วันเวลาปัจจุบัน 30 ก.ค. 2025, 00:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 18:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:b1: ข้อนี้ดิฉันขอชี้แจงว่าอวิชชาใดก็อยู่ในวงปฏิจสมุปบาทแต่.........

ต้องแยกแยะให้ดีว่าการกล่าวถึงอวิชชาในแง่ของความไม่รู้แจ้งอริยสัจจน์นั้นเพราะว่าเวลานั้นพระองค์ทรงรู้เพียงบางส่วนตามที่คุณโฮฮับกล่าวอ้างนั่นแหละนะคะ

ในเมื่อยังรู้ได้เพียงบางส่วนจึงไม่อาจกล่าวได้ว่ามีความรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมนั้น
พูดง่ายๆ ก็ได้ว่าการรู้เป็นบางส่วนก็คือยังไม่รู้แจ้งแทงตลอดหรือแทงไปบ้างแล้วแต่ยังไม่แจ้งตลอดนะคะ

แต่เมื่อได้ธรรมฐิติญาณรู้ชัด รู้แจ้งแทงตลอดในวงจรปฏิจสมุปบาททั้งหมดตลอดสายจึงทรงรู้ว่าที่แท้แล้วอวิชชาก็คือความหลงนั่นเองค่ะ ^^

ก่อนอื่นผมต้องออกตัวก่อนว่า ความเห็นคุณจางบางในเรื่องของอวิชชา
ไม่ใช่ว่าถูกทั้งหมดนะครับ ยังมีบางส่วนที่แกยังไม่เข้าใจเรื่องอวิชชาแปดและเรื่องของวิชชา

สำหรับคุณแฟนตาเซีย ผมไม่เห็นด้วยครับ ที่เอาเรื่องการหาหนทางแห่งการตรัสรู้มาอ้าง
กับคุณจางบางแก เพราะมันเป็นคนละสถานะและเหตุการณ์
ส่วนเรื่องความหลง มันผิดตั้งแต่คุณเอาเรื่องฐิติธรรมมาอ้างกับคุณจางบางแล้วล่ะครับ

คุณจางบางไม่จำเป็นต้องรู้แจ้งแทงตลอดแบบพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้หาวิธีแต่
คุณจางบางเป็นแค่ผู้ปฏิบัติตาม ขอให้เพียงเชื่อในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดและกฎแห่งกรรมก็พอครับ
เพราะธรรมทุกอย่างพระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดไว้แล้ว

ในเรื่องการแทงตลอดนั้นต้องกล่าวว่าเพราะพระพุทธเจ้ายังไม่รู้ จึงต้องค้นหา
แต่คุณจางบางแกรู้แล้วด้วยการอ่านตามที่พระพุทธเจ้าบอก


:b1: ขอประทานโทษอีกทีนะคะ

หากพูดกันอยู่เรื่องปฏิจสมุปบาทแต่คุณมาบอกว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับการหาหนทางตรัสรู้
แล้วอัตตาของคุณจะให้มันไปเกี่ยวกับอะไรหรือคะ

อีกอย่างการรู้ชัด รู้แจ้งแทงตลอดว่า .....ความหลงเป็นอวิชชา กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร ความพอใจเป็นตัณหา ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน ความคิดอ่านเป็นภพ ฯ ตามที่กล่าวไว้ในพระไตปิฎกนั้นมันไม่เกี่ยวกับธรรมฐิติญาณตรงไหนหรือคะ

และหากคุณจางบางฯ แกรู้แจ้งแทงตลอดได้ด้วยการอ่านตามที่พระพุทธเจ้าบอกจริงๆ
แสดงว่าคุณจางบางฯ ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ไปแล้วนะสิคะ

:b13: เรื่องนี้ดิฉันขอบอกว่า ขำว่ะค่ะ

แค่ความรู้เท่านั้นแต่ยังขาดความเข้าใจไม่อาจทำให้ใครรู้แจ้งแทงตลอดขึ้นมาได้หรอกนะคะ ^^
คุณโฮฮับเองก็เช่นกันมีความรู้จนท่วมหัวท่วมหูแต่ความเข้าใจยังไม่ถึงตาตุ่มเลยค่ะ

ถ้ายังไม่เข้าใจเสียทีว่าอวิชชาคือความหลงก็คงเข้าใจวงจรปฏิจสมุปบาทตลอดสายไม่ได้
คุณอธิบายอะไรมามันถึงได้สับสนอลหม่านอยู่อย่างนั้นไงละคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 18:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
[ :b9: ขออภัยอีกครั้งนะคะ ขำจริงๆ ว่ะค่ะ
อย่างที่ดิฉันชี้แจงไปแล้วว่าการรู้เพียงบางส่วนนั้นยังไม่ใช่ธรรมฐิติญาณ
เพราะว่าธรรมฐิติญาณจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีความรู้ชัด รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมนั้นเท่านั้น
หากยังรู้แค่บางส่วนก็ไม่อาจเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่ารู้แจ้งแทงตลอดได้ดังนี้นะคะ

แล้วผมบอกตอนไหนว่า การรู้บ้างส่วนคือธรรมฐิติญาณ
อุตสาห์อธิบายเรื่อง อวิชชา8ให้ฟังแล้ว ทำไมไม่เอามาสำเหนียกครับ


:b1: ดิฉันถือว่าคุณยอมรับแล้วนะคะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 18:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:ถ้าความหลงคือกรรมวิบาก
และคุณยืนยันมาตลอดแล้วว่าอวิชชาก็ไม่ใช่ความหลง
ดังนั้นแสดงว่าอวิชชาก็ไม่ใช่กรรมวิบากด้วยเช่นกัน
ทีนี้คุณก็มาบอกว่า “อวิชชาโดยลักษณะแล้วมันไม่มีอะไรครับ เมื่อมีวิบากกรรมจึงเกิดสังขารในปฏิจจฯขึ้น”
ประเด็นนี้ดิฉันขอติงว่า.........
ถ้าอย่างนั้น ปฏิจสมุปบาทที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารฯ นั้นก็ไม่เป็นความจริงสำหรับคุณโฮฮับนะสิคะ

ใช่แหง่แก๋อยู่แล้วครับ ในปุถุชนสภาวะที่เป็นอวิชามันไม่มี แล้วทำไมต้องกำหนดเอาไว้ในปฏิจฯ
เป็นเพราะ พระพุทธเจ้าเป็นผู้กำหนด แล้วทำไมพระองค์ถึงกำหนดแบบนี้ ทั้งๆที่ไม่มีสภาวะนั้น
ก็เป็นเพราะพระองค์ทรงรู้ว่ามีตัววิชชาอยู่ เราสามารถเอาตัววิชชา มาเพิ่มในวงปฏิจจฯได้
มันเป็นตรรกะง่ายๆ คนเราถ้าไม่เรียนกฎหมาย สมองมันก็โล่งว่างจากเรื่องกฎหมาย
แต่ถ้าได้เรียน แล้ว ในส่วนที่ว่างมันก็มีเรื่องกฎหมายมาแทนในส่วนที่ไม่มี

และเหตุปัจจัยที่ให้เกิดสังขาร จริงแล้วมันก็คือสังขารขันธ์ของอดีตชาติ
และในสังขารขันธ์นั้นมันประกอบไปด้วยวิบากกรรมต่าง ที่จิตไปยึดเอาไว้ครับ

ลักษณะที่จิตออกจากร่างเขาเรียก จุติครับ จิตที่จุตินั้นแหล่ะครับเป็นสังขารเก่า
พอจิตปฏิสนธิ์ ก็เป็นสังขารในชาติใหม่ที่สืบต่อมาจาก สังขารในอดีตชาติ


ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ

:b1: ถ้าวิชชาไม่มีอยู่คู่กับอวิชชาก่อนแล้วคุณไปเอาวิชชาที่เพิ่งเกิดใหม่มาจากหนใดละคะ ^^

:b1: ส่วนเรื่องสังขารขันธ์และการเกิดนั้น ดิฉันเชื่อตามความเข้าใจของท่านพระอาจารย์มั่น ดังที่ได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้แล้วนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
:b1: คุณโฮฮับว่าอย่างนั้นแต่หลวงปู่มั่นท่านว่าไว้อย่างนี้นะคะ :
สังขารกรรม วิญญาณกรรม เป็นวาวะที่ไม่เป็นอิสระ
อยู่ภายใต้อำนาจของกรรม มีอวิชชาเป็นหางเรือใหญ่

เพราะฉะนั้นเหตุต้นแห่งวิบากกรรมก็คืออวิชชา ไม่ใช่กิเลสอตัณหาย่างที่คุณว่ามานะคะ
กิเลสนั้นเป็นเพียงเหตุปัจจัยที่แสดงออกมาในแต่ละภพชาติเพื่อขัดเกลาเอาความหลงอันเป็นต้นเหตุแห่งกรรมทั้งหมดตลอดสายออกมานั่นเอง
เรื่องนี้คุณเข้าใจผิดไปแล้วก็กลับใจเสียใหม่ได้นะคะ

ผมขอทำความเข้าใจกับคุณหน่อยนะครับ ผมศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าครับ
การที่คุณเอาหลวงปู่มาอ้างกับผมเนี้ย คุณว่ามันใช่เรื่องมั้ยครับ
ถ้าจะคุยเรื่องธรรมของหลวงปู่มั่นผมขอผ่านครับ เพื่อพลั่งเผลอไปปรามาสท่าน
บอกจริงๆขี้เกียจเปิดศึกกับบรรดาลูกศิษย์ของท่านครับ
FANTASIA เขียน:
:เพราะฉะนั้นเหตุต้นแห่งวิบากกรรมก็คืออวิชชา ไม่ใช่กิเลสอตัณหาย่างที่คุณว่ามานะคะ
กิเลสนั้นเป็นเพียงเหตุปัจจัยที่แสดงออกมาในแต่ละภพชาติเพื่อขัดเกลาเอาความหลงอันเป็นต้นเหตุแห่งกรรมทั้งหมดตลอดสายออกมานั่นเอง
เรื่องนี้คุณเข้าใจผิดไปแล้วก็กลับใจเสียใหม่ได้นะคะ
ในวงจรปฏิจสมุปบาทนั้นรูปนามเกิดก่อนแล้วจึงค่อยมีผัสสะและเวทนาตามมาค่ะ

ในส่วนนี่ผมได้อธิบายเรื่องสังขารขันธ์ให้ฟังแล้วครับ
FANTASIA เขียน:
ถ้าหากว่ากิเลสตัณหาเป็นตัวตน ก่อนหน้านั้นตั้งแต่อวิชชาไล่มาจนถึงเวทนาก็ไม่มีความเป็นตัวตนอยู่เลย
ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นการสืบต่อภพชาติภายใต้อำนาจของกรรมก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะว่ามันขาดตัวตนผู้รับผลกรรมตั้งแต่อวิชชาในชาติถัดไปแล้ว ซึ่งมันเป็นไม่เลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ ^^

มันใช่อยู่แล้วครับ ถ้าในชาตินี้คุณสามารถ ตัดวงปฏิจจฯได้ตั้งแต่เกิดเวทนา
ชาติหน้าก็ไม่มีแล้วครับ เพราะมันยังไม่เกิดอุปาทานหลงยึดเป็นตัวตน ที่ทำให้เกิดภพชาติ
และทำไมถึงยังมีเวทนา ก็เพราะในภพนี้ชาตินี้เรา ยังมีร่างกายอยู่ มันยังผัสสะได้
มันเป็นไปตามธรรมชาติ และเหตุปัจจัย ความหมายก็คือมันไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่ง

FANTASIA เขียน:
สรุปว่า คห.ของคุณไม่อาจลงได้กับปฏิจสมุปบาทตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว
เพราะความรู้ความเข้าใจยังไม่รอบ แค่เห็นได้เพียงบางส่วนเท่านั้น พอนำความเข้าใจที่ยังไม่ถึงที่สุดมาอธิบาย จึงได้สับสนมีช่องโหว่อยู่มากมายและในที่สุดก็ยังวกวนจนหาจุดจบไม่ได้อยู่นั่นเอง

ผมว่าเป็นคุณนั้นแหล่ะครับ คิดไม่รอบด้าน คิดไล่แต่ในวงไล่ไปไล่มามันก็งงนะซิครับ
FANTASIA เขียน:
ปล.ในพระไตปิฏกกล่าวไว้ว่า ความหลงเป็นอวิชา ถ้าไม่ให้เข้าใจว่า ความหลงคืออวิชชา
แล้วอวิชชาในใจของคุณโฮฮับจะให้พระพุทธเจ้า คณาจารย์ และคนอื่นๆ เข้าใจกันว่าอย่างไรละคะ (ขำว่ะค่ะ)
ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา ... ค่ะ ^^

สมมุติว่า คุณไปบอกกับพระพุทธเจ้าว่า ความหลงเนี้ย ผมถามครับว่า
พระพุทธเจ้าจะรู้จัก กับคำว่าความหลงมั้ยครับ พระองค์ไม่รู้จักภาษาไทยหรอกครับ
จะอ่านพระไตรปิฎก มันต้องรู้จักพิจารณาธรรมไปตามสภาวะซิครับ ไม่ใช่ตัวหนังสือ
บอกว่าความหลง ก็ว่าหลงไปกับเขา

แล้วเลิกเอาพระพุทธเจ้ามาอวยพรได้แล้วนะครับ
พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเจ้านะครับ ท่านปรินิพพานไปตั้งนาน
อวยพรใครไม่ได้แล้วครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 19:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
ในเมื่อคุณคิดว่าอวิชชาไม่มีอะไร อีกทั้งมันยังเป็นกรรมวิบากไม่ได้เสียด้วยสิ เพราะคุณยืนยันมาก่อนแล้วว่าอวิชชาไม่ใช่ความหลง
แล้วทีนี้เจ้าอวิชชาในปฏิจสมุปบาทของคุณมันจะเอาอะไรไปเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารได้อีกละคะ

ก็ตามที่ได้บอกไว้ ที่กำหนดอวิชชาไว้ ก็เพื่อให้รู้ว่ายังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ตัวเองยังไม่พบ
นั้นก็คือวิชชานั้นเอง ถ้ายังไม่พบวิชชา ในส่วนอวิชชาเป็นส่วนที่ว่างไม่มีอะไร

คุณเป็นคนเอาเรี่องฐิติธรรมมาอ้างเอง แบบนี้แปลว่าอ้างมาลอย ๆแท้จริงไม่เข้าใจ
ในต้วธรรมนี้เลยครับ
จะบอกให้ครับ ในวงปฏิจจฯกำหนดเอาไว้ศึกษาเพื่อความเข้าใจปฏิบัติ
เพื่อหยุดการเวียนว่ายตายเกิด

แต่ในเรื่องฐิติธรรมกำหนดให้รู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เวียนว่ายตายเกิด
คุณต้องรู้นะครับว่าชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย การกระทำความคิด
ที่เป็นกุศลอกุศล กิเลสอุปาทานทุกอย่างถูกจดจำและยึดไว้เป็นสังขารขันธ์
เมื่อตายลงจิตยังอยู่นะครับ จิตตัวนี้ก็คือสังขารขันธ์
สรุปก็คือสังขารขันธ์เป็นเหตุปัจจัยของสังขารครับ


:b1: หากศึกษาด้วยความเข้าใจคุณจะเห็นได้ว่าอวิชชาไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดขึ้นมาเอง
แต่พระพุทธองค์ทรงค้นพบว่าอวิชชานั้นมีอยู่จึงเป็นปัจจัยให้วรจรปฏิจสมุปบาทดำเนินต่อไป.....

การที่คุณคิดว่ามันไม่มีอยู่ก็แสดงว่าปัญญาของคุณยังไม่พอที่จะเห็นมันได้
พอเห็นส่วนที่ว่างๆ นั้นจึงเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นเพียงความว่างโดยไม่มีอะไรอยู่เลย

ซึ่งถ้าหากว่ามันไม่มีอะไรอยู่ก่อนแล้วมันจะเอาอะไรไปเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารต่อไปได้

:b1: ความจริงแล้วความว่างนั้นไม่ใช่ว่างเปล่าปลี้ๆ
แต่มีทั้งอวิชชาและวิชชารวมอยู่ในนั้นโดยไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเลย

หากคุณเข้าใจเรื่องปฏิจสมุปบาทได้จริงย่อมเห็นชัดว่าธรรมฐิติญาณคือการรู้แจ้งแทงตลอดว่าความหลงเป็นอวิชานั้นมีความสำคัญในการนำไปใช้เพื่อหยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างแท้จริง

เพราะถ้ายังไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไรคุณก็ไม่อาจปฏิบัติให้ถูกต้องตรงทางได้อย่างแน่นอน

:b1: จิต ไม่ใช่สังขารขันธ์ ตามที่หลวงปู่มั่นอธิบายไว้ดังนี้ :

"....สังขารกรรม วิญญาณกรรม แตกต่างกับสังขาร วิญญาณของนามรูป สังขารวิญญาณของนามรูปนั้นเป็นสังขารวิญญาณวิบาก เนื่องจากเป็นการปรุงแต่งที่สำเร็จรูปแล้ว สังขารกรรม วิญญาณกรรม เป็นวาวะที่ไม่เป็นอิสระอยู่ภายใต้อำนาจของกรรม มีอวิชชาเป็นหางเรือใหญ่ อาศัยสังขารการปรุงแต่ง อาศัยวิญญาณความรู้สึกในขณะที่กำลังปรับปรุงภพ อันจะเป็นแนวทางแห่งการก่อให้เกิด ซึ่งในขณะนั้นจิตเป็นประธานอาศัยสังขารปรุงแต่ง อาศัยวิญญาณความรู้สึกในขณะที่กำลังปรุงภพ อันจะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของสังขารกรรม วิญญาณกรรม ทั้งสองนั้น สืบเนื่องมาจากจิต ณ ที่นี้......"

:b1: หลวงปู่มั่นอธิบายไว้ชัดเจนดีแล้วว่า จิตเป็นประธานอาศัยสังขารปรุงแต่ง อาศัยวิญญาณความรู้สึกในขณะที่กำลังปรุงภพ อันจะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของสังขารกรรม

ดังนั้นจิตจึงไม่ใช่ทั้งสังขารขันธ์และสังขารในปฏิจสมุปบาท ณ ที่นี้ จิตเป็นธาตุรู้ที่ถูกอวิชชาครอบงำอยู่นั่นเอง

:b1: สรุปว่า การเวียนว่ายตายเกิดไปตามวงจรปฏิจสมุปบาทของจิตที่ถูกห่อหุ้มด้วยอวิชชา
โดยมีอวิชชาคือความหลงนั้นเองเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารกรรม วิญญาณกรรม นามรูป .... ฯ
และสังขารขันธ์ในนามรูปนั้นเป็นสังขารวิบากที่ถูกปรุงแต่งจากสังขารกรรมจนสำเร็จรูปมาแล้ว ดังนี้

ปล.เห็นได้ว่า คห.ของคุณโฮฮับขัดกับท่านพระอาจารย์มั่นอย่างชัดเจนเลยนะคะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 19:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
ในเมื่อเอาความหลงไปเป็นปัจจัยก็ไม่ได้ เอาวิบากไปเป็นปัจจัยก็ไม่ได้อีก เพราะคุณบอกว่ามันเป็นสิ่งเดียวกันและมันก็ไม่ใช่อวิชชาไปซะแล้ว

แต่จะไม่มีอะไรเป็นปัจจัยก็ไม่ได้อีก เพราะจะไม่เป็นไปตามกฎปฏิจสมุปบาทดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ดีแล้วว่า....อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารฯ จริงไหมละคะ

:b1: สรุปว่า ในที่สุดคุณโฮฮับก็ต้องว่ายเวียนกลับมาติดตังอยู่กับวงจรปฏิจสมุปบาทแห่งความสับสนของตนตามเดิม เพราะว่าความรู้ความเข้าใจในธรรมของคุณยังไม่ถึงที่สุดนั่นเองนะคะ ^^

ความเห็นที่เหลือผมอธิบายมาหมดแล้วครับ
อย่าลืมแยกปฏิจจฯกับเรื่องวิบากกรรมด้วยนะครับ แยกศึกษาเป็นกรณีๆไปครับ


:b1: หากศึกษาด้วยความเข้าใจต่อให้แยกอย่างไร ย่อมสามารถอธิบายให้เป็นอันหนึ่งเดียวกันได้ค่ะ

แต่ถ้าขาดความเข้าในภาพรวมทั้งหมด อธิบายอย่างไรมันก็ไม่อาจมาลงกันได้อย่างคุณโฮฮับเป็นตัวอย่างค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 19:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:b1: คุณโฮฮับว่าอย่างนั้นแต่หลวงปู่มั่นท่านว่าไว้อย่างนี้นะคะ :
สังขารกรรม วิญญาณกรรม เป็นวาวะที่ไม่เป็นอิสระ
อยู่ภายใต้อำนาจของกรรม มีอวิชชาเป็นหางเรือใหญ่

เพราะฉะนั้นเหตุต้นแห่งวิบากกรรมก็คืออวิชชา ไม่ใช่กิเลสอตัณหาย่างที่คุณว่ามานะคะ
กิเลสนั้นเป็นเพียงเหตุปัจจัยที่แสดงออกมาในแต่ละภพชาติเพื่อขัดเกลาเอาความหลงอันเป็นต้นเหตุแห่งกรรมทั้งหมดตลอดสายออกมานั่นเอง
เรื่องนี้คุณเข้าใจผิดไปแล้วก็กลับใจเสียใหม่ได้นะคะ

ผมขอทำความเข้าใจกับคุณหน่อยนะครับ ผมศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าครับ
การที่คุณเอาหลวงปู่มาอ้างกับผมเนี้ย คุณว่ามันใช่เรื่องมั้ยครับ
ถ้าจะคุยเรื่องธรรมของหลวงปู่มั่นผมขอผ่านครับ เพื่อพลั่งเผลอไปปรามาสท่าน
บอกจริงๆขี้เกียจเปิดศึกกับบรรดาลูกศิษย์ของท่านครับ


:b1: คุณคิดว่าหลวงปู่มั่นไม่ได้พูดเรื่องเดียวกันกับพระพุทธเจ้าหรืออย่างไรคะ

คุณเข้าใจตามพระพุทธเจ้าไม่ได้ แถมยังไม่ยอมรับในความเข้าใจของพระอรหันต์

นั่นคุณก็ปรามาสหลวงปู่มั่นไปเรียบร้อยแล้วละค่ะ

ถ้าสำนึกได้ก็ให้รีบกราบขอขมาองค์ท่านซะนะคะ

ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา ... ค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 20:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:เพราะฉะนั้นเหตุต้นแห่งวิบากกรรมก็คืออวิชชา ไม่ใช่กิเลสอตัณหาย่างที่คุณว่ามานะคะ
กิเลสนั้นเป็นเพียงเหตุปัจจัยที่แสดงออกมาในแต่ละภพชาติเพื่อขัดเกลาเอาความหลงอันเป็นต้นเหตุแห่งกรรมทั้งหมดตลอดสายออกมานั่นเอง
เรื่องนี้คุณเข้าใจผิดไปแล้วก็กลับใจเสียใหม่ได้นะคะ
ในวงจรปฏิจสมุปบาทนั้นรูปนามเกิดก่อนแล้วจึงค่อยมีผัสสะและเวทนาตามมาค่ะ

ในส่วนนี่ผมได้อธิบายเรื่องสังขารขันธ์ให้ฟังแล้วครับ


:b1: คำอธิบายของคุณนอกจากจะไม่เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว
ยังขัดกับคำอธิบายของท่านพระอาจารย์มั่นอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ

คำชี้แจงและเหตุผลดิฉันได้แสดงไว้ก่อนหน้านี้แล้วนะคะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 20:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
ถ้าหากว่ากิเลสตัณหาเป็นตัวตน ก่อนหน้านั้นตั้งแต่อวิชชาไล่มาจนถึงเวทนาก็ไม่มีความเป็นตัวตนอยู่เลย
ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นการสืบต่อภพชาติภายใต้อำนาจของกรรมก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะว่ามันขาดตัวตนผู้รับผลกรรมตั้งแต่อวิชชาในชาติถัดไปแล้ว ซึ่งมันเป็นไม่เลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ ^^

มันใช่อยู่แล้วครับ ถ้าในชาตินี้คุณสามารถ ตัดวงปฏิจจฯได้ตั้งแต่เกิดเวทนา
ชาติหน้าก็ไม่มีแล้วครับ เพราะมันยังไม่เกิดอุปาทานหลงยึดเป็นตัวตน ที่ทำให้เกิดภพชาติ
และทำไมถึงยังมีเวทนา ก็เพราะในภพนี้ชาตินี้เรา ยังมีร่างกายอยู่ มันยังผัสสะได้
มันเป็นไปตามธรรมชาติ และเหตุปัจจัย ความหมายก็คือมันไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่ง


:b1: แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นน่ะสิคะ

การตัดที่เวทนาอาจทำให้คุณไม่ทุกข์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่องตลอดชีวิตนั้นได้
แต่การเกิดในภพชาติต่อไปยังต้องมีอยู่อย่างแน่นอนเพราะว่าคุณไม่ได้ตัดหรือดับที่รากเหง้าคืออวิชชา

เมื่อยังมีอวิชชาเหลืออยู่ก็ยังเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ... ฯ วงจรปฏิจสมุปบาทก็ยังดำเนินต่อไปได้อีก

พิจารณาให้ดีว่าในชาติหนึ่งนั้นวงจรปฏิจสมุปบาทไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว

หลังจากปฏิสนธิเป็นตัวคนออกมาแล้ววงจรนั้นก็ยังหมุนต่อไปเรื่อยๆ และมีวงจรย่อยเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปในทุกขณะจิต จนกระทั่งคนนั้นตายไปวงจรใหญ่นั้นก็ยังต้องหมุนต่อไปอีก ตราบใดที่จิตอันเป็นประธานยังถูกห่อหุ้มอยู่ด้วยอวิชชา ย่อมมีปัจจัยให้เกิดสังขารกรรม วิญาญาณกรรม นามรูป ... ขึ้นมาได้อีกอย่างแน่นอน ดังนี้

ดูได้จากกรณีของอรูปพรหม ถึงแม้จะไม่มีร่างกายแต่วงจรปฏิจสมุปบาทก็ยังดำเนินต่อไปเพราะว่ายังทำลายอวิชชาความหลงไม่ได้อยู่นั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 20:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
สรุปว่า คห.ของคุณไม่อาจลงได้กับปฏิจสมุปบาทตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว
เพราะความรู้ความเข้าใจยังไม่รอบ แค่เห็นได้เพียงบางส่วนเท่านั้น พอนำความเข้าใจที่ยังไม่ถึงที่สุดมาอธิบาย จึงได้สับสนมีช่องโหว่อยู่มากมายและในที่สุดก็ยังวกวนจนหาจุดจบไม่ได้อยู่นั่นเอง

ผมว่าเป็นคุณนั้นแหล่ะครับ คิดไม่รอบด้าน คิดไล่แต่ในวงไล่ไปไล่มามันก็งงนะซิครับ


:b1: ดิฉันใช้ความเข้าใจไม่ได้อาศัยความคิดรอบด้านเหมือนคุณค่ะ

เห็นได้ชัดว่าการใช้ความคิดรอบด้านมันทำให้คุณสับสนจนมองภาพรวมไม่ออก

คุณจะอธิบายอะไรออกมามันก็ลงกันไม่ได้เพราะไม่ได้ออกมาจากความเข้าอันเป็นหนึ่งเดียวกัน

เพราะว่าแท้จริงแล้วความคิดทุกด้านนั้นก็คือสังขารจิตที่อยู่ภายใต้อำนาจของอวิชชานั่นเอง ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 20:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
ปล.ในพระไตปิฏกกล่าวไว้ว่า ความหลงเป็นอวิชา ถ้าไม่ให้เข้าใจว่า ความหลงคืออวิชชา
แล้วอวิชชาในใจของคุณโฮฮับจะให้พระพุทธเจ้า คณาจารย์ และคนอื่นๆ เข้าใจกันว่าอย่างไรละคะ (ขำว่ะค่ะ)
ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา ... ค่ะ ^^

สมมุติว่า คุณไปบอกกับพระพุทธเจ้าว่า ความหลงเนี้ย ผมถามครับว่า
พระพุทธเจ้าจะรู้จัก กับคำว่าความหลงมั้ยครับ พระองค์ไม่รู้จักภาษาไทยหรอกครับ
จะอ่านพระไตรปิฎก มันต้องรู้จักพิจารณาธรรมไปตามสภาวะซิครับ ไม่ใช่ตัวหนังสือ
บอกว่าความหลง ก็ว่าหลงไปกับเขา

แล้วเลิกเอาพระพุทธเจ้ามาอวยพรได้แล้วนะครับ
พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเจ้านะครับ ท่านปรินิพพานไปตั้งนาน
อวยพรใครไม่ได้แล้วครับ


:b1: สิ่งที่ดับไปนั้นเป็นเพียงขันธ์ ๕ หาใช่พระพุทธเจ้าไม่

เพราะว่าคุณยังนับถือขันธ์ ๕ เป็นพระพุทธเจ้าอยู่นี่ไง
ถึงไม่อาจน้อมนำธรรมอันเป็นตัวแทนของพระองค์มาใช้ให้ถูกต้องตรงทางได้

แล้วก็ทิ้งเรื่องสมมุติของคุณไปเสียเถอะนะคะ
พระพุทธองค์ทรงสั่นสอนให้เข้าใจในปรมัตถ์จะได้ไม่หลงอยู่กับสมมุติอีกต่อไป

:b8: ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา ... ค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2011, 21:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:b1: คุณโฮฮับว่าอย่างนั้นแต่หลวงปู่มั่นท่านว่าไว้อย่างนี้นะคะ :
สังขารกรรม วิญญาณกรรม เป็นวาวะที่ไม่เป็นอิสระ
อยู่ภายใต้อำนาจของกรรม มีอวิชชาเป็นหางเรือใหญ่

เพราะฉะนั้นเหตุต้นแห่งวิบากกรรมก็คืออวิชชา ไม่ใช่กิเลสอตัณหาย่างที่คุณว่ามานะคะ
กิเลสนั้นเป็นเพียงเหตุปัจจัยที่แสดงออกมาในแต่ละภพชาติเพื่อขัดเกลาเอาความหลงอันเป็นต้นเหตุแห่งกรรมทั้งหมดตลอดสายออกมานั่นเอง
เรื่องนี้คุณเข้าใจผิดไปแล้วก็กลับใจเสียใหม่ได้นะคะ

ผมขอทำความเข้าใจกับคุณหน่อยนะครับ ผมศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าครับ
การที่คุณเอาหลวงปู่มาอ้างกับผมเนี้ย คุณว่ามันใช่เรื่องมั้ยครับ
ถ้าจะคุยเรื่องธรรมของหลวงปู่มั่นผมขอผ่านครับ เพื่อพลั่งเผลอไปปรามาสท่าน
บอกจริงๆขี้เกียจเปิดศึกกับบรรดาลูกศิษย์ของท่านครับ


:b1: คุณคิดว่าหลวงปู่มั่นไม่ได้พูดเรื่องเดียวกันกับพระพุทธเจ้าหรืออย่างไรคะ

คุณเข้าใจตามพระพุทธเจ้าไม่ได้ แถมยังไม่ยอมรับในความเข้าใจของพระอรหันต์

นั่นคุณก็ปรามาสหลวงปู่มั่นไปเรียบร้อยแล้วละค่ะ

ถ้าสำนึกได้ก็ให้รีบกราบขอขมาองค์ท่านซะนะคะ

ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา ... ค่ะ ^^


:b1: ดิฉันขอเพิ่มเติมอีกสักหน่อยนะคะ

หากว่าคุณโฮฮับมั่นใจว่าความเข้าใจของตนนั้นเป็นพระธรรมอันถูกต้องตรงทางแล้ว
การจะแสดง คห.ต่อคำอธิบายของหลวงปู่มั่นก็ย่อมทำได้โดยไม่หวาดหวั่น

เพราะองค์ท่านก็เคารพในพระธรรม แม้แต่พระพุทธองค์ก็ทรงเคารพในพระธรรมเช่นกัน
การแสดงพระธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิบริบูรณ์แล้วจึงไม่ถือว่าเป็นการปรามาสแต่อย่างใด

ถ้าคุณมั่นใจอย่างนั้นแล้วยังจะต้องเกรงกลัวอะไรอีกละคะ
ขอให้แสดงมาเถิดว่าหลวงปู่มั่นท่านอธิบายไม่ถูกต้องตรงตามคำสอนของพระพุทธองค์อย่างไรบ้าง

หากคำชี้แจงแถลงไขของคุณสามารถนำมาหักล้างคำอธิบายขององค์ท่านได้
ทั้งองค์ท่านและดิฉันพร้อมทั้งศานุศิษย์ของหลวงปู่มั่นทุกคนย่อมจะก้มกราบลงแทบเท้าของคุณด้วยใจบูชา

แต่ถ้าหากว่าความเข้าใจของคุณนั้นยังไม่ถึงแม้แค่ตาตุ่มขององค์ท่านแล้ว
นรกอเวจีก็พร้อมจะรองรับคุณทุกลมหายใจ ^^

:b8: อนุโมทนาค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 00:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มาหลายวันตามไม่ทัน smiley :b9:



เท่ห์ดี

อ้างคำพูด:
จงสร้างปัญญาเพื่อพ้นทุกข์ แต่ อย่าสร้างทุกข์มุ่งโลกีย์
ผู้ที่รู้ทุกข์จึงพ้นทุกข์ ทางแห่งพ้นทุกข์ใช่โลกีย์
ผู้ที่พ้นทุกข์ต้องรู้ทุกข์ รู้ทุกข์พ้นทุกข์ค่อยพาที
ทุกข์นั้นพ้นได้ด้วยจิตนิ่ง จิตนิ่งพ้นทุกข์เหนือโลกีย์
พ้นทุกข์ต้องทำด้วยจิตนิ่ง ด้วยจิตนิ่งเดียวพ้นโลกีย์
นิ่งเดียวพูดง่ายใช่ทำง่าย รู้จิตเดิมได้ก็ง่ายดี
จิตเดิมถ่องแท้นั้นคือหนึ่ง เหตุไม่ได้หนึ่ง เพราะโลกีย์
ทางแห่งโลกีย์ล้วนไม่เที่ยง ทางแห่งพ้นทุกข์เหนือเที่ยงดี
ละวางโลกีย์จิตรู้นิ่ง จิตที่รู้ นิ่ง วางว่างดี
ปัญญารู้จิตเป็นหนึ่งได้ จิตเดิมเป็นหนึ่งไร้โลกีย์....

โดย..... :b10:

ใครทายถูกคนนั้นเก่ง
:b4: เดี๋ยวเราก็ตายๆจากกันไปแล้ว...วงดนตรีก้ต้องเลิก(บรรลุก้ตายไม่บรรลุก้ตาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 00:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนไม่เก่ง..เลยมารอคนทาย :b9: :b9:

บรรลุ..ก็รู้
ไม่บรรลุ..ก็รู้
ตาย..ก็รู้อยู่

:b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 00:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คนไม่เก่ง..เลยมารอคนทาย :b9: :b9:

บรรลุ..ก็รู้
ไม่บรรลุ..ก็รู้
ตาย..ก็รู้อยู่

:b4:

ชอบคำคมคารมปรา๙ญ์กันหลับอยู่ก็หามาให้....กบน้อยคิดดูเซ่ะ :b11:

ใครทายถูกน่าจะให้เป็นพระเครื่องของหลวงปู่สรวงสักองค์เนอะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร