วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 03:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2011, 10:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


เรามาเกิดเพราะเรามี "จิต" จิตที่มีกิเลส ตัณหา ราคะอยู่ ทำให้เรามาเกิดอีก
หากไม่มีจิต (ไม่มีเวทนา ไม่มีสังขาร ไม่สัญญา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีผัสสะ ไม่มีผัสสะก็ไม่มีขันธ์ ไม่มีขันธ์ คือไม่มีตัวตน การเกิดไม่มี การตายไม่มี ความทุกข์ไม่มี :b8: :b8: :b8: onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2011, 11:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ค. 2010, 23:55
โพสต์: 55

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พยายามทำจิต ไม่ให้มีจิต แต่ก็ยังมีจิต

การเห็นว่าความไม่มีจิต เป็นหนทางแห่งพระนิพพาน เป็นความเห็นที่ผิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2011, 20:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2011, 20:09
โพสต์: 82

แนวปฏิบัติ: รู้ตัวเสมอ ก่อนพูด ก่อนคิด ก่อนทำ
อายุ: 17
ที่อยู่: ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


http://yodmanudying.wordpress.com/2007/ ... %E0%B8%B7/

ฝากให้อ่านครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2011, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รู้สึกว่า พรหมลูกฟัก ไม่มีจิต

เป็นแต่รูป ตั้งอยู่หลายกัปหลายกัลป์

สุดท้ายหมดวาระ แล้วก็กลับมามีขันธ์อื่นๆ ใหม่

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2011, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พรหมลูกฟัก
จิตอาศัยรูปขันธ์
แต่ ไม่ปรากฏนามขันธ์ เสวยวิบากอยู่อย่างนั้น จนกำลังแห่งฌานที่เจริญไว้สิ้นกำลังไป
จิตจึง จุติจากรูปขันธ์ที่อาศัยอยู่ ไปปฏิสนธิตามกำลังแห่งเหตุที่ได้กระทำไว้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2011, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


อรูปะ เขียน:
พยายามทำจิต ไม่ให้มีจิต แต่ก็ยังมีจิต

การเห็นว่าความไม่มีจิต เป็นหนทางแห่งพระนิพพาน เป็นความเห็นที่ผิด

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2011, 02:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ

พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.


กัจจานโคตตสูตร


พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระกัจจานโคตต์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ว่า พระพุทธเจ้าข้า ที่เรียกว่าสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะชื่อว่า
สัมมาทิฐิ ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

ดูกรกัจจานะโลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน ๒ อย่าง คือ ความมี ๑ ความไม่มี ๑

ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี

เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี

โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส

แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้

ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ


ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ ๑ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่ ๒ นี้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่มี

ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

จบ กัจจานโคตตสูตร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2011, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


พระอรหันต์ ไม่สามารถ ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง

แต่การปรินิพพานของพระอรหันต์ นั่นแหละ ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง ........ เป็นการดับไม่เหลือ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2011, 10:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


อรูปะ เขียน:
พยายามทำจิต ไม่ให้มีจิต แต่ก็ยังมีจิต

การเห็นว่าความไม่มีจิต เป็นหนทางแห่งพระนิพพาน เป็นความเห็นที่ผิด


ใช่ครับ การดับจิตไม่ใช่หนทางแห่งการนิพาน การทำให้จิตไม่มีโลภ โกรธ หลง โดยสิ้นคือหนทางแห่งการนิพพาน แล้วเราจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดความโลภ โกรธ หลง อะไรเป็นต้นตอ หรือรากเหง้า ของความโลภ โกรธ หลง ???? :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2011, 13:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 190


 ข้อมูลส่วนตัว


มีความคิดสงสัย ก็เกิดมีขึ้นแล้ว... แล้วใครคิดล่ะ? หากจะไม่เกิดก็อย่าคิดอย่าสงสัย แต่จะไม่สงสัยก็ไม่ได้ เพราะอาศัยความสงสัยนั้นแหละ จึงจะรู้จะเห็นจริงตามอย่างนั้นแล้วไม่สงสัย ...เออ ใครล่ะสงสัย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2011, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
เรามาเกิดเพราะเรามี "จิต" จิตที่มีกิเลส ตัณหา ราคะอยู่ ทำให้เรามาเกิดอีก
หากไม่มีจิต (ไม่มีเวทนา ไม่มีสังขาร ไม่สัญญา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีผัสสะ ไม่มีผัสสะก็ไม่มีขันธ์ ไม่มีขันธ์ คือไม่มีตัวตน การเกิดไม่มี การตายไม่มี ความทุกข์ไม่มี :b8: :b8: :b8: onion onion


การเกิดแก่เจ็บตายนั้นเป็นวังวนของวัฏสงสาร ผู้ที่ยังไม่บรรลุอรหัต์นั้นจะต้องเวียนว่ายเช่นนี้ต่อไป

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2011, 20:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
เรามาเกิดเพราะเรามี "จิต" จิตที่มีกิเลส ตัณหา ราคะอยู่ ทำให้เรามาเกิดอีก
หากไม่มีจิต (ไม่มีเวทนา ไม่มีสังขาร ไม่สัญญา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีผัสสะ ไม่มีผัสสะก็ไม่มีขันธ์ ไม่มีขันธ์ คือไม่มีตัวตน การเกิดไม่มี การตายไม่มี ความทุกข์ไม่มี :b8: :b8: :b8: onion onion


ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้า "พลศักดิ์ "
มนุษย์ พืช สัตว์ เกิดมาได้ ก็เพราะบิดามารดา มีความรักคือเมตตาต่อกันและกัน สิ่งที่ทำให้เราเกิดมาได้ ก็เพราะ ดวงจิต หรือโครโมโซม ของบิดามารดา ผสมผสานกัน เมื่อทุกคนเกิดมา ก็จะมีรูปร่างหน้าตาอุปนิสัยใจคอเหมือนทั้งบิดามารดา หรืออาจจะเหมือนไปถึง ปู่ย่า,ตายาย,คุณทวด โน่นเลยแหละ
คำว่า จิต หมายถึงอะไร กันหรือ ความจริงแล้ว
จิต ก็คือ จิตวิญญาณ ซึ่ง ในทางหลักการแพทย์หรือหลักชีววิทยาแล้วละก้อ จิต ก็คือ ส่วนที่เล็กที่สุดซึ่งรวมตัวกันกลายเป็นอวัยวะต่างๆทำให้เกิดความสามารถ ในการรับรู้อารมณ์ เมื่อได้รับการสัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย
เจ้ายังรู้น้อยไป สิ่งที่มีจิตวิญญาณ แต่ไม่มีความรุ้สึก ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีความจำ ไม่มีการสัมผัส ไม่มีรูปขันธ์ที่จับต้องได้ ก็ยังมีอีกเยอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2011, 23:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ค. 2010, 23:55
โพสต์: 55

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
อรูปะ เขียน:
พยายามทำจิต ไม่ให้มีจิต แต่ก็ยังมีจิต

การเห็นว่าความไม่มีจิต เป็นหนทางแห่งพระนิพพาน เป็นความเห็นที่ผิด


ใช่ครับ การดับจิตไม่ใช่หนทางแห่งการนิพาน การทำให้จิตไม่มีโลภ โกรธ หลง โดยสิ้นคือหนทางแห่งการนิพพาน แล้วเราจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดความโลภ โกรธ หลง อะไรเป็นต้นตอ หรือรากเหง้า ของความโลภ โกรธ หลง ???? :b8: :b8:



หากยังสงสัยอยู่ เพียรทำ วิชชาที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น

หากสิ้นสงสัยแล้ว เพียรทำ อริยผลที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2011, 16:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
เรามาเกิดเพราะเรามี "จิต" จิตที่มีกิเลส ตัณหา ราคะอยู่ ทำให้เรามาเกิดอีก
หากไม่มีจิต (ไม่มีเวทนา ไม่มีสังขาร ไม่สัญญา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีผัสสะ ไม่มีผัสสะก็ไม่มีขันธ์ ไม่มีขันธ์ คือไม่มีตัวตน การเกิดไม่มี การตายไม่มี ความทุกข์ไม่มี :b8: :b8: :b8: onion onion


ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้า "พลศักดิ์ "
มนุษย์ พืช สัตว์ เกิดมาได้ ก็เพราะบิดามารดา มีความรักคือเมตตาต่อกันและกัน สิ่งที่ทำให้เราเกิดมาได้ ก็เพราะ ดวงจิต หรือโครโมโซม ของบิดามารดา ผสมผสานกัน เมื่อทุกคนเกิดมา ก็จะมีรูปร่างหน้าตาอุปนิสัยใจคอเหมือนทั้งบิดามารดา หรืออาจจะเหมือนไปถึง ปู่ย่า,ตายาย,คุณทวด โน่นเลยแหละ
คำว่า จิต หมายถึงอะไร กันหรือ ความจริงแล้ว
จิต ก็คือ จิตวิญญาณ ซึ่ง ในทางหลักการแพทย์หรือหลักชีววิทยาแล้วละก้อ จิต ก็คือ ส่วนที่เล็กที่สุดซึ่งรวมตัวกันกลายเป็นอวัยวะต่างๆทำให้เกิดความสามารถ ในการรับรู้อารมณ์ เมื่อได้รับการสัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย
เจ้ายังรู้น้อยไป สิ่งที่มีจิตวิญญาณ แต่ไม่มีความรุ้สึก ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีความจำ ไม่มีการสัมผัส ไม่มีรูปขันธ์ที่จับต้องได้ ก็ยังมีอีกเยอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



จิตวัดเป็นปริมาณ หรือชั่งไม่ได้ จับต้องไม่ได้ จิตจะทำงานเมื่อของอายตนะภายนอกกับอายตนะภายในกระทบกัน เกิดวิญญาณขึ้น จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ เป็นต้น นี่แหละเรียกว่าจิตวิญญาณ ต้องบอกว่าวิญญาณอยู่ในจิต เพราะจิตประกอบด้วย (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ส่วนร่างกายเราคือ รูปขันธ์ ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกัน เราเกิดจากสิ่งเหล่านี้มาประชุมกันตามเหตุและปัจจัย เหตุคือชายและหญิง ปัจจัยสิ่งเกื้อหนุนให้กำเนิดชีวิตขึ้น เมื่อถือกำเนิด
ทำให้เกิดอายตนะ และจิตเกิดขึ้น สุดท้ายร่างกายก็ต้องเสื่อม แก่ ตายไปในที่สุด
สิ่งเหล่านี้ใช้หลักการแพทย์ หรือชีววิทยาอธิบายได้ เพราะการแพทย์ก็มาจากวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็คือความจริงของธรรมชาติ ธรรมชาติ คือธรรมะ ทุกแขนงวิชาก็มาจากธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หาความแน่นอนไม่ได้ ไม่คงทนถาวร ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน กฎทางวิทยาศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลง แต่กฎธรรมชาติไม่มีการเปลี่ยนแปลง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2011, 17:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16:
เราเกิดมาเพราะมีเหตุและปัจจัยกระทำต่อกัน

มีแต่เหตุไม่มีปัจจัย เราและจิตก็เกิดไม่ได้

มีแต่ปัจจัยไม่มีเหตุ เราและจิตก็เกิดไม่ได้

ที่สำคัญคือตัว เหตุ เหตุคือ อวิชชา ความไม่รู้ เพราะไม่รึูจึงเห็นผิด เห็นผิดคือเห็นว่าเป็นอัตตา ตัวกึึของกึู
กู นั่นแหละพาไปเกิด หมดกูก็หมดเกิด
เอวัง
:b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร