วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 13:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 157 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 03 ก.ย. 2011, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีตัวตนแล้ว ใครเล่าเข้านิพพาน

ตอบ ทุกคนที่ไม่มีตัวตนแล้ว

:b1:


โพสต์ เมื่อ: 03 ก.ย. 2011, 21:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบางลางเลือน เขียน:
ไม่มีตัวตนแล้ว ใครเล่าเข้านิพพาน

ตอบ ทุกคนที่ไม่มีตัวตนแล้ว

:b1:


จางบาง
การจะตรัสรู้ จะต้องมีญาณเป็นไกด์ไลน์ อ๊ะป่าว
เพราะถ้าหากว่า ไม่มีญาณเป็นไกด์ไลน์
เอกอนมองว่า
การจะเกาะอารมณ์ใดเพื่อวิปัสสนาต่อ ไม่ใช่จะเป็นเรื่องที่เกิดได้ง่ายเลย
(สัญญาที่เป็นอารมณ์เพื่อนำมาใช้ในการวิปัสสนาต่อ)

สภาวะวิมุตติ คือ สภาวะที่เห็นแจ้งใน อกาลิโก อ๊ะป่าว

และ แม้นิพพาน พระพุทธองค์ ก็ว่า ไม่ให้ยึด

วิมุตติ อกาลิโก ... นิพพาน
จางบาง ขยับนิ้วเล่นหน่อยเถอะ

:b12: :b16:

เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะญาณใด ๆ ก็ตาม
ไม่ว่าจะโสฬสญาณ
ไม่ใช่เรื่องที่จะท่องบ่น คิดเอา หรือตรึกเอาได้เลย
เพราะ ความคิดจากสัญญา(สัญญาที่เป็นบัญญัติ-รูปคำ)
มันไม่มีอารมณ์ในฌานนั้นเป็นพื้นฐานให้น้อมไป/เกาะ เพื่อวิปัสสนาต่อ หง่ะ

s006 s006

:b6: :b6: อ๊ะป่าวววว

อิอิ smiley smiley
เอ่ยชื่อจางบาง เพราะเป็นบุคคลใกล้มือ :b3:
แต่ถ้าใครพอจะมีความรู้ความเข้าใจ ก็ตอบได้นะ

smiley smiley smiley


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2011, 01:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


jedrapus เขียน:
จะไม่ให้มีตัวตน...
จะไม่ให้มีธาตุธรรม....
จะไม่ให้พระนิพพานมีอะไรเลย.
จะไม่ให้อายตนะนั้นมีอยู่(อายตนะนิพพาน)

เพ้อเจ้อทั้งนั้น!เก่งกว่าพระพุทธเจ้ากันทุกคนเลยเนอะ
-----------------------------------------------


แล้วท่านหลับอยู่มีความคิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ เอาแบบไม่เพ้อเจ้อ

ก็ที่บอกมา...มันมีอยู่แล้วไง....ไม่เพ้อเจ้อ


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2011, 01:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาแค่เรื่องธาตุกับธรรมก็หนาวแล้วพี่น้องเอ๋ย......
ส่วนที่เอกอนกล่าวถึงกายธรรม....ผู้ที่ได้กันจริงๆเขาเรียกว่าโคตรภูบุคคล...ย้ำได้จริงๆเรื่องการหยั่งรู้ใจสัตว์หรือที่มาของเหตุในเรื่องต่างๆซึ่งเป็นอจิณไตยพวกนี้ทำได้แบบชิวๆง่ายกว่าเรามากดแป้นพิมพ์นี้อีกมากมายและๆลๆ......แค่ผมเคยถามในที่นี้ว่าการเห็นกับรู้เรื่องลี้ลับหลายอย่างๆลๆโดยขณะหลับตาใช้อายตนะใดเห็นในนี้ยังให้คำตอบผมไม่ได้เลย :b6:


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2011, 01:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกให้ได้แบบในมหาวรรคอานาปานกถาก่อนเหอะเริ่มจากสวดมนต์ไหว้พระก่อนจับลมหยาบให้นิ่งก่อนไม่ต้องมามั่วไปมั่วมาทำวัตรให้เป็นประจำก่อนเหอะ5555555และหัดเจริญเมตตาให้เป็นเจโตก่อนเหอะก่อนจะไปหวังถึงเมตตาเจโตวิมุตติ...จะเอาวิมุตติญาณทัศนะหรออีกไกลพี่น้องเอ๋ย555


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2011, 02:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


น้ำทั้งเพ!สมถะ40กองเลือกเอาสักกองเอาให้ได้ก่อนเหอะหรือไม่ก็เชิญหมกหมุ่นอยู่กับความไร้ตัวตนต่อไปเอาให้แน่นหนาจนเป็นมิจฉาทิฐิเต็มรูปแบบกันไปเลย


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2011, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:


การจะตรัสรู้ จะต้องมีญาณเป็นไกด์ไลน์ อ๊ะป่าว...


ถ้าว่าในระดับตรัสรู้ ก็ต้องมีทั้งฌาณ ญาณ สมาบัติ อภิญญา คือมีทุกอย่าง แต่ถ้าจะให้บอกว่าตรัสรู้คืออะไร ก็เกรงจะ UFO เกินไป :b6: :b6: :b6:

ส่วนวิปัสสนา ก็ไม่เกี่ยวกับญาณ
อันที่จริง สมถะกับวิปัสสนาต่างกันแค่ว่า สมถะเป็นการจดจ่ออะไรที่มันนิ่งๆ หรือซ้าๆ ส่วนวิปัสสนาเป็นการจดจ่อกับอะไรที่มันเคลื่อนไหว ไม่ซ้ำๆ
การฝึกวิปัสสนา ก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากซับซ้อน แค่มีความเพียรเท่านั้น ไม่เห็นต้องเกาะต้องเกี่ยวอะไร แค่ดูไปเรื่อยๆ

เข้าใจว่า ในพระไตรปิฎกก็บอกว่า ถ้ามีความเพียรฝึกสติปัฎฐานไป อย่างช้า 7 ปีก็เข้าถึงความเป็นอริยะ ไม่เห็นจะต้องมีวิธีการอะไรมากมาย
แต่สิ่งที่ทำให้คนฝึกจำนวนมาก แม้จะมีญาณมากมาย ฝึกมาชั่วชีวิต ก็ยังเข้าไม่ถึงความเป็นอริยะ สาเหตุสำคัญเลยก็คือ ส่งจิตออกนอก มัวแต่ไปดูผู้อื่น
คือสติปัฎฐาน เขาให้ดูตัวเอง ไม่ใช่ไปดูผู้อื่น รู้หมด เห็นหมด แต่ไม่รู้ตัวเองไม่เห็นตัวเอง

ในเวลาปัจจุบันนี้ เราเข้าใจว่า คนที่มีอภิญญาหลายคนคงเข้าใจกันแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องมีญาณ ก็สามารถเข้าถึงนิโรธสมาบัติได้ แปลว่าต้องเชี่ยวชาญในวิปัสสนาด้วย (รู้จักตนเองดี) เพราะนิโรธสมาบัติต้องเข้าทางวิปัสสนา ไม่ใช่สมถะ สมถะจะไปจบที่อรูปฌาณ 4 เท่านั้น

และคงเข้าใจอีกว่า การฟังเพลงสวดก็สามารถใช้ในการวิปัสสนาได้ เพราะมันก็คือโสตวิญญาณที่เคลื่อนไหวไม่ซ้ำกัน และสามารถใช้โสตวิญญาณนำ จนเข้าถึงนิโรธสมาบัติ (สัญญาดับ เวทนาดับ) ได้เช่นกัน


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2011, 21:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
แต่ถ้าจะให้บอกว่าตรัสรู้คืออะไร ก็เกรงจะ UFO เกินไป


:b18: :b18: :b18:

อิอิ เข้าใจคร๊าบ เกรงจะ

แต่ถ้าเป็นที่พลังจิต ท่านคงจะวาดลวดลายได้เต็มที่ล่ะจิ่
ว่าแต่ท่านใช้ User อะไรที่พลังจิต
เอกอนจะได้ไปแอบดู อิอิ

อิอิ :b9: แต่พูดไปงั๊นล่ะว่าจะไปแอบดู
เอกอนขี้เกียจจะตาย.... :b30: :b30: :b30:

:b16: :b16: :b16:


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2011, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


งั้นจะบอกนิ่มๆ ก็ได้

มันเป็นภาวะที่เสมือนการเกิดใหม่ คือจิตเข้าถึงโพธิญาณ เป็นการรับรู้แบบพรหม (Singularity หรือ 0 มิติ) ในขณะที่จิตยังใช้เจตสิกในการเชื่อมต่อกับร่างสังขาร ว่าแบบง่ายๆ คือ เป็นภาวะ กึ่งอวตาร

คำว่าอวตาร ก็แล้วแต่จะให้ความหมาย... แต่ในที่นี้ เราให้ความหมายว่า เสมือนหุ่นยนต์

จิตชั้นพรหมอาจอวตารลงมาเป็นรูปต่างๆ ได้ แต่ตัวอวตารจะไม่ส่งผลต่อจิต จิตเพียงแต่ใช้ตัวอวตารเพื่อเป็นรูปในการใช้งานเท่านั้น
ส่วนอวตารในแบบของพราหมณ์ มีความหมายเหมือนการจุติลงมาเกิด แบบพุทธ

กึ่งอวตารก็คือ แม้จิตจะหลุดพ้นแล้ว แต่กายยังส่งผลต่อจิต คือกายเจ็บ จิตก็เจ็บ กายเหนื่อย จิตก็เหนื่อย
การตรัสรู้ ตามตำราจึงว่า มีเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น เป็นเหมือนการเกิดใหม่ในร่างเก่า...

UFO ดีบ่ :b22: :b22: :b22:


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ย. 2011, 21:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:

UFO ซุ๊ดยอด :b4: :b4: :b4:

ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ตอนที่เอกอนคลั่งไคล้เรื่องแนวนี้นะ เอกอนมีคติประจำใจไงรู้มั๊ย
"เพราะความคิดนั้นมีอยู่ จึงปรากฎความคิดนั้นขึ้นในใจเรา"
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ช่างคิดเข้าข้างความคิดตัวเองไปได้....


:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.ย. 2011, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


กฎธรรมชาติมีอยู่แล้วในโลกมนุษย์อันได้แก่
1.อนิจจัง คือความไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ จนถึงวัยชราซึ่งมีลักษณะแห่งการเกิดขึ้นและปรากฏอยู่ชั่วคราว จนกระทั่งตายไปในที่สุด
2.ทุกขัง คือ การทนได้ยาก โดยการทำความทุกข์ให้เกิดขึ้นสำหรับผู้ที่เข้าไปยึดถืออนิจจัง(ความไม่เที่ยงนั้น) สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
- เพราะความเปลี่ยนแปลงนั้นเอง ทำให้เกิดลักษณะอาการที่เรียกว่าทุกข์
- ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายต่อสิ่งที่เป็นทุกข์
- ทำให้เกิดโอกาส พบวิธีแห่งการปล่อยวาง
3.อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นสิ่งที่ไม่ควรถือว่าเป็นตัวตน มีลักษณะแห่งการที่ใครๆไม่อาจจะเข้าไปเป็นเจ้าของได้ และ เป็นเจ้าของตัวมันเองก็ไม่ได้ เช่น รูปลักษณะของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ความรู้สึกอารมณ์ต่างๆ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ร่างกาย ดวงจิต แต่ละส่วนๆก็ไม่ใช่ตัวตนของมันเอง เป็นเพียงสังขารที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุและปัจจัย
แต่ละส่วนๆย่อมเป็นไปเพื่อการบุบสลาย ชำรุด ทรุดโทรม ถ้าแต่ละส่วนเป็นตัวตนที่แท้จริงแล้ว มันก็ไม่ควรชำรุดทรุดโทรมหรือเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เพราะเหตุที่ในตัวของมันเองไม่มีอำนาจที่จะหยุดยั้ง มิให้เกิดการชำรุดทรุดโทรมเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น จึงถือว่ามันไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง คือไม่มีตัวตนที่แท้จริง

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.ย. 2011, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


ความว่าง
โดยปกติมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะยึดถือความรู้สึกนึกคิดต่างๆ แม้กระทั่งร่างกาย ว่าเป็นของๆเรา แต่ถ้าผู้ใดเห็นแจ้งในความจริงดังต่อไปนี้คือ ''สิ่งใดที่มีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นทั้งหมดย่อมมีการดับเป็นธรรมดา ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม" และการเห็นแจ้งนี้ต้องเห็นมาจากภายใน อย่างลึกซึ้ง ประทับใจ ไม่รู้จักลืม ในขณะที่จิตสงบบริสุทธิ์ ความเห็นแจ้งนี้ สามารถละทิ้งความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องตัวตน เพราะเหตุที่รู้สึกแจ่มชัดได้ว่า สิ่งใดดับได้ สูญสิ้นได้ หมดไปได้ เปลี่ยนแปลงได้ สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่ตัวเราหรือของๆเรา เมื่อเห็นแจ้งดั่งนี้แล้ว ก็จะพบกับความสงบอย่างแจ่มใสและปราณีตที่สุด ทั้งยังเกิดความเห็นแจ้งขึ้นมาอีกว่า ด้วยความสงบอันนี้เอง ทำให้ ดับความดิ้นรนทุกอย่าง ตัดความวนเวียน ถอนความอาลัยเสียดายในบุคคลหรือสิ่งของอันเป็นที่รักที่ได้พลัดพรากจากกันไป ตัณหาหมดสิ้นไป กิเลสทุกอย่างคลายออก ทำให้ความทุกข์ดับไปได้อย่างสนิท ภาวะอันนี้คือนิพพาน

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.ย. 2011, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


ถ้าสามารถทำจิตใจให้เข้าถึงความว่างและมองเห็นความว่างจริงๆ

ก็จะเกิดความรู้สึกว่าตัวเราที่แท้จริงไม่มี มีแต่ตัวตนที่เป็นผลแห่งกรรม และตัวตนที่เป็นผลแห่งกรรมก็เป็นสิ่งที่ดับได้ สูญสิ้นได้ หมดไปได้ เปลี่ยนแปลงได้ แต่ก็สืบต่อได้ เช่นเดียวกับต้นไม้ทั้งหลาย คือตราบใดที่ปัจจัยยังมีอยู่ ต้นเป็นเหตุให้เกิดลูก ลูกเป็นเหตุให้เกิดต้น หมุนเวียนสืบต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด และการสืบต่อนั้นจะคงอยู่ในสภาพเดิมเสมอ ในเมื่อปัจจัยไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หรือส่วนประกอบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่นต้นมะม่วงที่เกิดใหม่ไม่ใช่ต้นมะม่วงต้นเดิมก็จริง แต่เหมือนกับต้นเดิมที่เป็นบรรพบุรุษของมัน เมล็ดที่เกิดก็เช่นเดียวกันไม่ใช่เมล็ดเดิม แต่เป็นเมล็ดที่เกิดใหม่ แต่ก็เหมือนบรรพบุรุษของมัน เปรียบดั่งคนเราเมื่อตายแล้ว ตัวตนก็ยังอยู่ ซึ่งตัวตนที่ว่านี้คือวิญญาณที่เป็นผลแห่งกรรม เปรียบเหมือนกับต้นไม้ เมื่อต้นตายแต่เมล็ดยังอยู่ เมล็ดก็จะเกิดต้นใหม่ต่อไปอีก คนเราเมื่อตายก็ตายแต่ร่างกาย แต่วิญญาณในเมื่อยังมีกิเลส ยังมีกรรมต่างๆอยู่ วิญญาณก็จะสร้างร่างกายขึ้นมาอีก “คำว่าตัวเราไม่มีนั้น หมายถึงตัวตนที่แท้ยั่งยืนไม่มีการเปลี่ยนแปลง เคยเป็นอยู่อย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้น ตัวตนที่ว่านี้ไม่มี"

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.ย. 2011, 09:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


การตรัสรู้ต้องอาศัยญาณ....และการตัดกิเลสต้องใช้ญาณด้วย....ญาณทัศนะต้องมี....อาสักวักขยญาณต้องมี.....เบือ้งต้นเอาฌาณ12345...ให้ได้ก่อน


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.ย. 2011, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


ให้มีสติมองดูโลกให้เห็นเป็นสิ่งว่างเปล่า โดยการพิจารณาดูในสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวเรา ของๆเรานั้น ในที่สุดก็ต้องแตกดับสูญสลาย ไม่มีสิ่งใดคงที่อยู่ตลอดไป เพราะฉะนั้นตัวเราไม่มี หมายถึง ไม่มีตัวตนที่เที่ยงแท้ยั่งยืนที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแตกดับสูญหาย ส่วนตัวตนที่เป็นผลแห่งกรรมนั้นมีอยู่แน่นอน เพราะต้องสืบต่ออยู่เสมอคล้ายกับว่ามีตัวเราที่แท้จริง เพราะไม่ว่าจะตายไปแล้ว เกิดใหม่อีกกี่ชาติ ชีวิตที่เกิดใหม่จะมีลักษณะคล้ายคลึงเหมือนกับชีวิตที่ผ่านมาแล้วเสมอ และลักษณะบางอย่างก็คงที่นับเป็นหมื่นๆแสนๆชาติ คือไม่ยอมเปลี่ยนแปลงผิดไปจากเดิม แต่ลักษณะบางอย่างก็เปลี่ยนแปลงผิดไปจากเดิมเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตามทั้งหมดก็อยู่ในกฎที่ว่า สิ่งใดมีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมมีการดับเป็นธรรมดา ซึ่งเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวเราหรือของๆเรา
( มีต่อครับ).............

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 157 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร