วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ค. 2025, 17:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2011, 13:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2011, 16:15
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


เลิกกับแฟนไปประมาณเดือนกว่าแล้ว เพราะเค้ามีคนใหม่ แต่ยังต้องเจอกันเพราะทำธุรกิจร่วมกัน ตอนนี้ยังเจ็บอยู่ไม่ได้น้อยลงไปกว่าเดิมซักเท่าไหร่เลย เวลาเสียใจแขนขาจะไม่ค่อยมีแรง คิดว่าที่เราเจอเรื่องแบบนี้ก็คงเพราะวิบากกรรมส่งผล เพราะเราเคยทำให้คนอื่นเสียใจมา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังเสียใจอยู่ดี ทั้งๆ ที่พยายามปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานแล้ว แต่พอมีเรื่องเข้ามากระทบให้ต้องรับรู้ ให้ต้องคิดมากเกี่ยวกับเค้าสองคนก็จะสติแตกทุกครั้งกว่าจะกลับมาเป็นปกติก็ต้องใช้เวลา ไม่มีกำลังใจจะปฏิบัติเลย เบื่อที่เป็นแบบนี้มาก ตอนนี้รู้สึกสุขภาพย่ำแย่ไปหมด เพราะนอนไม่ค่อยหลับ คิดมาก คิดว่าตอนนี้เค้าทำอะไรกันอยู่ ไปถึงไหนกันแล้ว คงจะมีความสุขกันมากสินะ บนความทุกข์ของคนอื่นน่ะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย เค้าก็ยังคบกันอยู่ดี ตอนนี้เหลือเวลาอีกถึงสิ้นปีเราถึงจะเลิกทำธุรกิจร่วมกับเค้า คงไม่เช่าต่อเพราะเจ้าของที่ขึ้นค่าเช่าแพง ยังต้องทนเจอเค้าอยู่ ต้องทนมารับรู้เรื่องราวของเค้ากับคนนั้น แต่เราก็ไม่รู้ว่าระหว่างเจอก้บไม่เจออันไหนมันจะดีกว่ากัน เพราะจริงๆ แล้วใจเจ้าเจ้ากรรมก็ดันยังรักเค้าอยู่นั่นแหล่ะ ยังมีความหวังว่าเค้าจะกลับมาอยู่นั่นแหล่ะ แต่พอหมดสัญญาเราก็จะไม่ได้เจอเค้าแล้ว เฮ้อ! ตอนนี้กว่าจะผ่านไปแต่ละวันๆ ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น รู้อยู่ว่าซักวันมันก็ต้องหายเสียใจ แต่เมื่อไหร่มันจะถึงวันนั้นซักทีนะ ถ้าเรายังไม่มีใครเราว่าคงอีกนานเลย การปฏิบัตินี่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้จริงๆ รึเปล่าคะ ตอนนี้ทรมานมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2011, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ่านประกอบดูนะครับ viewtopic.php?f=4&t=39805
จะได้ไม่ส่งจิตส่งใจไปฟุ้งซ่าน จนสั่นไหวไร้เรี่ยวแรงไร้สติ

คุณโยมแค่รักเขาให้หมดใจจริงๆ ไม่ใช่รักตัวเอง ยิ้มออกมาเวลาที่เห็นเขา
มีความสุข ทำไมนะหรือ ก็เพราะว่า เวลาที่เรารักตัวเองมากเกินไป เราจะเรียกร้อง
เรามีแต่ความต้องการ นั่นทำให้เราหน่วงตัวเองไว้ ยึดติดกับสิ่งที่มันผ่าน
ไปแล้วแม้จะเป็นเมื่อวาน นั่นก็คืออดีตไปแล้ว

คุณโยมก็เหมือนคนเป็นหนี้เขา ยังค้างชำระอยู่ ก็เพราะยังหวงความสุข
ของตัวเอง และยินดีที่เขาไปมีความสุขไม่ได้ เมื่อคุณโยมรู้จัก พลอยยินดี
มีมุฑิตาจิต ต่อบุคคลทั้งสองคนได้เมื่อไหร่

เมื่อนั้นการชำระหนี้ที่ิติดค้างคาใจ หรืออะไรๆ ที่โยมคิดว่าเป็นวิบากกรรมนั้น
ก็จะปลดปลง ตัดความทุกข์ออกได้ทันที และยังมีหัวใจบริสุทธ์ได้เหมือนเดิม

เพราะรักตัวเองไม่ใช่หรือ ถึงแค้นและเกลียด ยังเรียกว่ารักได้หรือ เพราะรักตัวเอง
ไม่ใช่หรือ ถึงยังอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ตื่นเถอะ
นะครับ ความรักในช่วงเวลาดีๆ นั่นเกิดขึ้นเพราะสิ่งต่างๆ จัดสรรอำนวยให้
ความรักในช่วงเวลาที่ร้ายๆ นั่นก็เกิดขึ้นเพราะสิ่งต่างๆ จัดสรรเอาไว้เช่นกัน
ความรักก็ยังอยู่ในใจเราไม่ได้หายไปไหน


มันหายไป เพราะคุณโยมเอง ต้องการบงการดีร้ายนั้นๆ เสียเอง!

บางคนไม่ยอมให้อภัย หรือยอมรับเข้าใจตามความจริงได้ เมื่อเวลาผ่านไป
ดูเหมือนว่า จะตัดความรักความหลงลงไปได้ แต่แท้จริงแล้ว เขาหรือเธอ
ได้ขายหัวใจตัวเองไปแล้วอย่างไม่รู้ตัว และเป็นชนวนทำให้ จิตใจหยาบ
กระด้าง ดูเข้มแข็งแต่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่หัวใจยังร้าวราน

ผิดกับคนที่ยอมรับ ตระหนักได้ว่าเราไม่ใช่คนแรกที่ทุกข์ในโลกนี้เพราะความรัก
ไม่ใช่คนแรกที่ต้องยอมรับและผ่านมันไปให้ได้ ^^

ถ้าคุณโยมได้เขาคืนกลับมา แต่วันรุ่งขึ้น คุณโยมต้องจากไปอย่างกระทันหัน
หรือเป็นเขาที่ต้องจากเราไป นั่นจะมีประโยชน์อะไรอีก

ความจริงที่คนเราไม่รู้ ก็คือความยึดมั่นถือมั่น หรือหลงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง
มันจะเที่ยงแท้แน่นอน มันจะคงสภาพเป็นนิจนิรันด์อย่างที่ใจอยากให้เป็น
ไม่มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย พอลงคนเราได้หลงลืม ภูมิปัญญา
ทางพุทธศาสนาตรงนี้ไป ปล่อยให้จิตใจ ถูกครอบครองด้วยอารมณ์
ด้วยกิเลสตัณหาและความไม่รู้

นั่นก็แน่นอนที่จะต้องไม่ปล่อย ไม่ยอมไม่เย็น ไม่รู้ ไม่มีความสุข
อยู่อย่างนั้นนั่นเองการปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนา ไม่ใช่อะไรอื่น
นอกจากการยอมรับเรียนรู้ว่าสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างใจเราต้องการ
แม้ความทุกข์ จะไปปราถนาให้กลายเป็นสุข นั่นก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

ความทุกข์้ต้องแก้ที่เหตุ ไม่ใช่ตามแก้ที่ผล อีกร้อยคนสิบคนหากใจเรายัง
ไม่ยอมรับความจริงว่ามีพบมีจาก มีเริ่มต้นก็ต้องมีวันจบ มีรัก แต่ไม่ต้องมี
แค้น มีรอยยิ้มแทน ในมุมหนึ่งของหัวใจหากเป็นไปได้ ^^
(ใครสักคนไม่ใช่ทางออก ^^)

ทบทวนดูสิครับ จะแบกทุกข์ต่อไป ทุกครั้งที่เห็น ได้ยิน ที่คิดนึกต่อไป
กดตัวเองให้ทุกข์ทรมาน เพราะไม่พอใจ ไม่ชอบใจ หรือจะยกตัวเองให้
สูงขึ้น บูชาหัวใจตัวเองที่ รักใครสักคนได้มากว่าตัวเราเองจริงๆ

อวยพรให้มีสติปัญญา และค้าขายร่ำรวย หาที่สวยๆ ทำเลงามๆ อย่าลืม
กลับไปรักพ่อแม่และตัวเราเองมากๆ ดูแลจิตใจใส่ใจ ตัวเอง ไม่เผลอ
ไม่หลงเวลาใจยึดใจอยาก ให้มีสติรู้ตัว

เวลาที่ใจเป็นอย่างนั้นแล้ว ร่างกายก็ทรุดโทรม จิตใจก็อ่อนแอลงเพราะ
ความไม่รู้ ไม่มีสติัตัวเดียว เอาใจช่วย ขอเจริญพร

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2011, 20:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2011, 16:15
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุค่ะ จะพยายามทำให้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยากมากๆ สำหรับเรา และได้พยายามทำมาตลอดเวลาที่ผ่านมา ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด พยายามคิดเช่นนั้นแล้วแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้แก่อำนาจของกิเลสแทบทุกครั้งไป ถึงยังเจ็บอยู่ทุกวันนี้ เหมือนมารหรือกิเลสเค้าไม่อยากให้เราทำใจได้ เพราะแทบทุกครั้งที่เราตั้งใจว่าเราจะตั้งใจปฏิบัติ ตั้งใจที่จะมีสติให้อยู่กับปัจจุบัน เพื่อจะได้ไม่ปรุงแต่งความคิดตัวเอง ก็จะต้องมีเรื่องเข้ามากระทบจิตใจอย่างแรงทุกทีจนไม่มีแรงที่จะกำหนดต่อ จะว่าไปแล้วก็ตั้งแต่ตอนแรกๆ ที่เค้าเข้ามาจีบเรา ก่อนหน้านั้นเราก็ตั้งใจว่าเราจะปฏิบัติแล้ว กำลังมีความสุขกับชีวิตโสดอยู่เลย พอเค้าเข้ามาเราก็คบกับเค้าเลยเพราะเราก็ชอบๆ เค้าอยู่แล้วแหล่ะ มันคงเป็นวิบากด้วยที่ให้เจอเค้าเพื่อที่จะทำให้เราเสียใจในภายหลัง ก็คงต้องพยายามต่อไป ยากแค่ไหนก็ต้องพยายามออกจากแรงดึงดูดของกิเลสให้ได้ เพราะดูแล้วกิเลสไม่เปิดช่องให้เราทำใจได้เลย ขวางทุกครั้ง จะพยายามต่อสู้กับมันนะคะถึงแม้ว่า จะล้มอีกกี่ครั้งก็ตาม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2011, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ใจของคน...เป็นเครื่องบันทึกอย่างดี
โดยเฉพาะความเจ็บปวด...จะซึมซับได้ละเอียด
รวดเร็วและชัดเจน....จะให้ลืมนั้นคงยาก
สิ่งที่พอจะช่วยได้ก็คือพยายามอย่านึกถึง.....
หรือนึกได้...แต่อย่าต่อยอดความนึกคิดนั้น....

วันเวลาจะช่วยฝั่งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้เอง
เพียงแต่เราอย่าขุดคุ้ย ปล่อยให้มันผ่านไป
ปล่อยให้มันเป็นแค่อดีต...อย่าโยงมา "เกี่ยว" กับปัจจุบัน

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ :b4: :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2011, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พัดชา เขียน:
สาธุค่ะ จะพยายามทำให้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยากมากๆ สำหรับเรา และได้พยายามทำมาตลอดเวลาที่ผ่านมา ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด พยายามคิดเช่นนั้นแล้วแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้แก่อำนาจของกิเลสแทบทุกครั้งไป ถึงยังเจ็บอยู่ทุกวันนี้ เหมือนมารหรือกิเลสเค้าไม่อยากให้เราทำใจได้ เพราะแทบทุกครั้งที่เราตั้งใจว่าเราจะตั้งใจปฏิบัติ ตั้งใจที่จะมีสติให้อยู่กับปัจจุบัน เพื่อจะได้ไม่ปรุงแต่งความคิดตัวเอง ก็จะต้องมีเรื่องเข้ามากระทบจิตใจอย่างแรงทุกทีจนไม่มีแรงที่จะกำหนดต่อ จะว่าไปแล้วก็ตั้งแต่ตอนแรกๆ ที่เค้าเข้ามาจีบเรา ก่อนหน้านั้นเราก็ตั้งใจว่าเราจะปฏิบัติแล้ว กำลังมีความสุขกับชีวิตโสดอยู่เลย พอเค้าเข้ามาเราก็คบกับเค้าเลยเพราะเราก็ชอบๆ เค้าอยู่แล้วแหล่ะ มันคงเป็นวิบากด้วยที่ให้เจอเค้าเพื่อที่จะทำให้เราเสียใจในภายหลัง ก็คงต้องพยายามต่อไป ยากแค่ไหนก็ต้องพยายามออกจากแรงดึงดูดของกิเลสให้ได้ เพราะดูแล้วกิเลสไม่เปิดช่องให้เราทำใจได้เลย ขวางทุกครั้ง จะพยายามต่อสู้กับมันนะคะถึงแม้ว่า จะล้มอีกกี่ครั้งก็ตาม


tongue สวัสดีค่ะ คุณพัดชา

ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ การประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นสมประสงค์ ก็เป็นทุกข์กับสิ่งนั้น ๆ เหล่านี้เรียกว่าทุกข์ที่จรมาเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในธรรมชาติของมันอย่างนั้นนั่นเอง...
แต่เรากลับไม่ยอมรับในธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้เอง ด้วยเหตุแห่งอุปาทานที่เข้าไปยึด ไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงด้วยความเห็นผิดว่า เป็นความสุขที่สามารถปรนเปรอตอบสนองความอยากความเป็นตัวตนของเราได้...ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น นี่แหละที่เผาลนจิตใจของเราให้ร้อนรุ่ม ทุกข์ร้อนอยู่ตลอดเวลา....เมื่อมีมากจนท่วมท้นใจมันก็ล้นออกมาทางกายกรรมและวจีกรรม....
....แต่ถ้าในทางกลับกันใจเรายอมรับได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และก็หมดไป...ไม่สามารถยึดถือเอาไว้ได้ว่าเป็นของเรา...เพียงยอมรับความจริงที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ให้ได้เท่านั้น...ความเป็นทุกข์จะค่อยๆหมดไป...เพราะเห็นว่าเป็นเพียงสิ่งธรรมดาที่มีในธรรมชาติเท่านั้นเอง
...ไม่ต้องไปต่อต้าน กดข่ม บีบบังคับให้ความเป็นทุกข์มันหมดไปจากใจ...มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง...ยอมรับว่ามันมีอยู่ มันเกิดอยู่และยอมรับว่ามันก็ต้องหมดไป...มันเป็นเช่นนั้นเอง
...อย่าไปเหนี่ยวรั้งอดีตเอาไว้ ต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่า อดีต ผ่านมาแล้ว ไม่อาจกลับไปแก้ไขอะไรได้
เหนี่ยวรั้งเอาไว้ก็ไม่ได้ ถ้ายอมรับได้ไปตามความเป็นจริงได้ ...ใจจะไม่เป็นทุกข์ไปกับมันเลย... :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2011, 11:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ทักทาย เขียน:
ใจของคน...เป็นเครื่องบันทึกอย่างดี
โดยเฉพาะความเจ็บปวด...จะซึมซับได้ละเอียด
รวดเร็วและชัดเจน....จะให้ลืมนั้นคงยาก
สิ่งที่พอจะช่วยได้ก็คือพยายามอย่านึกถึง.....
หรือนึกได้...แต่อย่าต่อยอดความนึกคิดนั้น....

วันเวลาจะช่วยฝั่งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้เอง
เพียงแต่เราอย่าขุดคุ้ย ปล่อยให้มันผ่านไป
ปล่อยให้มันเป็นแค่อดีต...อย่าโยงมา "เกี่ยว" กับปัจจุบัน

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ :b4: :b4:



มี "อาลัย" จึ่งให้ใจคอยแต่จะน้อมไปใน

s006 s006 s006

"อาลัย"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2011, 18:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 190


 ข้อมูลส่วนตัว


พระท่านกล่าวไว้ว่า หลักสูตรพระพุทธศาสนาไม่มีอะไรมาก ท่านสอนตั้งแต่เบื้องบน คือปลายผมลงมา ตั้งแต่เบื้องล่าง คือปลายเท้าขึ้นไป ท่านสอนกันอยู่แค่นี้ ทำธุรกิจย่อมมีกำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง คงสภาพเดิมบ้าง นี้เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่เกิดขึ้นและรับรู้ได้ด้วยการเข้าข้องเกี่ยวทำกิจการนั้น ผู้ทำธุรกิจนั้นจะเห็นว่า ผลของธุรกิจดั่งว่ามานั้นย่อมมีความต่างกันตามลักษณะ เพราะมันเป็นอย่างธรรมดาอย่างนั้น มีกำไรก็คือ มีกำไร ขาดทุนก็คือ ขาดทุน คงสภาพเดิมก็คือ คงสภาพเดิม ใครจะบังคับสิ่งที่มันเป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างอื่น ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาใคร นี้คือ ธรรมชาติของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา... ที่กล่าวมานี้ ก็ส่วนกำไร ขาดกำไรของธุรกิจการงาน ส่วนตัว กาย ใจเรานี้ ที่ครองตนครองชีวิตอยู่นี้ ดำเนินไปตามเส้นทางชีวิตได้ราบรื่น มีอุปสรรคขัดข้องอย่างไร เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาคำนึงให้ทั่วถึงอย่างมีสติ สิ่งภายนอกนั้นเขาดำรงอยู่อย่างนั้นมีอยู่แต่ก่อน ส่วนตัวเรานั้นเกิดมีอยู่อาศัยสิ่งภายนอกนั้น ด้วยสักแต่ว่า อาศัยเป็นฐานให้ดำรงชีวิตต่อไปให้มีคุณค่ามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กำไรชีวิตจึงจะเกิดมีให้ชื่นชม การดำเนินชีวตด้วยความมีสติไม่ประมาทพลั้งเผลอไปกับสิ่งภายนอกนั้น จะเป็นการดำเนินชีวิตที่อาศัยฐานอันเป็นภายนอกนั้นได้อย่างคุ้มค่า ไม่เสียโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ไม่ขาดทุนเพราะอดีตมาตามให้กลัดกลุ้ม การดำรงสติให้อยู่กับปัจจุบันทุกขณะของการดำเนินชีวิต ด้วยความระลึกรู้ไว้ที่กาย ใจของตนนี้ ระมัดระวังเสมอที่จะไม่ทำตนให้พลาดพลั้งไปกับสิ่งภายนอกอันเป็นสิ่งที่ทำให้เสียโอกาส ขาดทุน จึงเป็นทางที่ดี เป็นทางไม่มืดมน ที่ควรจะดำเนินปฏิบัติด้วยความพอใจประกอบความเพียรทั้งด้วยความอดทน มุ่งตรงที่จะทำตามทางนั้นให้สำเร็จได้ ....เพราะฉะนั้นแล้ว การสำเหนียกศึกษาระมัดระวัง กาย วาจา ใจ นี้ จึงเป็นทางที่จะทำกำไรให้แก่ชีวิตได้อย่างแน่นอน เราคิดดี คิดไม่เป็นภัยแก่ตนและผู้อื่น นี้ก็กำไร เราพูดดี พูดไม่เป็นภัยแก่ตนเองและผู้อื่น นี้กำไร เราทำดี ไม่ทำชั่วเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น นี้กำไร ระมัดระวังตัวเองด้วยความมีสติดำเนินไปตามทางดั่งว่ามานี้ ด้วยความพอใจ ตั้งใจ ไม่นานวันก็ย่อมจะสำเร็จเป็นกำไรแก่ชีวิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2011, 02:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


eragon_joe เขียน:
มี "อาลัย" จึ่งให้ใจคอยแต่จะน้อมไปใน "อาลัย"


มีอาลัย...จึงบันทึก
เพราะบันทึก...จึงอาลัย... s006

ถ้าไม่อาลัย...จะบันทึกไหม?

ถ้าไม่บันทึก...จะยังอาลัยอยู่รึเปล่า? s006

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2011, 17:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ทักทาย เขียน:
eragon_joe เขียน:
มี "อาลัย" จึ่งให้ใจคอยแต่จะน้อมไปใน "อาลัย"


มีอาลัย...จึงบันทึก
เพราะบันทึก...จึงอาลัย... s006

ถ้าไม่อาลัย...จะบันทึกไหม?

ถ้าไม่บันทึก...จะยังอาลัยอยู่รึเปล่า? s006


นี่ย่าทักถามจริง ๆ เหย๋ออออ... s006

cry cry cry

ย่าทัก รักใครคนหนึ่ง ย่าทักรักเขาเพราะสิ่งใดเป็นปัจจัย
ย่าทัก ลองพิจารณาให้ครบนะ

ย่าทักเคยพิจารณามั๊ย ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิด สิ่งนี้จะเกิดมั๊ย กับความรักในคนที่ย่าทักรัก รึเปล่า
ค่อย ๆ ตัดภาพยนต์ที่มีเขาเป็นตัวแสดงออกเป็นชิ้น ๆ แล้วนั่งพิจารณา
และ เมื่อพิจารณาจนครบแล้ว ไม่พ้นที่เราจะต้องถูกนำมาพิจารณา เช่นกัน

:b1:

เอกอนเคยนั่งพิจารณา แม้แต่
รักเพราะ เสื้อที่เขาใส่ หรือ
รักเพราะ ท่าทาง การพูดจาของเขาหรือ
รักเพราะ ส่วนไหนของรูปกายภายนอกของเขา
รักเพราะ จิตใจของเขา
รักเพราะ คืนก่อนที่จะเจอเขา เราดันฝันเห็นเขาหรือ
รักเพราะ ก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อต่างประเทศมีคนได้ทำสิ่งหนึ่งหล่นไว้ในสวนสาธารณะ
และมันก็ซุกอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งเรามีโอกาสไปที่นั่นและสายตาเราไปเห็น จึงเก็บขึ้นมา
เมื่อปัดฝุ่นดู ก็เห็น ชื่อเขาสลักเอาไว้ พอดีเอกอนเห็นว่ามันยังใช้ได้ จึงเก็บเอาไว้
และ สองปีต่อมา หลายคืนก่อนที่จะได้ไปทัศนะศึกษา เอกอนฝันเห็นคน ๆ หนึ่ง และชื่อ ๆ หนึ่ง
เมื่อถึงวันไปทัศนะศึกษา เอกอนพบคน ๆ หนึ่ง เขาเป็นวิทยากร หน้าตาคุ๊นคุ้น
มองไปบนเสื้อของเขา เป็นอักษรแสกน ชื่อ ที่เอกอนเห็นในฝัน
เมื่อมองไปที่ป้ายชื่อ ชื่อที่สลักเอาไว้

....

:b32: :b32: :b32: :b32:

:b6: :b6:

ถ้าเอกอนรักเขา ย่าทักคิดว่าอะไรเป็นเหตุให้เอกอนรักเขา ได้บ้าง

เพราะเอกอนเห็นใจคอยแต่จะไหลไปในสิ่งที่ปรากฎ และก็ปรุงแต่งไหลเรื่อยไป
เอกอนจึงต้องหันหน้าอาศัยธรรมยึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้

เอกอนยกให้เขา เป็นครูคนแรกที่มีอิทธิพลอย่างสูง
ในการถีบเอกอนเข้ามา ศึกษาธรรม


:b1: :b1: :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 14 ต.ค. 2011, 17:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2011, 17:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


s006 s006

รักเพราะพระจันทร์ เป็นใจ
ความรักก็เลย มีข้างขึ้น ข้างแรม

รักเพราะพระอาทิตย์ เป็นใจ
ความรักก็เลย ร้อนเร่า grin

รักเพราะต้นไม้ใบหญ้า เป็นใจ
ความรักก็เลยต้องการการบำรุง บำเรอ
ขาดเสียซึ่งการบำรุง ก็เหี่ยวแห้ง เหี่ยวเฉา s007

ลำนำ รัก รัก s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2011, 18:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกครั้งที่จะได้พบเขา เอกอนจะเห็นเป็นภาพนิมิตปรากฎล่วงหน้า
การติดต่อ คุยกัน เอกอนแทบจะรู้เรื่องราวล่วงหน้าก่อนทุกครั้ง
ครั้งหนึ่งเขาไปประสบอุบัติเหตุ ปรากฎว่าเอกอนกำลังจะหลับ
ดันเห็นภาพเขาเดินทะลุประตูเข้ามา :b14: :b14:
(โหยยยย ช่างทำกับตรูได้...)

รัก & หลอน

:b22: :b22: :b22:

แม้เวลาจะผ่านไป ไม่ค่อยได้ติดต่อแล้วก็ตาม
เมื่อหลายวันก่อนนิมิตเห็นเขามาหา
พอวันรุ่งขึ้น ก็พบว่าเข้าส่งข้อความมาทักทาย จ่อยนึง :b6:

เอกอนไม่เคยเล่าเรื่องราวที่ปรากฎกับเอกอนให้เขารับรู้
เพราะ ไม่อยากเอาภาระทางสายตาไปให้เขาต้องพลอยหลอนไปด้วย
เพราะ ไม่อยากให้บรรดาสิ่งเหล่านั้นเป็นปัจจัยให้เราต้องมานั่งคิดอะไร อะไร
คือ ถ้ามันเป็นปัญหาทางสายตาของเราคนเดียว ก็อย่าให้มันเป็นไปในทางที่ลุกลาม
เพราะ เอกอนไม่คิดว่า เพราะสิ่งนั้นเกิด แล้วอะไร ๆ มันจะต้องเกิด
(หมายถึง ผัสสะเกิด เวทนาเกิด อารมณ์เกิด แล้วจะต้องเกิดการกระทำที่เนื่องด้วย
การเกิดเหล่านั้น ๆ ตามมา)
เพราะ มันไม่พ้นที่จะทำให้เราต่างหลงไปสู่ความ คาดคั้น และคาดหวัง
และ เงื่อนไขใด ๆ ที่ปรากฎ ก็ไม่ใช่หลักประกันอะไรที่ มั่นคง
ทันที ที่เราแหย่เท้าลงไปในความเชื่อใดอย่าง สุดโต่ง
แม้สิ่งนั้นดูจะสะท้อนถึงความแน่เป็นแช่แป้งแล้วก็ตาม
แต่อย่าลืม ว่าทุกสิ่งนั้น สร้างขึ้นมาไม่ต่างจากปราสาททราย
แล้วดูจะ เป็นปราสาทแห่งเงา เสียด้วยซ้ำ

เขาคือครูทางธรรม ที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในชีวิตนี้ จริง ๆ

:b1: :b1: :b1:

และ เอกอนก็ไม่แปลกใจ ว่าทำไมเราดู แก่เร็วเกินอายุ :b6: :b32: :b32:
เพราะตรูนี่ ช่างคิดมากนี่เอง 5555

:b18: :b18: :b18:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2011, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


จั๊กกิ้ม เขียน:
นี่ย่าทักถามจริง ๆ เหย๋ออออ...


ตอบมาเสียยึดยาว...ยังจะสงสัยอีกว่าย่าถามจริงหรือเปล่า?
ถามเจรงๆ...จ้า :b12:

นั่นซินะ...ย่าลืมไปเสียสนิทเลยว่า เพราะมีสิ่งนั้นจึงทำให้เกิดสิ่งนี้


อ้างคำพูด:
ย่าทัก รักใครคนหนึ่ง ย่าทักรักเขาเพราะสิ่งใดเป็นปัจจัย
ย่าทัก ลองพิจารณาให้ครบนะ


แม้ทุกสิ่งทุกอย่างจะผ่านไปแล้ว แต่ขอตอบว่าไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลย
วันนี้ลองมาชำแหละสิ่งเก่าๆดู เผื่อย่าจะหลาดขึ้นอีกนิดสส์นุง...
เดี๋ยวนะ ขอตั้งจิตย้อนหาอดึตก่อน...เอ...เรารักเขาด้วยเหตุอันใดหนอ?

อืมม์...คงเริ่มจากความพึงพอใจ..กิริยาท่าทางที่เงียบขรึม สงบนิ่งเป็นอย่างแรก
รูปร่างหน้าตาที่เป็นชายไทยแท้ๆ...นี่เป็นปัจจัยอย่างแรก...ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่อง
ของกิเลส ตัณหา ที่ทำงานเอง เหมือนเราติดเครื่องยนต์ ทุกอย่างมันจัดสรร
จัดแจงให้เป็นกระบวนการณ์...เหมือนเปิดเขื่อนกั้นน้ำ พอไหลออกมาได้ก็ทะลัก
ทะลายตามแรงดัน แบบไม่มีทางที่อะไรจะหยุดได้ กว่าจะรุ้ตัวน้ำก็ท่วมบ้านเสียแล้ว

นอกจากความพึงพอใจ จากผัสสะที่มากระทบ เป็นปัจจัยในชาตินี้ภพนี้แล้ว คงเป็น
ของเก่า(ซึ่งไม่รู้ว่าบุญหรือบาป) ก็เกื้อหนุนให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เป็นผลสืบเนื่องต่อกันมาเรื่อยๆ...เรียงลำดับจาก...

รู้สึกเฉยๆ...ตอนพบกับครั้งแรก
พึงพอใจในกาลต่อมา
แล้วก็...เริ่มรัก....รัก...รักมาก...รักที่สุด...รักสุดหัวใจ
ต่อมาก็เจ็บ...แค้น...เสียใจ...น้อยใจ..ริษยา...อาฆาต
โกรธ...เริ่มเกลียด...เกลียด...เกลียดมาก...เกลียดที่สุด
เกลี๊ยดๆเกลียดสุดหัวใจ....ความพึงพอใจแต่เริ่มก็แปรเปลี่ยนไป
ตามอารมณ์ต่างๆ....จนในที่สุดก็ไม่เหลืออะไร...กลับเข้าสู่สภาวะ
เฉยๆ....เหมือนตอนเริ่มต้น

ตอนนี้ ไม่โกรธ...ไม่เกลียด...ไม่แค้น แถมสงสารเขาอีก
ว่าเขายังหลง วนอยู่ในวงเวียนใหญ่ ขับรถอย่างไรก็ออกจาก
วงเวียนนั้นกันไม่ได้ เพราะเราหลุดออกมาข้างนอกได้แล้ว
จึงเห็นว่าในวงเวียนนั้น น่าเวียนหัวเสียนี่กระไร? ทำไมเมื่อก่อนนี้
เราเข้าไปโลดแล่นอยุ่ในนั้น แถมยังพอใจกับสภาพอันน่าเวียนหัวนั้น
ได้อย่างไร?

ความอาลัยมันเคยมีอยู่...แต่ตอนนี้มิได้อยู่
เครื่องบันทึก...ก็ไม่ค่อยทำงาน พบอะไร เห็นอะไรแป๊ปเดียวก็ลืม

ปัจจัยต่างๆ เริ่มขาดตอน เพราะสายลำเลียงไม่ค่อยทำงาน
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงดำเนินต่อแม้จะกระท่อนกระแท่น
จากเสบียงเก่าๆที่ยังเหลืออีกมากมาย.....

ย่าไม่รู้ว่าจั๊กกิ้มจะเข้าใจภาษาของย่าหรือเปล่า?
แต่..ณ.เวลานี้ ย่าต้องขอบใจหลาน เพราะทำให้ย่าเข้าใจตัวเอง
เข้าใจ เหตุและปัจจัย...มากกว่าเดิม...ที่เดินหลงสะเปะสะปะ
ก็พอจะเข้ารูปเข้ารอยได้อีกนิดนุงแล้ว.....ขอบใจจ้า :b12:

ที่บ้านน้ำท่วมหรือเปล่า?....ส่งกำลังใจและความห่วงใยมาพร้อมนี้
ขอให้คลาดแคล้วนะค่ะ

เอ....ย่าว่า...เราไปบ่น...เอ๊ย..สนทนากันต่อที่บ้านย่าดีกว่าไหม?
กลัวเจ้าของบ้านเขารำคาญค่ะ.. :b13:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2011, 16:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ย. 2011, 10:20
โพสต์: 14


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำใจทำไม ทำไมต้องทำใจ ใจคือจริง จริงคือใจ อยู่กับความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับๆๆๆๆๆๆ อยู่ตลอดเวลา ทุกข์เกิดเพราะการไม่ทรงอารมณ์ปัจจุบัน เราทุกข์เพราะทรงอารมณ์อดีต สิ่งที่เราทำไปแล้วทำคืนไม่ได้ ก็หมายความว่าอารมณ์ที่ผ่านแล้วก็จบไป ไม่อยากให้มันผ่านมันก็ผ่าน ไม่อยากให้มันดับมันก็ดับ ใจที่ยึดติดต่างหากที่เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะทนไม่ได้ที่เห็นของรักของชอบใจเปลี่ยนแปลงไป ไม่ต้องทำใจ ไม่ต้องสนใจ ปล่อยไปตามความเป็นจริง อยู่กับใจตนเอง พาใจกลับบ้าน หญิงใดฝากใจไว้กับคนอื่นที่ไม่ใช่ใจตนคนนั้นย่อมเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป ไม่ต้องทำใจแค่พาใจตนกลับบ้านที่นี้เดี๋ยวนี้ คุณก็อิสระจากทุกข์แล้ว มีลาภมีเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสุขเสื่อมสุข มีทุกข์เสื่อมทุกข์ มีนินทาเสื่อมนินทา มีสรรเสริญเสื่อมสรรเสริญ มีรักเสื่อมรัก มีสามีเสื่อมสามี มีเกิดมีดับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร