วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 19:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 14:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
เมื่อพระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งแทงตลอดในวงจรปฏิจสมุปบาทว่าอวิชชาคือความหลงจึงสามารถใช้ความเข้าใจในไตรลักษณ์มาทำลายได้

วิชชาหรือความรู้แจ้งเห็นแจ้งจึงเปิดเผยออกมาในขณะนั้นเพราะอำนาจแห่งอวิชชาได้ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงแล้วนั่นเอง

หากว่าอวิชชาหรือความหลงไม่มีอยู่ก่อนแล้วพระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงค้นพบมันได้
ในทางกลับกันหากว่าวิชชาหรือความรู้ไม่มีอยู่เมื่ออวิชชาหมดไปสิ่งนั้นย่อมไม่เปิดเผยออกมาดังนี้ค่ะ

ไม่ต้องคิดมากเอาแค่ ถ้าไม่มีวิชชา ไอ้คำว่า อวิชชามันจะมีมั้ย


:b1: หากคุณยังอาศัยความคิดอยู่แม้แค่นิดเดียวก็ไม่อาจเข้าใจในธรรมได้เลยค่ะ

ดิฉันได้อธิบายไว้แล้วว่าอวิชชาและวิชชาทั้งสองอย่างนั้นมีมาแต่เดิมแล้วไงคะ ^^
คำพูดบัญญัติง่ายๆ แค่นี้คุณยังไม่เข้าใจจนต้องมาถามหาอะไรอีกหรือคะ

มีแต่คุณที่ยังเข้าใจว่าอวิชชาไม่มีอะไรเป็นแค่สิ่งที่พระพุทธเจ้ากำหนดขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่ายังไม่มีวิชชาเท่านั้น
หากสับสนจนจำคำพูดของตนไม่ได้แล้วก็กรุณาย้อนกลับไปทำความเข้าใจใน คห.ของตนเสียใหม่ดีกว่าค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 14:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
ดังพุทธภาษิตว่า..............
ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ
:b3: ปล.ตับท่านอาจารย์ว๊านหวานค่ะ ^^

สุภาษิตใครหรา ปลื้มล่ะสิ!!!!!!!!!!


:b1: คุณไม่รู้หรือคะ ความปลาบปลื้มในพุทธภาษิตน่ะเป็นวิชชาค่ะ ^^
ส่วนการมากระแนะกระแหนะพระพุทธองค์ที่ทรงเอ่ยภาษิตเช่นนี้แสดงว่าอวิชชาส่งคุณโฮฮับมาแน่ๆ

หากพุทธภาษิตง่ายๆ แค่นี้คุณยังไม่รู้จักก็คงยากที่จะเข้าใจในปฏิจสมุปบาท
เพราะพระพุทธองค์ยังทรงยอมรับว่าปฏิจสมุปบาทเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเห็นได้ยากเข้าใจได้ยากยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 14:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
[ :b1: ดิฉันดูไม่ผิดเลยค่ะ........ถามแบบนี้แสดงว่าคุณไม่ได้ศึกษามาจริงๆ นั่นแหละ
"สัพเพ สังขารา ทุกขา สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ ธัมมา อนัตตา"
ท่านอาจารย์เรียนมาแค่ สัพเพ ธัมมา อนัตตา แสดงว่ายังเรียนไม่จบเลยนะคะ
ธรรมทั้งปวง ได้แก่ กุสลาธรรม อกุสลาธรรมา อพยกตาธรรมา คือสังขารอันมีอวิชชาความหลงเป็นปัจจัยนั่นเอง
เพราะฉะนั้นการจะลาวางความยึดมั่นถือมั่นได้ต้องเข้าใจด้วยว่าธรรมทั้งปวงนั้นเกิดมาจากอะไรเป็นเหตุปัจจัยที่แท้จริง
หากจะตีความตามแบบของท่านอาจารย์โฮฮับว่าอวิชชาคือความยึดมั่นถือมั่น
ดังนั้นธรรมทั้งปวงย่อมเกิดมาจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นเหตุเริ่ม
แสดงว่าพอเริ่มต้นมันก็ยึดมั่นไปแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงผู้ปฏิบัติก็จะไม่มีทางละวางมันได้เลย

มัจฉาณุเนี้ยฟังไม่ได้ศัพย์ ดันเอาไปกระเดียด แถมกระเดียดเข้าบ้านตัวเองด้วย
ผมบอกว่าในความเป็นจริง วงปฏิจฯของปุถุชน สภาวะที่เรียกว่าอวิชชามันไม่มี
และในวงปฏิจฯของปุถุชน ทั้งวงถูกควบคุมด้วยความยึดมั่นถือมั่น
ไม่รู้ว่ามัจฉาณุ สรุปมาได้งัยว่าผมกล่าวว่า อวิชาคือความยึดมั่นถือมั่น
แล้วสัพเพ ธัมมามันเป็นตับ ส่วนสัพเพสังขารามันเป็นขนอันนี้ไปตีความเอง
เพราะใจดีเปิดทางให้เดินที่ไหน หาว่ายอมรับทุกที ทำคุณบูชาโทษ เซ็งจ๋า!


เป็นเพราะตัวเองอุปาทานกับตัวหลง ก็เลยคิดว่ามันเป็นในส่วนอวิชา
ที่แท้มันเป็นกิเลสต่างๆที่เก็บดองเอาไว้ในสังขารขันธ์ในชาติปัจจุบัน
(อดไม่ได้ที่จะเมตตาจริง ๆ)


:b1: ขอประทานโทษนะคะ

คุณบอกเองว่าในวงปฏิจฯของปุถุชน ทั้งวงถูกควบคุมด้วยความยึดมั่นถือมั่น

และดิฉันได้อธิบายไปแล้วว่าความยึดมั่นถือมั่นคืออุปาทานแต่คุณบอกว่ามันไม่ใช่

หากความยึดมั่นไม่ใช่ทั้งอุปาทานและอวิชชาแล้วคุณจะจัดให้มันอยู่ในส่วนไหนของวงจรปฏิจสมุปบาทละคะทีนี้

หรือคุณเข้าใจไปว่ายังมีความยึดมั่นถือมั่นที่อยู่นอกเหนือจากวงจรปฏิจสมุปบาทอีกทีหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังทรงรู้ไม่ถึง

เอาละสิคะทีนี้คุณเริ่มจะเห็นความสับสนของตนชัดเจนขึ้นแล้วหรือยังคะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 15:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
[ :b1: ความจริงแล้วอวิชชาก็คือความหลง
เพราะฉะนั้นการละวางความยึดมั่นจึงสามารถทำได้ ดังนี้

เมื่อมีความหลงเป็นปัจจัยให้เกิดธรรมทั้งปวงขึ้นมา
จากนั้นจึงมีวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อันเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานหรือความยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวง ณ จุดนี้
หากปล่อยให้วงจรปฏิจสมุปบาทดำเนินต่อก็จะไปถึงความทุกข์ในที่สุดนั่นเอง

แต่ถ้าต้องการละวางความยึดมั่นถือมั่นย่อมทำได้หลายจุดนับตั้งแต่ ตัณหา ย้อนกลับไป
เพียงแต่มีสติรู้ในจุดใดจุดหนึ่งก็จะสามารถสกัดกั้นอุปาทานไม่ให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาได้
วงจรของปฏิจสมุปบาทก็จะขาดลงเพียงเท่านั้นความทุกข์ในเรื่องนั้นจึงไม่เกิดขึ้น
แต่ถ้าจะตัดตอนวงจรแห่งทุกข์ทั้งปวงเสียทีเดียวก็ต้องทำลายที่เหตุเริ่มด้วยการดับอวิชชาหรือความหลงนั่นเอง

เล่นอธิบายเป็นบทลิเกแบบนี้ไม่รู้ตัวคนพูดเองจะเข้าใจหรือเปล่า
มันจะไปดับอวิชาอะไร ในอวิชามีอะไรให้ดับหรือ เพราะตัวเองไปมั่วเอาอะไรก็ไม่รู้
มาปรุงแต่งทาปากเขียนคิ้วแล้วก็เรียกมันว่าอวิชา ขำจัง
พูดแบบไม่ดราม่า มันต้องเอาเครื่องมือมาดับ เครื่องมือในที่นี้คือวิชชา

เอาเป็นว่าประเด็นเรื่องอุปาทาน ของผมคือความหลง ของคุณคือความยึดมั่นถือมั่น
และอวิชาของคุณคือความหลง ของผมเป็นสภาวะที่ไม่มีวิชชาในปุถุชน
เอาตามนี้ ขี้เกียจเถียงแล้ว นี้อย่าว่าแต่ตับหรือกึ๋นเลย มันเลยไปจนถึงไส้ติ่งแล้ว
อีกหน่อยออกทางก้นแล้วย้อนข้นปากแน่...ขำ


:b1: แสดงว่าคุณจนปัญญาที่จะอธิบายในสิ่งที่ตนเข้าใจให้กระจ่างแจ้งได้แล้วใช่ไหมคะ

สภาวะที่ไม่มีวิชชาในปุถุชนนั้นไม่จริงเลยค่ะ
แม้ปุถุชนก็มีวิชชาอยู่อย่างบริบูรณ์เพียงแต่ถูกความหลงซึ่งมีมากกว่าปิดบังไว้
ทำให้ไม่สามารถเห็นวิชชาที่มีมาแต่เดิมแล้วได้ค่ะ

:b1: หากคุณเข้าใจไปว่าวิชชาไม่มีในปุถุชนแล้วลองอธิบายมาให้กระจ่างได้ไหมว่า.......

พระโพธิสัตว์ในสมัยที่ยังเป็นปุถุชนสามารถใช้ปัญญาในระดับของตนสร้างวิชชาที่ไม่มีในตนขึ้นมาได้อย่างไร

ส่วนปุถุชนที่ได้รับการถ่ายทอดคำสอนหรือวิชชาจากพระพุทธเจ้าแล้วจะสามารถเข้าใจในวิชชาที่ไม่มีในตนนั้นได้อย่างไร


:b1: และวิชชาที่ไม่เคยมีมาก่อนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

เมื่อวิชชาเพิ่งมีการเกิดขึ้นแล้วย่อมแสดงว่าวิชชานั้นอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ใช่หรือไม่

ถ้าวิชชานั้นอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนใช่หรือไม่

ถ้าวิชชานั้นไม่เที่ยงแท้แน่นอนเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมและดับไปในที่สุดใช่หรือไม่

ถ้าวิชชานั้นอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ย่อมไม่มีใครสามารถรักษาวิชชานั้นเอาไว้ตลอดไปได้ใช่หรือไม่

ถ้าวิชชานั้นดับไปแล้วผู้ที่บรรลุอรหันต์ก็ไม่อาจรักษาวิชชานั้นเอาไว้ได้ย่อมต้องกลับมาเป็นปุถุชนตามเดิมใช่หรือไม่


:b1: ถ้าอุปาทานคือความหลงแล้วอวิชชาก็ไม่มีอะไรตามที่คุณเข้าใจ
ลองอธิบายมาให้กระจ่างได้ไหมว่าความยึดมั่นถือมั่นใน คห.ของคุณนั้นจัดอยู่ในส่วนไหนของวงจรปฏิจสมุปบาท


:b1: และถ้าคุณเข้าใจว่าความยึดมั่นถือมั่นที่ควบคุมวงจรปฏิจสมุปบาทอยู่นอกเหนือจากวงจรนั้นออกไปอีก
คุณจะอธิบายให้กระจ่างได้หรือไม่ว่าการดับวงจรปฏิจสมุปบาทจะสามารถดับความยึดมั่นถือมั่นที่อยู่นอกเหนือจากวงจรนั้นจริงๆได้อย่างไร


:b1: หากคุณมั่นใจว่าความเข้าใจของคุณนั้นเป็นธรรมอันถึงที่สุดแล้วจริงๆ ก็ช่วยอธิบายมาให้กระจ่างแจ้ง เพื่อทำความเข้าใจให้แก่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายที่มีความเข้าใจยังไม่ถึงในระดับขอคุณด้วยนะคะ

:b8: กราบอาราธนาด้วยความศรัทธาเคารพในพระสัทธรรมค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 15:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
[ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น ...

:b1: สรุปว่า ถ้าอวิชชาคือความยึดมั่นถือมั่นไปตั้งแต่แรกแล้วผู้ปฏิบัติย่อมไม่มีทางละวางมันได้อย่างแน่นอน

แต่เมื่ออวิชชาคือความหลงพระพุทธองค์จึงทรงค้นพบหนทางแห่งความดับทุกข์อย่างสิ้นเชิงได้

ปล.หากท่านอาจารย์อยู่กับตัวรู้ก็จะรู้ตัวได้นะคะ ^^

พูดอยู่ได้เป็นความหลง ๆๆๆๆๆๆๆ พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะนำทางให้แล้ว
อุตสาห์มาบอกว่ามีสภาวะวิชชาอยู่ ถ้ายังหลงอยู่ก็ไปขอให้พระเจ้านำทางเถอะ


:b1: ขอประทานโทษนะคะ

ดิฉันก็กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าทั้งวิชชาและอวิชชานั้นมีอยู่แต่เดิมแล้ว
มีแต่คุณที่เข้าใจว่าอวิชชาไม่มีอะไรเป็นแค่สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่ายังไม่มีวิชชา

ถ้าเช่นนั้นวิชชาขอคุณมันโผล่ออกมาจากไหนได้ละคะ
คุณสามารถอธิบายได้ให้กระจ่างแจ้งและเข้าร่องเข้ารอยกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายได้หรือเปล่าละคะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ จางบางวางหนังสือมานานนมถมถืดแล้ว แต่เพราะยังคาใจว่าทำไมต้องให้หาหลักฐาน
มายืนกรานถึงจะยอมยอมให้คุณจางบางกันบ้าง แต่ถึงแม้คุณจางบางจะเอาพระสูตรมายืนยัน
คุณจางบางก็รู้คำตอบอยู่ดีแหละว่า ผู้รู้ดีกว่าพระไตรปิฎกก็คงไม่ยอมหยุดเชื่อ หรือเงี่ยหูฟัง
อยู่ดี แต่เพราะอุปนิสัยลึกๆที่ไม่ค่อยยอมศิโรราบคาบแก้วโดยง่าย คุณจางบางก็ขอยกพระสูตร
มาฝากคุณ แฟนตาเซียด้วยนะคะ

จาก สูตรที่๒ พุทธวรรค นิทานสังยุตต์เล่ม ๑๖/๒/๔ ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่เชตวัน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นามรูปเป็นอย่างไรเล่า

เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ นี้เรียกว่านาม มหาภูตทั้งสี่ด้วย รูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย
นี้เรียกว่ารูป นามนี้ด้วย รูปนี้ด้วยย่อมมีอยู่ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่านามรูป

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นอย่างไรเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่แห่งวิญญาณทั้งหลาย
๖หมู่เหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนวิญญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าวิญญาณ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารทั้งหลายเป็นอย่างไรเล่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้ง๓อย่างเหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่าสังขารทั้งหลาย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อวิชชา เป็นอย่างไรเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความไม่รู้อันใดแล เป็นความไม่รู้ในทุกข์ เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์
เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นความไม่รู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์
ให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียก อวิชชา


คุณจางบางตัดตอนมาเป็นบางส่วนเพราะขี้เกียจพิมพ์ หากคุณแฟนตาเซียจะอนุเคราะห์
ก็ลองช่วยหา ความหมายของปฏิจจสมุปบาท ที่คุณนำมาอธิบายขยายความ ว่าพระ
พุทธองค์ทรงตรัสไว้ที่ไหน ช่วยหาเอาให้ชื่นชมแก้โง่เขลาแก่คุณจางบางด้วยเถิดเจ้าคะ

ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา :b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย จางบาง เมื่อ 21 ก.ย. 2011, 15:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 15:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:b1: ดิฉันจะบอกให้ว่าอวิชชาความหลง กับ ความลุ่มหลงนั้นต่างกันลิบลับค่ะ
ความลุ่มหลงหรือจะเรียกอีอย่างว่าความยึดมั่นถือมั่นก็ได้นั่นก็คืออุปาทานนั่นเอง
ความลุ่มหลงนี้มันมีขึ้นเพราะมีตัณหาความอยากเป็นปัจจัยจึงเกิดเป็นความลุ่มหลงตามตัณหานั้นขึ้นมาดังนี้ค่ะ

คห.ของคุณแสดงว่ายังอ่อนหัดมาก หากเข้าใจได้แค่ความยึดมั่นถือมั่นและยังติดตังอยู่เพียงเท่านี้
อีกไกลกว่าจะไล่ความเข้าใจไปถึง ตัณหา เวทนา ผัสสะ สฬายตนะ นามรูป วิญญาณ สังขาร และ อวิชชา จนสุดกระบวนการฝ่ายดับแห่งวงจรปฏิจสมุปบาทได้นะคะ

ถ้าไปได้เรื่อยเปื่อยแบบนี้ มันก็เอวังนะซิครับ
ตอบแบบนี้อาจารย์แม่สุนี อาจารย์ป้ากาญจนณา อายเลยครับ


:b1: หากทั้งสองท่านยังมียางเหนียวเช่นนั้นอยู่มันก็มีเหตุปัจจัยให้ออกมาได้ค่ะ
ตามกฎอิทัปปัจยตา คุณลืมไปแล้วหรืออย่างไรคะ ^^

ความหมายของมันคือ
ถ้าเป็นดราม่า คุณพูดจาเฉไฉครับ
แนวแอคชั่น แถจริงๆนะแก
แนวคอมมานดี แม่ ปลาไหล


:b1: หมายความว่าเวลานี้คุณหลงตามอารมณ์ไปจนไม่สามารถน้อมนำธรรมะมาอธิบายได้แล้วใช่ไหมละคะ ^^

เห็นได้หรือยังคะว่าอารมณ์ของคุณเกิดขึ้นแล้วเพราะความหลงทำให้คุณไหลไปยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์เหล่านั้นจนไม่สามารถนำวิชชามาใช้ทำลายมันได้ ในที่สุดคุณก็ต้องทุกข์เพราความหลงของคุณนั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 15:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
[ :b1: ขอประทานโทษนะคะ

คุณเข้าใจว่าอย่างนั้นแต่ที่ท่านพระอาจารย์มั่นอธิบายไว้ว่าอย่างนี้ค่ะ :

คุณจะบอกว่า หลวงปู่กล่าวอะไรมันเรื่องของคุณครับ
ผมไม่กล้าแสดงความเห็นที่เป็นธรรมของหลวงปู่ครับ

แต่ถ้าเป็นธรรมของ ท่านขำว่ะ ก็พอไหว แต่ฉากหนังเอ็กไม่เอาน่ะ


:b1: หากคุณมั่นใจว่าความเข้าใจในธรรมของคุณถึงที่สุดแล้วก็ขอให้แสดงมาเถอะค่ะ
บอกแล้วว่าองค์ท่านก็เคารพในพระธรรม พระพุทธองค์ก็ทรงเคารพในพระธรรมเช่นกัน
ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลยค่ะ นอกจากว่าคุณยังไม่แน่ใจในความเข้าใจของตนเองว่าเป็นของแท้ใช่หรือไม่

:b1: ส่วนฉากหนังเอ็กนั้น หากคุณมีความเข้าใจในธรรมแล้วย่อมมองเห็นเป็นธรรมได้โดยไม่สะดุ้งสะเทือน
ดังเช่นพระพุทธองค์เมื่อถูกยั่วยวนโดยนางราคะ ตัณหา อรดี นั่นเอง

:b16: แต่เห็นได้ชัดว่าแค่กระทบกับตัวหนังสือเล่าเรื่องเสียวเท่านั้นคุณก็ทนไม่ไหวซะแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 15:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:b1: ข้อนี้ดิฉันขอชี้แจงว่าอวิชชาใดก็อยู่ในวงปฏิจสมุปบาทแต่.........

ต้องแยกแยะให้ดีว่าการกล่าวถึงอวิชชาในแง่ของความไม่รู้แจ้งอริยสัจจน์นั้นเพราะว่าเวลานั้นพระองค์ทรงรู้เพียงบางส่วนตามที่คุณโฮฮับกล่าวอ้างนั่นแหละนะคะ

ในเมื่อยังรู้ได้เพียงบางส่วนจึงไม่อาจกล่าวได้ว่ามีความรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมนั้น
พูดง่ายๆ ก็ได้ว่าการรู้เป็นบางส่วนก็คือยังไม่รู้แจ้งแทงตลอดหรือแทงไปบ้างแล้วแต่ยังไม่แจ้งตลอดนะคะ

แต่เมื่อได้ธรรมฐิติญาณรู้ชัด รู้แจ้งแทงตลอดในวงจรปฏิจสมุปบาททั้งหมดตลอดสายจึงทรงรู้ว่าที่แท้แล้วอวิชชาก็คือความหลงนั่นเองค่ะ ^^

ก่อนอื่นผมต้องออกตัวก่อนว่า ความเห็นคุณจางบางในเรื่องของอวิชชา
ไม่ใช่ว่าถูกทั้งหมดนะครับ ยังมีบางส่วนที่แกยังไม่เข้าใจเรื่องอวิชชาแปดและเรื่องของวิชชา

สำหรับคุณแฟนตาเซีย ผมไม่เห็นด้วยครับ ที่เอาเรื่องการหาหนทางแห่งการตรัสรู้มาอ้าง
กับคุณจางบางแก เพราะมันเป็นคนละสถานะและเหตุการณ์
ส่วนเรื่องความหลง มันผิดตั้งแต่คุณเอาเรื่องฐิติธรรมมาอ้างกับคุณจางบางแล้วล่ะครับ

คุณจางบางไม่จำเป็นต้องรู้แจ้งแทงตลอดแบบพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้หาวิธีแต่
คุณจางบางเป็นแค่ผู้ปฏิบัติตาม ขอให้เพียงเชื่อในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดและกฎแห่งกรรมก็พอครับ
เพราะธรรมทุกอย่างพระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดไว้แล้ว

ในเรื่องการแทงตลอดนั้นต้องกล่าวว่าเพราะพระพุทธเจ้ายังไม่รู้ จึงต้องค้นหา
แต่คุณจางบางแกรู้แล้วด้วยการอ่านตามที่พระพุทธเจ้าบอก


:b1: ขอประทานโทษอีกทีนะคะ

หากพูดกันอยู่เรื่องปฏิจสมุปบาทแต่คุณมาบอกว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับการหาหนทางตรัสรู้
แล้วอัตตาของคุณจะให้มันไปเกี่ยวกับอะไรหรือคะ

อีกอย่างการรู้ชัด รู้แจ้งแทงตลอดว่า .....ความหลงเป็นอวิชชา กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร ความพอใจเป็นตัณหา ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน ความคิดอ่านเป็นภพ ฯ ตามที่กล่าวไว้ในพระไตปิฎกนั้นมันไม่เกี่ยวกับธรรมฐิติญาณตรงไหนหรือคะ

และหากคุณจางบางฯ แกรู้แจ้งแทงตลอดได้ด้วยการอ่านตามที่พระพุทธเจ้าบอกจริงๆ
แสดงว่าคุณจางบางฯ ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ไปแล้วนะสิคะ

:b13: เรื่องนี้ดิฉันขอบอกว่า ขำว่ะค่ะ

แค่ความรู้เท่านั้นแต่ยังขาดความเข้าใจไม่อาจทำให้ใครรู้แจ้งแทงตลอดขึ้นมาได้หรอกนะคะ ^^
คุณโฮฮับเองก็เช่นกันมีความรู้จนท่วมหัวท่วมหูแต่ความเข้าใจยังไม่ถึงตาตุ่มเลยค่ะ

ถ้ายังไม่เข้าใจเสียทีว่าอวิชชาคือความหลงก็คงเข้าใจวงจรปฏิจสมุปบาทตลอดสายไม่ได้
คุณอธิบายอะไรมามันถึงได้สับสนอลหม่านอยู่อย่างนั้นไงละคะ

ประเด็นมันอยู่ที่ คุณจางบางแกว่า หลงไม่ใช่อวิชา
คุณจับจุดตรงประเด็นนี้แล้ว ก็ย้อนกลับไปอ่านความเห็นก่อนของผมที่เกี่ยวข้อง
กับหัวประเด็น เท่านั้นแหล่ะ ขี้เกียจพูดซ้ำมันมีอาการเหมือนจะต้องสวนทวาร


:b1: ขอประทานโทษนะคะ

เนื่องจากว่านั่นเป็นประเด็นของคุณจางบางฯ
ดิฉันจึงมาอธิบายเข้าใจว่าประเด็นที่แท้จริงของวงจรปฏิจสมุปบาทนั้นความหลงก็คืออวิชชาค่ะ ^^

และทั้งความขี้เกียจพูดซ้ำและอาการเหมือนจะต้องสวนทวารนั้นก็มาจากอวิชชาคือความหลงของคุณนั่นเอง

:b1: โดยธรรมแล้วพูดก็สักว่าพูดเท่านั้นเองไม่เห็นต้องเอาความหลงไปยึดมั่นถือมั่นอย่างคุณเลยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 15:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
[ :b9: ขออภัยอีกครั้งนะคะ ขำจริงๆ ว่ะค่ะ
อย่างที่ดิฉันชี้แจงไปแล้วว่าการรู้เพียงบางส่วนนั้นยังไม่ใช่ธรรมฐิติญาณ
เพราะว่าธรรมฐิติญาณจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีความรู้ชัด รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมนั้นเท่านั้น
หากยังรู้แค่บางส่วนก็ไม่อาจเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่ารู้แจ้งแทงตลอดได้ดังนี้นะคะ

แล้วผมบอกตอนไหนว่า การรู้บ้างส่วนคือธรรมฐิติญาณ
อุตสาห์อธิบายเรื่อง อวิชชา8ให้ฟังแล้ว ทำไมไม่เอามาสำเหนียกครับ


:b1: ดิฉันถือว่าคุณยอมรับแล้วนะคะ ^^

ยอมรับอะไรของคุณ ไอ้นี้มันลักษณะ3คนยลตามช่อง
คุยเรื่องของคุณจางบางแต่ดันมาสรุปที่ผม ผมว่าคุณสับสน
ประสาทส่วนปลายแล้วล่ะ


:b1: ขอประทานโทษนะคะ

ดิฉันสนทนาธรรมเรื่องปฏิจสมุปบาทกันอยู่ค่ะ
ไม่ได้มาคุยเรื่องของคุณจางบางฯ ตามที่คุณเข้าใจผิดคิดไปเองหรอกนะคะ

หากว่าคุณต้องการคุยเรื่องของคุณจางบางก็ไปเปิดห้องสนทนากันที่อื่นเถิดนะคะ
ขอให้ยอมรับเสียทีเถิดว่าห้องนี้เป็นที่สำหรับสนทนาธรรมค่ะ ไม่ได้เอาไว้แสวงหาความพึงพอใจในเรื่องส่วนตัวกันนะคะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 15:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
[ :b1: ถ้าวิชชาไม่มีอยู่คู่กับอวิชชาก่อนแล้วคุณไปเอาวิชชาที่เพิ่งเกิดใหม่มาจากหนใดละคะ ^^

ง่ายๆนะทุกชาติ ทุกศาสนา ก่อนที่พุทธเจ้าจะตรัสรู้
เขาก็เป็นของเขาแบบนี้ บางศาสนาเขาก็รู้เรื่องในสิ่งที่พระพุทธเจ้า
แต่ทำไมเขากลับไม่ศรัทธา ไม่ใช่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
เขาชอบของเขาที่จะมีอัตตาคงอยู่ อยากไปอยู่กับพระเจ้าของเขา
หรือบางคนไม่อยากไปนิพาน แต่อยากไปสวรรค์ มันเป็นไปตามปกติ
ความศรัทธา แบบนี้คุณว่าพวกเหล่านี้มีแต่อวิชาหรือครับ

มันเป็นเพียงพระพุทธเจ้ามีช่องหาใหม่มาให้ จะรับหรือไม่เป็นอีกเรื่อง
ถ้าใครรับที่จะเอาแนวทางเดียวกับพระพุทธเจ้า มันก็ต้องรู้และทำในสิ่ง
ที่พระพุทธเจ้ารู้และบอก หลักการมันแกนี้
ใครยอมรับพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าใครรู้ว่าพระพุทธเจ้ารู้อะไร แต่ตัวเองยังไม่รู้
ในสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้นี่ถึงเรียกว่ามีอวิชา

แต่ถ้าตัวเองไม่รู้เลยว่า พระพุทธเจ้ารู้เรื่องอะไร แบบนี้ไม่เรียกอวิชาครับ
หรือแม้กระทั้ง พระพุทธเจ้ายังไม่รู้มันก็ไม่ใช่อวิชาครับ


:b1: ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งแทงตลอดแล้วว่าอวิชชาเป็นความหลงมีอยู่ในวงจรปฏิจสมุปบาท
และทรงนำธรรมนั้นมาเผยแพร่สั่งสอนแล้วแต่คุณก็ยังไม่เชื่อพระองค์ว่าอวิชชาคือความหลงนั้นมีอยู่

แสดงว่าตอนนี้คุณก็ยังไม่ยอมรับในพระปัญญาของพระพุทธองค์ แถมคุณยังไม่ยอมรับในความเข้าใจของพระอรหันต์อย่างหลวงปู่มั่นด้วย

เพราะว่าจนบัดนี้คุณก็ยังหลงยึดมั่นในความเข้าใจของตนอยู่ทั้งที่ไม่อาจลงกันได้กับคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เลยแม้แต่ข้อเดียว

:b1: หากว่าคุณยังมั่นใจอยู่ว่าความเข้าใจขอคุณนั้นเป็นธรรมแท้แน่จริงแล้วก็ขอให้แสดงมาเถิดว่า.........

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและหลวงปู่มั่นท่านได้อธิบายไว้นั้นยังขาดตกบกพร่องอย่างไร

พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่าความหลงเป็นอวิชชา แต่คุณบอกว่าอวิชชาไม่ใช่ความหลงแต่เป็นความยึดมั่นถือมั่น

หลวงปู่มั่นอธิบายว่าสังขารอันต่อจากอวิชชาเป็นสังขารกรรมตัวปรุงแต่งภพไม่ใช่สังขารวิบาก แต่คุณบอกว่าสังขารขันธ์อันเป็นสังขารวิบากนั่นเองเป็นตัวทำให้ไปเกิดใหม่

ขอให้คุณชี้แจงแถลงไขมาเถิดว่าพระพุทธองค์ทรงเข้าใจผิดไปได้อย่างไรและทำไมหลวงปู่มั่นถึงได้อธิบายไม่ตรงกับความเข้าใจของคุณ

:b1: ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม

ถ้ามั่นใจว่าความเข้าใจของตนเป็นธรรมแท้ถูกต้องตรงทางถึงที่สุดแล้วใยต้องกลัวว่าจะเป็นการปรามาส
หรือว่าคุณเองก็ยังไม่แน่ใจว่าความเข้าใจของตนนั้นจะคุ้มครองให้พ้นจากขุมนรกอเวจีได้หรือไม่

ถ้าคุณเองก็ยังไม่แน่ใจแต่กลับนำความคิดอันสับสนของตนมาอธิบายในข้อธรรมจนหาที่ลงกันไม่ได้อยู่อย่างนี้

คุณก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงวิบากจากกรรมปรามาสในพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ได้อีกแล้วละค่ะ

เพราะว่าสังขารกรรม วิญญากรรม มันได้ปรุงแต่เป็นสังขารขันธ์อันเกิดจากกรรมปรามาสนั้นจนสำเร็จรูปเรียบร้อยรอคุณอยู่แล้ว

เมื่อใดเหตุปัจจัยเหมาะสมกรรมจากการปรามาสนั้นย่อมจะส่งผลของมันออกมาให้คุณเห็นได้อย่างแน่นอน

ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ฉันใด ผู้ปรามาสในพระธรรมย่อมตกต่ำสู่อบาย ฉันนั้นแลฯ

สาธุ สาธุ สาธุ ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา ... ค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 15:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๖
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
.....
[๕๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
กายนี้ของคนพาลผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว
และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น
คนพาลยังละไม่ได้ และตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย
เมื่อเขาเข้าถึงกายชื่อว่ายังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์กายนี้ของบัณฑิตผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว
และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว
อวิชชานั้นบัณฑิตละได้แล้วและตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไป
บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย เมื่อเขาไม่เข้าถึงกาย
ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
เรากล่าวว่า ย่อมพ้นจากทุกข์ อันนี้เป็นความแปลกกัน
อันนี้เป็นอธิบาย อันนี้เป็นความต่างกันของบัณฑิตกับคนพาล
กล่าวคือการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ฯจบสูตรที่ ๙

......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 16:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบางลางเลือน เขียน:
คุณ จางบางวางหนังสือมานานนมถมถืดแล้ว แต่เพราะยังคาใจว่าทำไมต้องให้หาหลักฐาน
มายืนกรานถึงจะยอมยอมให้คุณจางบางกันบ้าง แต่ถึงแม้คุณจางบางจะเอาพระสูตรมายืนยัน
คุณจางบางก็รู้คำตอบอยู่ดีแหละว่า ผู้รู้ดีกว่าพระไตรปิฎกก็คงไม่ยอมหยุดเชื่อ หรือเงี่ยหูฟัง
อยู่ดี แต่เพราะอุปนิสัยลึกๆที่ไม่ค่อยยอมศิโรราบคาบแก้วโดยง่าย คุณจางบางก็ขอยกพระสูตร
มาฝากคุณ แฟนตาเซียด้วยนะคะ

จาก สูตรที่๒ พุทธวรรค นิทานสังยุตต์เล่ม ๑๖/๒/๔ ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่เชตวัน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นามรูปเป็นอย่างไรเล่า

เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ นี้เรียกว่านาม มหาภูตทั้งสี่ด้วย รูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย
นี้เรียกว่ารูป นามนี้ด้วย รูปนี้ด้วยย่อมมีอยู่ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่านามรูป

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นอย่างไรเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่แห่งวิญญาณทั้งหลาย
๖หมู่เหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนวิญญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าวิญญาณ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารทั้งหลายเป็นอย่างไรเล่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้ง๓อย่างเหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่าสังขารทั้งหลาย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อวิชชา เป็นอย่างไรเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความไม่รู้อันใดแล เป็นความไม่รู้ในทุกข์ เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์
เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นความไม่รู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์
ให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียก อวิชชา


คุณจางบางตัดตอนมาเป็นบางส่วนเพราะขี้เกียจพิมพ์ หากคุณแฟนตาเซียจะอนุเคราะห์
ก็ลองช่วยหา ความหมายของปฏิจจสมุปบาท ที่คุณนำมาอธิบายขยายความ ว่าพระ
พุทธองค์ทรงตรัสไว้ที่ไหน ช่วยหาเอาให้ชื่นชมแก้โง่เขลาแก่คุณจางบางด้วยเถิดเจ้าคะ

ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา :b8: :b8: :b8:


:b1: อนุโมทนาค่ะ ^^

ผู้รู้ดีกว่าพระไตรปิฏกย่อมมีอยู่ซึ่งก็คือพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายนั่นเองค่ะ
แต่ถึงแม้ว่าพระอรหันต์ท่านจะรู้ดีแค่ไหนท่านก็ไม่ลบหลู่ในพระธรรมที่ถูกถ่ายทอดมาอย่างแน่นอน

และขออนุโมทนาที่คุณอุตส่าห์สะเวลาไปค้นหาพระไตรปิฏกมาเสียหลายวัน ^^

แต่ว่า..........พระสูตรที่คุณไปยกมานั้นควรพิจารณาให้ดีก่อนว่าเป็นคำขยายความของสังขารและวิญญาณในปฏิจสมุปบาทหรือในขันธ์ ๕ กันแน่นะคะ ^^

ส่วนคำอธิบายขยายความเรื่องปฏิจสมุปบาทในพระไตรปิฎกนั้นมันต้องแยกเป็นตัวๆ และแต่ลำตัวนั้นก็มีอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎกนั่นเอง หากจะให้ดิฉันยกมาให้ดูก็คงต้องยกพระไตรปิฎกมาให้ทั้งตู้เลยทีเดียว เอาเป็นว่าคุณไปหาพระไตรปิฎกมาอ่านเองเสียเลยดีกว่าค่ะ

แต่สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจในวงจรปฏิจสมุปบาทอย่างแท้จริงที่ได้อธิบายขยายความเอาไว้ก็พอมีให้นำมาศึกษากันได้บ้าง อย่างเช่นคำอธิบายของท่านพระอาจารย์มั่นเป็นต้น ซึ่งดิฉันเองก็ได้อธิบายตามที่องค์ท่านได้สั่งสอนไว้นั่นเองค่ะ

หากคุณอยากรู้ว่าองค์ท่านอธิบายเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไรก็ลองพิจารณาในคำสอนที่คุณเอรากอนโจนำมาโพสต์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วดังนี้ค่ะ

“ปฏิจจสมุปบาทข้อที่ว่า วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้
เกิดนามรูปนั้นแล ในนามรูปก็มีทั้งวิญญาณและสังขาร ซึ่งมันจะมีการแตกต่างกันดังนี้คือ
สังขาร วิญญาณ ที่ต่อจากอวิชชานั้น เรียกว่า สังขารกรรม วิญญาณกรรม แตกต่างกับสังขาร
วิญญาณของนามรูป สังขารวิญญาณของนามรูปนั้นเป็นสังขารวิญญาณวิบาก เนื่องจากเป็น
การปรุงแต่งที่สำเร็จรูปแล้ว สังขารกรรม วิญญาณกรรม เป็นวาวะที่ไม่เป็นอิสระ
อยู่ภายใต้อำนาจของกรรม มีอวิชชาเป็นหางเรือใหญ่ อาศัยสังขารการปรุงแต่ง
อาศัยวิญญาณความรู้สึกในขณะที่กำลังปรับปรุงภพ อันจะเป็นแนวทางแห่งการก่อให้เกิด
ซึ่งในขณะนั้นจิตเป็นประธานอาศัยสังขารปรุงแต่ง อาศัยวิญญาณความรู้สึกในขณะที่กำลังปรุงภพ
อันจะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของสังขารกรรม วิญญาณกรรม ทั้งสองนั้น สืบเนื่องมาจากจิต ณ ที่นี้
จึงแล้วแต่กรรมจะจำแนกไป คือให้สังขารและวิญญาณนี้เห็นดีไป เมื่อเห็นดีไปอย่างไร
จิตก็จะไปตั้งก่อให้เกิดไปตามนั้น เพราะที่นี้จึงเป็นสถานที่กำลังปรุงแต่งภพ
ถ้าพิจารณาแล้วจะรู้สึกมันละเอียด และพึงจะรู้จริงได้ คือเมื่อจิตได้ดำเนินตามอริยสัจ
และเป็นวิปัสสนาอันแก่กล้าแล้วนั้นทีเดียว ที่กระผมได้อธิบายมานี้เป็นสักแต่ว่าแนวทางเท่านั้น
ตามความเป็นจริงต้องมีตาภายใน คือ กระแสจิต กระแสธรรมเท่านั้น ที่จะเข้าไปรู้จริงได้”


แต่ถ้าหากคุณยังไม่เชื่อว่าหลวงปู่มั่นท่านสามารถอธิบายในธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงได้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว คุณก็คงต้องไปทำความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ด้วยตัวเองแล้วละค่ะ ^^

ปล.อย่าลืมว่าหลวงปู่มั่นท่านเป็นอาจารย์ของคณาจารย์ทั้งหลายที่ได้บรรลุอรหันต์ไปหลายองค์แล้วนะคะ

ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา ... ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 16:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๖
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
.....
[๕๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
กายนี้ของคนพาลผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว
และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น
คนพาลยังละไม่ได้ และตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย
เมื่อเขาเข้าถึงกายชื่อว่ายังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์กายนี้ของบัณฑิตผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว
และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว
อวิชชานั้นบัณฑิตละได้แล้วและตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไป
บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย เมื่อเขาไม่เข้าถึงกาย
ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
เรากล่าวว่า ย่อมพ้นจากทุกข์ อันนี้เป็นความแปลกกัน
อันนี้เป็นอธิบาย อันนี้เป็นความต่างกันของบัณฑิตกับคนพาล
กล่าวคือการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ฯจบสูตรที่ ๙

......


:b8: อนุโมทนาค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณที่ยังเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา แก่คุณจางบาง อุตสาหะไปหาคำอธิบาย
ของหลวงปู่มั่นมายื่นประทานให้ สำหรับคุณจางบางจะรับจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม
และสติปัญญาของคุณจางบางเอง..........สาธุ สาธุ

พอได้อ่าน คำอธิบายของหลวงปู่มั่น ซึ่งคุณจางบางเองปกติ ไม่เคยอ่านมาเลย
เพราะอ่านแต่ของพระพุทธองค์เป็นหลัก เนื่องจากเข้าใจเอาเองว่าเลือกเชื่อคุณพ่อ
ไว้ก่อนปลอดภัยที่สุด จึงไม่ได้ใส่ใจใครที่ยิ่งไปกว่าพระพุทธองค์เลย

คุณจางบางพบข้อสังเกตุ ที่เพิ่งสังเกตุเห็นวันนี้ว่า บุคคล3ยุค ต่างตีความหมาย
ของคำว่า สังขาร วิญญาณ นามรูปต่างกัน อย่างน่าประหลาด
ทั้งที่ต่างก็ได้รับการยอมรับมากมายจากใครต่อใครว่าคือพระอรหันต์

การอธิบายความหมายของอาการแต่ละอาการ ของปฏิจจสมุปบาท ควรต้องถือเอาตาม
ความหมายเดิมที่พระพุทธองค์แสดงไว้ ซึ่งมีมากมายในพระไตรปิฎก คือ
อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป ตามแบบที่คุณจางบางยกมาให้อ่านนั่นหละ

ส่วนการตีความหมายของอาการปฏิจจสมุปบาทต่างไปจากนี้ ก็มีแต่การขยายความของ
พระพุทธโฆษาจารย์ผู้แต่งหนังสือวิสุทธิมรรค ที่ไปเปลี่ยนความหมายการอธิบายของพระพุทธองค์
ว่า สังขาร คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชภิสังขาร
วิญญาณ คือวิญญาณปฏิสนธิ ไม่ใช่วิญญาณทางอายตน6ตามที่พระพุทธองค์อธิบาย
และความหมายตามที่พระพุทธโฆษาจารย์อธิบายมานี้ ตลอดทั่วพระไตรปิฎก พระพุทธองค์
ไม่เคยตรัสเลย ไม่มีเลยที่พระองค์จะให้ความหมายอย่างนี้ แต่ทั่วไปก็ถือการอธิบาย
และความหมายอย่างที่พระพุทธโฆษาจารย์อธิบายอย่างแพร่หลาย เอามาใช้เป็นต้นแบบการ
พิจารณาเพื่อเข้าถึงความเห็นตามที่พระพุทธโฆษาจารย์อธิบาย

และพอมาถึงยุคนี้คุณจางบางก็มาพบว่า หลวงปู่มั่นท่านได้ให้ความหมายใหม่แก่ปฏิจจสมุปบาท
ต่างออกไปอีกจากพระพุทธเจ้า และอรรถกถาจารย์ คือ ใช้คำว่า สังขารกรรม
วิญญาณกรรม ซึ่งคุณจางบางก็ไม่เคยได้ทราบว่าพระพุทธองค์เคยกล่าวอย่างนี้เลย

ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา คุณแฟนตาเซีย ทุกเช้าค่ำ และทุกยามที่หลับ

onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร