วันเวลาปัจจุบัน 30 ก.ค. 2025, 00:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 20:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
หากจะอธิบายสังขารในปฏิจสมุปบาทก็ไม่ใช่ทั้งรูปและนามนะคะ

พี่แฟนต้าจ๋า .... อันนี้บังเอิญจริง ๆ
เอกอนเพิ่งเห็นความคิดอันนี้เข้ามาในหัวเมื่อตอนแปรงฟันตอนเช้า อิอิ
ปรากฎแง่นี้ขึ้นมา แต่ก็คิดต่อไม่ออกค่ะ ว่าทำไมถึงไม่ใช่ทั้ง รูป และ นาม คะ

จริง ๆ ตอนเช้าเอกอน ตรึก ๆ อยู่ว่า สังขารในปฏิจ... ตรงนั้น
ไม่น่าจะใช่รูป หง่ะ
แต่ ถ้าไม่ใช่รูป มันก็น่าจะต้องเป็น นาม แต่...ก็ หงึ :b10: :b10:
ยังคลุมเคลือค่ะ
ซึ่งพี่มากล่าวว่า ไม่ใช่ทั้งรูป และ นาม หง่ะ


:b1: น่าเสียดายจริงๆ
ขนาดเห็นความคิดออกมาแล้วน้องเอกอนกลับไม่เอาความเข้าใจมาทำลาย
พยายามคิดปรุงแต่งต่อไปน้องก็ตกลงในหลุมพรางของอวิชชาเสียแล้วละค่ะ

เพราะว่าความคิดนั่นเองเป็นสังขารในปฏิจสมุปบาท เกิดจากอวิชชาเป็นปัจจัย
หากรู้เท่าทันเล่ห์เพทุบายของอวิชชาแล้วไม่ว่าความคิดอะไรออกมาก็จะต้องทำลายทันที

เมื่อไม่รู้เท่าทันสังขารจิตและเป้าหมายที่จะไปก็ยังไม่แน่วแน่จึงถูกหลอกให้หลงเอาได้ง่ายๆ นะคะ
การที่ความเข้าใจยังไม่กระจ่างแจ้งก็เป็นเพราะว่ามันติดอยู่ที่ความคิดนั่นเองค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 20:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
FANTASIA เขียน:
หาก...จะกล่าถึงการละทิ้งสังขารจิตแล้วจะต้องสลัดทิ้งตั้งแต่ตัวจิตที่คิดปรุงแต่งนั่นเลยทีเดียว
เพราะผู้ที่มีความเข้าใจในสังขารจิตจริงๆ นั้นจะหมดความสำคัญมั่นหมายที่มีต่อร่างกายไปอักโขแล้วละค่ะ


:b12: :b12:

พี่แฟนต้าจ๋า....

tongue tongue tongue

ขอพี่ให้ความกระจ่างงงส์ อีกนิสสส์


:b1: หากความกระจ่างเป็นสิ่งที่พี่ให้ได้และน้องเอกอนสามารถรับเอาได้
ผู้ทำความกระจ่างเช่นนั้นแหละคือสิ่งที่น้องต้องสลัดทิ้งไปให้ไกลๆ
แล้วจะกระจ่างแจ้งในความรู้ที่ไม่มีสิ่งใดห่อหุ้มพัวพันเองละค่ะ
tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 21:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบางลางเลือน เขียน:
ขอบคุณ คุณfantasia ที่มาช่วยตอบให้คุณ จางบาง

แต่ว่าคุณจางบางยังไม่ค่อย เคลียกับคำตอบ ที่บอกว่า วิญญาณหกที่มาจากการตรัสของ
พระพุทธองค์ น่าจะผิด และที่ถูกคือควรจะเป็นอย่างที่คุณ ตอบ นั่นหนะ

สรุปว่าจะให้ คุณจางบาง เลือกเชื่อว่า ที่มาจากไตรปิฏกนั้นผิด หรือเลือกเชื่อว่าคุณ
ตีความผิดกันคะ่

s004


ยังไม่ต้องขอบคุณดิฉันก็ได้ค่ะ

หากยังเลือกไม่ถูกระหว่างสองข้อนั้นดิฉันก็ขอแนะนำทางเลือกข้อที่สามให้นะคะ

คุณจางบางฯ ควรจะย้อนกลับไปดูปฏิจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ที่คุณยกมา
ลองพิจารณาดูให้ดีว่าส่วนไหนเป็นปฏิจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ของแท้
และส่วนไหนเป็นสิ่งที่ผู้แต่งหนังสือเล่มนั้นพยายามยัดใส้เข้าไป

จางบางลางเลือน เขียน:
ปฏิจจสมุปบาท ที่ตรัสจากพระโอษฐ์

อวิชชา คือ ความไม่รู้ อริยสัจจ4
สังขาร คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร

กายสังขาร คือ ลมหายใจ
วจีสังขาร คือ วิตก วิจารณ์
จิตตสังขาร คือ สัญญาเวทนาเจตนา ผัสสะมนสิการ

เพราะยังไม่มีความรู้แจ้งในอริยสัจจ์ จึงยังมีสังขารสาม

และเมื่อรู้แจ้ง อริยสัจจ์ สังขารทั้งสาม จะสิ้นไปด้วย วิราคะธรรม

เพราะ มีสังขารสาม จึงมี วิญญาณหก คือ วิญญาณทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ

นี่คือปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์


เปรียบเทียบกับ

eragon_joe เขียน:
๖. ปัจจยาการวิภังค์
สุตตันตภาชนีย์
................
[๒๕๗] สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เป็นไฉน
ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร กายสังขาร
วจีสังขาร จิตตสังขาร

ในสังขารเหล่านั้น ปุญญาภิสังขาร เป็นไฉน
กุศลเจตนา เป็นกามาวจร เป็นรูปาวจร ที่สำเร็จด้วยทาน ที่สำเร็จ-
*ด้วยศีล ที่สำเร็จด้วยภาวนา นี้เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร
อปุญญาภิสังขาร เป็นไฉน
อกุศลเจตนาเป็นกามาวจร นี้เรียกว่า อปุญญาภิสังขาร
อาเนญชาภิสังขาร เป็นไฉน
กุศลเจตนาเป็นอรูปาวจร นี้เรียกว่า อาเนญชาภิสังขาร
กายสังขาร เป็นไฉน
กายสัญเจตนา เป็นกายสังขาร วจีสัญเจตนา เป็นวจีสังขาร มโนสัญ-
*เจตนา เป็นจิตตสังขาร
เหล่านี้เรียกว่า สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย


หากตีความว่ากายสังขารคือลมหายใจแล้ว
ลองกลับไปไล่วงจรปฏิจสมุปบาทดูใหม่ว่าก่อนหน้านั้นมีร่างกายเกิดขึ้นแล้วหรือยังนะคะ
ก็จะทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการตีความเช่นนั้นไม่เป็นไปตามหลักของปฏิจสมุปบาทค่ะ

ทีนี้คุณจะเลือกเชื่อข้อใหนก็สุดแท้แต่ความเข้าใจในการเลือกเฟ้นธรรมของคุณเองนะคะ
tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 21:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อย่าเถียงกัน...ผิดทั้งคู่นั้นแหละ :b9: :b9:

สังขาร..ในปฏิจจสมุปบาท...เป็น...รูป..แม้แต่พลังงานหยาบละเอียด..ก็เป็นรูป

สังขารขันธ์..ใน..นามรูป...มันเป็น..นาม

แต่เมื่อเราเกิดมาแล้ว..มีชีวิตแล้ว...คือมีรูปนามแล้ว..

อวิชชา..มีผลตรงมาที่สังขารขันธ์เลย...คือมาที่นามรูปเลย...ไม่ต้องผ่าน..สังขารา...กับ..วิญญาณัง...อีกแล้ว...เพราะทั้ง 2 อย่างมันมารวมกันที่นามรูปนี้แล้ว


:b1: ขอโทษนะคะ

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าปฏิจสมุปบาทของคุณกบนอกกะลาเกิดอาการลัดวงจรขึ้นมาแล้วละค่ะ ^^

Quote Tipitaka:
“ ภิกษุทั้งหลาย หมู่ประชานี้ เป็นผู้เริงรมย์อยู่ด้วยอาลัย ยินดีอยู่ในอาลัย ระเริงอยู่ในอาลัย สำหรับหมู่ประชาผู้เริงรมย์ รื่นระเริงอยู่ในอาลัย (เช่นนี้) ฐานะอันนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก กล่าวคือ หลักอิทัปปัจจยตา หลักปฏิจจสมุปบาท ถึงแม้ฐานะอันนี้ ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก กล่าวคือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสลัดอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา วิราคะ นิโรธ นิพพาน ก็ถ้าเราพึงแสดงธรรม และคนอื่นไม่เข้าใจซึ้งต่อเราข้อนั้นก็จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณจางบาง ก็ดูดีแล้ว ว่าที่ตรัสจากพระโอษฐ์หนะ มีอยู่เต็มในพระไตรปิฏกเลยนะ
แต่ที่อธิบาย แตกต่างไปจากนี้ ก็มีแต่ที่แต่งขึ้นมาภายหลังของอรรถกถาเอง

คุณ แฟนตาเซีย จะเชื่อที่มาจาก พระโอษฐ์ หรือที่มาจาก อรรถกถาหละคะ

สำหรับการตีความ แล้วไม่สามารถลงกันได้ตามต้นแบบที่มาจากพระโอษฐ์ ก็เพราะความรู้
ของเรายังไม่ถึงก็ได้นี่คะ เพราะจางบางเจอคนที่เขาอธิบายได้อย่างหมดคำโต้แย้งก็มีคะ

และคุณจางบางเองก็ ขอไม่อธิบายหรอกนะคะ เพราะกลัวจะโดนรุมฉีกเป็นชิ้นๆ
ขอเก็บไว้ในใจเงียบๆดีกว่า

:b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 23:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมว่า...จะเชื่อจากไหนก็ถูกหมด...หากทำให้เราลด ละ เลิก กิเลสราคะตัณหาอุปาทาน..ได้

หากเชื่อแล้ว..ก็ยังลดไม่ได้

ยังจะสำคัญว่า..ความเชื่อนั้นถูกอยู่อีกหรือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 00:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
eragon_joe เขียน:
หากจะอธิบายสังขารในปฏิจสมุปบาทก็ไม่ใช่ทั้งรูปและนามนะคะ

พี่แฟนต้าจ๋า .... อันนี้บังเอิญจริง ๆ
เอกอนเพิ่งเห็นความคิดอันนี้เข้ามาในหัวเมื่อตอนแปรงฟันตอนเช้า อิอิ
ปรากฎแง่นี้ขึ้นมา แต่ก็คิดต่อไม่ออกค่ะ ว่าทำไมถึงไม่ใช่ทั้ง รูป และ นาม คะ

จริง ๆ ตอนเช้าเอกอน ตรึก ๆ อยู่ว่า สังขารในปฏิจ... ตรงนั้น
ไม่น่าจะใช่รูป หง่ะ
แต่ ถ้าไม่ใช่รูป มันก็น่าจะต้องเป็น นาม แต่...ก็ หงึ :b10: :b10:
ยังคลุมเคลือค่ะ
ซึ่งพี่มากล่าวว่า ไม่ใช่ทั้งรูป และ นาม หง่ะ


:b1: น่าเสียดายจริงๆ
ขนาดเห็นความคิดออกมาแล้วน้องเอกอนกลับไม่เอาความเข้าใจมาทำลาย
พยายามคิดปรุงแต่งต่อไปน้องก็ตกลงในหลุมพรางของอวิชชาเสียแล้วละค่ะ

เพราะว่าความคิดนั่นเองเป็นสังขารในปฏิจสมุปบาท เกิดจากอวิชชาเป็นปัจจัย
หากรู้เท่าทันเล่ห์เพทุบายของอวิชชาแล้วไม่ว่าความคิดอะไรออกมาก็จะต้องทำลายทันที

เมื่อไม่รู้เท่าทันสังขารจิตและเป้าหมายที่จะไปก็ยังไม่แน่วแน่จึงถูกหลอกให้หลงเอาได้ง่ายๆ นะคะ
การที่ความเข้าใจยังไม่กระจ่างแจ้งก็เป็นเพราะว่ามันติดอยู่ที่ความคิดนั่นเองค่ะ ^^


smiley smiley smiley

ขอบคุณค่ะ การแสดงความเห็นของพี่แฟนต้า
ทำให้เอกอนเห็นแง่มุมที่เคยมองเห็นไม่ถนัด

และคำเตือนสติของพี่ เอกอนกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
:b8: :b8: :b8:
เอกอนจะพยายามระลึกและนำคำแนะนำของพี่ไปทำค่ะ
แต่กระทู้นี้ ขอเอกอนไหลอีกนิดส์ นะคะ เพราะเมื่อเช้าเอกอนตรึกถึงสิ่งนั้นจริง ๆ
เพราะเอกอนเห็นว่า/เข้าใจว่า มันไม่ใช่รูป
แต่การเป็นนาม หรือไม่ใช่นามนั้น ยังเป็นสิ่งที่เหมือนกับว่ามันก่ำ ๆ กึ่ง ๆ อยู่
จนตะกี้ ได้หยิบ ๖. ปัจจยาการวิภังค์ สุตตันตภาชนีย์
และอ่านต่อไปยังวิภังค์บทต่อไป ก็เจอวิภังค์บทนี้ค่ะ

เหตุจตุกกะ
[อวิชชามูลกนัย]
[๒๗๘] สังขารมีอวิชชาเป็นเหตุ เกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
วิญญาณมีสังขารเป็นเหตุ เกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย
นามมีวิญญาณเป็นเหตุ
เกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
อายตนะที่ ๖ มีนามเป็นเหตุ เกิดเพราะนามเป็นปัจจัย
ผัสสะมีอายตนะที่ ๖ เป็นเหตุ เกิดเพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย
เวทนามีผัสสะเป็นเหตุ เกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
ตัณหามีเวทนาเป็นเหตุ เกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย
อุปาทานมีตัณหาเป็นเหตุ เกิดเพราะตัณหาเป็นปัจจัย
ภพเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
ชาติเกิดเพราะภพเป็นปัจจัย
ชรามรณะเกิดเพราะชาติเป็นปัจจัย
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้


ส่วนที่พี่กล่าวว่า
"หากจะอธิบายสังขารในปฏิจสมุปบาทก็ไม่ใช่ทั้งรูปและนาม"

ซึ่งในกรณี
เหตุจตุกกะ
[อวิชชามูลกนัย]
[๒๗๘] สังขารมีอวิชชาเป็นเหตุ.......
นี้

กล่าวถึง "นาม" เมื่อมีวิญญาณมีสังขารเป็นปัจจัยแล้ว

:b8: :b8: :b8:

และ สำหรับพระอรหันต์ ท่านไม่มีอวิชาแล้ว..... ดังนั้น :b8: :b8:

กราบขอบพระคุณพี่แฟนต้าอีกครั้ง
สำหรับการสละเวลามาแสดงความคิดเห็นที่กระทู้นี้ค่ะ


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 04:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:b1: เท่าที่คุณอธิบาย "สังขาร" มานั้นยังไม่เข้าร่องเข้ารอยเลยค่ะ
เอาสังขารขันธ์และสังขารในปฏิจสมุปบาทมาบนเปกันจนตนก็ยังสับสนอยู่เนืองๆ

หากจะอธิบายสังขารในปฏิจสมุปบาทก็ไม่ใช่ทั้งรูปและนามนะคะ
หากจะอธิบายในแง่ของขันธ์ ๕ การที่คนทั่วไปเข้าใจว่าสังขารเป็นร่างกายนั่นก็ถูกต้องของเขาแล้วละค่ะ

สงสัยคุณจะอ่านในวงปฏิจสมุบาท พอเห็นมีรูปและนามเกิดอยู่ด้วย เลยมาโต้ว่า
สังขารไม่ใช่รูปและนาม อ่านธรรมอย่าอ่านแบบนี้ครับ ขณะที่อ่านต้องทำความเข้าใจ
พิจารณาในรายละเอียดด้วยซิครับ ทุกอย่างในธรรมชาติมันมีแค่รูปกับนามครับ

รูปกับนามในวงปฏิจสมุบาท คุณเข้าใจว่าอะไรหรือครับ
รูปกับนามมันก็คือกาย ที่มีดวงจิตที่ยึดมั่นถือมั่นมาอาศัย ด้วยเหตุปัจจัยก่อนครับ


สังขารขันธ์กับสังขารในวงปฏิจสมุบาท มันก็เหมือนกันเป็นสภาวะเดียวกัน
ที่คุณเห็นว่า มันต่างกันก็เพราะ มันอยู่ในสถานะที่ต่างกัน บ้างครั้งมันเป็น
เหตุให้เกิดผล บางครั้งมันเป็นผลที่เกิดจากเหตุครับ

สังขารขันธ์ เป็นสมมุติบัญญัติที่ใช้เรียก สภาวะการปรุงแต่งเป็นมวลรวมใหญ่
สังขารในปฏิจสมุบาท เป็นการอธิบายเหตุปัจจัยและผลที่เกิดตามมาของสังขารขันธ์
ยกตัวอย่างครับ มีคนอยู่คนหนึ่งโฮฮับ โฮฮับไปแต่งงานมีครอบครัวมีลูก
ใครก็ต้องเรียกผมว่า คุณพ่อโฮฮับ คุณว่าโฮฮับกับคุณพ่อโฮฮับ มันต่างกันมั้ยครับ
มันเป็นคนละคนกันหรือเปล่าครับ


:b1: สวัสดีค่ะ

คุณโฮฮับอย่าเพิ่งด่วนตัดสินดิฉันด้วยอคติเช่นนั้นเลยนะคะ

นามรูปในวงจรปฏิจสมุปบาทหากจะแยกเป็นขันธ์ ๕ ก็ได้ค่ะ
แต่จะกล่าวว่าสังขารขันธ์กับสังขารในปฏิจสมุปบาทเป็นสภาวะเดียวกันนั้นยังไม่ค่อยตรงนัก

ดังตัวอย่างที่คุณยกมาเปรียบเทียบนั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสภาวะของโฮฮับทั้งสองมีความแตกต่างกัน
จากโฮฮับเปลี่ยนสภาวะเป็นคุณพ่อโฮฮับ คนที่มองได้เพียงผิวเผินก็จะเห็นว่ายังเป็นโฮฮับคนเดิม
แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งได้ก็จะสามารถเห็นถึงสภาวะที่เปลี่ยนไปได้อย่างชัดเจนทีเดียวค่ะ

ฉะนั้นความเข้าใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ที่มีความรู้มากเช่นคุณโฮฮับ
หากคุณมีความเข้าใจในปรมัตถ์ก็จะสามารถใช้ความรู้ในบัญญัติได้ถูกต้องตรงทางกว่านี้ค่ะ

เพราะการอาศัยความรู้เพียงอย่างเดียวมาอธิบายข้อธรรมโดยปราศจากความเข้าใจนั้น
นอกจากจะเป็นโทษต่อตนเองแน่ๆ แล้วยังอาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดทางตามไปด้วย

ส่วนเรื่องรูปกับนามคือกายกับจิตนั้นดิฉันได้แสดง คห.ไว้ชัดเจนแล้วนะคะ
อยู่ในคำตอบที่ดิฉันได้ให้ไว้กับคุณจางบางฯ ก่อนหน้านี้ คุณโฮฮับสามารถเลื่อนกลับไปดูได้ค่ะ

มันจะไปแตกต่างกันตรงไหนครับ มันก็โฮฮับคนเดิม เพียงแต่จากคนๆเดียวต้องมาทำหน้า
เป็นพ่อหรือเป็นปู่

วงปฏิจสมุบาทมันเป็นวงกลมหมุนเวียน ในวงนี้ที่เราต้องพิจารณามันมีสองที่คือ
ในส่วนของสังขารกับในส่วนของรูปนาม ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า เราจะเริ่มจากจุดไหน
ของวงกลม ระหว่างสังขารกับรูปนาม

ถ้าเริ่มจากรูปนาม รูปนามก็เป็นโฮฮับถ้าเริ่มจากสังขาร สังขารก็เป็นโฮฮับ
สมมุติว่าเราเริ่มจาก รูปนามเป็นโฮฮับ รูปก็คือร่างกายของโฮ นามก็เป็นในส่วนจิต
ในส่วนจิตหรือนามนี้จะมี สังขารขันธ์ประกอบอยู่ด้วย โดยมวลของจิตปุถุชนจะมีสิ่งที่เรียกว่า
ความยึดมั่นถือมั่นคอบควบคุมอยู่
เมื่อวงปฏิจฯหมุนต่อไปจนไปถึงมรณะ รูปนามต้องแยกจากกัน รูปหรือร่างกายก็จะกลายเป็น
ธาตุสี่ตามธรรมชาติ ส่วนนามหรือจิตก็จะเหลือไว้ในส่วนที่เป็นสังขารขันธ์
สังขารขันธ์ของปุถุชนมันประกอบด้วยอวิชา มันก็คือสังขารตัวถัดจากอวิชาในวงปฏิจฯนั้นแหล่ะ

หรือถ้าจะเอาสังขารในวงปฏิจฯเป็นโฮฮับก็เป็นลักษณะเดียวกัน เพราะมันเป็นวัฏจักรแห่งจิต
หมุนเวียนซ้ำซากเป็นวงกลมของบุคคลคนหนึ่งครับ

ในวงปฏิจสมุบาททั้งวงนั้น อันที่จริงมันก็คือความยึดมั่นถือมั่นครับ
หรือในวงทั้งวงก็คือโฮฮับ หรือโฮฮับก็คืออวิชาที่เดินรอบวงจนกลับมาจุดเดิม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
:b16: ดิฉันขอใช้คำพูดของคุณย้อนกลับไปนะคะว่า......ก่อนพูดพิจารณาทุกรายละเอียดให้ดีก่อน

ข้อนั้นดิฉันพูดถึงคนทั่วไปที่ไม่ได้มีความรู้มากมายเช่นเดียวกับคุณนะคะ
ปัจจุบันยังมีผู้ที่เข้าใจว่าสังขารคือร่างกายอยู่ไม่น้อยและหากเขาจะพูดว่าสังขารไม่เที่ยงก็ไม่ผิดอะไร
เพราะสภาวะของร่างกายนั้นมันไม่เที่ยงจริงๆ ขอให้ยอมรับความจริงข้อด้วยค่ะ

ถ้าคุณเข้าใจในปริยัติผิด มันก็จะทำให้ขั้นตอนในการปฏิบัติมันเกิดการสับสนครับ
ที่สำคัญพระพทธองค์ท่านทรงเน้นสอนเรื่องจิตนะครับ
สิ่งที่เป็นทุกข์ สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดมันเป็นจิตนะครับ มันไม่ใช่ร่างกาย
ร่างกายที่คงสภาพเป็นรูปได้ก็ชาติเดียว ถ้าเป็นชาติภพใหม่มันก็เป็นร่างกายอันใหม่

นี่ขนาดพระธรรมสู้อุตสาห์แยกไว้เป็นสัดส่วนแล้วน่ะว่ารูป ว่านาม
ยังมาผสมปนเปกันอีก


อีกอย่างครับถ้าไม่สามารถอธิบายหาข้อมูลมาอธิบายให้คนอื่นฟังได้
ก็ไม่ควรโมเมเฉไฉไปว่า ไม่ผิด มันจะเกิดผลเสียกับผู้ไม่รู้นะครับ
FANTASIA เขียน:
ส่วน คห.เกี่ยวกับสังขารจิตของคุณนั้นยังสับสนอยู่มาก
ความยึดมั่นที่อธิบายมานั้นไม่ใช่สังขารจิตอย่างที่คุณเข้าใจแต่เป็นอุปาทานค่ะ
แสดงว่าสติของคุณเห็นได้แค่อุปาทาน ยังไม่รวดเร็วพอที่จะเห็นสังขารจิตที่เกิดดับก่อนหน้านั้นเลยละค่ะ
หากจะเน้นเรื่องสภาวะธรรมผู้อธิบายก็ควรจะมีความเข้าใจในสมมุติบัญญัติให้ถูกต้องตรงทางเสียก่อนนะคะ
ไม่ใช่เอาบัญญัติเรื่องหนึ่งมาอธิบายปนเปกันกับบัญญัติอีกเรื่องหนึ่งอยู่เช่นนี้
ส่อให้เห็นสภาวะของผู้อธิบายว่ามีความเข้าใจในธรรมน้อยนิดเพียงใด

การศึกษาพระธรรมด้วยความเข้าใจแล้ว เราต้องยึดเอาประเด็นหัวข้อธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก
ไม่ใช่ไปยึดเอาคำแปลต่างๆในตำราบางเล่ม
คนที่เข้าใจแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เขาจะสนใจแต่หัวข้อพระธรรม
ส่วนคำแปลไม่ได้อยู่ในสายตาหรอกครับ

จะอธิบายในประเด็นนี้ให้ฟังครับ ในวงปฏิจสมุบาททั้งวง
มันอยู่ภายใต้การบังคับของ "ความยึดมั่นถือมั่น"

และไอ้อุปทานที่คุณบอกว่าเป็น ความยึดมั่นถือมั่น แท้แล้วไม่ใช่ครับ
เพียงแต่ว่า มันถูกควบคุมด้วยความยึดมั่นถือมั่นต่างหากครับ

จริงๆแล้วอุปาทานที่คุณว่ามันเป็น "ความหลงหรือโมหะครับ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 05:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
แล้วอย่าไปเอ่ยถึงน้องฮานะเขาบ่อย
หรือเข้าข้างจนออกหน้าออกตาแบบนี้
ทำอย่างนี้ชาวบ้านเขาจะว่า คุณเป็นอวตาลหรือนอมินีน้องฮานะเขามานะครับ

:b1: ขอบคุณค่ะ
สำหรับดิฉันไม่สำคัญหรอกค่ะว่าใครจะว่าอย่างไร
แต่ก่อนที่คุณจะมาบอกดิฉันว่าอย่าไปเอ่ยถึงน้องฮานะเขาบ่อยนั้น
คุณควรห้ามใจตนเองให้ได้เสียก่อนดีกว่านะคะ
“ห้ามตนเองยังทำไม่ได้ แต่จะไปห้ามคนอื่น “

คำพูดนี้ดิฉันจำมาจากที่คุณกล่าวกับคุณกามโภคีค่ะ
เพราะฉะนั้นการจะแนะนำใครก็ควรแนะนำในสิ่งที่ตนเองทำได้แล้วดีกว่านะคะ
tongue

ตลกดีครับ เห็นชี้หน้าประนามผมว่า มองอะไรแค่มุมเดียว
พอผมอธิบายให้ฟังว่าผมไม่ได้มองอะไรมุมเดียว ก็มากระแนะกระแหน่อีกว่า
เอาเรื่องหนึ่งมาผสมปนเปกัน มิหน่ำยังกล่าวในทำนองว่าผมไม่เข้าใจธรรม

อพุโถ่! เรื่องมันทำไมหมุนกลับตาลปัตรแบบนี้ครับ

คุณแฟนตาเซียครับ ก่อนจะย้อนชาวบ้านด้วยวาจาที่เสียดสีแบบนี้
ผมว่าคุณควรไปดูเหตุที่มาก่อนนะครับว่าอะไรเป็นอะไร

ในกระทู้ที่คุณไปเอามาอ้าง กลับไปดูให้ดีซิครับว่าผมเป็นคนเริ่มที่จะกล่าวชื่อ
คุณหรือลูกศิษย์คุณหรือครับ ความเห็นของผมกล่าวโดยรวมๆไม่เฉพาะเจาะจงใคร
ทั้งๆที่หัวขอกระทู้ได้กล่าวชื่อนั้นไว้ เนื้อหาที่คุณผมมุ่งตรงไปที่ แอดมินกับจขกทที่
เป็นปัญหานะครับ
ส่วนชื่อแม่นางฮานะ แม่ยอดขมองอิ่มของผมกับคุณกามฯนั้น
เป็นคุณกามฯแกไปเอามาอ้างกับผมเองครับ จนคุณเข้าไปแซวคุณกามแกว่ายังไม่ลืม
แม่น้องนางฮานะ ที่ผมอ้างชื่อน้องเขาก็อ้างไปด้วยเหตุปัจจัยครับ จริงๆแล้วไม่อยากเอ่ย
เพราะเอ่ยที่ไรหัวหมุนติ้วทุกที

อยู่กับพุทโธนะข่ะ กิเลสหนานะข่ะ มิจฉาทิฐินะข่ะ ยังฮาได้อีกข่ะ
พุทโธคือตัวรู้ ตัวรู้คือพุทโธนะข่ะ ยังฮาได้อีกข่ะ
:b23:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 06:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
นอกจากพระอรหันต์แล้วทุกคนก็จะต้องประสบกับความไม่เที่ยงของจิตสังขารอยู่ตลอดเวลา
และจะเห็นไตรลักษณ์ได้เมื่อเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของจิตสังขารนั่นเอง

ผมบอกแล้วว่าค่อยคิดก่อนแล้วจึงแสดงความเห็น แบบนี้มันรีบเสียจนมั่วไปหมดแล้วครับ
ดูแล้วพูดก็ตามสคริปแถมผิดหลักการของธรรมอีก
มันใช่หรือครับที่ว่านอกจากพระอรหันต์แล้ว ทุกคนต้องประสบ
กับความไม่เที่ยงของจิตสังขาร พูดผิดพูดใหม่ได้นะครับ
มันมีแต่พระอรหันต์หรือพระอริยะเท่านั้นครับ ที่ประสบความไม่เที่ยง
ของจิตสังขาร ปุถุชนไม่ได้ประสบครับ มันจึงเกิดการปรุงแต่งไปมากมาย


ก็การปรุงแต่งของจิตปุถุชนอย่างที่คุณว่ามันเกิดการปรุงแต่งไปมากมายนั่นแหละ
เป็นจิตสังขารที่ปุถุชนต้องประสบอยู่ตลอดเวลา แต่พระอรหันต์หามีไม่

ข้อนี้ควรพิจารณาให้ดีนะคะ จิตสังขาร แปลตรงตัวก็คือการปรุงแต่งแห่งจิต นั่นเอง
ผู้ที่ยังต้องประสบกับความไม่เที่ยงของจิตสังขารนั้นมีทั้งปุถุชนและอริยบุคคลระดับอนาคามีลงมา
ยกเว้นพระอรหันต์เท่านั้นเพราะท่านดับอวิชชาหมดสิ้นแล้ว จิตสังขารจึงหมดเชื้อแห่งการเกิดขึ้นแล้ว

แต่ในผู้ที่ยังต้องประสบกับความไม่เที่ยงของจิตสังขารอยู่นั้น
ต่างก็สามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงแห่งจิตสังขารได้มากน้อยตามกำลังสติปัญญา
ส่วนผู้ที่มืดบอดจนมองไม่เห็นเลยนั้นก็มีอยู่แถวๆ นี้เองแหละนะคะ

การที่คุณมองไม่เห็นจิตสังขารจึงไม่เห็นความไม่เที่ยงของมันเลยเข้าใจผิดไปไกลว่าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นให้คุณประสบ
ในเมื่อคุณยังตาบอดอยู่เช่นนี้ต่อให้อนิจจังทุกขังอนัตตาเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าคุณก็มองไม่เห็นค่ะ
และหากยังดื้อรั้นดันทุรังยืนยันในความเข้าใจผิดๆ เช่นนั้นต่อไป
การปฏิบัติของคุณก็จะก้าวหน้าไปในทางแห่งมิจฉาทิฏฐิอย่างถลำลึกไปเรื่อยๆ นะคะ
กว่าจะกลับตัวกลับใจมาดำเนินในอริยมรรคมีองค์แปดได้ก็จะเสียเวลาไปอย่างน่าเสียดายมากๆ เลย

ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา ... ค่ะ ^^


สงสัยไม่เข้าใจเรื่องสัมมาทิฐิเรื่องปัญญา ปัญญามันเกิดจากการได้เห็นสภาวะ
ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของอารมณ์ หรือกล่าวอีกนัยว่า เห็นความไม่เที่ยงของ
จิตสังขาร สิ่งที่ว่านี้จะเกิดเป็นปัญญาของอริยะ

การเห็นจิตสังขารไม่เที่ยง คือการเห็นไตรลักษณ์ที่เป็นอนิจจัง
การเห็นในลักษณะนี้คือเห็นเหตุปัจจัยและดับตามกฎ
การดับของจิตสังขารแบบดับเหตุ จะต้องอาศัยวิชชามาดับ
ในปุถุชนยังขาดวิชชา ยังไม่ดับเหตุมันก็ยังเป็นเชื้อตามหลักของอิทัปปัจยตา

ก็ตามที่คุณบอกมองอะไรมองหลายๆมุมซิครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 06:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขันธ์5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
สังขารธรรม คือ ขันธ์5
ขันธ์5 คือ สังขารธรรม
สังขารธรรม คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
สังขารธรรม คือ จิต เจตสิก รูป
สังขารธรรม คือ จิต(หมายถึงวิญญาณทั้งหมด) เจตสิก(คือเวทนา สัญญา สังขาร) รูป(ก็คือ รูป)

สังขารธรรม บางครั้ง กว่าสั้นๆ ว่า สังขาร...............ทำให้ไปสับสน กับสังขารขันธ์ ที่อยู่ในสังขารธรรมอีกที

การพูดว่า สังขาร บางครั้งจึงหมายถึง สังขารธรรม
บางครั้ง หมายถึง สังขารขันธ์

ส่วน สังขาร ในปฏิจจสมุปบาท .......................................นั่น ก็ต้องว่ากันไป


ส่วนคำว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง

ลงได้ว่า

สังขารขันธ์ ไม่เที่ยง ก็ได้
สังขารธรรม ไม่เที่ยง ก็ได้

แต่ความหมาย คงหมายถึง สังขารธรรม มากกว่า..................ไม่เที่ยง

พูดอีก นัย หนึ่ง ก็คือ ขันธ์5 ไม่เที่ยง

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 08:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: แบบว่าเมื่อวานเอกอนจบลงที่

"และ สำหรับพระอรหันต์ ท่านไม่มีอวิชาแล้ว..... ดังนั้น"

ตอนเช้าตื่นมา อยู่ ๆ ก็ดันปรากฎการตรึกไปถึงสังโยชน์ 10

ทำให้เอกอนเห็นภาพความสอดคล้องแห่งสภาวะธรรมของอริยะแต่ละระดับ ในการเห็นธรรม

และทำไมทั้ง ๆ ที่เราก็ท่องปฏิจจสมุปบาทได้ ท่องอะไรต่อมิอะไรได้กันมากมาย
รู้บทธรรมกันตั้งมากมาย
แต่ทำไม เราต่างถึงได้ยังไม่บรรลุธรรมสักที

เพราะธรรมใด ถ้าจะกระทำให้เห็นแจ้งในธรรมนั้น ๆ ได้
อย่างน้อย ๆ ผู้ที่จะกระทำการเพื่อความเห็นแจ้งในธรรมนั้น ๆ
ต้องเห็นการปรากฎของธรรมนั้น ๆ และเห็นอริยะสัจจ์ในธรรมนั้น ๆ
เมื่อนั้น จึงรู้(วิชา)ความเป็นจริงแห่งธรรมนั้น ๆ จิตจึงคลายความยึดติด ยึดมั่นในธรรมนั้น ๆ

การคลายวงรอบปฏิจจสมุปบาท(ในสายดับ)อย่างสมบูรณ์ตลอดสาย ก็เช่นนั้น เช่นกัน

:b8: :b8: :b8:

สังโยชน์ ๑๐ และอนุสัย ๗

สังโยชน์ ๑๐ กิเลสที่ผูกมัดจิตใจไว้กับทุกข์ ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ (เรียงลำดับตาม อริยมรรค)

โอรัทภาคิสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำเป็นอย่างหยาบเป็นในภพอันต่ำ

๑. สักกายทิฏฐิ มีความเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นเรา เป็นของเรา เป็นว่ามีตัวตน ยึดกายของตน ความเห็นเข้าข้างตน

๒.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ความเคลือบแคลงในกุศลธรรมทั้งหลาย สงสัยเพราะไม่รู้

๓.สีลัพพตปรามาส ความยึดถือศีลถือพรตอย่างงมงายคิดว่าขลังว่าศักดิ์สิทธิ์ คิดว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยสมาธิและปัญญา เชื่อถือโชคลาง เพื่อเชื่อพิธีกรรม เป็นการลูบคลำศีล

๔.กามราคะ ความกำหนัดยินดีใน กามคุณ ๕
๑.รูป
๒.เสียง
๓.กลิ่น
๔.รส
๕.โผฏฐัพพะ

๕.ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งทางใจ ทำให้ไม่พอใจ ความขัดใจ หงุดหงิดด้วยอำนาจ โทสะ




อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูงเป็นอย่างละเอียดเป็นไปแม้ในภพอันสูง

๖.รูปราคะ ติดใจใน รูปธรรม (สิ่งที่มีรูป) ติดใจในอารมณ์แห่ง รูปฌาน ๔ (ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์)

๗.อรูปราคะ ติดใจใน อรูปธรรม ติดใจในอารมณ์แห่ง อรูปฌาน ๔ (ฌานที่มีอรูปธรรมเป็นอารมณ์)

๘.มานะ ความถือตนโดยความรู้สึกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา

๙.อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตส่าย ใจวอกแวก

๑๐.อวิชชา ความไม่รู้แจ้ง (ไม่รู้ใน อริยสัจจ์ ๔) อวิชชา ๔

๑. ไม่รู้ใน ทุกข์
๒. ไม่รู้ใน ทุกขสมุทัย
๓. ไม่รู้ใน ทุกขนิโรธ
๔. ไม่รู้ใน ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ไม่รู้ใน อดีต ไม่รู้เหตุการณ์
ไม่รู้ใน อนาคต
ไม่รู้ทั้ง อดีต ทั้ง อนาคต
ไม่รู้ ปฏิจจสมุปบาท



http://www.kanlayanatam.com/sara/sara46.htm

ขอบคุณที่มา


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 17 ก.ย. 2011, 08:51, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 08:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุสัย ๗ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ใน สันดาน

เหมือนตะกอนนอนอยุ่ที่ก้นภาชนะ ตะกอนจะฟุ้งขึ้นมาทำน้ำให้ขุ่นเพราะมีคนไปกระทบหรือกวนภาชนะฉันใด อนุสัยกิเลสก็เช่นเดียวกัน จะฟุ้งขึ้นมาทำจิตให้ขุ่นมัว ต่อเมื่อมีอารมณ์ภายนอกมากระทบเช่นเดียวกันฉันนั้น

อนุสัย (สังโยชน์๗)

๑. กามราคะ ความกำหนัดในกาม ความอยากได้ติดใจในกาม

๒.ปฏิฆะ ความขัดใจ ความหงุดหงิดขัดเคือง คือ โทสะ

๓.ทิฏฐิ ความเห็นผิด

๔.วิจิกิจฉา ความลังเล ความเคลือบแคลงในกุศลธรรมทั้งหลาย

๕.มานะ ความถือตัว

๖.ภวราคะ ความกำหนัดในภพ

๗.อวิชชา ความไม่รู้จริง คือ โมหะ

กิเลสานุสัย กิเลสจำพวก อนุสัย กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน จะปรากฏเมื่อ อารมณ์ มายั่วยุเหมือนตะกอนน้ำที่อยู่ก้นโอ่ง ถ้าไม่มีคนกวนตะกอนก็นอนเฉยอยู่ ถ้ากวนน้ำเข้าตะกอนก็ลอยขึ้น

สันดาน ความสืบต่อแห่งจิต คือกระแสจิตที่เกิดดับต่อเนื่องกันมา ในภาษาไทยมักใช้ในความหมายว่าอุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิด

ราคะ ความกำหนัด ความยินดีในกาม ความติดใจ หรือความย้อมใจติดอยู่ในอารมณ์

ราคี ผู้มีความกำหนัด มลทิน เศร้าหมอง มัวหมอง

มลทิน ความมัวหมอง ความไม่บริสุทธิ์ เช่นผ้าขาวเมื่อเป็นจุดสีต่าง ๆ ก็เรียกว่าผ้ามีมลทิน

เวร ความแค้นเคือง ความปองร้ายกัน ความคิดร้ายตอบแก่ผู้ทำร้าย ในภาษาไทยใช้อีกความหนึ่งด้วยว่า คราว รอบ การผลัดกันเป็นคราว ๆ ตรงกับ วาร หรือ วาระ ในภาษาบาลี

กำหนัด ยินดี ความยินดี

โยคธรรม ธรรมคือกิเลสเครื่องประกอบ ในข้อความว่า “ เกษมจากโยคธรรม ” คือ ความพ้นภัยจากกิเลส

โยคะ ๑.กิเลสเครื่องประกอบ คือประกอบสัตว์ไว้ในภพ หรือผูกสัตว์ดุจเทียมไว้กับแอก มี ๔ คือ
๑. กาม ๒. ภพ ๓. ทิฏฐิ ๔. อวิชชา

๒.ความเพียร

http://www.kanlayanatam.com/sara/sara46.htm

ขอบคุณที่มา

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 08:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ขอกราบบูชาคุณพระพุทธองค์
พระองค์สอนธรรมอันลึกซึ้ง และเข้าใจตามได้ยากจริง ๆ


ขอกราบขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านที่ได้เข้ามาร่วมเสวนาธรรมในกระทู้นี้
ซึ่งเป็นการช่วยต่อเติมแง่มุมในการพิจารณาธรรม....


:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 17 ก.ย. 2011, 09:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร