วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 15:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 131 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 10 พ.ย. 2011, 17:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตเป็นอมตะ : ลุงหวีด บัวเผื่อน โดยหนังสือพิมพ์โพสทูเดย์

“…ในหนังสือยังกล่าวถึงแนวทางปฏิบัติของคุณลุง ตลอดจนธรรมะที่คุณลุงเห็นว่า สำคัญที่สุด อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนาคือ ‘รู้’ และธรรมอื่นๆ อันเป็นแก่นของพุทธศาสนา”

ในส่วนแรกที่ว่านั้น พึงทราบว่าคุณลุงหวีดเป็นแรงบันดาลใจของผู้คนจำนวนมากเพราะท่านเป็นคนพิการ แต่อย่างที่ผู้จัดทำต้นฉบับได้ระบุไว้คือ ขอเพียงเราเป็นผู้แสวงหาความสุขทางใจ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพไหน อย่างไรเราก็ปฏิบัติธรรมได้และย่อมจะได้รับผลแห่งการปฏิบัตินั้นๆ โดยสมควรแก่ธรรมทั้งสิ้น
ไม่เพียงแต่คุณลุงจะไม่เอาข้อจำกัดทางร่ายกายมาเป็นอุปสรรคบั่นทอนตนเอง หากแต่กลับนำสิ่งที่คนอื่นอาจจะคิดว่าเป็นจุดด้อยพลิกมาเป็นจุดแข็งอีกต่างหากนั่นคือ เมื่อคุณลุงหวีดย้ายจาก ต.หนองบัว มาอยู่ที่เขาไร่ยา จ.จันทบุรี นั้น มีพระภิกษุรูปหนึ่งมาแนะนำคุณลุงว่า
“สภาพร่างกายที่พิการอย่างคุณลุง ไปไหนมาไหนไม่ได้แบบนี้ นับเป็นโอกาสที่ดีในการรักษาศีลห้า เพราะจะไปเที่ยวลักทรัพย์ใครก็ไม่ได้ ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็ไม่ได้ และโดยนิสัยคุณลุงก็ไม่ใช่คนชอบมุสาอยู่แล้ว เรื่องไปผิดลูกผิดเมียใครก็ไปไม่ได้ สุราของมึนเมา คุณลุงก็ไม่ดื่มไม่แตะ ดังนั้นศีลห้าของคุณลุงก็นับว่า แทบบริบูรณ์ ขาดแต่เพียงเจตนาเท่านั้น ขอเพียงคุณลุงตั้งใจเจตนาว่าจะรักษาศีลห้า ศีลห้าก็จะบริบูรณ์ทันที…”

คุณลุงหวีดจึงสมาทานศีลห้ามาตั้งแต่บัดนั้น

เส้นทางของการได้ครูดี ศิษย์เป็นคนมีปัญญาจึงเริ่มขึ้น

พิจารณาแล้วก็น่าคิดว่า โลกไม่เคยตัดรอนใคร สมดังคำกล่าวที่ว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดีจริงๆ


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าท่านอ่านมาถูกต้องแล้ว
่่ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าท่านศึกษามาถูกต้องแล้ว
่่ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าท่านเรียนมาถูกต้องแล้ว
่่ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าท่านสรุปมาถูกต้องแล้ว
ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าท่านมีปัญญาดับทุกข์แล้ว
ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าท่านปฏิบัติถูกต้องแล้ว
ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าท่านบรรลุธรรมแล้ว
ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าท่านสงบแล้ว

ท่านมีความคิดเห็นว่ายังไง หรือมีแนวทางปฏิบัตินำไปสู่การดับทุกข์ให้กับเพื่อนมนุษย์ ทำให้เรื่องที่ยาก เข้าใจยาก ให้ปุถุชนคนทั่วไปเข้าใจง่าย และนำไปปฏิบัติได้ในระยะเวลาสั้นและเห็นผลเร็วที่สุด นั้นจะทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากทุกข์ เกิดความสงบ เกิดสันติสุข ลดความขัดแย้งกัน


ท่านคิดว่า ถ้าลุงหวีดได้อ่านคำถามนี้ จะตอบว่าอย่างไร


โพสต์ เมื่อ: 10 พ.ย. 2011, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มีความจริงอยู่ข้อหนึ่งครับ

สัจจธรรมที่สูงสุดหรือวิมุติธรรมไม่เคยถูกบันทึกด้วยตัวหนังสือ

และก็คงจะถ่ายทอดบันทึกเป็นตัวหนังสือไม่ได้ด้วย

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 10 พ.ย. 2011, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ

ไม่ใช่อภิปรัชญา

การทำกรรมฐานต้องลงมือทำจริงให้รู้ผลจากกรรมฐานเอง

จะรู้ด้วยการอ่านไม่ได้

ความรู้ที่เกิดจากกรรมฐานคือปัญญา

ความรู้ที่เกิดจากการอ่านคือสัญญา


สุดท้ายของการบรรลุธรรม

ต้องดับสัญญาแต่ปัญญาไม่ต้องดับ

เพราะปัญญาคือวิชชาครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 10 พ.ย. 2011, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สัญญามีสภาพจำ ครับ
ปัญญานั้น เห็นถูก เข้าใจถูก

แม้การเข้าใจถูกในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาจากผู้ที่รู้แล้ว ก็เป็นปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 11 พ.ย. 2011, 10:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนอื่นต้องขออภัยก่อน เพราะเอกอนดันอ่านแต่ข้อความนั้น
แล้วคิดว่า ท่านเห็นสิ่งนั้นเป็นปัญญา จึงแสดงความเห็นออกมา
แต่เมื่อย้อนกลับไปอ่าน ก็เห็นท่านมีการนำเสนอแง่ที่ไม่ให้หลงนิมิต
:b8: :b8: ก็พอจะเข้าใจแล้วค่ะว่าแท้จริงท่านไม่ได้เห็นสิ่งนั้นเป็นปัญญาที่แท้เสียทีเดียว
....
:b8: :b8: :b8:

mes เขียน:

กระทู้นี้อยากเป็นการแชร์ประสพการณ์กันครับ

แล้วค่อยมากล่าวถึงสภาวะหรือผลที่เกิดดีไหมครับ


ค่ะ จะติดตามดูการสนทนาค่ะ :b1:

เผื่อเอกอนจะมีโชว์เปิ่นอีกกก :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 11 พ.ย. 2011, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่นในภายในไม่ใช่นิมิต แน่นอน
ถ้าช่วงกำหนดกสิณต่างๆก่อนได้ปฐมฌานหน่ะใช่นิมิตส่วนธรรมเอกผุดขึ้นมีลักษณะผ่องใสภายในจิตตั้งมั่นเป็นวิชชาในภายในและเป็นวิถีเข้าสู่ขั้นสูงต่างๆต่อไป

....ลองอ่านดูแล้วเราจะเข้าใจนิมิตดีขึ้น
ไม่ใช่ไปตั้งข้อรังเกียจที่ปฏิเสธการเพ่งไม่เอาฌานไม่เอาสมถะไม่เอานิมิตสวรรค์นรกไม่มี
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๖๗๓๓ - ๖๗๘๓. หน้าที่ ๒๘๗ - ๒๘๙.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 11 พ.ย. 2011, 16:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 11 พ.ย. 2011, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
ประเด็นที่น่าสนใจคือ

ธรรมเอกที่ผุดขึ้นมา

มีการตีความไปต่างๆมากมาย

สำหรับผม

ธรรมเอกที่ผุดขึ้นมา คือ ดวงปัญญา

ไม่ใช่ดวงแก้วใสใส แต่อย่า่งไร

ดวงปัญญามีลักษณะเหมือนแก้วครับคุณmes
Quote Tipitaka:
ความสว่างคือปัญญา แสงสว่างคือปัญญา
ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔ บรรทัดที่ ๒๑๒๑ - ๒๔๒๖. หน้าที่ ๘๖ - ๙๘.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0


โพสต์ เมื่อ: 11 พ.ย. 2011, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้สังเกตุดูพระมหาเถระที่เชี่ยวชาญด้านการสอนสมถะวิปัสสนาล้วนมีฤทธิ์กันจริงๆทั้งนั้นและถึงปฏิเวธด้วยเช่น
หลวงพ่อสด หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกาหลวงปู่สรวง นี้ญาณทัศนะจะแก่กล้ากว้างไกลมากกว่า...
ผู้ที่เจริญอาโลกกสิณจะมีปัญญามากและเตโชกสิณจะมีไล่ๆกันมา

หากผนึกเจริญพุทธานุสติด้วยนั้นผลพลอยได้มากมายยิ่งนัก


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 11 พ.ย. 2011, 16:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 11 พ.ย. 2011, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญสัญญาเป็นโลกุตตระ อยู่ในมัคคภาวนา อินทรีย์และบารมีของแต่ละคนแก่กล้าไม่เหมือนกัน


โพสต์ เมื่อ: 11 พ.ย. 2011, 16:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น ไม่ใช่การมีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศ เสกใบไม้เป็นตั๊กแตนได้


โพสต์ เมื่อ: 11 พ.ย. 2011, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


สงสัยคงอ่านไม่รู้เรื่อง ไม้เข้าใจคำว่าผลพลอยได้ :b32:


โพสต์ เมื่อ: 11 พ.ย. 2011, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝากให้คุณmes

Quote Tipitaka:
โปฏฐปาทสูตร ที่ ๙.
-----------------------------------------------------
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ บรรทัดที่ ๖๐๒๙ - ๖๗๗๖. หน้าที่ ๒๕๒ - ๒๘๒.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0


โพสต์ เมื่อ: 11 พ.ย. 2011, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับท่านหลับอยู่

สหายธรรมหลับอยู่เป็นอีกท่านหนึ่งที่ผมระลึกถึงเสมอ

ความจริงผมอยากตั้งกระทู้สนทนาเรื่องธรรมเอกกับท่านหลับอยู่และท่านอื่นๆด้วยแต่เกรงตนเองจะไม่ค่อยมีภูมิปัญญามากพอ

ผมพอเข้าใจในนิมิตที่ท่านหลับอยู่กล่าวถึงครับ

อย่างเช่นปฏิภาคนิมิต และ อุคหนิมิต

อันนี้คิดว่าเราเห็นตรงกัน

แต่ในความหมายของผมนมิตมีขอบเขตกว้างกว่านั้นครับ



ก่อนยกตัวอย่างมาแปะ

ขออนุญาตท่านหลับอยู่กรุณายกลิงค์ที่นำมาฝากผมขึ้นมาชี้แนะผมด้วยครับ หรือจะตั้งเป็นกระทู้ใหม่ก็ใด้ ผมยินดีสนทนากับท่านหลับอยู่ และท่านอื่นๆจะได้ร่วมสากัจฉาเป็นปรัสพการณ์ธรรมปริยัติไปด้วยกัน

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 11 พ.ย. 2011, 18:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


http://nkgen.com/727.htm


นิมิตอันเกิดแต่การปฏิบัติพระกรรมฐาน ผู้เขียนขอจำแนกแตกธรรมออกเป็นไปใน ๓ ลักษณะใหญ่ ที่มักเกิดขึ้นทั่วไปเสมอๆ ในการปฏิบัติ หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวันในผู้ที่มีความชำนาญ มีดังนี้
รูปนิมิต หมายถึง การเห็น ภาพ อันปรากฏขึ้นเฉพาะแก่ผู้ปฏิบัตินั้นๆ อันเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติหรือผู้เจริญกรรมฐานเป็นสำคัญ เช่น การเห็นภาพอดีต อนาคต หรือเห็นภาพในสิ่งที่อยากเห็น เช่น เทวดา ผี นรก สวรรค์ วิมาน พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ แม้แต่พระพุทธเจ้า หรือโอภาสการเห็นเป็นแสง, สี, ดวงไฟต่างๆ อันต่างล้วนน่าพิศวงชวนให้ตื่นตาเร้าใจ จึงมักอธิโมกข์น้อมเชื่ออย่างงมงายด้วยอวิชชาอันมีมาแต่การเกิดเป็นธรรมดา หรือการเห็นภาพที่ปรากฏเฉพาะขึ้นของนักปฏิบัติในสิ่งที่กำหนดเป็นอารมณ์, กสิณ หรือบริกรรมจากการปฏิบัติภาวนา และยิ่งเกิดง่ายขึ้นเมื่อมีผู้ฝึกสอนที่นักปฏิบัติเชื่อหรือศรัทธาอย่างอธิโมกข์คอยโน้มน้าวจิตให้เห็นในสิ่งต่างๆนั้น
เสียงนิมิต การได้ยินเป็นเสียง อันเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติเป็นเหตุหรือเป็นสำคัญ เช่น เป็นเสียงเตือนระวังอะไรๆ เสียงสั่งสอน เสียงเทพ เสียงผีเสียงปีศาจ เสียงระฆัง เสียงกลอง เสียงสวดมนต์ เสียงพูดต่างๆ เสียงคนพูดบอกกล่าวต่างๆ แม้แต่เสียงในใจจากผู้ที่พบปะ ฯ. แล้วย่อมน้อมเชื่ออย่างรุนแรงด้วยอธิโมกข์ เพราะอวิชชาเป็นเหตุ
นามนิมิต เป็นความคิดหรือความรู้ที่ผุดแสดงแวบปิ๊งขึ้นในใจ อันมักเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติที่ไปพัวพัน แต่มิได้เกิดแต่ปัญญาไปเห็นความจริง เช่น เกิดความคิด ที่คิดว่าเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องราวที่หมกมุ่นพิจารณา หรือศึกษา หรืออยากรู้ หรือเป็นความรู้ในธรรมต่างๆนาๆที่พิจารณา ซึ่งอาจถูกหรือผิดก็ได้ แต่มักจะผิดถ้าไม่ได้เกิดแต่การพิจารณาโดยปัญญา อย่างถูกต้อง และเมื่อบังเอิญเกิดถูกต้องขึ้นบ้าง ก็กลับเป็นบ่อเกิดของอธิโมกข์อันแรงกล้าในภายหน้า
นิมิตเหล่านี้ มักเกิดขึ้นในภาวะของภวังคจิตที่จะกล่าวในลำดับต่อไป จิตจึงเกิดการอธิโมกข์น้อมเชื่ออย่างรุนแรงแต่เป็นไปอย่างผิดๆหรือขาดเหตุผล จึงยังให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสในข้อญาณ คือมิจฉาญาณ คือไปยึดไปเข้าใจว่าความเข้าใจเหล่านั้นเป็นไปอย่างถูกต้องแน่นแฟ้นด้วยอธิโมกข์เป็นเครื่องหนุน
บางครั้งยังเกิดนิมิตทางจมูกก็ยังมี คือ ได้กลิ่นอันเกิดแต่ใจตนเป็นเหตุ ก็ยังมีได้ เช่นเกิดจากจิตเป็นกังวลหมกมุ่น ฯ.
อนึ่งเป็นสิ่งที่น่ารู้ไว้อย่างยิ่งว่า นิมิต นั้นเมื่อปฏิบัติไปด้วยความเชื่อจนเกิดการสั่งสม ความชำนาญขึ้น บางครั้งนิมิตนั้นก็เกิดขึ้นในวิถีจิตหรือวิถีชีวิตปกติได้เช่นกัน กล่าวคือเมื่อเคยเกิดนิมิตขึ้นในขณะปฏิบัติแล้ว ซึ่งแรกๆก็มักเกิดขึ้นจากการปฏิบัติพระกรรมฐานโดยตรง แล้วเกิดนิมิตขึ้น จนเกิดการเห็นการใช้ในนิมิตต่างๆชำนาญขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อเกิดการสั่งสมได้ระยะหนึ่งจนเกิดความชำนาญ จึงอาจเกิดนิมิตได้แม้ในยามวิถีจิต(วิถีชีวิตที่มีการรับรู้ตามปกติ)นี่เอง เมื่อน้อมนำหรือถูกกระตุ้นเร้าขึ้น จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดี และมักเข้าใจผิดไปยึดไปเชื่อกันว่าถูกต้องแน่นนอนเป็นอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์ จึงพาให้ทั้งตนเองและอีกทั้งผู้อื่นพากันไปหลงเชื่ออย่างหัวปักหัวปำ(อธิโมกข์)ในสิ่งที่เห็น หรือในสิ่งที่เข้าใจไปนั้นๆ ก็ด้วยอวิชชานั้นแล

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 11 พ.ย. 2011, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


นิมิต
นิมิต นั้นก็เช่นสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก คือดีแท้ๆก็ไม่มี ชั่วแท้ๆก็ไม่ใช่ จึงมีทั้งดีและชั่ว ถูกหรือผิด ขึ้นกับผู้ใช้หรือนักปฏิบัตินั่นเอง ล้วนเป็นไปคล้ายหลักมัชฌิมาหรือทางสายกลาง กล่าวคือ มิใช่ตรงกลาง แต่ไม่สุดโต่งไปทางดีทางชั่วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียว เหมือนดังยา ถ้ากินดีถูกต้องก็มีประโยชน์ ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีก็ย่อมให้โทษอันรุนแรงได้ นิมิตก็เฉกเช่นเดียวกันกับยา
นิมิตที่ดีนั้น หมายถึงนิมิตที่เกิดขึ้นแล้วทำให้นักปฏิบัติเกิดปัญญา คือเกิดนิพพิทาญาณ คือเกิดความหน่ายจากการรู้ความจริง จึงย่อมคลายความกำหนัดความอยากจากปัญญาที่ไปรู้ความจริงชัดเจนจากการปรากฎหรือแสดงขึ้นสอนของนิมิตอย่างแจ่มชัดจนน้อมเชื่อหรือเข้าใจ ดังเช่น การปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยพิจารณาอสุภ(อสุภกรรมฐาน) กล่าวคือเอาภาพอสุภหรือซากศพเป็นกสิณหรืออารมณ์ แล้วเกิดนิมิตเห็นภาพปรากฏขึ้นของอสุภซากศพในลักษณะต่างๆแสดงให้เห็นว่า เป็นสิ่งน่าสังเวช น่ารังเกียจด้วยปฏิกูล ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ฯ. ทั้งในร่างกาย จะแม้ของตนหรือผู้อื่นก็ตามที จนเกิดความหน่าย จึงคลายกำหนัดในราคะ หรือความยึดถือในตัวตนของตนเอง อย่างนี้ก็พึงถือว่าเป็นนิมิตที่ทำหน้าที่อันดีงามในการปฏิบัติ
ส่วนนิมิตที่จัดว่าเป็นโทษนั้นหมายถึง นิมิตที่เกิดขึ้นแล้วเป็นบ่วงมารอันยังให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสต่างๆดังเช่นในข้อโอภาสหรือญาณหรืออธิโมกข์ ฯ. กล่าวคือทำให้นักปฏิบัติเกิดโมหะความหลง จึงเกิดความติดเพลิน เพลิดเพลิน (นันทิ-ตัณหา)อันเนื่องมาจากโมหะความหลงด้วยอวิชชา เช่นว่า เพลิดเพลินไปปรุงแต่งต่างๆ หรือเห็นผิดไปว่าเป็นบุญ เป็นฤทธิ์ เป็นเดช เป็นปาฏิหาริย์ เหนือกว่าผู้อื่น มีอำนาจในการเห็นต่างๆเช่นเห็นอดีต เห็นอนาคต หรือทำไปเพื่อหวังในลาภยศสักการะ,สรรเสริญ,ศรัทธา กล่าวคือก็ล้วนเพื่อประโยชน์ทางโลกหรือโลกิยะที่บางท่านก็เป็นไปโดยไม่รู้ตัวฯลฯ. จึงเกิดการไปยึดติด ยึดถือ ยึดหลง จนติดเพลิน ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญคือความไม่รู้ตามความเป็นจริง และความไม่รู้ตัว และสิ่งที่เห็น(รูปนิมิต)หรือเข้าใจ(นามนิมิต)หรือได้ยิน(เสียงนิมิต)นั้นมักไม่ถูกต้อง เนื่องจากความคิดเห็น(สัญญา)และความไม่เป็นกลางที่แอบแฝงนอนเนื่องโดยไม่รู้ตัวด้วยตัณหาอุปาทาน จึงทำให้การเห็นเหล่านั้นอันเนื่องจากจิตที่สงบระงับจากกิเลสในฌานสมาธิในระยะแรกๆนั้นเสื่อมไปในที่สุด เพราะความอยากรู้อยากเห็นด้วยกิเลสนั่นแล เพราะการเห็นได้อย่างถูกต้องนั้นต้องประกอบด้วยความเป็นอริยะ คือต้องอาศัยญาณ และ อุเบกขาความเป็นกลาง เป็นองค์ประกอบสำคัญด้วย
ก่อนอื่นผู้เขียนขอยกคำสอนของเหล่าพระอริยเจ้าที่ได้กล่าวแสดงไว้เกี่ยวกับนิมิตมาแสดง เพื่อให้เป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ ก่อนจะกล่าวในรายละเอียดของนิมิตต่อไป เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาให้เกิดปัญญาอย่างถูกต้องดีงาม เป็นกำลังเพื่อการถอดถอนความเชื่อความเข้าใจอย่างผิดๆในนิมิต ที่อาจพาไปยึดติด ไปยึดหลงอยู่ด้วยความไม่รู้ อีกทั้งโดยไม่รู้ตัว
"นิมิต ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น(webmaster-คือภาพ,ความคิด ฯ.ที่เกิดขึ้นนั้น) ไม่จริง" หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (อตุโลไม่มีใดเทียม น. ๔๕๔)
(Webmaster - ที่หลวงปู่กล่าวมีความหมายว่า นิมิตหรือภาพที่เขาผู้ปฏิบัติเห็นนั้น ในบางท่านที่เห็นจริงๆนั้น เขาเห็นเป็นไปอย่างนั้นจริงๆ อาจมิได้หลอกลวงหรือกล่าวเท็จแต่ประการใด เพียงแต่ว่า สิ่งที่เขาเห็นนั้น มันอาจไม่เป็นจริง เป็นเพียงการเห็นหรือการเข้าใจอันเกิดขึ้นเฉพาะเขา อันมีสาเหตุเนื่องมาจากใจหรือสัญญาของเขาเองเป็นสำคัญ (อันมักเนื่องมาจากสิ่งที่เป็นอารมณ์จากการปฏิบัติ หรือจากความกังวลหรือพัวพันใดๆก็ตามที หรือปรุงแต่งอยู่เสมอๆโดยไม่รู้ตัว จนเป็นปัจจัยให้เกิดนิมิตนั้นๆขึ้นก็ได้โดยไม่ได้ตั้งใจและอีกโดยไม่รู้ตัว)

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 131 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร