วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 21:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 06:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ส.ค. 2010, 23:44
โพสต์: 15

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คือ หนูอยากจะขอคำปรึกษาค่ะกับเพื่อนๆพี่ๆกัลยาณมิตรที่นี่ค่ะ เมื่อคราวก่อนหนูพยายามเอาคำของพี่ๆที่นี่นำไปใช้ อะไรๆก็เหมือนจะดีขึ้นค่ะ แต่มันก็ไม่จบสิ้น

ที่หนูเคยบอกว่าไม่ว่าแม่จะรักเราหรือไม่ขอให้เรารักเขา เขาเป็นผู้มีพระคุณกับเรา แต่ถ้าเขาไม่รักเราเลยล่ะคะ ทุกวันนี้หนูจะพยายามเข้าไปคุยกับแม่ แต่ท่านก็ไม่สนใจ นั่งโทรศัพท์หาพี่ๆของหนูทั้งวัน(พี่ทั้งสองคนเรียนอยู่ต่างประเทศค่ะ) ทั้งที่มีลูกอีกหนึ่งคนนั่งตัวเป็นอยู่ข้างๆท่าน มีคนเคยบอกว่าทำให้เขารู้สิว่าเรารักเขา แล้วเขาจะรักเราตอบ มันจะเป็นไปได้กับกรณีนี้หรอคะ เวลาพี่ๆกลับบมาจากต่างประเทศ แม่เขาจะมีความสุขมากค่ะ ยิ้มแย้มตลอดเวลา แต่พอเหลือแค่หนูกับท่าน ไม่รู้ทำไมท่านถึงได้หงุดหงิดอารมณ์เสียตลอดเวลา กระแทกโต๊ะเก้าอี้จานชามเสียงดัง ถอนหายใจเป็นว่าเล่นเลย หนูได้ยินที่ไรน้ำตามันเอ่อล้นมาทุกที ทนไม่ได้จริงๆ

ที่สำคัญคุณพ่อของหนูชอบออกไปนอกบ้าน ท่านชอบดื่มสุรา ยิ่งคืนไหนที่พ่อออกไปกลับดึกดื่น แม่ก็จะอารมณ์ไม่ดี มาด่าพ่อให้หนูฟัง พอบอกว่าอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เค้าก็หาว่าเข้าข้างพ่อตลอดเลยนะ แล้วก็บอกว่าบอกให้พ่อไปตายๆซะ หนูทราบว่ามันออกมาจากอารมณ์ แต่พอฟังทีไรแล้วมันอยากจะร้องไห้ พอไม่พูดก็หาว่าไม่พอใจ ด่าพ่อไม่ได้เลยใช่ไหม หนูเลยให้แม่อยู่คนเดียวคิดว่าคงทำให้ใจเย็นลง ต่อพอมาอีกทีเห็นแม่ดีใจเราก็ดีขึ้น...แต่เป็นเพราะท่านกำลังคุยกับพี่ๆอยู่ หนูจะกลายเป็นลูกที่แย่รึเปล่าคะที่มาว่าท่านแบบนี้ แต่หนูไม่มีเจตนาอยากจะตำหนิท่านเลย อย่างน้อยท่านก็ทำหน้าที่หุงหาอาหารให้ตามหน้าที่แม่ที่ดี หนูแค่อยากจะขอคำปรึกษาว่าควรจะทำยังไงให้มีความสุขกับการอยู่โดนปราศจากความรักจากครอบครัว ทำยัังไงเมื่อเราไม่ได้เป็นคนที่ถูกรักถูกเลือกสักครั้งในชีวิต (ครอบครัวของหนูเป็นครอบคัวคนจีนค่ะ ก็เหมือนในหนังเลยค่ะที่อากงอาม่าพ่อแม่จะรักลูกหลานคนพิเศษ ซึ่งหนูก็ไม่ได้เป็นในนั้น และการที่เป็นแบบนี้ทำให้หนูใช้ชีวิตอย่างลำบาก แทบไม่อยากออกไปไหน ไม่มีความมั่นใจจะคบใคร กลายเป็นคนคิดมาก) จนบางครั้งด้านมืดก็ครอบงำจิตใจจนเกิดความริษยาขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ จากรักก็เปลี่ยนเป็นน้อยใจและก็เปลี่ยนเป็นอะไรที่แย่ลง ทำให้เราละอายใจที่มีความรู้สึกแบบนี้ต่อกลุ่มคนที่เขาบอกกันว่ารักเรามากที่สุด หรือว่าคนเหล่านั้นที่พูดได้ก็เพราะว่าเขาไม่เคยมาเจอสถานการณ์แบบนี้ที่เราเจออยู่ เขาไม่เคยรับรู้ถึงรสชาติของความทุกข์ประเภทนี้ เขาถึงพูดว่าครอบครัวและที่บ้านเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็ได้แต่ยินดีกับพวกเขาทั้งหลายที่มีครอบครัวดีๆ...

และหนูควรจะทำอย่างไรที่จะอยู่อย่างมีความสุขและตัดความอิจฉาริษยาที่สะสมมามากมายเหลือเกินที่เห็นคนถูกรัก หนูไม่อยากกลายเป็นคนมีปมด้อยหรือ มีปัญหาสร้างภาระให้ใครเลย เคยเรียกร้องความสนใจเขาด้วยความดีแต่เขาไม่สนคงจะต้องเรียกด้วยความชั่วหรืออย่างไร? ทรมานมากจากความอิจฉาบังคับไม่ให้อิจฉาได้ยังไงก็ในเมื่อเห็นๆอยู่ ทำเป็นไม่สนใจก็หลอกตัวเองเปล่าๆ รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสนใจและอยากได้ความรักบ้าง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


น่าเห็นใจครับ ที่ต้องทนอยู่กับอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนาซึ่งทำให้จิตใจขุ่นมัวเศร้าหมองอยู่ทุกวัน จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ จำทนเก็บกดไว้จนผลเสียต่อสุขภาพจิตของตนเองโดยตรง

จขกท.อ่านบทความนี้ดู อาจเห็นทางออกให้จิตใจตนเองก็ได้ ดูครับ



คือ ผมมีลูกพี่ลูกน้องอยู่คนนึงอายุน้อยกว่าผม เขาเป็นลูกของลุง ชื่อ เบิร์ต ลุงของผม ท่านเป็นดอกเตอร์จบปริญญาเอก มีตำแหน่งเป็น รศ. ท่านค่อนข้างดุ หน้าบูดบึ้งทั้งวัน

ส่วนคุณป้าท่านเป็นข้าราชการระดับสูงกระทรวงแห่งหนึ่ง นิสัยจะติดดูถูกคนอื่นเล็กน้อย

ผมกับเบิร์ตเติบโตมาด้วยกันครับ แต่ตอนหลังลุงไปซื้อบ้านที่อื่นก็เลยนานๆ ได้เจอกันสักที

ลุงกับป้าผมท่านเลี้ยงเบิร์ตมาด้วยความเข้มงวดอย่างยิ่ง เพราะเป็นลูกชายคนเดียว อย่างที่ผมเห็น พอยกตัวอย่างได้ดังนี้นะครับ

-เบิร์ตจะโดนลุงผมตี ถ้าสอบได้ที่ต่ำกว่าที่ 3 และมักจะโทษว่าได้เชื้อโง่มาจากป้า

-ลุงกับป้าห้ามเบิร์ตเล่นวีดีเกม เกมส์เพลย์ เกมส์บอย ทุกอย่าง อ้างว่าเป็นของไร้สาระ ห้ามกินขนมกรุบกรอบ บอกว่า เป็นขนมขยะ พร้อมกับเอาไปทิ้งถัง

-วันไหนผมกับเบิร์ตไปเล่นซนตามประสาเด็ก ถ้ากลับค่ำ จะถูกลุงคนนี้คอยตี ด้วยเข็มขัด หางกระเบน ไม่ก็ตบบ้องหูเบิร์ต และถ้ามีผู้ใหญ่คนไหนในบ้านห้ามปราม จะเหมือนยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ลุงผมตีเบิร์ตอย่างบ้าคลั่งเลยครับ อ้างว่า พ่อกับลูกคนอื่นอย่ายุ่ง บางครั้งผมก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย

-มีครั้งนึงนาฬิกาของลุงหาย ลุงโทษว่า เบิร์ตขโมยไป ก็เอาไม้มะยมตีเบิร์ตจนตัวลาย สุดท้ายกลายเป็นลุงเอาไปวางลืมในกระเป๋าเสื้อ แต่ลุงผมแกก็ไม่ได้มาขอโทษอะไรเจ้าเบิร์ต

-ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ได้ข่าวว่าป้าผมก็เคยโทรไปด่าผู้หญิงคนนึงซึ่งเป็นแฟนเบิร์ตว่าอย่ามายุ่งกับลูกชายเขา

เชื่อไหมครับ ทุกวันนี้น้องชายผมกลายเป็นคนเหม่อลอย และย้ำคิดย้ำทำ กลัวผิดพลาดไปหมดทุกอย่าง เช่นล้างมือหรือยัง ปิดแก๊ซหรือยัง บางครั้งเขาเคยขับรถไปกับผม เขาจอดรถข้างทางเพื่อจะดูว่า เมื่อกี้เด็กปั๊มปิดฝาน้ำมันให้หรือยังถึง 2-3 ครั้ง ! และเขากลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย บางครั้งผมพูดดีๆ แต่ผมหลุดพูดไม่ถูกใจเขานิดเดียว เขาจะอาละวาดใส่ผมเป็นชุด หาว่าพี่ไม่เข้าใจเขามั้ง และเขาก็มีเรื่องทะเลาะกับเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยหลายคน (ที่รู้มา คือ เขามีโลกส่วนตัวสูงครับ ) บางครั้งผมก็ยอมรับว่า กลัว ๆ เบิร์ตจะทำร้ายผมเหมือนกันแฮะ

ผมเคยพาเบิร์ตไปหาอาจารย์หมอ ท่านได้บอกว่า เบิร์ตเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ กลัวความผิดพลาด และโรควิตกกังวล อาจารย์หมอผมได้ให้ยาเบิร์ตมาทาน เขาก็อาการทรง ๆ ครับ

ผมเลยลองวิธีผมดู พาเขาไปไหว้พระ ผมพาเบิร์ตไปสำนักปฏิบัติธรรมหลายที่ เช่น วัดป่าสายพระอาจารย์ชา เช่น พระอาจารย์อนันต์ พระอาจารย์ประสบไชย ฯลฯ ทุกท่านก็ได้เมตตาเบิร์ต โดยให้ฝึกละตัวตน คลายความยึดติดต่าง ๆ มีสติทุกลมหายใจจนน้องชายผมดีขึ้นมาก อารมณ์โมโหร้ายลดลง อาการย้ำคิดย้ำทำดีขึ้นจนเป็นปกติ ผมเลยเชื่ออย่างสนิทใจเลยครับว่า ธรรมะของพระพุทธองค์ท่านเป็นโอสถทิพย์ที่คลายทุกข์โศกโรคภัยได้จริง สาธุ สาธุ สาธุ

ทุกวันนี้ หลังจากผมพาเบิร์ตไปปฏิบัติธรรม เบิร์ตให้อภัยไม่โกรธแค้นกับสิ่งที่พ่อกับแม่เขาทำกับเขามาในวัยเด็ก จนกลายเป็นเด็กมีปัญหา ผมก็คอยให้สติเขาครับว่า อโหสิกรรมให้ท่านไป อย่าไปผูกโกรธผูกเวรท่าน มิฉะนั้นน้องจะต้องเกิดมาเจอกับเขาอีก
เขาก็บอกว่า ไม่ได้โกรธอะไร แต่ชาติหน้า เขาอธิษฐานต่อหน้าองค์พระแล้วว่า ไม่ขอเกิดกับพ่อแม่เขาอีก

ก็ยังโชคดีของผมครับที่บ้านผมไม่ได้เข้มงวดกับผมเหมือนอย่างที่เบิร์ตโดน แต่อีกมุมนึง เบิร์ตเขาก็เป็นคนที่น่าสงสารมากครับ จริง ๆ แล้ว เขาเป็นคนจิตใจดี สมัยเด็ก ๆ เขาเก็บเงินค่าขนมเขาทุกวัน แล้ววันเสาร์เขาจะไปตลาด เพื่อซื้อปลาดุกปลาช่อนที่แม่ค้าจะฆ่าเอาไปปล่อย ผมว่า ทุกวันนี้น้องชายผมต้องเป็นแบบนี้เพราะลุงกับป้าของผมแท้ ๆ กรรมของเขาจริง ๆ เฮ้อ ไอ้เราเป็นพี่ก็ได้แต่ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือน้องบ่าว

ทุกวันนี้ก็เป็นเวรกรรมครับ ลุงผมแกเป็นโรคนู้นโรคนี้ เคยความดันโลหิตสูงจนเวียนศีรษะบ้านหมุน ยืนไม่อยู่ ต้องลาออกจากอาจารย์ประจำ ปัจจุบันแกเป็นอาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยครับ

ส่วนเบิร์ตก็ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่เขาแล้วครับ เขาออกมาอยู่คอนโดเอง

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=1356.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จขกท. อ่านแล้วได้แง่คิดยังไงเล่าให้ฟังมั่งก็ดีครับ :b11:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
แต่ถ้าเขาไม่รักเราเลยล่ะคะ ทุกวันนี้หนูจะพยายามเข้าไปคุยกับแม่ แต่ท่านก็ไม่สนใจ นั่งโทรศัพท์หาพี่ๆของหนูทั้งวัน(พี่ทั้งสองคนเรียนอยู่ต่างประเทศค่ะ) ทั้งที่มีลูกอีกหนึ่งคนนั่งตัวเป็นอยู่ข้างๆท่าน มีคนเคยบอกว่าทำให้เขารู้สิว่าเรารักเขา แล้วเขาจะรักเราตอบ มันจะเป็นไปได้กับกรณีนี้หรอคะ

ถ้าหนูไม่มีความสุขได้ตามสถานการณ์อย่างนี้ ก็ปล่อยนะ ให้หนูเปิดใจ มองเห็นทุกข์แทน
แต่ไม่ต้องไปเป็นทุกข์ก็ได้นะ หลวงพี่คิดว่า หนูควรดีใจชื่นชมตัวเองก่อนเป็น
อันดับแรก เพราะคนอื่นทุกข์ด้วยเรื่องของความรักในวัยเรียน เอาเรื่องนั้นมาเป็น
ปัญหาใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด แต่เรากลับมาทุกข์เพราะอยากให้พ่อแม่เข้าใจกันหรือ
ให้แม่มีความสุขหรือรักเรา นี้ก็ยังดีกว่าได้รับความทุกข์ เพราะไม่เชื่อฟังพ่อแม่
ไม่ตั้งใจเรียน หรือไปมีคนควงแขวน ไม่มีคนคอยกด like อะไรอย่างนี้ ฯลฯ

อ้างคำพูด:
แต่พอเหลือแค่หนูกับท่าน ไม่รู้ทำไมท่านถึงได้หงุดหงิดอารมณ์เสียตลอดเวลา กระแทกโต๊ะเก้าอี้จานชามเสียงดัง ถอนหายใจเป็นว่าเล่นเลย หนูได้ยินที่ไรน้ำตามันเอ่อล้นมาทุกที ทนไม่ได้จริงๆ

ก็คนที่แม่รักแม่ตั้งความหวังวาดฝันไว้ในอนาคต ไม่อยู่ใกล้ๆ นะสิ
ความน้อยใจความเสียใจ วันนี้เป็นศัตรูที่แสนร้ายนะ แต่วันข้างหน้าวัน
ที่เรามีสติ จะกลายเป็นมิตรที่แสนดีทีเดียว เรื่องนี้มีความสุขยาก จบไม่สวย
เพราะน้องๆ หนูๆ ทีี่เจออย่างนี้ ไปจบลงเลวร้าย จบลงที่การประชดความ
เสียใจน้อยเนื้อต่ำใจ ในทางที่ไม่ดี นี้แหละ ถ้าเราอ่อนแอ เขาจะเป็นศัตรู
ที่แสนร้ายกาจ ให้เราเกลียดแม่ เกลียดพี่ เกลียดตัวเอง เกลียดๆๆ

แต่ถ้าเราเข้มแข็ง มีสติ ยอมรับความจริงได้ หัวใจเราแข็งแกร่ง ไม่ยอม
ให้คุณค่าตัวเราเองลดลง เพียงเพราะคุณแม่ไม่ให้ความรักความสนใจ
เรียกว่าถือเป็นเรื่องโชคดีที่สุด มากๆ แล้วที่คุณพ่อคุณแม่ให้เรามองเห็น
ให้เราได้ยินเสียง (ถึงบางทีจะโวยวาย เหมือนสาวน้อยเอาแต่ใจ ให้หนู
กลายเป็นพี่สาวคอยดูแล[ห่างๆ ก็ได้] จนกว่าพี่ๆ ทั้งสองจะมา^^) ให้ทุกๆ
สิ่งทุกอย่างเรียกว่าให้โลกแก่เราเลยก็ว่าได้

บางทีที่เก้าอี้จานชามมันเสียงดังขึ้นมา หนูอาจต้องแบ่งเวลามาสนใจกับ
พวกจานชามแทน ในบ้านอะไรมันรกไม่สะอาด หนูก็รีบจัดการแบ่งเบาภาระ
ให้คุณแม่ แต่ไม่ได้ทำเพื่อให้แม่รักหรอกนะ ทำแทนพี่ๆ ที่ไม่อยู่กันช่วยแบ่ง
เบาภาระหน้าที่ต่างๆ ลงก็เท่านั้น เผลอน้อยใจเผลออิจฉา เอาเลยกวาดเลย
ถูเลยขัดสิ่งสกปรกให้มันสะอาดเลยนะ ^^

อ้างคำพูด:
และหนูควรจะทำอย่างไรที่จะอยู่อย่างมีความสุขและตัดความอิจฉาริษยาที่สะสมมามากมายเหลือเกินที่เห็นคนถูกรัก หนูไม่อยากกลายเป็นคนมีปมด้อยหรือ มีปัญหาสร้างภาระให้ใครเลย เคยเรียกร้องความสนใจเขาด้วยความดีแต่เขาไม่สนคงจะต้องเรียกด้วยความชั่วหรืออย่างไร? ทรมานมากจากความอิจฉาบังคับไม่ให้อิจฉาได้ยังไงก็ในเมื่อเห็นๆอยู่ ทำเป็นไม่สนใจก็หลอกตัวเองเปล่าๆ รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสนใจและอยากได้ความรักบ้าง...

เก่งมากครับรู้ปัญหาตัวเองด้วย เราจะมีคุณค่ามีความสำคัญขึ้นมาก็เฉพาะตอน
เป็นสาวจะแต่งงานแต่งการนั่นแหละ ดูเหมือนจะมีคุณค่าขึ้นมา แต่ก็แป๊บเดียว
เท่านั้นในระบบ...นี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เราต้องแพลนชีวิตตนเองให้ดีๆ
คิดนอกกรอบแต่อยู่ในระบบ แบบผสมผสานได้ วันนี้ยังต้องพึ่งพาพ่อแม่ ก็ต้อง
เอาเวลามาสนใจเรื่องเรียน เวทเฉลี่ยน้ำหนัก สิ่งที่ให้ประโยชน์ให้โอกาสกับเรา
โดยตรง ถ้าหนูไปให้ค่าให้น้ำหนักกับสิ่งที่ไม่ได้ก่อประโยชน์ให้ใครเลย เพียงเพราะ
เราไม่ใช่ลูกชายของระบบนี้ หนูต้องผ่านความเข้าใจผิด อคติเพราะรักเพราะเกลียด
อีกเยอะเลย จนความคิดอ่านหนูสุกงอมดีพร้อมแล้ว หนูก็จะวางเรื่องนี้ผ่านพ้นไปได้
แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่หนูต้องได้รับรู้ ได้พัฒนาทั้งถูกทั้งผิด เหมือนที่

ตนเองสงสัยจะประพฤติชั่วไปเลยดีไหม ข้างต้นก็บอกแล้ว เป็นจุดจบเป็นปมด้อย
ตามที่หนูว่านั่นเอง เอาเป็นว่า การเรียนการศึกษาของหนูจะไม่ใช่แค่ปริญญาที่เอา
ไปหางานทำได้เท่านั้น แต่จะนำหนูออกไปจาก การต้องตกเป็นเบี้ยล่างทางวัฒนธรรม
ไปอยู่ในครอบครัว ระบบเดิมในวันออกเรือนเบื่องหน้าดูดีมีหน้าตา เบื้องหลังมีคุณค่า
คล้ายๆ สมศรีดีๆ นี้เอง จะว่าละครก็ละครจริงๆ ระบบนี้

เอาคิดดูที่นี้หนูจะ มาจุกจิกแค่เรื่อง พลอยยินดีร่วมยินดีกับเฮียๆแจ้ๆ ไม่ได้ เวลา
ที่แม่ชื่นอกชื่นใจ หรือจะกำหนดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือสิ้นทุกข์หมดโศกใดๆ เลยในชีวิต
อันไหนน่าลงทุน ทุ่มทุนสู้เสี่ยงแล้วคุ้มกว่า คิดเอา

แล้วจะสิ้นทุกข์หมดโศกได้ไง ก็ดูอย่างวิธีคิด ถ้าหนูไปให้ค่ากับเรื่องที่ไม่ใช่
เรื่องสำคัญจริงๆ หนูจะสลัดมันหลุดไหม แต่พอสลัดหลุดแล้วเรื่องที่จะประคับ
ประครองชีวิตของแต่ละคนให้มี ความสุขได้ นั่นก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลนี่จะทำให้เรา ไม่เอามือหรืออาวุธที่สุดแม้แต่หมอนมาชกๆ ตีๆ เพราะโกรธ
เพราะน้อยใจ ไม่ลักขโมยอยากได้อะไรที่ไม่ใช่ของๆ เรา ไม่โกหกแล้วสร้าง
ความเดือดร้อนให้ตนเองคนอื่น ฯลฯ

รวมความแล้วศีลจะทำให้เรารู้จักสำรวมการกระทำ คำพูดของเราให้สงบเสงี่ยม
เรียบร้อย วันไหนเปิดหัวใจไปเจอหนุ่มที่ไม่ได้อยู่ในระบบเข้า แล้วถ้าความคิด
อ่านทั้งคู่ไม่ดีพอ ที่นี้หนูจะกบฏต่อธรรมเนียม แล้วสิ่งที่หนูเคยแพ้เคยอ่อนแอ
ก็จะยิ่งตอกย้ำ ทำให้ปัญหาเรื่องเล็กๆ เรื่องนี้ไปเกี่ยวโยงมั่วกันไปหมด เลยได้
แต่โทษคนนู้นคนนี้ ยิ่งถ้าต้องอกหักพลัดพรากสูญเสียคนรัก สูญเสียความรู้สึก
อีกโอ้โห นี้เพราะศีลเรื่องการ มีเพื่อนมีคนรัก ต้องระมัดระวังและรัดกุมมากๆ
เพื่อจะไม่ให้ปมด้อยมันเติมเต็ม ในด้านลบจนเต็ม ^^

ทีี่หลวงพี่จะบอกคือ เรียนเก่งๆ เรียนสูงๆ ยิ่งมีศีล มีสติมีสมาธิและปัญญาด้วย
หนูจะผ่านเรื่องต่างๆ ไปได้ไม่ยากเย็นด้วยคุณของศีลสมาธิปัญญานี้แหละ เช่น
อันนี้ไม่ใช่ปัญหาหนูละ แต่เล่าคราวๆ อาจจะเกิดไม่เกิดก็ได้ พอพี่ชายเกิดรักเกิด
ชอบใครแต่แม่ไม่ถูกใจ ทำแม่เสียใจ ทั้งแม่ทั้งพี่ไม่มีปัญญา หมายถึงทัศนคติที่ดีพอ
ในการรวมกันแก้ไขปัญหาแบบนี้ ก็กลายเป็นทุกข์ร้อนของทั้งสองฝ่าย ฯลฯ

แปลว่าที่สุด กลับมาเรื่องของหนู เมื่อหนูจัดความสำคัญและเป้าหมายของหนู
ได้แล้ว ก็ลุยไปข้างหน้า หาความรู้พร้อมอบรมศีล สมาธิ ปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
หนูก็จะไม่ต้องมา แวะสะดุดเสี้ยนตำใจเล็กๆ แค่ดึงออกเอามือลูบๆ เดี๋ยวก็หาย
มีอะไรสำคัญกว่าใหญ่กว่ามากๆ ในชีวิตเรา ให้จัดลำดับความสำคัญ สนใจในทุก
เรื่องนั้นดีอยู่ แต่ไม่ต้องใส่ใจไปเสียทุกเรื่องนะ อะเอาใจช่วย เริ่มใหม่ๆ เจริญพร


รูปภาพ






Credit image by:
http://glitter.kapook.com

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ส.ค. 2010, 23:44
โพสต์: 15

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกรัชกาย

ขอบคุณนะคะที่นำเรื่องของคุณเบิร์ต มาเล่าให้ฟัง จนทำให้คิดได้เลยล่ะคะ ว่าบางทีคนที่ชื่อเหมือนกัน แต่เหตุการณ์ที่คุณเบิร์ต กับ เบิร์ด พี่ชายของหนูเจอ มันช่างต่างกันลิบลับเลย เขาเป็นคนที่เติบโตมาด้วยความรัก ความอบอุ่นจากครอบครัว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีเงินทองมากมายแต่เขาก็ไม่เคยทุกข์ร้อน และบอกกับหนูว่าเขามีพ่อแม่ที่รักเขาและที่เขารักที่สุด แค่นี้ก็พอแล้ว

อย่างน้อยคุณเบิร์ตก็โชคดีที่มีพี่อย่างคุณคอยเป็นห่วงอยู่ตลอด คอยช่วยเหลือ ต่างจากเราที่ไม่รู้จะเอาหน้าไปปรึกษาใครเพราะไม่มีใครเขาสนใจอยากจะฟังหรอกค่ะ ยังไงก็ขอขอบคุณมากนะคะที่มาแบ่งปันประสบการณ์ ทำให้อยากจะมีกำลังใจสู้ต่อไป

ขอบคุณนะคะ :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ส.ค. 2010, 23:44
โพสต์: 15

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบนมัสการหลวงพี่ค่ะ


ขอบพระคุณหลวงพี่มากค่ะที่แนะนำหนู แต่เรื่องที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ที่เขามัวแต่สนใจเรื่องความรักหนุ่มสาวกันคงป็นเพราะพวกเขาคงได้รักความรักจากบิดามารดาไปแล้วล่ะคะ อย่างนักเรียนในรุ่นหนูส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ แต่หนูแม้แต่ความรักในครอบครัวยังไม่ได้รับ คงไม่กล้าไปหวังความรักแบบนั้นหรอกค่ะ

หนูจะพยายามให้มากขึ้นค่ะจะไม่ยอมให้ความริษยามาทำร้ายจิตใจไปให้มากกว่านี้ หนูจะพยายามรักษาศีล สวดมนต์และทำความดีค่ะ ยิ่งคิดมากไปก็ไม่ได้อะไร อย่าง ไมน้อยก็จะทำเพื่อตัวหนูเอง

หนูมีอีกเรื่องที่จะเรียนปรึกษาค่ะ คือเป็นเพราะหนูเป็นคนอย่างนี้รึเปล่า หรือเป็นกรรมอะไรของหนูรึเปล่าคะ ที่เกิดมาชีวิตจะขึ้นหลักสองแล้วคะ แต่ไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว ฟังแล้วดูน่าเวทนามั้ยคะ เกิดเป็นคนภาษาอะไรไม่มีเพื่อน คือหนูย้ายโรงเรียนบ่อยด้วยนะคะ ที่ย้ายก็เพราะมีปัญหาเข้ากับเพื่อนไม่ได้ทั้งนั้น สุดท้ายก็ต้องมาเรียนเป็นภาคอินเตอร์ ซึ่งมีแต่ลูกไฮโซ คนมีเงิน ซึ่งนิสัยหนูเข้ากับอะไรแบบนี้ไม่ได้เลย แล้วพวกเขาก็คนไม่คบคนอย่างหนู ชีวิตไม่ค่อยมีประสบการณ์เฮฮาปาร์ตี้อย่างนักเรียน ม.ปลายทั่วไป ที่ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ หรือแม้กระทั่งช่วยกันติวการบ้านก็ไม่มีค่ะ หนูควรจะทำยังไงดีคะ สรุปแล้วชีวิตที่โรงเรียนและที่บ้าน ตลอดยี่สิบสี่ชัั่วโมงก็มีแค่หนูและตัวหนู มีคนเคยบอกหนูว่าเพื่อนน้อยก็ทุกข์น้อย แต่ถ้าไม่มีเลยล่ะคะ แล้วแถมเขายังมองหนูแบบไม่ดี เหมือนว่าอยู่ใต้เขา ทั้งที่ก็เป็นคนเหมือนๆกัน ไม่คบก็ไม่คบอยู่แล้วคะ แต่อีกสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยก็จเป็นแบบนี้ต่อไป ทำไมหนูถึงไม่มีชีวิตที่ปกติอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ต้องเป็นชีวิตที่เลิศหรู เปี่ยมสุข ขอแค่ชีวิตเรียบง่าย ธรรมดาๆ ไม่ใช่ที่บ้านหรือที่ไหนก็เป็นที่เกลียดชังของทุกคนแบบนี้คะ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 22:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ส.ค. 2010, 23:44
โพสต์: 15

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยนะคะ เผื่อว่าคำพูดที่หนูใช้มันจะดูก้าวร้าว หรือ ดูงี่เง่า ที่เหมือนว่าทำไมไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พีซลองมาหมดทุกอย่างแล้วคะ ทั้งรักตัวเอง รักเขาก่อนให้ความรักเขาก่อน แต่กลุ่มคนเหล่านั้นไม่เคยเห็นมันเลย หาว่าอยากจะมาเข้ากลุ่มเขาหรืออะไรอย่างนี้ และกลุ่มคนใหม่ที่เข้ามาในชีวิตส่วนใหญ่ก็จะเป็นลักษณะนี้ทั้งนั้นเลย ทำให้เกิดความท้อใจค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 23:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะ....หวังในสิ่งที่ไม่อาจสมหวัง...หวังว่ามีแต่คนรัก...ไม่เคยนึกว่าโลกนี้มันมีธรรมคู่

เมื่อหวังแล้วไม่ได้อย่างหวัง...ก็ทิ้งมันซะ

ทำความดีให้เกิดกับตัวกับใจของเราดีกว่า....ความดีนี้แหละจะเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราอย่างแท้จริง

นอกนั้นมันอนิจจังคือไม่เที่ยงทั้งนั้น...

อ้างคำพูด:
สุขได้อย่างไร เมื่อเจอเหตุการณ์แบบ


ก็อย่าไปคิดว่าชีวิตต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้..แล้วจึงจะสุข..สิ

ให้สุขเพราะเราเป็นคนดี..สุขเพราะเราไม่ทำความชั่ว

ให้สุขอยู่ที่ตัวเรา...อย่าเอาสุขไปแขวนใว้กับสิ่งอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่นำมา จขกท.อ่านแล้ว และได้แสดงความเห็นแล้ว :b1:

ต่อไปกรัชกายขอแสดงความเห็นบ้างนะครับ ผิดถูกอย่างไรฝาก จขกท.วิจารณ์ด้วย ...ตามที่เพื่อนของเบิร์ดเล่าว่า "พ่อของเบิร์ดเป็นคนดุ ฉุนเฉียวหน้าบูดบึ้งทั้งวัน" พูดตามหลักกรรมกระบวนธรรมภายใน คือ ด้านจิตใจผู้นั้น จะตึงเคร่งเครียดอยู่ทุกขณะ วงจรของทุกข์จะเกิดอยู่ตลอด พูดโดยสรุปก็คือ เขาทำร้ายตนเองอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก เป็นคนทุกข์ง่าย สุขยาก...สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เพื่อนเบิร์ดว่า “แกเป็นโรคนู้นโรคนี้ เคยความดันโลหิตสูงจนเวียนศีรษะบ้านหมุน ยืนไม่อยู่ ต้องลาออกจากอาจารย์ประจำ” คือพ่อของเบิร์ดได้รับผลของอกุศลจิตแล้ว เพราะความคิดส่งผลถึงร่างกายด้วย

หนูควรจะทำอย่างไรที่จะอยู่อย่างมีความสุข และตัดความอิจฉาริษยาที่สะสมมามากมายเหลือเกินที่เห็นคนถูกรัก หนูไม่อยากกลายเป็นคนมีปมด้อยหรือ มีปัญหาสร้างภาระให้ใครเลย

เมื่อไม่อยากสั่งสมบาปอกุศลดังว่า จขกท. ก็ไม่ควรสั่งสมกระบวนธรรมเช่นพ่อของเบิร์ด เพราะจะเกิดผลเสียแก่ตนในอนาคต แม้ผู้ใดใครอื่นไม่เห็นใจเราไม่รักเราก็ตาม แต่เราควรรักตนเอง ควรถนอมร่างกายจิตใจตนเอง รักตนเอง มีตนเองเป็นที่พึ่ง ดังคำพระที่ว่า ความรักอื่นเสมอด้วยตนไม่มี (นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ) ตนเป็นที่พึงแห่งตน (อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ)

พ่อ จขกท. ชอบดื่มเหล้าเมามายกลับบ้านดึกๆดื่นๆ ท่านกำลังทำร้ายตนเองทั้งร่างกายและจิตใจอยู่แล้ว ท่านกำลังสั่งสมโรคภัยไข้เจ็บไว้วันละเล็กละน้อย เช่น โรคตับแข็ง เป็นต้น

ส่วนแม่ ก็กำลังสั่งสมบาปอกุศลจิตเช่นกัน คือ เริ่มแต่เห็นพ่อเมากลับเข้าบ้านดึกก็อารมณ์เสียอารมณ์บ่จอย เกิดความเครียดนอนไม่หลับ หลับๆตื่นๆ นอนสะดุ้งผวา จึงมาลงมาระบายใส่ จขกท. (ประเด็นนี้เราไม่พึงออกความเห็นอะไร หลบๆเสีย ให้แม่+พ่อหาทางออกกันเอง) ทำให้เราเองเป็นทุกข์โทมนัส สุขภาพจิตเสียดังว่า สรุปแล้วเครียดกันทั้งบ้าน ที่ว่า “บ้านคือวิมานของเรา” ทีนี้ไม่ใช่สวรรค์แล้ว

หนูไม่อยากกลายเป็นคนมีปมด้อยหรือ มีปัญหาสร้างภาระให้ใครเลย

เพื่อไม่ให้ตนเองมีปมด้อยมีปัญหาในวันข้างหน้า เบื้องต้นก็ใช้วิธีอย่างที่เพื่อนแนะนำเบิร์ดดังว่านั่น คือจะต้องเปลี่ยนวิถีจิตหรือวิถีความคิดเสียใหม่

ขณะเดียวกัน พึงคิดถึงอนาคตเราด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้ากำลังเรียนอยู่ก็ตั้งใจเรียนให้จบ เพื่อที่จะยืนด้วยลำแข้งตนเองได้โดยไม่เป็นภาระของผู้อื่น พูดง่ายๆว่า เป็นที่พึ่งตนเองได้ทั้งกายและใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างแรกควรหาที่พึ่งให้ถูก ส่วนใหญ่คนเรามีปัญหาตรงที่พึ่งกันทั้งนั้นแต่กลับมองไม่ออก เคยได้ยินคำว่าศากยบุตรไหม คนที่ถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งน่ะ ผมทำอย่างนี้มาตลอดไม่อย่างนั้นผมก็แย่เหมือนกัน

ในทางโลกเรามีอะไรก็ค่อยๆทำไป ผู้ที่มีพระคุณก็ค่อยๆตอบแทนไปเท่าที่เขาจะรับได้ แต่โดยหลักของชีวิตเราแล้วเราพึ่งพระพุทธ ธรรม สงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่พึ่งอื่นนั้นไม่มี บริกรรมพุทโธเอาไว้ที่ใจเสมือนว่าท่านอยู่กับเราตลอดเวลา

ความจริงทำความดีนั้นชาวทิพย์นั้นรู้ แล้วรู้อย่างละเอียดด้วยว่าใครทำดีทำชั่วมิใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดเห็นตามที่ผมเคยอ่านจากหนังสือนะ กรรมนั้นมีประจำตัวอยู่ทุกๆคน เราเกิดมาเจออย่างนี้ก็เป็นผลแห่งกรรมที่เราต้องรับ แต่เราก็สามารถที่จะทำความดีต่อไปได้

จงสู้ต่อไป แล้วเราควรพึ่งอะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2011, 17:35
โพสต์: 10

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บางครั้งคนเรามีปัญหา มีความทุกข์ไม่เหมือนกัน หรือมีเหมือนกันแต่ก็ไม่เท่ากัน น้องอย่าไปคิดว่าเป็นเราที่โชคร้ายที่มาเจอปัญหาแบบนี้ แต่ให้น้องมองดูความโชคดีที่เรามีอยู่ เราเลือกได้ที่จะนั่งจมความทุกข์ต่อไป หรือจะหาอะไรทำที่ดูเป็นประโยชน์ เพื่อนไม่จำเป็นต้องมีมาก มีเพื่อนแท้แค่คนเดียวดีกว่ามีเพื่อนเทียมสิบคน เราลองหาเพื่อนสักคนที่ไม่จำเป็นต้องรุ่นเดียวกับเรา ไม่ต้องอยู่สังคมเดียวกับเรา คนที่อยู่ใกล้ตัวเรานี้แหละ รอยยิ้มเพียงเล็กน้อย การช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย แต่แฝงด้วยความจริงใจมันจะนำมาซึ่งมิตรภาพที่ดีนะ...สู้ๆ นะคะ

.....................................................
ข้าพเจ้าไม่ใช่คนดีมากมาย เป็นแค่คนที่อยากทำความดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


Piece เขียน:
กราบนมัสการหลวงพี่ค่ะ

ขอบพระคุณหลวงพี่มากค่ะที่แนะนำหนู แต่เรื่องที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ที่เขามัวแต่สนใจเรื่องความรักหนุ่มสาวกันคงป็นเพราะพวกเขาคงได้รักความรักจากบิดามารดาไปแล้วล่ะคะ อย่างนักเรียนในรุ่นหนูส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ แต่หนูแม้แต่ความรักในครอบครัวยังไม่ได้รับ คงไม่กล้าไปหวังความรักแบบนั้นหรอกค่ะ

หนูจะพยายามให้มากขึ้นค่ะจะไม่ยอมให้ความริษยามาทำร้ายจิตใจไปให้มากกว่านี้ หนูจะพยายามรักษาศีล สวดมนต์และทำความดีค่ะ ยิ่งคิดมากไปก็ไม่ได้อะไร อย่าง ไมน้อยก็จะทำเพื่อตัวหนูเอง

หนูมีอีกเรื่องที่จะเรียนปรึกษาค่ะ คือเป็นเพราะหนูเป็นคนอย่างนี้รึเปล่า หรือเป็นกรรมอะไรของหนูรึเปล่าคะ ที่เกิดมาชีวิตจะขึ้นหลักสองแล้วคะ แต่ไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว ฟังแล้วดูน่าเวทนามั้ยคะ เกิดเป็นคนภาษาอะไรไม่มีเพื่อน คือหนูย้ายโรงเรียนบ่อยด้วยนะคะ ที่ย้ายก็เพราะมีปัญหาเข้ากับเพื่อนไม่ได้ทั้งนั้น สุดท้ายก็ต้องมาเรียนเป็นภาคอินเตอร์ ซึ่งมีแต่ลูกไฮโซ คนมีเงิน ซึ่งนิสัยหนูเข้ากับอะไรแบบนี้ไม่ได้เลย แล้วพวกเขาก็คนไม่คบคนอย่างหนู ชีวิตไม่ค่อยมีประสบการณ์เฮฮาปาร์ตี้อย่างนักเรียน ม.ปลายทั่วไป ที่ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ หรือแม้กระทั่งช่วยกันติวการบ้านก็ไม่มีค่ะ หนูควรจะทำยังไงดีคะ สรุปแล้วชีวิตที่โรงเรียนและที่บ้าน ตลอดยี่สิบสี่ชัั่วโมงก็มีแค่หนูและตัวหนู มีคนเคยบอกหนูว่าเพื่อนน้อยก็ทุกข์น้อย แต่ถ้าไม่มีเลยล่ะคะ แล้วแถมเขายังมองหนูแบบไม่ดี เหมือนว่าอยู่ใต้เขา ทั้งที่ก็เป็นคนเหมือนๆกัน ไม่คบก็ไม่คบอยู่แล้วคะ แต่อีกสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยก็จเป็นแบบนี้ต่อไป ทำไมหนูถึงไม่มีชีวิตที่ปกติอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ต้องเป็นชีวิตที่เลิศหรู เปี่ยมสุข ขอแค่ชีวิตเรียบง่าย ธรรมดาๆ ไม่ใช่ที่บ้านหรือที่ไหนก็เป็นที่เกลียดชังของทุกคนแบบนี้คะ?

หนูต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยนะคะ เผื่อว่าคำพูดที่หนูใช้มันจะดูก้าวร้าว หรือ ดูงี่เง่า ที่เหมือนว่าทำไมไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พีซลองมาหมดทุกอย่างแล้วคะ ทั้งรักตัวเอง รักเขาก่อนให้ความรักเขาก่อน แต่กลุ่มคนเหล่านั้นไม่เคยเห็นมันเลย หาว่าอยากจะมาเข้ากลุ่มเขาหรืออะไรอย่างนี้ และกลุ่มคนใหม่ที่เข้ามาในชีวิตส่วนใหญ่ก็จะเป็นลักษณะนี้ทั้งนั้นเลย ทำให้เกิดความท้อใจค่ะ

ไม่หรอกคิดมาก อนาคตอะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น บางทีก็อาจเรียกว่าเหล้าเก่า
ในขวดใหม่ สำนวนนี้หมายถึง ความรู้ึสึกนึกคิด ความคาดหวัง ความรู้สึกเป็นรอง
อิจฉาลึกๆ หรือเล็กๆ ไม่ว่ากับเฮียๆ หรือว่ากับเพื่อนๆ มันก็ขม เหมือนกันรสชาต
เดิมของเหล้า แต่เปลี่ยนบุคคล เปลี่ยนสถานที่ แต่ความรุ้สึก ยังขมเหมือนเดิม

อย่างเรื่องที่คนอื่นคงได้รับความรักจากครอบครัวหมดแล้ว คิดว่าคงไม่แน่เสมอไป
ทุกๆ รายหรอกนะ เขาเลยขยายความรักระหว่างวัยออกไป แล้วจะเหมาเอาว่า
เพราะเรายังขาดตรงนี้เลยไม่มีตรงนั้น จึงเป็นสมมติฐานจากมุมมองเราเท่านั้น
บางทีก็ดีไปอย่างนะ ไม่ต้องอกหักเสียใจเป็นของแถมจากความรักก่อนวัยอันควร

อนุโมทนานะ สวดมนต์นี้วอร์มให้เกิดสมาธิยิ่งหาบทหาคำแปลได้ก็จะยิ่งดี เอาเวลา
มาท่องๆ สวดๆ รุ้ความหมายบ้างไม่รู้บ้างก็ยังดี ไว้มีเวลาเหลือเวลาว่างจากการทำ
การบ้านอ่านหนังสือ ก็พอไม่ต้องเคร่งครัดว่าจะทำจนเกินไปเดี่ยวไม่มีเวลาทำไม่ได้
จะเอาอีก โทษตัวเองตำหนิตัวเองเกินไปอีก ศัตรูที่จะทำลาย อารมร์อิจฉาเป็นปฏิปักษ์
กันโดยตรง มีชื่อเป็นทางการว่า มุฑิตา คือ พลอยยินดีพอใจ ในความสุข ในความ
สมหวังของคนอื่น ถ้าคนใกล้ตัวเราก็เฮียๆ ญาติพี่น้อง ฯลฯ

ถ้าคนนอกเช่นเพื่อนในโรงเรียนในสังคมก็เช่นกัน แค่ยิ้มแสดงออก ไม่ใช่ประจบหรอกนะ
ขอแสดงความยินดีชื่นชม ในความสุขความสมหวังต่างๆ ของคนอื่นให้เป็น ใจเราก็สบาย
ถ้าไม่ เราจะถูก อกุศลจิต เรียกว่ามังกรแล้วกัน คอยซ่อนอยู่เบื่องหลัง พลักดันให้เราพยายาม
ทำความดี พยายามชนะใจใครเพื่อต้องการให้คนเห็นความดี คือถ้ามันถูกที่ถูกเวลา
ทำแล้วเกิดผล เราก็มีความสุข แต่หากทำแล้วไม่เกิดผล จะไปสำคัญว่าไม่ทำละ ไม่เอาละ
อย่างนี้ก็ไม่ดี ถ้ากับคนในบ้านในครอบครัวทำไปเถอะ ไม่มีใครรู้ใครเห็นอย่างน้อย
หลวงพี่ และกัลยาณมิตรในลานธรรมจักรรู้เห็น ^^

มันต่างกันนะ หากเราไม่เห็นมังกร เราก็จะทำสิ่งต่างๆ เลี้ยงมันฟูมฝักมัน ให้อาหารมัน
จนมันโตมันแข็งแรง ไม่ว่าอารมณ์(มังกร)อิจฉา อยากดีอะไรเหล่านี้ ถ้าเราทำไปเพราะ
ไม่เท่าทันมัน แทนที่เราจะกำจัดมังกรได้ เปล่าเลย ความดีที่เราปั้นแต่งทำขึ้นมาที่แท้
เราถูกอารมณ์ที่ไม่ดีบงการอยู่เบื้องหลัง กำกับ ความรู้สึกนึกคิด คำพูด การกระทำของเรา
อย่างไม่รุ้ตัว นี้แหละ กรรรมของหนู คือมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นไปตามอารมณ์
ตามกิเลสที่ทิ่มแทงให้ หลอกเีรียกร้อง หลอกให้น้อยใจ จนหมือนไม่มีใครเข้าใจ ตลอด
จนคล้ายๆ ชักไม่เ้ข้าใจ ตัวเอง ฯลฯ

คนที่มี จิตพลอยยินดี มีมุฑิตาจิต จะไม่ค่อย น้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มีความรุ้สึกลบๆ กับ
ตัวเองกับผู้คนรอบข้าง เพราะภาพที่เรามองเห็นต่างๆ ว่าคนนั้นก็เลิศคนนี้ก็หรู คนโน้น
ก็โอโห อยากบอกข่าวดีแต่จะดีหรือเปล่าไม่รู้ คือทุกคนนะ ทุกคนล้วนมีทุกข์ มีปัญหา
รออยู่ หลังภาพไฮโซ อาจโลโซทางอื่นๆ เผลอๆ อาจมาจากพื้นฐานครอบครัว ลักษณะ
คล้ายๆ กันก็เป็นได้ จะเอาความรู้สึกนึกคิด ของตัวเองคนเีดียว แล้วบอกตัวเองเพียง
ตามที่ตาเห็น ควรไม่ควรก็นึกดู มันผิดกันนิดหน่อย ตรงที่เราไม่ค่อยเปิดเผย ชอบเงียบ
ชอบเก็บตัว ก้มหน้าก้มตา แต่ใจเราก็คล้ายยังมองคนเหล่านั้นอยู่

เนี้ยมังกร มันหลอกเอา มีโยมหลายคนเป็นคนเก่งเรียนจบสูง แต่ก็มีเพื่อนน้อย ก็เพราะ
ชอบเงียบชอบส่วนตัว ไม่ชอบยุ่งกะใครจริงๆ แต่หากหนูมีเพื่อนน้อย เพราะทัศนคติที่
เรามีต่อคนอื่นมันปิดบัง รอยยิ้มของเรา ตลอดถึงการยอมรับตัวตนของเราอย่างภาคภูมิ

นั่นจะทำให้มีกำแพงมีช่องว่างที่หากไม่ทำลาย เราก็ต้องยอมรับยอมอยู่กับมัน ข่าวดีคือ
หนูมีความสุขได้จริง เมื่อหนูเริ่มปรับสายตา มองคนด้วยความเท่าเทียมกัน อย่างแรกทุก
คนเกิดมาเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมด สองทุกคนรักสุขเกลียดทุกข์ ต้องการ
รอยยิ้มต้้องการกำลังใจ หนูลองให้ตัวเอง เริ่มมีมุฑิตาจิต ให้ตัวเอง ลองเขียนออกมาให้
ได้เยอะๆ ที่หนูควรจะชื่นชมตัวเองออกมา ยิ่งเยอะยิ่งดีนะ ^^

สามหลังจากพบข้อดีที่น่าชื่นชมของตนเองแล้ว ให้หนูเริ่ม ส่งความชื่นชมยินดีไปให้คน
ใกล้ตัวคนรอบข้าง ดีใจกับเขา ยิ้มให้เขาได้ ฯลน อันนี้้ประโยคบังคับหลวงพี่ให้
" ดีจังเรากำลังมีความสุข มีความยินดีให้กับคนอื่น"

สี่ปรับทัศนคติสายตาคนที่มองเรานอกบ้าน ไม่ว่าตาเราจะเห็นสายตาที่่ดีหรือไม่ดีแค่ไหน
ขอให้กำจัดมังกรข้างในเรา ด้วยการยิ้มเข้าไปข้างในใจเราเอง ใจเราจะสะท้อน หรือมี
ทัศนคติที่ตัวเราเองมี ต่อสายตาคนอื่น แปลว่า ถ้าถูกคนอื่นมองภาษาหนูว่าใต้เขา ต่ำ
กว่าเขา จะจริงไม่จริงก็ตาม ให้ปรับใจเราเองทันที ๑ เขาก็คนเราก็คน ล้วนเป็นเพื่อนเกิด
แก่เจ็บตาย จะโกรธทำไม ไร้สาระช่างมัน สบายใจกว่า ก็ปล่อยดีกว่าเลิก ๒ ยิ้มเข้าไปข้าง
ในทันทีที่เกิดอารมณ์ ขมๆ น้อยเนื้อต่ำใจ สู้ใครเขาไม่ได้ (ฆ่ามังกร) ๓ ประโยคบังคับ ^^

คนอื่นจะมีเพื่อนยังไงก็ช่างนะ อีกสี่ปีในรั้วก็ยังไม่มาถึง หนูเริ่มให้ เริ่มยิ้มเริ่มสนใจคนที่ด้อย
โอกาสต่างๆ กว่าหนู ไม่เลี้ยงมังกร เปิดโอกาสตัวเอง เปลี่ยนทัศนคติใหม่ ให้เถอะความจริง
ใจมีน้ำใจ ให้ไปแล้วถึงไม่มีใครรับ มันก็สะท้อนสะเทือนอยุ่ในใจเราเอง

เช่นเดียวกัับทัศนคติลบๆ ไม่เปิดเผยไม่ให้ แม้ไม่ได้แสดงออกไปมันก็เติบโต สะสมอยู่
ภายในบุคคลคนนั้นนั่นเอง ดังนั้น ใครจะอะไรกะหนู วันก่อนมองแย่ๆ หนูลองมองเขา
ใหม่ คิดกับเขาใหม่ตามที่กล่าวมา บางทีมังกรตัวนั้นจะถูกยิ้มของหนู สังหารก่อนถึง
มหาลัยก็ได้ และสุดท้ายไม่ท้ายสุด ^^

ท้อเพราะเรียนสิ ท้อเพราะไม่ขยันไม่ตั้งใจเรียน วิธีมีเพื่อนหาเพื่อนไม่ยากหรอกนะ
วิธีรักษาเพื่อนเป็นเพื่อนที่ดีนี้ยากกว่า ดังนั้น นอกจากปัญหานี้ อย่างที่บอกเรื่องเรียน
ของหนูจะชี้ทาง นำทางชีิวิตของหนุพัฒนาความคิดอ่านสติปัญญา ให้เข้าใจอะไรๆ
ได้ดีขึ้น อยู่ตรงไหน มีศีล ๕ มีน้ำใจจริงใจกับคนอื่น ไม่เลิศหรูอย่างที่หนุหวังไว้
แต่เลี่ยงไม่ได้เลยจริงๆ ที่หนูจะีมีความสุข เพราะหนุมีธรรมะ เอาใจช่วยนะเจริญพร


รูปภาพ



Credit image by:
http://glitter.kapook.com/

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 01:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


เคยมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เราขออะไรไม่เคยได้ตามที่ขอ
แต่พอน้องๆขอให้สิ่งที่เราเคยขอ...กลับได้ในสิ่งนั้น
การกระทำบางอย่างของเรา...ถูกตำหนิ
แต่การกระทำอย่างเดียวกัน...ถ้าเป็นลูกคนอื่นทำกลับได้รับการชมเชย....

ในใจตอนนั้น มีแต่ความขุ่นมัว...ริษยา ชิงชัง
พอเกิดอารมณ์แบบนั้น ก็ยิ่งพยายามทำในสิ่งที่พ่อแม่ห้าม ไม่อยากให้ทำ

พอมีลูก ตอนนี้ถึงเข้าใจ...สิ่งที่เราขอแล้วไม่ได้ แต่น้องขอแล้วได้ในสิ่งเดี่ยวกัน
เพราะโอกาส และเวลาต่างกัน เราขอผิดเวลา ผิดสถานที่

การกระทำก็เหมือนกัน แม้จะทำในสิ่งเดียวกัน แต่ก็ผิดเวลา ผิดสถานที
ผลออกมาจึงต่างกัน....และที่สำคัญ เราเป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง
(เกเร) ไม่ชอบฟังความเห็นของใครๆ(ดื้อนั่นแหละ)

พิจารณาอะไรก็ตาม ให้พิจารณาที่ตัวเอง...จะเห็นเหตุและผลได้ดีกว่ามองที่คนอื่น

><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><

แม่อารมณ์ไม่ดี....ว่ากล่าว ตำหนิพ่อ...แปลว่าเขาต้องการคนที่จะรับฟังความทุกข์
ระบายความในใจ.....หากไม่แน่ใจว่าสิ่งที่จะพุดออกไปแล้วทำความรู้สึกของแม่ดีขึ้น
ก็ไม่ต้องพูด เฉยไว้ดีกว่า....แม้จะคล้อยตามความคิดเห็นของแม่ไม่ได้ แต่เรากก็ไม่ควรขัด

ควรลดช่องว่างระหว่างเรากับท่านแบบค่อยเป็นค่อยไป ที่ละนิด ทีละก้าว
เห็นท่าไม่ดี ก็ถอย สบโอกาสดีๆ ก็เข้าใกล้...ลองดูนะค่ะ :b4: :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2011, 06:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ส.ค. 2010, 23:44
โพสต์: 15

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ให้สุขเพราะเราเป็นคนดี..สุขเพราะเราไม่ทำความชั่ว

ให้สุขอยู่ที่ตัวเรา...อย่าเอาสุขไปแขวนใว้กับสิ่งอื่น


ขอบคุณนะคะ :b43:

จริงของคุณค่ะ แล้วเวลาเราท้อแท้เราควรนึกถึงใคร? คนอื่นๆเขาถึงอย่างน้อยก็มีพ่อแม่ครอบครัวให้นึกถึง ถึงแม้จะจากไปแล้วแต่ก็ยังมีเรื่องดีๆให้ย้อนกลับไปนึกถึง หนูควรจะนึกถึงใคร ตัวเองหรอคะ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2011, 06:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ส.ค. 2010, 23:44
โพสต์: 15

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณกรัชกาย :b45:

อ้างคำพูด:
เพื่อไม่ให้ตนเองมีปมด้อยมีปัญหาในวันข้างหน้า เบื้องต้นก็ใช้วิธีอย่างที่เพื่อนแนะนำเบิร์ดดังว่านั่น คือจะต้องเปลี่ยนวิถีจิตหรือวิถีความคิดเสียใหม่

ขณะเดียวกัน พึงคิดถึงอนาคตเราด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้ากำลังเรียนอยู่ก็ตั้งใจเรียนให้จบ เพื่อที่จะยืนด้วยลำแข้งตนเองได้โดยไม่เป็นภาระของผู้อื่น พูดง่ายๆว่า เป็นที่พึ่งตนเองได้ทั้งกายและใจ


ค่ะ ต่อไปนี้หนูจะพยายามไม่คิดถึงเรื่องนี้ และเอาเวลาไปใส่ใจกับการเรียนมากขึ้นค่ะ เพราะตลอดมาผลการเรียนก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ หนูเคยตั้งใจเรียนตอนเด็กๆทำให้ผลการเรียนมีระดับที่พอใจ แต่เมื่อเอากลับไปให้ที่บ้านดูไม่มีใครพลอยยินดีไปกับหนูเลย ล้มเลิกความคิดนั้น เพราะเรียนดีไปก็ไม่ได้ทำให้คุณพ่อคุณแม่กลับมารู้สึกดีด้วย แต่ตอนนี้หนูรู้สึกตัวแล้วค่ะ ว่าทำอย่างนั้นมันยิ่งทำร้ายตัวเองมากขึ้น เวลาที่เสียไปทั้งๆที่หนูควรจะทำให้ดีกว่านี้ แต่ดันคิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องบ่มเพาะมายาวนานหลายปี ถึงคราที่ต้องเริ่มกลับไปตั้งใจเรียนสักที ความคิดที่ไม่ดีๆหนูจะลบมันออกไปให้ได้ค่ะ :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร