วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 03:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 10:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าแปล น่าจะแปลว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย" เป็นคำที่พระพุทธเจ้าพูดก่อนที่จะสอนอริยสงฆ์ ในพระไตรปิฎก สิ่งทั้งหลายที่ท่านสอน ท่านสอนอริยสงฆ์ หรืออริยบุคคล คือผู้มีปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิ
อริยสงฆ์และอริยบุคคลท่านรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผลของการตรัสรู้ แต่ส่วนมาจะสอนผลของการตรัสรู้แต่ปุถุชนคนธรรมดาเอาไปอ่านเข้าใจว่าท่านสอนอย่างนี้ นำผลของการตรัสรู้ไปปฏิบัติทันที ทั้งที่ยังไม่มีปัญญา ปฏิบัติถูกบ้าง ผิดบ้าง ยกตัวอย่าง เอาไตรสิกขามาปฏิบัิติ คิดว่าเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา อันนี้ได้มาจาก อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา นี่คือไตรสิกขา คือข้อศึกษาสำหรับอริยสงฆ์เพื่อให้เกิดปัญญาเพิ่มขึ้น (เจริญปัญญา) นำไปสู่มรรคผลนิพพาน หรืออรหันต์
ส่วนอริยบุคคล ต้องปฏิบัติ 1.ทาน 2. ศีล 3.วิัปัสสนาภาวนา (เจริญปัญญา)

ปัญญา ศีล สมาธิ มาจากไหนก็คือมาจากการตรัสรู้เห็นความจริงของพระพุทธเจ้า เราต้องหาสาเหตุที่ท่านเห็นความจริงได้อย่างไร ท่านรู้สาเหตุแห่งทุกข์ และมีปัญญาในการดับทุกข์ได้อย่างไร นั้นก็คือวิปัสสนาพิจารณาว่าว่าสรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทั้งขันธ์ 5 และสิ่งที่มากระทบอินทรีย์ 6 แล้วท่านก็มีปัญญา และศีล สมาธิ ก็ตามมานี่คือ มรรคมีองค์ 8 ( อริยสัจ 4 สิ่งที่่ท่านเห็นความจริง ก็มาจากเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้วิธีดับทุกข์ มรรคก็ตามมา)

ปัญญา ศีล สมาธิ
เราต้องเจริญปัญญาก็คือ ต้องเจริญปัญญาที่เห็นความจริง (วิปััสสนาภาวนา) ในส่วนนี้
ที่เราเจริญสมาธิก็เจริญสมาธิในส่วนนี้ (สัมมาสมาธิ) เพื่อเจริญไปสู่ขั้นต่อไปหรือมรรคผลนิพพานได้
ศีลก็ต้องเจริญเหมือนกัน คือรักษาศีลบริสุทธิ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 10:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนที่จะเชื่อตามใคร
ไปศึกษา พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ให้ดี ๆ ก่อน

และอ่านอย่างมีความคิดเป็นอิสระจากทิฏฐิอันใดในกาลก่อน ๆ

เพราะ ย่างก้าวของพระพุทธองค์ ก็แสดงกลิ่นไอแห่งพระสูตรนี้ ชัดเจน
การที่พระพุทธองค์ ไปศึกษาธรรม กับดาบส หรือกระทำทุกรกิริยา
จะเห็นแง่ในด้านทิฏฐิต่าง ๆ ที่ปรากฎอยู่ ในแต่ละช่วงแห่งการบำเพ็ญ
และพระพุทธองค์ก็ชำระทิฏฐิเหล่านั้น ด้วยสมาธิ จึงเกิดปัญญา

:b8: :b8: :b8:

ธรรมไหลไปสู่ธรรม โดยไม่ต้องมีใครเจตนา๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "อวิป-
ปฏิสาร จงบังเกิดแก่เรา".ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีศีล
สมบูรณ์แล้ว อวิปปฏิสารย่อมเกิด(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อไม่มีวิปปฏิสาร ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "ปราโมทย์
จงบังเกิดแก่เรา".ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อไม่มีวิปปฏิสาร
ปราโมทย์ย่อมเกิด(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อปราโมทย์แล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "ปีติ
จงบังเกิดแก่เรา". ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อปราโมทย์แล้ว
ปีติย่อมเกิด(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อมีใจปีติแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "กายของเรา
จงรำงับ". ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีใจปีติแล้ว กายย่อม
รำงับ(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อกายรำงับแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "เราจง
เสวยสุขเถิด".ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อกายรำงับแล้ว ย่อมได้
เสวยสุข(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อมีสุข ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "จิตของเราจงตั้งมั่น
เป็นสมาธิ".ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่นเป็น
สมาธิ(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า
"เราจงรู้จงเห็นตามที่เป็นจริง". ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อจิต
ตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ ย่อมเห็นตามที่เป็นจริง(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ตามที่เป็นจริง ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า
"เราจงเบื่อหน่าย" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ตามที่
เป็นจริง ย่อมเบื่อหน่าย(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "เราจง
คลายกำหนัด". ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว ย่อม
คลายกำหนัด(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อจิตคลายกำหนัดแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า
"เราจงทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ". ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า
เมื่อคลายกำหนัดแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ(เอง).

:b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20: :b20: :b20:

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 19:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ถ้าแปล น่าจะแปลว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย" เป็นคำที่พระพุทธเจ้าพูดก่อนที่จะสอนอริยสงฆ์ ในพระไตรปิฎก สิ่งทั้งหลายที่ท่านสอน ท่านสอนอริยสงฆ์ หรืออริยบุคคล คือผู้มีปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิ


แสดงว่า..ไม่ใช่ธรรมที่เราๆ ปุถุชน..ควรฟัง...รึเปล่า?

ภิกษุ...ต้องเป็นคนโกนหัวแล้ว..อย่างเดียวรึ?
:b7: :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 22:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ถ้าแปล น่าจะแปลว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย" เป็นคำที่พระพุทธเจ้าพูดก่อนที่จะสอนอริยสงฆ์ ในพระไตรปิฎก สิ่งทั้งหลายที่ท่านสอน ท่านสอนอริยสงฆ์ หรืออริยบุคคล คือผู้มีปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิ


แสดงว่า..ไม่ใช่ธรรมที่เราๆ ปุถุชน..ควรฟัง...รึเปล่า?

ภิกษุ...ต้องเป็นคนโกนหัวแล้ว..อย่างเดียวรึ?
:b7: :b7:


นำสิ่งที่ท่านสอนมาปฏิบัติเลยไม่ได้ เรารู้ผลของการที่ท่านตรัสรู้แล้ว "ปัญญา ศีล สมาธิ" คือมรรคผล
เราต้องหาเหตุว่าท่านตรัสรู้เห็นความจริงได้ยังไง หาเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง หาวิธีการดับเหตุแห่งทุกข์
ต้องค่อยอ่านอย่างเข้าใจ อ่านหลายๆ รอบ แล้วลองนำมาปฏิบัติดูเพื่อพิสูจน์ความจริงอีกครั้งหนึ่ง
ไม่ใช่นำผลมาปฏิบัติเลย เช่น ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ นี่คือผลของความพอใจ ไม่พอใจ หรือความโลภ ความโกรธ ไปทำสมาธิ สมาธิคือผลของศีล ศีลเป็นผลมาจากปัญญา เราต้องไปหาเหตุของปัญญาที่พระพุทธองค์มีแล้วนำปัญญานั้นมาดับเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง

ตอนนี้เรากำลังเรียนหลักสูตรของอริย....มาปฏิบัติ เช่นไตรสึกขา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา นี่คือข้อศึกษาสำหรับอริยสงฆ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 22:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วมันควรเรียน..หรือ..ไม่ควรเรียนละ??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2011, 10:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แล้วมันควรเรียน..หรือ..ไม่ควรเรียนละ??


ควรเรียน เรียนขั้นต้นก่อน ก่อนเรียนต้อง ให้ทาน รักษาศีล
1.ให้ทานเื่พื่อลดการเห็นแก่ตัว
2.รักษาศีล ลดการเบียดเบียนผู้อื่น และตนเอง
3. วิปัสสนาภาวนา (เริ่มเรียน หรือปฏิบัติ) เกิดปัญญา ศีล สมาธิ (มรรคมีองค์ 8 เกิดขึ้นครบถ้วน) นี่คือ ผลจากการเห็นสภาพตามความจริงของธรรมชาติเกิดสัมมาทิฏฐิ (ปัญญา) มีศีลเกิดขึ้นตามมา สมาธิจึงเกิดกับตัวเรา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron