วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 20:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2011, 23:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
ภาพช่องทางที่จะหักออกจากห่วงโซ่แห่งปฏิจจสมุปบาท (ขยายให้เห็นชัดครับ)

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2011, 23:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b20:
คำเฉลยปฏิจจสมุปบาท ครับ

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2011, 03:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

น่าสงสารคุณโฮฮับจริงๆนะครับ เพราะสำคัญตนผิดว่ารู้มาก รู้ถูกต้องกว่าผู้อื่น จึงกล้ากล่าววาจาที่คัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง แล้วยังมาเกทับผู้อื่นอีก

ถ้าจะเข้าใขผิดอย่างแรงมาว่าผมเกทับผู้อื่น ผมว่าเป็นคุณนั้นแหล่ะที่กำลังเกทับผม
คุยกันอยู่ดีๆเอาพระพุทธเจ้ามาอ้างมาตู่ หาว่าผมไปค้านคำสอนของพระพุทธเจ้า

มันก็เป็นคุณอีกนั้นแหล่ะที่รู้น้อย แถมรู้ผิดอีกต่างหาก อันนี้ไม่ว่ากัน
แต่ที่มาว่าผมสำคัญตนผิดนี่ เป็นคุณทั้งขึ้นทั้งล่องเลยครับ

การลงมาแนะนำ "คุณไม่เที่ยง" ให้ยิงผมด้วยลูกโดด อย่ายิงลูกปลาย
มิหน่ำลงมาแสดงความเห็นเชิงสั่งสอนผมกับคุณไม่เที่ยง อันนี้สำคุณตนผิดมั้ยครับ
asoka เขียน:
คุณโฮ..ถูกมิจฉาทิฐิครอบงำมาแล้วแต่ต้น ในมรรคทั้ง 8 ตัวนั้นท่านกล่าวว่าถ้าข้อที่ 1 ผิดเสียแล้ว มรรคที่เหลือทั้ง 7 ตัวก็จะผิดตามกันไปหมด ที่มีมิจฉาทิฐิ เห็นผิด เพราะรู้มาผิดๆดังคำกล่าวที่ว่า
รู้ผิด ก็ เห็นผิด เห็นผิด ก็คิดผิด คิดผิดก็จะทำผิด ทำผิด ก็จะได้แต่สิ่งที่ผิดๆ ได้สิ่งที่ผิดก็เป็นคนผิด
เป็นคนผิดจึงพูดและถ่ายทอดแต่สิ่งที่ผิดๆ

ที่พูดมามันเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังถกมั้ยครับ ผมว่าคุณกำลังแกล้งตีลูกมึน
ที่ให้เหตุผลหรือตอบคำถามไม่ได้ เลยเฉไฉหลอกด่าผมอยู่นะครับ
asoka เขียน:
ที่คุณกล่าวว่าตัณหาเป็นเหตุทุกข์นั้นผิด คุณกำลังทำผิดคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างมหันต์ ขอให้พิจารณาดูจากบทสวดธรรมจักกัปปวัตนสูตรแปล ท่อนของเรื่องสมุทัย ที่ยกมานี้นะครับ

ผมบอกอย่างนั้นหรือ ผมบอกว่า คุณเอาเรื่องอริยสัจจ์สี่มา
อธิบายความผสมปนเปกับเรื่องปฏิจจสมุบาท การอธิบายความมันเลยผิด

ที่ผิดเห็นๆก็คือคุณบอกว่า ตัณหาในวงปฏิจจฯดับได้ ผมบอกดับไม่ได้เพราะถูกบังคับ
ด้วยกฎอิทัปปัจยตา ผู้ที่ดับได้คือพระอรหันต์ นอกนั้นดับได้แค่การปรุงแต่งของตัณหา

เรื่องธรรมจักรกัปปวัตนสูตรหรืออริยสัจจ์สี่ มันเป็นคำสอนเบื้องต้น
ส่วนปฏิจจ์มันเป็นเบื้องปลาย การที่คุณเอามาปนกันมันก็เลยดู
เหมือนมัจฉาณุ มีหัวเป็นลิงมีหางเป็นปลาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2011, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจ อันเป็นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เป็นสิ่งที่ต้องละให้ขาด"

ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะ*นันติ (ให้อ่านว่า ปะฮีนันติ..Amine) เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจ อันเป็นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เราได้ละขาดไปจากใจแล้ว"

คุณอโศกะ อย่าหาว่าสั่งสอนเลยนะครับ ผมดูการกระทำของคุณแล้ว
มันไม่ค่อยมีจิตเป็นกุศลหรือมีมโนสุจริตเลยครับ วันหลังจะหยิบอะไรมาอ้าง
กรุณาวางลิ้งมาด้วยนะครับ ไม่ใช่มาอ้างลอยๆ

คำสอนที่คุณเอามาอ้าง ดูแล้วบอกได้เลยแบบไม่ต้องตีความให้ยุ่งยาก
พระพุทธองค์กำลังสอนบรรดาอริยสาวกปฏิบัติถึงพระอรหันต์มุ่งสู่นิพพาน
ผมถึงได้บอกคุณว่า ตัณหาไม่มีใครดับได้นอกจากพระอรหันต์

ที่สำคัญพระพุทธเจ้ากำลังสอนเรื่อง ปฏิจจ์ฯแกบรรดาสาวกที่เป็นอริยสงฆ์
พระองค์ไม่ได้สอนเรื่องอริยสัจจ์สี่ เรื่องอริยสัจจ์มันเลยมาไกลแล้ว

asoka เขียน:
ดังนั้นคำอธิบายโต้แย้งแนะนำอื่นๆของคุณโฮฮับจึงเปล่าประโยชน์ เชื่อถือไม่ได้ เสียแล้วละครับ ขอให้ไปปรับฐานความรู้มาใหม่ให้ถูกต้องตามธรรมนะครับ จะได้ไม่ถ่ายทอดสิ่งที่ผิดๆสู่เพื่อนสหธรรมทั้งหลาย

ง่ายๆและสั้นๆนะครับ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนให้เป็น นกแก้วนกขุนทองนะครับ
พระองค์สอนคนให้เกิดปัญญา สามารถเลือกเฟ้นธรรมมาใช้ได้อย่างถูกต้อง
อย่างคุณมันไม่ได้ใช้ปัญญาตรึกตรองเลย เห็นแค่สมมุติบัญญัติเหมือนกันคล้ายกัน
ก็เลยสรุปด้วนๆว่าใช่ มันก็เหมือนจรเข้ครับไม่รู้อะไรกินได้ อะไรเป็นโทษ
โยนอะไรให้ก็งับแล้วกลืน วันดีคืนดีคนไม่ดี โยนฟักต้มร้อนๆให้งับโดยไม่คิด
ที่ไม่คิดเพราะไม่มีปัญญาจะคิด ผลก็คือกุสะลาธัมมา อกุสะลาธัมมา :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2011, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Onion_L (โฮฮับ) ในปฏิจจ์ฯเป็นการอธิบาย เรื่องการสืบต่อของภพชาติ สิ่งต่างๆในวงปฏิจจ์ฯ เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ไม่มีใครดับได้ นอกจากพระ
อรหันต์
ถึงตอนนี้ที่คุณว่าตัณหาเป็นเหตุแห่งทุกข์ อันนี้ผิดอย่างแรง ตัณหาเป็นเหตุของอุปาทาน และเหตุแห่งตัณหา ก็คือเวทนา และทึ่คุณบอกให้ดับตัณหา
คุณดับได้หรือ ตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตา ความหมายของอิทัปปัจจยตาคือ เมื่อมีเหตุปัจจัย สิ่งนั้นจึง
เกิด ในเมื่อเวทนายังอยู่คุณดับตัณหาได้หรือ ขนาดเวทนายังดับไม่ได้เลย สรุปก็คือ ในชาตินี้เรายังมี
รูปนามอยู่ ผลที่เกิดตามมาก็ไม่สามารถดับได้ :b3:
(Asoka) แค่ข้อความของคุณโฮ.ที่ยกมาอีกตอนหนึ่งนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า
คุณโฮ...เห็นผิดจริงๆแล้วครับ
[color=#004000]ความดับของตัณหานั้น
เขาดับเองโดยธรรมชาติเมื่อหมดเหตุหรือปัจจัย คนธรรมดาดับตัณหาได้ด้วยสติ ปัญญา

คุณอโศกะคุณรู้ตัวมั้ยว่า ความเห็นของคุณ มันยุ่งขิงเหมือนยุงตีกัน
แนะนำครับ จะคุยจะแสดงความเห็น เราต้องมีหลักการก่อน การคุยการจา
เหตุและผล ให้มันอยู่ในหลักการ สิ่งที่แสดมันจะได้สอดรับกัน
คุณอโศกะ คุณว่าคนธรรมดาดับตัณหาด้วยสติปัญญา
แล้วทำไม ความเห็นก่อนหน้า คุณโพสเรื่องพระพุทธเจ้าสอน
ให้อริยสาวก ดับตัณหาอีกล่ะ ไหนว่าคนธรรมดาดับตัณหาได้งัย
แสดงว่า คนธรรมดาเก่งกว่า อริยสงฆ์อีกรึ :b13:


asoka เขียน:
ธรรมดาดับตัณหาได้ด้วยสติ ปัญญา ด้วยเหตุผลและความอดทนข่มใจ พระอริยบุคคล 3 ชั้นแรก ตัณหาอย่างหยาบดับไปแล้วตัณหาอย่างละเอียดค่อยๆเบาบางจางไปเพราะ ท่านหมดอัตตา สักกายทิฐิ คงเหลือแต่มานะทิฐิที่เบาบางไปตามลำดับ ]

อธิบายเรื่องตัณหาให้ฟังน่ะ ตัณหามันติตมากับรูปนามเราตั้งแต่เกิดแล้ว
มันเป็นกิเลสต่อเนื่องของภพชาติที่แล้ว ชาติที่แล้วพอเรามรณะมันจะเอา
กิเลสต่างๆที่เราหลงไปยึดในรูปอุปาทาน มาเป็นสังขาร และวิญญาณ
พอมาเป็นรูปนาม ตัณหาที่เราไปยึดมามันจะซ่อนอยู่ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด
เช่นเกิดผัสสะเวทนา ตัณหาที่ซ่อนอยู่ก็จะแสดงตัว ตัณหาตัวนี้มันเป็นอนุสัยกิเลส

เบื้องต้นที่ว่าดับคือดับตัณหาใหม่ ซึ่งก็คือการปรุงแต่งของตัณหาเก่านั้นเอง
เบื้องปลาย คือการทำไม่ให้เกิดการปรุงแต่งในตัวตัณหาเก่า และพยาดับตัวตัณหาเก่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2011, 12:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L (โฮฮับ) คำสอนที่คุณเอามาอ้าง ดูแล้วบอกได้เลยแบบไม่ต้องตีความให้ยุ่งยาก
พระพุทธองค์กำลังสอนบรรดาอริยสาวกปฏิบัติถึงพระอรหันต์มุ่งสู่นิพพาน
ผมถึงได้บอกคุณว่า ตัณหาไม่มีใครดับได้นอกจากพระอรหันต์


ที่สำคัญพระพุทธเจ้ากำลังสอนเรื่อง ปฏิจจ์ฯแกบรรดาสาวกที่เป็นอริยสงฆ์
พระองค์ไม่ได้สอนเรื่องอริยสัจจ์สี่ เรื่องอริยสัจจ์มันเลยมาไกลแล้ว
cool(Asoka)
คุณโฮฮับครับคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้นทรงสอนให้คนธรรมดา กัลยาณชนได้ได้รู้วิธีที่จะปฏิบัติตนให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ อย่างธรรมจักกัปปวัตนสูตรนี่ก็ทรงสอนปัญจวัคคีย์ซึ่งขณะนั้นยังเป็นปุถุชนอยู่ หลังจากฟังธรรมนี้แล้วได้ฟังอนัตตลักขณสูตร ใช้สติปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตามแล้วจึงได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์กันทั้งหมด

ถึงตรงนี้จะพอมองเห็นความเข้าใจผิดของคุณหรือยังครับ

ส่วนการแสดงปฏิจจสมุปบาทนั้นอาจเป็นได้ว่าทรงแสดงแก่พระสาวกที่เป็นทั้งเสขะและอะเสขะบุคคล ซึ่งคงจะเข้าใจปฏิจจสมุปบาทได้ดีตั้งแต่ตั้งแต่โสดาบันบุคคลขึ้นไป เพราะได้พิสูจน์ธรรมแล้ว

สำหรับคนธรมดาที่ได้ยินได้ฟังก็คงพอเข้าใจได้เพียงเลาๆ โดยอนุมานคาดเดาเอาอย่างคุณโฮฮับขณะนี้ ซึ่งกำลังพยายามจะบอกคนทั้งหลายว่าต้องเข้าใจปฏิจจสมุปบาทอย่างที่โฮฮับเข้าใจจึงจะถูกต้อง ลึกๆเหมือนกับจะบอกกลายๆว่าที่โฮฮับรู้เนียะเป็นระดับการรู้ของพระอรหันต์นะ เพราะเห็นย้ำอยู่หลายครั้งเรื่องธรรมมะทีฟังรู้เรื่องได้เฉพาะพระอรหันต์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2011, 12:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L (โฮฮับ)
อธิบายเรื่องตัณหาให้ฟังน่ะ ตัณหามันติตมากับรูปนามเราตั้งแต่เกิดแล้วมันเป็นกิเลสต่อเนื่องของภพชาติที่แล้ว ชาติที่แล้วพอเรามรณะมันจะเอา
กิเลสต่างๆที่เราหลงไปยึดในรูปอุปาทาน มาเป็นสังขาร และวิญญาณ
พอมาเป็นรูปนาม ตัณหาที่เราไปยึดมามันจะซ่อนอยู่ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด
เช่นเกิดผัสสะเวทนา ตัณหาที่ซ่อนอยู่ก็จะแสดงตัว ตัณหาตัวนี้มันเป็นอนุสัยกิเลส

เบื้องต้นที่ว่าดับคือดับตัณหาใหม่ ซึ่งก็คือการปรุงแต่งของตัณหาเก่านั้นเอง
เบื้องปลาย คือการทำไม่ให้เกิดการปรุงแต่งในตัวตัณหาเก่า และพยาดับตัวตัณหาเก่า
:b12:
(Asoka) คำอธิบายในท่อนนี้คุณโฮ..ก็น่าจะเข้าใจผิดด้วยนะครับ
สิ่งที่ติดมาข้ามพบข้ามชาติมิใช่ตัณหา แต่เป็นอุปาทานความเห็นผิดยึดผิดว่าเป็นอัตตา ตัวกู ของกู
ตัณหานั้นเขาอาศัยเวทนาเป็นปัจจัยให้เกิด ไม่มีเวทนา ตัณหาก็ไม่เกิด

แต่ความเห็นผิดเป็นกูเป็นเรานั้นเป็นตัวเหตุที่ติดมากับจิตตลอดเวลาทุกภพทุกชาติดังนั้นเมื่อไปเจอปัจจัยในชาติไหน ภพไหน ในคราบร่างของสัตว์ในอบายทั้ง 4 มนุษย์ เทวดา พรหม ก็ตามตัณหาก็จะเกิดได้ตลอด

ถอนเหตุนะครับ อย่าไปพยายามแก้ปัจจัยอยู่เลยมันจะเป็นงานที่ไม่รู้จบ
ถอน กู ถอนกูรู้ กูเก่ง กูเห็น กู..........ฯลฯ ออกจากใจให้ได้จึงจะใช่ทางที่ถูกต้องนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2011, 13:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




065dsq_resize.jpg
065dsq_resize.jpg [ 25.6 KiB | เปิดดู 5225 ครั้ง ]
Onion_L (โฮฮับ) คุณอโศกะคุณรู้ตัวมั้ยว่า ความเห็นของคุณ มันยุ่งขิงเหมือนยุงตีกัน
แนะนำครับ จะคุยจะแสดงความเห็น เราต้องมีหลักการก่อน การคุยการจา
เหตุและผล ให้มันอยู่ในหลักการ สิ่งที่แสดมันจะได้สอดรับกัน
คุณอโศกะ คุณว่าคนธรรมดาดับตัณหาด้วยสติปัญญา
แล้วทำไม ความเห็นก่อนหน้า คุณโพสเรื่องพระพุทธเจ้าสอน
ให้อริยสาวก ดับตัณหาอีกล่ะ ไหนว่าคนธรรมดาดับตัณหาได้งัย
แสดงว่า คนธรรมดาเก่งกว่า อริยสงฆ์อีกรึ

:b4:
(Asoka) ท่อนนี้ก็เหมือนกัน มีคำถามง่ายๆ ว่า ในชีวิตของคุณโฮ..ไม่เคยมีเลยหรือว่า เวลาเกิดความอยากได้ในหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกัน ความอยากบางอย่างก็ต้องถูกปล่อยวางดับไปจากใจด้วยเหตุผลที่ว่าหยิบเอาคว้าเอาดั่งใจทันทีไม่ได้ เหมือนตอนนี้อยากได้นิพพาน เป็นพระอรหันต์ แต่การปฏิบัติและเหตุปัจจัยยังไม่พร้อมที่จะใหัถึง จึงต้องระงับความอยากอันนี้ไว้ ความอยากนี้ก็จะดับไปชั่วคราว มิใช่หรือ

หรือตอนนี้อยากกินหูฉลาม เป๋าฮื้อ แต่เมื่อดูเงินในกระเป๋ายังมีไม่พอเพราะจะต้องกันเงินไว้ซื้อของขวัญปีใหม่แจกครอบครัวมิตรสหาย ความอยากนี้เลยต้องระงับไว้ก่อน ความอยากนี้ดับไปด้วยเหตุผลใช่หรือไม่ครับ นี่คือวิธีดับอยากของคนธรรมดา

ส่วนพระอริยเจ้าทังหลายนั้นตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านไม่มี กู แล้ว ความอยากของท่านเหลือน้อย เกิดยากยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งสูงยิ่งหมดอยาก จนที่สุดหมดโดยเด็ดขาดเมื่อถึงอรหัตผล

ที่วาผมแสดงธรรมวกวนไปมา ต้องลองพิจารณากันสียใหม่ว่าใครวกวนกันแน่นะครับ เดี๋ยวธัมจักก เดียวปฏิจจสมุปบาท เดี๋ยวฟาดหัวฟาดหาง ใครกันแน่ครับ?
ขอให้เจริญในธรรม สำราญใจ ไร้ปฏิฆะ ในวาระดิถีปีใหม่นี้กันทุกคนนะครับ สาธุ
:b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2011, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
(โฮฮับ) คำสอนที่คุณเอามาอ้าง ดูแล้วบอกได้เลยแบบไม่ต้องตีความให้ยุ่งยาก
พระพุทธองค์กำลังสอนบรรดาอริยสาวกปฏิบัติถึงพระอรหันต์มุ่งสู่นิพพาน
ผมถึงได้บอกคุณว่า ตัณหาไม่มีใครดับได้นอกจากพระอรหันต์

ที่สำคัญพระพุทธเจ้ากำลังสอนเรื่อง ปฏิจจ์ฯแกบรรดาสาวกที่เป็นอริยสงฆ์
พระองค์ไม่ได้สอนเรื่องอริยสัจจ์สี่ เรื่องอริยสัจจ์มันเลยมาไกลแล้ว
cool(Asoka)
คุณโฮฮับครับคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้นทรงสอนให้คนธรรมดา กัลยาณชนได้ได้รู้วิธีที่จะปฏิบัติตนให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ อย่างธรรมจักกัปปวัตนสูตรนี่ก็ทรงสอนปัญจวัคคีย์ซึ่งขณะนั้นยังเป็นปุถุชนอยู่ หลังจากฟังธรรมนี้แล้วได้ฟังอนัตตลักขณสูตร ใช้สติปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตามแล้วจึงได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์กันทั้งหมด

ถึงตรงนี้จะพอมองเห็นความเข้าใจผิดของคุณหรือยังครับ

คุณอโศกะคุณฟังผมน่ะ ยามใดที่คุณอ่านท่องตำรา คุณควรพิจารณาใคร่ควรตามไปด้วย
ไม่เช่นนั้นคุณจะสับสน ในตัวบุคคลและช่วงเวลา

เกี่ยวกับเรื่องธรรมจักรกัปปวัตนสูตร เรื่องอริยสัจจ์สี่มันก็มีเนื้อหาอยู่ในนี้
พระพุทธองค์ทรงสอน เรื่องทางสายกลาง เรื่องทุกข์ให้แก่ปัจจวัคคีย์จนเกิด
ดวงตาเห็นธรรม อนึ่งต้องเข้าใจนะว่าดวงตาเห็นธรรม เป็นได้แค่โสดาบัน
ซึ่งโสดาบัน ยังต้องปฏิบัติต้องศึกษาอีก เช่นไปศึกษาในอนันตลักขณสูตร
และปฏิบัติตามไปด้วยเพื่อให้ได้พระอรหันต์
ช่วงที่สำเร็จอนันตลักขณสูตร จนเป็นพระอรหันต์นี่แหล่ะ
ที่ท่านสามารถ ตัดวงจรปฏิจจสมุบาทได้สามารถดับตัณหาได้
ผมถึงบอกคุณว่า มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ดับตัณหาในปฏิจจฯได้

และอีกเรื่องที่ผมบอกแถบจะว่าไล่ก็ได้ คือให้คุณไปศึกษาเรื่อง อริยสัจจ์สี่
คุณลองเปรียบเทียบดู คำพูดของผมในเรื่องนี้กับสิ่งที่คุณเอามาอ้าง
มันผิดแผกแตกต่างกันตรงไหน พระพุทธเจ้าสอนปัจจวัคคีย์เรื่องทางสายกลาง
เรื่องทุกข์อริยสัจจ์ ในขณะที่ทั้งห้ายังเป็นปุถุชน จนเกิดเห็นธรรมนั้นแหล่ะจึงสอน
พระธรรมที่สูงขึ้นไป อย่างเช่นเรื่อง อนันตลักขณสูตร

asoka เขียน:
ส่วนการแสดงปฏิจจสมุปบาทนั้นอาจเป็นได้ว่าทรงแสดงแก่พระสาวกที่เป็นทั้งเสขะและอะเสขะบุคคล ซึ่งคงจะเข้าใจปฏิจจสมุปบาทได้ดีตั้งแต่ตั้งแต่โสดาบันบุคคลขึ้นไป เพราะได้พิสูจน์ธรรมแล้ว

จะบอกให้ครับ ปฏิจจสมุบาทมันเป็นผลแห่งอริยสัจจ์สี่และอริยมรรมีองค์แปด
บุคคลที่ปฏิบัติอริยมรรคมีองค์แปดสำเร็จ ก็จะรู้เองว่า ปฏิจจ์สมุบาทคืออะไร
หรือจะกล่าวได้ว่า เกิดปัญญาวิมุตติไปรู้แจ้งแทงตลอดวงปฏิจจฯ
ฉะนั้นอริยบุคคลไม่จำเป็นต้องศึกษาก่อนหรอกครับ ท่านปฏิบัติไป จนถึงจุด
ก็จะเข้าใจเองครับ

ขอเตือนครับ กรุณาไปทำความเข้าใจเรื่องเสขะและอเสขะให้ดีนะครับ
เสขะคือผู้ที่ยังต้องศึกษา หมายถึง อริยบุคคลตั้งแต่ โสดาบันจนถึงอนาคามีครับ
ส่วนอเสขะ คือผู้ไม่ต้องศึกษาแล้ว หมายถึง พระอรหันต์
ดังนั้นพระอเสขะไม่ต้องมานั่งศึกษาแล้วครับ


asoka เขียน:
สำหรับคนธรมดาที่ได้ยินได้ฟังก็คงพอเข้าใจได้เพียงเลาๆ โดยอนุมานคาดเดาเอาอย่างคุณโฮฮับขณะนี้ ซึ่งกำลังพยายามจะบอกคนทั้งหลายว่าต้องเข้าใจปฏิจจสมุปบาทอย่างที่โฮฮับเข้าใจจึงจะถูกต้อง ลึกๆเหมือนกับจะบอกกลายๆว่าที่โฮฮับรู้เนียะเป็นระดับการรู้ของพระอรหันต์นะ เพราะเห็นย้ำอยู่หลายครั้งเรื่องธรรมมะทีฟังรู้เรื่องได้เฉพาะพระอรหันต์[/b][/color]

คุณอโศกะครับ นักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ สิ่งที่ต้องมีเป็นอันดับแรกก็คือ สติครับ
เอาสติมาทำอะไร ก็คือเอามาข่มจิตในเรื่อง หิริโอตัปปะครับและยังมีธรรมเป็นองค์ประกอบ
ก็คือ ขันติโสรัจจะ

คุณอโศกะครับ คุณรู้ตัวมั้ยครับว่ากำลังพาลแล้วครับ ผมไปบังคับใครให้เชื่อหรือครับ
มันก็แค่เป็นความเห็น ถกกันไปโต้กันมา ถ้าคุณลองย้อนกลับไปดูสาเหตุ คุณก็จะเข้าใจว่า
สิ่งที่คุณกล่าวหาผม มันเป็นคุณเองครับ

ผมกำลังแนะนำ"คุณไม่เที่ยง"ในเรื่องการตั้งกระทู้ โดยเน้นว่า การตั้งกระทู้มากๆ
มันทำให้เกิดความสับสนในตัวเอง แล้วผมก็กล่าวทำลองภูมิคุณไม่เที่ยง
เพื่อให้แกเห็นจริงในสิ่งที่ผมกล่าว
มันเป็นคุณแหล่ะครับ คุณอโศกะ ที่เข้ามาอวดอ้างเรื่องตัณหา เรื่องปฏิจจฯ
ปานประหนึ่งว่า รู้และเข้าใจเรื่องนี้ดี ผมถึงได้เตือนแบบสุภาพชนว่า
มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ทำได้
มันก็แค่ผมบอกว่า มีพระอรหันต์เท่านั้นที่ทำได้ ผมบอกคุณหรือว่าผมทำได้
ความเห็นผมมันเป็นแค่ปริยัติ การจะได้พระอรหัต์ มันต้องปฏิบัติอีกกรุณาเข้าใจ
ในส่วนนี้ด้วยนะครับ

ในความเป็นจริงเป็นตัวคุณนั้นเองแหล่ะ ทั้งๆที่ผมบอกว่า
ตัณหาในวงปฏิจจฯมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ดับได้ คำพูดคุณเหมือนกับว่าคุณดับได้
ผมก็แย้งว่า อรหันต์จึงดับได้ ส่วนที่คุณดับได้มันเป็นการดับการปรุงแต่ง
ดับสังขารขันธ์ แล้วคุณฟังที่ไหนล่ะ ไปๆมาๆเอาขี้โคลนมาป้ายผม
แต่ไม่เป็นไรครับผมไม่ถือสาหาความครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2011, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกอย่างครับคุณอโศกะ ไม่รู้ว่าคุณจะโพสรูปให้มัน รกกระทู้ทำไม
มันเกี่ยวกับเรื่องที่เราคุยกันหรือเปล่าครับ แล้วบางที่สิ่งที่คุณเอามาโพส
ตัวหนังสือมันเล็กเสียจนอ่านไม่รู้เรื่อง มีความรับผิดชอบในตัวเองหน่อยซิครับ
คุณคิดว่า กำลังเล่น ไฮไฟว์หรือเฟคบุ๊คอยู่หรือ
กรุณามีสติอยู่กับธรรมหน่อยครับ



จำได้ว่าเคยบอกคุณไปทีหนึ่งแล้ว อาจจะมองไม่เห็น
เลยโพสตัวใหญ่ๆหวังว่าคราวนี้คงเห็น แค่ให้เห็น
จะทำตามไม่ทำตามมันเรื่องของคุณ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2011, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
มิลินทปัญหา ฉบับแปลในมหามกุฏราชวิทยาลัย หน้า ๔๖ ปัญญานิรุชฌนปัญหา ซึ่งเป็นการสนทนาระหว่างพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสน ความว่า

พระเจ้ามิลินท์ (ร.) พระผู้เป็นเจ้า ญาณเกิดข้ึนแล้วแก่ผู้ใด ปัญญาก็เกิดขึ้นแก่ผู้นั้นหรือ?

พระนาคเสน (ถ.) ขอถวายพระพร ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่ผู้ใด ปัญญาก็เกิดขึ้นแก่ผู้นั้น

ร. ญาณอันใด ปัญญาก็อันนั้นนั่นเองหรือ?

ถ. ขอถวายพระพร ญาณอันใด ปัญญาก็อันนัั้นนั่นแหละ

ร. ก็ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่ผู้ใด ปัญญาก็เกิดขึ้นแก่ผู้นั้น ผู้นั้นจะหลงหรือไม่หลง?

ถ. หลงในที่บางแห่ง ไม่หลงในที่บางแห่ง

ร. หลงในที่ไหน, ไม่หลงในที่ไหน?

ถ. หลงในสิปปะที่ตนยังไม่ได้เคยเรียน ในทิศที่ตนยังไม่เคยไป และในการตั้งชื่อ (คือภาษา) ที่ตนยังไม่ได้เคยฟัง

ร. เขาไม่หลงในที่ไหนเล่า

ถ. ก็สิ่งใด คือ อนิจจังก็ดี ทุกขังก็ดี อนัตตาก็ดี ที่ปัญญาได้ทำไว้ เขาไม่หลงในสิ่งนั้น

ร. ก็โมหะของผู้นั้นไปในที่ไหนเล่า?

ถ. เมื่อญาณเกิดขึ้นแล้ว โมหะก็ดับไปในที่นั้นเอง

ร. ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมาให้ข้าพเจ้าฟัง

ถ. เหมือนอย่างว่า บุรุษคนหนึ่งส่องแสงไปเข้าไปในเรือนที่มืด, แต่นั้นมืดก็หายไป แสงสว่างก็ปรากฏขึ้น เมื่อญาณเกิดขึ้นแล้ว โมหะ ก็ดับไปในที่นั่น ฉะนั้น

......

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2011, 04:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
(Asoka) คำอธิบายในท่อนนี้คุณโฮ..ก็น่าจะเข้าใจผิดด้วยนะครับ
สิ่งที่ติดมาข้ามพบข้ามชาติมิใช่ตัณหา แต่เป็นอุปาทานความเห็นผิดยึดผิดว่าเป็นอัตตา
ตัวกู ของกูตัณหานั้นเขาอาศัยเวทนาเป็นปัจจัยให้เกิด ไม่มีเวทนา ตัณหาก็ไม่เกิด

เอาคำครูบาอาจารย์มาใช้ มันต้องอธิบายด้วยว่าตัวเองคิดอย่างไรกับคำๆนั้น
ไม่งั้นมันจะเหมือนนกแก้วนกขุนทองนะครับ สมมุติสมาชิกบางคนไม่เคยศึกษา
คำว่า"ตัวกู ของกู" เขาจะรู้มั้ยครับว่า มันหมายถึงอะไร แล้วเห็นผิดยึดเป็นอัตตา
นี่ก็อีก อะไรผิดอะไรถูก เล่นพูดตามครูแบบด้วนๆ เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะว่า ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
มาเขาเห็นผิดเห็นถูก มันต้องให้ตัวเองเข้าใจหรือทำความเข้าใจกับ อริยสัจจสี่ เสียก่อน
ต้องรู้ว่า ทุกข์สัจจ์คืออะไร เหตุแห่งทุกข์ การทำให้พ้นทุกข์ทำอย่างไรและผลที่ได้คืออะไร

เขาไม่ได้เรียกว่าเห็นผิด ยึดผิดอะไรของคุณนั้น
เขาเรียกว่าความไม่รู้ เห็นผิดกับความไม่รู้มันเป็นคนละเรื่อง

รู้แล้วยึดก็คือ ความไม่รู้
รู้แล้วไม่ยึดก็คือ รู้

นี่แหล่ะน้าไล่ให้ไปศึกษา อริยสัจจ์สี่ให้ดีเสียก่อนก็ไม่ฟัง

คุณอโศกะครับ ผมจะอธิบายแต่เฉพาะเรื่องอริยสัจจ์ให้คุณฟัง จะขอเว้นเรื่องปฏิจฯไว้
เพราะพูดไปคุณก็ไม่เข้าใจ และมันอาจทำให้คุณสติแตกได้ ถ้าไม่เชื่อคุณลองไป
ตีความเรื่อง กฎอิทัปปัจจยตาในวงปฏิจสมุบาทดู
ที่คุณว่าดับโน้นดับนี้ในวงปฏิจฯได้โดยไม่ผิดกฎอิทัปปัจจยตา
ถ้าคิดได้แล้วค่อยมาคุยกันเรื่องนี้
asoka เขียน:
( แต่ความเห็นผิดเป็นกูเป็นเรานั้นเป็นตัวเหตุที่ติดมากับจิต
ตลอดเวลาทุกภพทุกชาติดังนั้นเมื่อไปเจอปัจจัยในชาติไหน ภพไหน ในคราบร่างของ
สัตว์ในอบายทั้ง 4 มนุษย์ เทวดา พรหม ก็ตามตัณหาก็จะเกิดได้ตลอด

เอาแล้วเรื่องเก่ายังไม่เคลียร์ พูดเพลินไม่มีดิสเบรค ไปเทวดา ไปพรหมแล้ว
เอาเรื่องของมนุษย์ให้รู้เรื่องก่อนเถอะครับ อย่าพึ่งไปกวนเทวดาเขาเลย :b13:

มนุษย์ปุถุชนทุกชาติทุกภาษา มันก็เป็นอย่างนี้มาวนเวียน
มันเป็นเพราะความไม่รู้ ไม่ใช่เห็นผิด ศาสนาพุทธจะเที่ยวไปบอกว่า
ความเห็นผิดไม่ได้เพราะศาสนาอื่นเขาก็ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเหมือนเรา
ศาสนาอื่นเขายังมีอัตตาเพราะเขาต้องการของเขาอย่างนั้น

ดังนั้นมันไม่ใช่ความผิดความถูก เพียงแต่ปุถุชนหรือคนในศาสนาอื่น
ยังไม่รู้เรื่อง อริยสัจจ์สี่ โดยเฉพาะเรื่อง ทุกข์คืออะไร
asoka เขียน:
ถอนเหตุนะครับ อย่าไปพยายามแก้ปัจจัยอยู่เลยมันจะเป็นงานที่ไม่รู้จบ
ถอน กู ถอนกูรู้ กูเก่ง กูเห็น กู..........ฯลฯ ออกจากใจให้ได้จึงจะใช่ทางที่ถูกต้องนะครับ

"ใช่ครับถอนเหตุ อย่าพยามแก้ปัจจัย"
มันก็เหมือนที่ผมบอกตั้งแต่ต้นว่า ไปศึกษา อริยสัจจ์สี่ให่เข้าใจเสียก่อน
"ถอน กู ถอนกูรู้ กูเก่ง กูเห็น กู..........ฯลฯ"
อันนี้ก็ใช่ครับ แต่ก็อย่าลืมทำตามไปด้วย อย่างแรกคือ
อย่าไปยึดสมมุติบัญญัติ เพียงเพื่อจะเอามาข่มคนอื่น
ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจความหมาย คิดตื้นๆเพียงว่า
เป็นคำของครูบาอาจารย์ ย่อมต้องสยบอีกฝ่ายไม่ให้เถียงไม่ให้โต้แย้ง

คุณอโศกะครับ ทั้งหมดที่ผมบอกคุณไปล้วนแล้วเป็นอัตตาทั้งนั้นครับ
และมันเป็นเรื่องอกุศลเสียด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2011, 05:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ท่อนนี้ก็เหมือนกัน มีคำถามง่ายๆ ว่า ในชีวิตของคุณโฮ..ไม่เคยมีเลยหรือว่า เวลาเกิดความอยากได้ในหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกัน ความอยากบางอย่างก็ต้องถูกปล่อยวางดับไปจากใจด้วยเหตุผลที่ว่าหยิบเอาคว้าเอาดั่งใจทันทีไม่ได้ เหมือนตอนนี้อยากได้นิพพาน เป็นพระอรหันต์ แต่การปฏิบัติและเหตุปัจจัยยังไม่พร้อมที่จะใหัถึง จึงต้องระงับความอยากอันนี้ไว้ ความอยากนี้ก็จะดับไปชั่วคราว มิใช่หรือ

หรือตอนนี้อยากกินหูฉลาม เป๋าฮื้อ แต่เมื่อดูเงินในกระเป๋ายังมีไม่พอเพราะจะต้องกันเงินไว้ซื้อของขวัญปีใหม่แจกครอบครัวมิตรสหาย ความอยากนี้เลยต้องระงับไว้ก่อน ความอยากนี้ดับไปด้วยเหตุผลใช่หรือไม่ครับ นี่คือวิธีดับอยากของคนธรรมดา

ไปได้เรื่อยๆนะครับแถมเรื่อยเปื้อยเสียด้วย เอาสั้นครับคุณอโศกะ
คุณเนี้ยมันไม่เข้าเข้าเรื่องสภาวะธรรมเอาเสียเลย ถ้าไม่เข้าใจสภาวะก็กรุณา
อย่ายกตัวอย่าง เพราะมันทำให้สมาธิผมกระเจิงด้วยความขบขัน :b13:

ในทางธรรมมันมีด้วยหรือระงับชั่วคราว ดับชั่วคราว ที่คุณยกตัวอย่างมา
มันไม่ใช่การดับ ยิ่งเรื่องระงับชั่วคราว ไปเอาเรื่องสมมุติทางโลกมาละเลงพระธรรม
ซะเละตุ้มเป๊ะ

ที่คุณพูดมาทั้งหมด มันล้วนเป็นความอยาก มันไม่ได้หนีไปไหนเลย
ในความอยากมันมีกิเลส3ตัว คือโทสะ โลภะและโมหะ

อยากได้ของหลายอย่าง แต่ต้องเลือกเอาอย่างหนึ่ง
มันล้วนเป็นกิเลสการปรุงแต่งของสังขารขันธ์
อยากได้ของหลายอย่าง มันเป็นโลภะ
แต่ต้องเลือกอย่างหนึ่ง จิตจะปรุงแต่งของที่อยากได้น้อยไปเป็นโทสะ
และเลือกในสิ่งที่อยากได้ที่สุดด้วยอารมณ์โลภะ ทุกอย่างมันเป็นตัณหา
หรือความอยากตัวเดียวกัน แต่มันสลับอารมณ์กิเลส ด้วยการปรุงแต่ง

มันไม่ใช่การดับแบบที่คุณบอก ความอยากก็คือความอยาก
ส่วนเรื่องหยิบคว้าไม่ได้ มันเป็นเรื่องการปรุงแต่ง มันมีต้นตอมาจาก
กิเลส คือโมหะ โทสะและโลภะ

ความหมายของคำว่าดับ ก็คือหายไปเลย ไม่ใช่การระงับไว้ชั่วคราว
การระงับไว้มันคือการกดข่มไว้ไม่ให้มันแสดงออกทางกาย มันยังซ่อนอยู่ใน
จิตใจ เข้าใจมั้ยครับคุณอโศกะ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2011, 16:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
(Asoka) คำอธิบายในท่อนนี้คุณโฮ..ก็น่าจะเข้าใจผิดด้วยนะครับ
สิ่งที่ติดมาข้ามพบข้ามชาติมิใช่ตัณหา แต่เป็นอุปาทานความเห็นผิดยึดผิดว่าเป็นอัตตา
ตัวกู ของกูตัณหานั้นเขาอาศัยเวทนาเป็นปัจจัยให้เกิด ไม่มีเวทนา ตัณหาก็ไม่เกิด

เอาคำครูบาอาจารย์มาใช้ มันต้องอธิบายด้วยว่าตัวเองคิดอย่างไรกับคำๆนั้น
ไม่งั้นมันจะเหมือนนกแก้วนกขุนทองนะครับ สมมุติสมาชิกบางคนไม่เคยศึกษา
คำว่า"ตัวกู ของกู" เขาจะรู้มั้ยครับว่า มันหมายถึงอะไร แล้วเห็นผิดยึดเป็นอัตตา
นี่ก็อีก อะไรผิดอะไรถูก เล่นพูดตามครูแบบด้วนๆ เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะว่า ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
มาเขาเห็นผิดเห็นถูก มันต้องให้ตัวเองเข้าใจหรือทำความเข้าใจกับ อริยสัจจสี่ เสียก่อน
ต้องรู้ว่า ทุกข์สัจจ์คืออะไร เหตุแห่งทุกข์ การทำให้พ้นทุกข์ทำอย่างไรและผลที่ได้คืออะไร

เขาไม่ได้เรียกว่าเห็นผิด ยึดผิดอะไรของคุณนั้น
เขาเรียกว่าความไม่รู้ เห็นผิดกับความไม่รู้มันเป็นคนละเรื่อง

รู้แล้วยึดก็คือ ความไม่รู้
รู้แล้วไม่ยึดก็คือ รู้

นี่แหล่ะน้าไล่ให้ไปศึกษา อริยสัจจ์สี่ให้ดีเสียก่อนก็ไม่ฟัง

คุณอโศกะครับ ผมจะอธิบายแต่เฉพาะเรื่องอริยสัจจ์ให้คุณฟัง จะขอเว้นเรื่องปฏิจฯไว้
เพราะพูดไปคุณก็ไม่เข้าใจ และมันอาจทำให้คุณสติแตกได้ ถ้าไม่เชื่อคุณลองไป
ตีความเรื่อง กฎอิทัปปัจจยตาในวงปฏิจสมุบาทดู
ที่คุณว่าดับโน้นดับนี้ในวงปฏิจฯได้โดยไม่ผิดกฎอิทัปปัจจยตา
ถ้าคิดได้แล้วค่อยมาคุยกันเรื่องนี้
asoka เขียน:
( แต่ความเห็นผิดเป็นกูเป็นเรานั้นเป็นตัวเหตุที่ติดมากับจิต
ตลอดเวลาทุกภพทุกชาติดังนั้นเมื่อไปเจอปัจจัยในชาติไหน ภพไหน ในคราบร่างของ
สัตว์ในอบายทั้ง 4 มนุษย์ เทวดา พรหม ก็ตามตัณหาก็จะเกิดได้ตลอด

เอาแล้วเรื่องเก่ายังไม่เคลียร์ พูดเพลินไม่มีดิสเบรค ไปเทวดา ไปพรหมแล้ว
เอาเรื่องของมนุษย์ให้รู้เรื่องก่อนเถอะครับ อย่าพึ่งไปกวนเทวดาเขาเลย :b13:

มนุษย์ปุถุชนทุกชาติทุกภาษา มันก็เป็นอย่างนี้มาวนเวียน
มันเป็นเพราะความไม่รู้ ไม่ใช่เห็นผิด ศาสนาพุทธจะเที่ยวไปบอกว่า
ความเห็นผิดไม่ได้เพราะศาสนาอื่นเขาก็ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเหมือนเรา
ศาสนาอื่นเขายังมีอัตตาเพราะเขาต้องการของเขาอย่างนั้น

ดังนั้นมันไม่ใช่ความผิดความถูก เพียงแต่ปุถุชนหรือคนในศาสนาอื่น
ยังไม่รู้เรื่อง อริยสัจจ์สี่ โดยเฉพาะเรื่อง ทุกข์คืออะไร
asoka เขียน:
ถอนเหตุนะครับ อย่าไปพยายามแก้ปัจจัยอยู่เลยมันจะเป็นงานที่ไม่รู้จบ
ถอน กู ถอนกูรู้ กูเก่ง กูเห็น กู..........ฯลฯ ออกจากใจให้ได้จึงจะใช่ทางที่ถูกต้องนะครับ

"ใช่ครับถอนเหตุ อย่าพยามแก้ปัจจัย"
มันก็เหมือนที่ผมบอกตั้งแต่ต้นว่า ไปศึกษา อริยสัจจ์สี่ให่เข้าใจเสียก่อน
"ถอน กู ถอนกูรู้ กูเก่ง กูเห็น กู..........ฯลฯ"
อันนี้ก็ใช่ครับ แต่ก็อย่าลืมทำตามไปด้วย อย่างแรกคือ
อย่าไปยึดสมมุติบัญญัติ เพียงเพื่อจะเอามาข่มคนอื่น
ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจความหมาย คิดตื้นๆเพียงว่า
เป็นคำของครูบาอาจารย์ ย่อมต้องสยบอีกฝ่ายไม่ให้เถียงไม่ให้โต้แย้ง

คุณอโศกะครับ ทั้งหมดที่ผมบอกคุณไปล้วนแล้วเป็นอัตตาทั้งนั้นครับ
และมันเป็นเรื่องอกุศลเสียด้วย

:b3:
ในที่สุดคุณโฮ...ก็มาสารภาพใน 2 บันทัดสุดท้ายนี่เองว่าที่คุณแสดงมาทั้งหมดล้วนเป็น อัตตาทั้งสิ้น
:b12: :b12: :b12: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร