วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 23:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2012, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนเอาผลย่อมต่างกับการเอาใบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2012, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ก้เอาทั้ง2 อย่างเลยสิคับ :b39:

ปริยัติ ยังไงก้ควรรู้ไว้กอ่นเพื่อไปสอนชาวบ้านหรือคนอื่นได้
ส่วนปฏิบัติก้มีไว้ให้รู้แจ้งแก่ใจ เมื่อมาศึกษาปริยัติก็เข้าใจได้ดีขึ้น ไม่งงไปกับภาษาเขียนในปริยัตินั้น

การที่ขวางทางนั้นเกิดจากผู้ปฏิบัติ รู้จากตำราก่อน แล้วเอาความคิดความจำจากในตำรามาคิดไปก่อน
คิดไปเองขณะปฎิับัติ ทำให้จิตไม่สงบฟุ้งซ่าน ไม่่รวมเข้าสู่ความสงบ เพราะจิตมันปรุงแต่งได้ง่ายถ้ามี
ความคิดที่เคยอ่านมามารบกวน

ถ้าสงสัยหรือครุ่นคริดในขณะทำสมาธิเอาฌาน ก้ว่า หลุดจากฌาน
ถ้าลังเลหรือเกิดความคิดมารบกวนตอนทำวิปัสสนาภาวนา ทำให้ฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิก้เรียก วิปัสสนึกไป :b40:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2012, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลืมตอบ : การเรียนปริยัติมากไป ทำให้ขวางการบรรลุธรรม จริงไหม ???
- น่าจะมีส่วน เพราะอาจต้องใช้เวลาประมวลธรรมมาก

หลวงตาบัวท่านก็เรียนปริยัตินะครับ ปริยัติไม่ได้หมายถึงเปรียญเสมอไป ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์พูดอบรมนั่นก็เป็นปริยัติด้วย ไม่ใช่ว่าพระสายปฏิบัติท่านไม่เรียนนะครับ

ลุงหมาน เขียน:
ถ้าเรียนปริยัติเป็นการขวางทางการปฏิบัตินั้น พระพุทธองค์คงไม่บัญญัติคำทั้งหลายขึ้นมากล่าวไว้ให้ศึกษากันต่อไป มาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าเราขาดปริยัติเมื่อไหร่ ศาสนาของพระพุทธองค์ก็สิ้นทันที ถึงแม้จะมีคำสอนอยู่ในพระไตรปิฎกก็ยังปฏิบัติกันอย่างผิดเพี้ยน ไม่ทราบว่าพระพุทธองค์สอนอะไร ทรงห้ามอะไรบ้าง เมื่อไม่รู้คำสอนแล้วต่อไปก็เราก็จะนึกเอาเดาเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนี้น่าจะเป็นอย่างนั้น ตำราหรือพระไตรปิฎกก็ต้องเก็บขึ้นหิ้งไปดังที่ท่านกล่าวไว้นั่นเอง ที่เราเรียนปริยัติกันทุกวันนี้ก็เพื่อนำไปปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสอน และยังรักษาคำสอนของพระพุทธองค์ให้คงอยู่ได้นานเท่านาน แม้พระไตรปิฏกจะยังมีอยู่ทุกวันนี้ ก็ยังเห็นมีการเสกน้ำหมาก ขากน้ำลาย ขายกระเบื้องกันอยู่ทั่วไป

ผมไม่รู้วาระจิตท่านนะถ้าผิดพลาดอย่างไรผมขออภัยด้วย พระปฏิบัติไม่ใช่ท่านทำเอาเองนะ ท่านมีกรอบพระวินัยให้ปฏิบัติไว้อยู่ พระปฏิบัติเวลามีคนมาท่านก็ให้ของนะ ท่านไม่หวงอะไร(แล้วแต่คนมาขอด้วยนะ ไม่ทราบว่าท่านรู้ภูมิธรรมของคนมาหรือไม่อย่างไรก็ไม่ทราบได้) ของดีต้องที่ท่านให้กับมือเรานะครับ องค์ไหนท่านแผ่เมตตาลงให้ คนที่มีโทสะจริตน่าจะสัมผัสความปลอดโปร่งได้นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2012, 00:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าด้วยปริยัติ ๓ ประเภท

จริงอยู่ ปริยัติมี ๓ ประเภท คือ

๑. อลคัททูปมปริยัติ (ปริยัติเปรียบด้วยอสรพิษร้าย)


บรรดาปริยัติเหล่านั้นปริยัติที่ถือเอาไม่ดี คือเรียนเพื่อเหตุแห่งการโต้แย้งเป็นต้นชื่อว่า อลคัททูปมปริยัติ

ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอา ตรัสไว้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการอสรพิษมีพิษร้าย ย่อมแสวงหาอสรพิษมีพิษร้าย เมื่อเที่ยวแสวงหาอสรพิษมีพิษร้าย เขาเห็นอสรพิษมีพิษร้ายด้วยใหญ่ ก็พึงจับอสรพิษนี้นั้น ที่ขนดหรือที่หางอสรพิษนั้นพึงแว้งขบเอาที่มือ หรือแขน หรืออวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นพึงเข้าถึงความตาย หรือทุกข์ปางตายเพราะการขบกัดนั้นเป็นเหตุ

ข้อนั้นเพราะเหตุแห่งอะไร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่อสรพิษร้ายอันบุรุษจับแล้วไม่ดีแม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษบางพวกในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตะ ฯลฯ เวทัลละ บุรุษเหล่านั้นครั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา เมื่อโมฆบุรุษเหล่านั้นไม่ใคร่ครวญอรรถด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้น ย่อมไม่ทนต่อการเพ่ง โมฆบุรุษเหล่านั้น มีการโต้แย้งเป็นอานิสงส์และมีการยังตน ให้พ้นจากวาทะนั้น ๆ เป็นอานิสงส์ ย่อมเรียนธรรม และย่อมเรียนธรรมเพื่อประโยชน์แก่ธรรมใด ย่อมไม่เสวยผลแห่งธรรมนั้น

ธรรมเหล่านั้นอันโมฆบุรุษเหล่านั้นเรียนแล้วไม่ดี ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนานข้อนั้นเพราะเหตุแห่งอะไร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่ธรรมทั้งหลายอันโมฆบุรุษนั้นเรียนแล้วไม่ดี ดังนี้.


๒. นิสสรณัตถปริยัติ (ปริยัติเพื่อประโยชน์แก่การสลัดออก)

ส่วนปริยัติใด อันบุคคลเรียนดีแล้ว คือหวังอยู่ซึ่งความบริบูรณ์แห่งคุณมีสีลขันธ์เป็นต้น เรียนแล้ว มิใช่เรียนเพราะเหตุการโต้แย้งเป็นต้น

ปริยัตินี้ ชื่อว่า นิสสรณัตถปริยัติ (มีความต้องการเพื่อสลัดออก)

ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงตรัสไว้ว่า ธรรมเหล่านั้น อันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและเพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ข้อนั้น เพราะเหตุแห่งอะไร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะธรรมทั้งหลาย อันกุลบุตรเรียนดีแล้ว.


๓. ภัณฑาคาริกปริยัติ (ปริยัติเปรียบด้วยขุนคลัง).

ส่วนพระขีณาสพผู้มีขันธ์อันกำหนดรู้แล้ว ละกิเลสแล้ว มีมรรคอันเจริญแล้ว มีธรรมไม่กำเริบอันแทงตลอดแล้ว ทำนิโรธให้แจ้งแล้วย่อมเรียนปริยัติใด เพื่อรักษาประเพณี เพื่อรักษาวงศ์อย่างเดียว

ปริยัตินี้ ชื่อว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ (ปริยัติเปรียบด้วยขุนคลัง) ดังนี้

บัณฑิตพึงทราบประเภท
แห่งปริยัติ ๓ อย่าง ในพระไตรปิฎกเหล่านั้น ดังกล่าวมาแล้ว.


(ข้อความจาก อัฏฐสาลินี อรรถกถา)

viewtopic.php?f=1&t=30091&view=print


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2012, 06:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




puth07.jpg
puth07.jpg [ 13.16 KiB | เปิดดู 1927 ครั้ง ]
FLAME เขียน:
ว่าด้วยปริยัติ ๓ ประเภท

จริงอยู่ ปริยัติมี ๓ ประเภท คือ

๑. อลคัททูปมปริยัติ (ปริยัติเปรียบด้วยอสรพิษร้าย)


บรรดาปริยัติเหล่านั้นปริยัติที่ถือเอาไม่ดี คือเรียนเพื่อเหตุแห่งการโต้แย้งเป็นต้นชื่อว่า อลคัททูปมปริยัติ

ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอา ตรัสไว้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการอสรพิษมีพิษร้าย ย่อมแสวงหาอสรพิษมีพิษร้าย เมื่อเที่ยวแสวงหาอสรพิษมีพิษร้าย เขาเห็นอสรพิษมีพิษร้ายด้วยใหญ่ ก็พึงจับอสรพิษนี้นั้น ที่ขนดหรือที่หางอสรพิษนั้นพึงแว้งขบเอาที่มือ หรือแขน หรืออวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นพึงเข้าถึงความตาย หรือทุกข์ปางตายเพราะการขบกัดนั้นเป็นเหตุ

ข้อนั้นเพราะเหตุแห่งอะไร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่อสรพิษร้ายอันบุรุษจับแล้วไม่ดีแม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษบางพวกในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตะ ฯลฯ เวทัลละ บุรุษเหล่านั้นครั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา เมื่อโมฆบุรุษเหล่านั้นไม่ใคร่ครวญอรรถด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้น ย่อมไม่ทนต่อการเพ่ง โมฆบุรุษเหล่านั้น มีการโต้แย้งเป็นอานิสงส์และมีการยังตน ให้พ้นจากวาทะนั้น ๆ เป็นอานิสงส์ ย่อมเรียนธรรม และย่อมเรียนธรรมเพื่อประโยชน์แก่ธรรมใด ย่อมไม่เสวยผลแห่งธรรมนั้น

ธรรมเหล่านั้นอันโมฆบุรุษเหล่านั้นเรียนแล้วไม่ดี ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนานข้อนั้นเพราะเหตุแห่งอะไร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่ธรรมทั้งหลายอันโมฆบุรุษนั้นเรียนแล้วไม่ดี ดังนี้.


๒. นิสสรณัตถปริยัติ (ปริยัติเพื่อประโยชน์แก่การสลัดออก)

ส่วนปริยัติใด อันบุคคลเรียนดีแล้ว คือหวังอยู่ซึ่งความบริบูรณ์แห่งคุณมีสีลขันธ์เป็นต้น เรียนแล้ว มิใช่เรียนเพราะเหตุการโต้แย้งเป็นต้น

ปริยัตินี้ ชื่อว่า นิสสรณัตถปริยัติ (มีความต้องการเพื่อสลัดออก)

ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงตรัสไว้ว่า ธรรมเหล่านั้น อันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและเพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ข้อนั้น เพราะเหตุแห่งอะไร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะธรรมทั้งหลาย อันกุลบุตรเรียนดีแล้ว.


๓. ภัณฑาคาริกปริยัติ (ปริยัติเปรียบด้วยขุนคลัง).

ส่วนพระขีณาสพผู้มีขันธ์อันกำหนดรู้แล้ว ละกิเลสแล้ว มีมรรคอันเจริญแล้ว มีธรรมไม่กำเริบอันแทงตลอดแล้ว ทำนิโรธให้แจ้งแล้วย่อมเรียนปริยัติใด เพื่อรักษาประเพณี เพื่อรักษาวงศ์อย่างเดียว

ปริยัตินี้ ชื่อว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ (ปริยัติเปรียบด้วยขุนคลัง) ดังนี้

บัณฑิตพึงทราบประเภท
แห่งปริยัติ ๓ อย่าง ในพระไตรปิฎกเหล่านั้น ดังกล่าวมาแล้ว.


(ข้อความจาก อัฏฐสาลินี อรรถกถา)

viewtopic.php?f=1&t=30091&view=print

:b8:
สาธุอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งกับข้อธรรมที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีและเหมาะสมกับกระทู้นี้ :b20:
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร