้แล้วยังทำชั่วหรือคิดที่จะทำชั่ว ศีลและกฎหมายก็เป็น
แค่สัญญาครับ อย่าลืมนะครับว่า สัญญาเป็นเหตุปัจจัยได้ทั้งสองกรณี
ถ้าเป็นกรณีหยุดยั้งการะทำชั่วหรือคิดชั่วเรียกว่า สติ
แต่ถ้าไปรู้เฉยๆแล้วยังทำชั่วคิดชั่วต่อเขาเรียกว่า สัญญาเหตุแห่งการปรุงแต่ง
ลูกพระป่า เขียน:
ข้อ3 คนเมาเหล้านั้น สติของเค้าจะยังครบถ้วนเหมือนตอนไม่เมาเหล้าหรือไม่

คุณต้องเข้าใจก่อนครับว่า สติเกิดได้ด้วยเหตุปัจจัย ไม่ใช่เกิดเองหรือมีอยู่คงทนถาวร
ที่นี้มาดูว่าอะไรเป็นเหตที่ทำให้เกิดสติ มันก็คือความจำได้หมายรู้ที่เรียกว่าสัญญา
แล้วอะไรที่ทำให้เกิดสัญญา มันก็คืออายตนะภายในที่เรียกว่าใจ หรือถ้าเรียกตาม
กายภาพมันก็คือสมองในส่วนที่ทำหน้าที่ความจำ
คุณลองคิดดูว่า ความจำได้หมายรู้ของคนเมา มันมีประสิทธิ์ภาพหรือไม่ครับ
ลูกพระป่า เขียน:
ข้อ4 คำว่าคนบ้านั้นในความคิดของพี่ใช้กับเฉพาะคนเช่นไร ประเภทไหนครับ
ขออนุโมทนาในคำตอบของพี่ล่วงหน้านะครับ ขอบคุณครับ

คนที่มีความบกพร่องเรื่องของประสาทความจำครับ
คนพวกนี้ไม่สามารถหยุดยั้งความคิดได้ครับ เมื่อคิดอะไรในอดีตได้
ก็จะปรุงแต่งต่อทางวาจาและการแสดงออกครับ

คนบ้าแตกต่างจากคนชั่ว ตรงที่คนบ้าจะแสดงการปรุงแต่งที่คล้อยตาม
ไปกับสัญญาที่ได้รับ เช่นพอเห็นพระก็อาจจะยกมือไหว้ เห็นตำรวจอาจจะกลัว
ไม่กล้าแสดงออก

ส่วนคนชั่วอาจจะแสดงอาการที่ตรงข้ามกับสัญญา แต่เป็นการแสดงกิเลส
หรือเสแสร้ง เห็นพระอาจยกมือไหว้แต่ไม่ใช่เป็นความเคารพ เป็นเพียงเพื่อ
หลอกให้คนอื่นหลงเชื่อว่าตัวเองเป็นคนดี เห็นตำรวจอาจทำเป็นเฉยๆ
พอรอโอกาสครับ


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 15:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ปัญญาจากความว่าง ว่างจากสังขาร

การรู้ อาการที่จิตว่างจากสังขาร เป็น ปัญญาหรือไม่


ว่างจากสังขาร คือว่างจากความคิด ไม่คิดก็ไม่เกิดปัญญา ความคิดที่เกิดหลังเติมความจริง

วิญญาณ > สัญญา (ปัญญา) > สังขาร > ความจริง
วิญญาณ > สัญญา (ความเชื่อ) > สังขาร > พอใจ ไม่พอใจ

ความว่าง คือ จิตไม่ทำงาน เพราะไม่มีสิ่งมากระทบ หรือ ผัสสะ ผลที่ได้ก็เป็นความสงบเท่านั้นเอง
ไม่ก่อให้เกิดปัญญาดับเหตุแห่งทุกข์


โพสต์ เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b12:
หากประสบเข้าแล้ว....ต้องเรียกว่า..ยิ่งกว่าความเข้าใจ...

ว่าแต่...

ตี 3...ตี4...ทำอะไรกันอยู่รึคับ

คุณ.student....คุณโฮ s002


คอมที่ใช้ เวลาเป็นโซนของ ซาน ฟรานครับผม เวลาจะตรงกันข้ามกับเมืองไทย

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 155 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร