วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 02:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 09:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


โลกกันตนรก

นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ นอกจากจะมีมหานรก อุสสุทนรก และยมโลกนรกดังกล่าวมาแล้ว
ยังมีนรกขุมพิเศษอีกขุมหนึ่งซึ่งมีนามว่า โลกันตนรก อันว่าโลกันตนรกนี้เป็นขุมยิ่งใหญ่
แปละประหลาดกว่าบรรดาขุมนรกทั้งหลายเพราะอยู่ภายนอกจักรวาล
สถานที่ตั้งของโลกันตนรกนี้อยู่ในจักรวาล ๓ โลก ถ้าจะเปรียบให้เห็นเป็นมโนภาพ
ก็เหมือนกับเอาดอกปทุมชาติ ๓ ดอกมาตั้งชิดติดกัน
ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลางจักรวาล ต่าง ๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอกนั้น

ตรงช่องว่างเว้นอยู่ในระหว่าง ๓ โลกจักรวาลนั้นเอง เป็นสถานที่ตั้งแห่งนรกขุมพิเศษนี้
เพราะฉะนั้น นรกขุมพิเศษนี้จึงมีชื่อว่า โลกันตนรก = นรกขุมนี้พิเศษอันอยู่สุดโลกจักรวาล



--------------------------------------------------------------------------------

ก็ในโลกันตนรกนี้ มีสถาพมืดมนเป็นยิ่งนัก แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง
เป็นสถานที่อันมืดมนนอนธการ สามารถที่จักห้ามเสียซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ
เปรียบปานเช่นกับคนหลับตาในคราวเดือนดับข้างแรมฉะนั้น

สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันนรกนี้ ย่อมมีสภาพแปลกประหลาดพิลึก คือ
มีสรีระร่างกายโตใหญ่เป็นยิ่งนัก ประกอบไปด้วยเล็บมือและเล็บเท้ายาวเหลือประมาณ
ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว
โดยเอาหัวปักลงมาข้างล้างชั่วนิรันดร์ เปรียบปานดังค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ในมนุษย์โลกที่เราเห็นนี้
ฉะนั้น ครั้นเขาได้ประสบการณ์อันแสนจะทรมานด้วยความมืดมากเช่นนี้
เขาก็ได้เแต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า

“ อโห ! กรรม ...อโห กรรม....ทำไมตูจึงเป็นอย่างนี้ และ ทำไมตูจึงมาอยู่ที่นี่
ชะรอยที่นี่จักมีแต่เพียงตูเพียงผู้เดียวกระมังหนา”

เขาไม่ได้อยู่แต่เพียงผู้เดียวดอก มีอยู่มากมายที่สัตว์บุคคลทั้งหลายตายแล้วไปเกิดที่มันมืดแสนมืด
มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกโลกันตนรกด้วยกัน และมองไม่เห็นอะไรเลยนั้นเอง

ตลอดเวลาเหล่าสัตว์นรกโลกันตนรกไม่ต้องทำอะไร
มีแต่จะห้อยโหนโยนตัวเปะปะด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ
ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องตีนมือแห่งกันและกันเข้าแล้ว
ก็สำคัญว่าตนมีชะตาผ่องแผ่วโชคดีเจออาหารซึ่งปรารถนาอยากจะกินมานาน
จึงต่างก็ดีเนื้อดีใจ มิกิริยาขวนขวายไขว่คว้าฉวยจับกันและกัน
โดยต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกินเป็นอาหาร



--------------------------------------------------------------------------------

ต่างก็ปล้ำฟัดกันเพื่อจะจับกินเป็นภักษาหารอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือและเท้า
ที่ใช้เกาะเชิงชายภูเขาจักรวาลนั้นเลยกันดำดิ่งนรกพลัดตกลงไปเบื้องล้าง
โดยลักษณะการมีหัวปักดินลงมาและมีตีนชีฟ้า ลอยละลิ้วลงมาอย่างน่าหวาดเสียว

สถานที่เบื้องล่างที่เขาพากันพลัดตกลงมานั้นมันไม่ใช่เป็นพื้นที่ธรรมดาโดยที่แท้เป็นทะเลนำกรด
อันเย็นยะเยือก ซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจยิ่งนักครั้นเขากอดคอกันพลัดตกลมา
พอถึงพื้นน้ำกรดนั้นแล้ว บัดเดี๋ยวใจตัวตนร่างกายของเขาก็เปื่อยพังแหลกลาญลงอย่างไม่มีชิ้นดี
ทั้งนี้ก็เพราะว่าถูกน้ำกรดนรกอันมีความเย็นอย่างร้ายกาจนั้นกัดเอาร่างกายอันใหญ่โต
และเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียดน่าชังของเขา ถึงความเหลวแหลกละลาย
เพราะฤทธิ์น้ำกรดไปอย่างรวดเร็วประดุจดังก้อนอุจจาระที่ตกไปในน้ำ

ครั้นแล้วด้วยอำนาจกรรมบันดาล เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดมหัศจรรย์
กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างเก่า
ให้รู้สึกหนาวเย็นและเจ็บปวดอย่างลึกเป็นกำลัง
จึงรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบากยากเย็น
แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม



--------------------------------------------------------------------------------

ครั้นตะกายไปพบปะกันเข้า ก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะตะครุบกันกินด้วยความสำคัญผิดคิดว่าเป็นภักษาหาร
แล้วก็กอดคอพากันพลัดตกลงไปในทะเลน้ำกรดเย็นจนถึงแก่ความตาย
และแล้วก็กลับเป็นขึ้นมามาตามเดิมอีก พวกเขาเฝ้าเวียนตายเวียนเกิดด้วยความทุกข์ทรมาน
อย่างแสนสาหัสอยู่เช่นนี้ไม่มีวันสิ้นสุด โน่นแหละชั่วพุทธันดรหนึ่งนั้นแล
จึงจะพ้นทุกข์โทษไปจากขุมนรกโลกันต์นี้

ปรากฏมีปัญหาสอดแทรกเข้ามาว่า ได้เคยก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่าจึงต้องมาเป็นสัตว์นรก
เหมือนนกค้างคาว เกาะเชิงเขาจักรวาล ได้รับความทุกข์ทรมาน
อย่างแสนสาหัสสากรรจ์ในโลกนตนรกนี้? ”

ผีนรกเหล่าโลกันต์นี้ ได้เคยประกอบอกุศลกรรมอันร้ายกาจและหยาบช้าลามกนัก
คือ เมื่อครั้งที่เขาเป็นมนุษย์ได้เคยทำการประทุษร้ายทรมานบิดามารดาผู้ให้กำเนิดตน
เพราะเหตุที่เป็นคนปราศจากกตัญญูกตเวทีมีตามืดบอดมองไม่เห็นคุณท่านแม้แต่นิดหนึ่ง
เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมาก็ทุบตีเตะถีบและด่าทอเอาตามอัธยาศัย
อีกประการหนึ่งนั้นไซร้ได้เคยประกอบกรรมอันชั่วหนักไว้
คือ ประทุษร้ายพิฆาตท่านผู้ทรงศีลทรงธรรมไม่นำพาต่อบาปบุญคุณโทษ
คล้ายกับเป็นคนวิกลจริตเป็นบ้า
ทั้ง ๆ ที่ตนก็เป็นมนุษย์มีรูปทรงสุดสง่าดีกว่าหมูหมาเป็ดไก่ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากมายนัก



--------------------------------------------------------------------------------

แม้มีใจรักในการทำบาป จึงก้มหน้าทำแต่บาปทุก ๆ วัน
เช่นกระทำปาณาติบาตหรือทินนาทาน ก็ทำมันทุกวันไป
ครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว อำนาจอกุศลกรรมอันหนักและแกร่งกล้าเช่นนั้น
จึงพลันให้วิบากชักนำให้ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้
ซึ่งมีสภาพมืดบอดนอนธการอยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อใดองค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสด็จมาอุบัติในโลกเรานี้แล้ว

เมื่อนั้นโลกันตนรกนี้ จึงมีโอกาศปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นนิดหนึ่งชั่วฟ้าแลบ
หรือชั่วระยะมาตรว่าสักลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ตามที่พรรณนามานี้แล้ว
คือสภาพแห่งนรก โลกันตนิรยภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 16 ส.ค. 2011, 16:36, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 12:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 190


 ข้อมูลส่วนตัว


อำนาจของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แผ่ไปได้ทั่วจักรวาลหาประมาณมิได้ นั้นเป็นวิสัยของพระองค์ ....อืม หากจะมาตั้งประเด็นว่า การเกิดจันทรุปราคาก็ดี สุริยุปราคาก็ดี นั้นเป็นอำนาจของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่หรือไม่?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 14:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว

ก่อนที่จะพูดถึง Butterfly effect ก็คงต้องมีการเอ่ยถึงทฤษฎีหนึ่ง คือ Chaos Theory (เคอ็อส) ที่กำลังเป็นกระแสใหม่ในศตวรรษที่ 21 ซึ่ง เป็นแนวความคิดที่พัฒนาจากขบวนการสังเกตของนักวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์ทางคณิตศาสตร์ประยุกต์ที่ชื่อ เอียน โพซิเบิล ของมหาวิทยาลัยลอนดอน ได้เขียนหนังสือชื่อ Chaos a science for the real world ( a science : ความรู้ , for the real world : ในโลกแห่งความเป็นจริง ) โดยอธิบายไว้ว่า ทฤษฎีแห่งความไร้ระเบียบหรือ chaos theory (เขาใช้คำว่าไร้ระเบียบ ในปัจจุบันนี้สังคมไทยใช้คำว่า สับสนอลหม่าน, หรือนักวิชาการบางท่านก็ไปเขียนไว้ว่าเป็นทฤษฎีความโกลาหล ) เปรียบกับแม่น้ำสายใหญ่เกิดจากสายน้ำหลายสายไหลมาบรรจบกัน


ฉะนั้น แหล่งที่มาของทฤษฎีไร้ระเบียบมาจากทุกสาขาวิชา ในสภาพ Chaos, สภาพสับสนอลหม่าน, สภาพไร้ระเบียบ คือไร้เสถียรภาพ (unstable) มี ความอ่อนไหวสูงยิ่ง หรือมีความเปราะบาง เมื่อมีการกระทบเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เป็นเส้น ตรง แต่เป็นทางที่คดเคี้ยว กวัดแกว่ง และบางครั้งก้าวกระโดด เกิดตรงจุดนั้นบ้าง จุดนี้บ้าง… ทำให้ยากที่จะทำนาย ผลลัพธ์ได้ เพราะมีสิ่งอื่น ๆ ที่มาเป็นองค์ประกอบหลาย ๆ ประการ ที่ส่งผลต่อระบบใหญ่ ซึ่งแนวความคิดอันนี้ก็ไปกระทบกับแนวความคิดดั้งเดิม ที่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องแน่นอน (1+1=2) ทำให้ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีกระแสใหม่ ซึ่งในตอนหนึ่งของการอธิบายทฤษฎีไร้ระเบียบได้พูดถึงผลกระทบของ Butterfly Effect ซึ่งศาสตราจารย์ เอ็ดเวิร์ด เลอลอง นักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ได้รับเครดิตในเรื่องทฤษฎีเคอ็อส จากผลการทดลองตั้งแต่ปี พ.ศ.2506 และในปี พ.ศ.2515 เขาได้พูดในสมาคม Advancement of Science ของอเมริกา ที่ Washington, D.C โดย ใช้หัวข้อว่า การกระพือปีกของผีเสื้อในประเทศบราซิลก่อให้เกิดพายุทอนาโดในรัฐเท็กซัสได้ หรือไม่ นับตั้งแต่นั้นมาคำว่า ปรากฏการณ์ผีเสื้อ (Butterfly Effect) ก็เริ่มแพร่หลายและนำไปใช้อย่างกว้างขวาง ดังนั้นคำว่า ปรากฏการณ์ผีเสื้อ ( Butterfly Effect ) จึงมี 2 ความหมายใหญ่ๆ คือ

1. สำหรับนักวิชาการ จะหมายถึงสมการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ของศาสตราจารย์ เอ็ดเวิร์ด เลอลอง ที่แสดงผลเป็นกราฟรูปผีเสื้อ (ที่มา : wikipedia.com) The butterfly effect in the Lorenz attractor time


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 16 ส.ค. 2011, 15:08, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 14:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


2. สำหรับ บุคคลทั่วไป เป็นการสื่อความหมายว่า เรื่องเล็กๆ เช่นการที่ผีเสื้อกระพือปีก
สามารถก่อให้ เกิดเรื่องใหญ่ๆที่ไม่คาดคิดในระยะทางไกลๆได้
(เข้าทำนอง “เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว”) เขา อธิบายไว้ว่า
ในด้านทฤษฎีอุตุนิยมวิทยา ผีเสื้อตัวหนึ่งกระพือปีกที่ฮ่องกง
สามารถที่จะทำให้ดินฟ้า อากาศที่แคลิฟอร์เนียเปลี่ยนแปลงได้เมื่อ 1 เดือนให้หลัง
นี่คือกระบวนการที่เรียกว่า Butterfly Effect (หนังสือที่ศาสตราจารย์เลอลองเขียนได้พูดถึง
ศาสตราจารย์เลอลองเคยได้รับเชิญให้นำเสนอ Lecture ทางวิชาการ 3 ชุด
ที่ University of Washington (Seattle) ภายใต้การสนับสนุนของคหบดี
ที่อุดหนุนด้านการศึกษามนุษยชาติ (Jessy Dance)
ในการนำเสนอศาสตราจารย์ซึ่งเป็นนักอุตุนิยมวิทยามากว่า 30 ปี
ได้เฝ้าวิจัยแนวความคิดด้านอุตุนิยมวิทยา ท่านบอกว่าท่านค้นพบโดยบังเอิญ
จากกระบวนการที่ท่านนั่งเฝ้าตัวเลขที่ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปเป็น .0000001 ของ
ทศนิยม ท่านนั่งเฝ้าเข็มรายงานความเคลื่อนไหวของอากาศ
ทุกครั้งที่เกิดการสั่งสะเทือนของระบบการรับข่าวสารเกี่ยวกับสภาวะอากาศ
และเฝ้าสังเกตดูจุดทศนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละจุด ๆ
เมื่อเกิดความคลาดเคลื่อนไปแล้วจะทำให้เกิดรูปร่างที่เสมือนกับโครงสร้างของ ผีเสื้อ
ท่านพบว่า .0000001 ที่คลาดเคลื่อนไปก่อให้ เกิดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมหาศาล
การเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในภาวะแวดล้อมของอุตุนิยมวิทยาไม่ใช่เกิดขึ้นจาก
สาเหตุใหญ่ ๆ หากแต่เกิดขึ้นจากสัญญาณเล็ก ๆ เป็นจุด ๆ

ท่านจึงอธิบายว่าถ้ามันเป็นเช่นนี้จริงก็หมายความว่า แม้กระทั่งผีเสื้อตัวเล็ก ๆ
กระพือปีกเบา ๆ อยู่ที่ซึกโลกหนึ่งก็ส่งผลต่อระบบนิเวศวิทยาของอีกซีกโลกหนึ่งก็อาจจะเป็นได้
ภาพ Butterfly Effect ทำให้เกิดกระแสความแตกตื่นขึ้นในกลุ่ม IT
และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์โลก ก็มีการพูดถึงเรื่องนี้ ท่านอธิบายว่า Chaos
จะเกิดผลกระทบต่อโลกอย่างไร? จะเกิด Global Effect อย่างไรต่อไป ?
ตัวอย่าง เช่นปรากฏการณ์เอลนินโญ่ เกิดจากการที่กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยนทิศทาง
จากที่เคยไหลเรียบฝั่งแอฟริกาอยู่ดี ๆก็ข้ามฝากมาอเมริกาใต้สู่มหาสมุทรแปซิฟิก
ผลส่วนหนึ่งคือทำให้เกิดไฟไหม้ป่าที่เกาะสุมาตรา จากป่าที่เป็นเคยสมบูรณ์ที่สุดในแถบเอเชีย
ซึ่งการที่กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยนทิศทางนั้นเป็นผลมาจากการสะสมความเปลี่ยนแปลง ทีละเล็ก ละน้อย
แต่ความเป็นจริงมีสัญญาณเตือนภัยที่ส่อเค้ามาก่อนแล้ว เช่น หิมะละลาย แผ่นดินถล่ม
แต่ก็ไม่มีคนสนใจ การเกิดโรคซาร์ในประเทศจีน ทำให้เกิดการล้มตายอย่างเฉียบพลัน
การเกิดไข้หวัดนกที่อาจมีสัญญานบอกเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และการก้าวข้ามสายพันธ์ของไวรัสที่อาจจะไม่ใช่เป็นไปตามลำดับขั้นตามทฤษฎี ที่เคยเป็น
แต่อาจมีการข้าม กระโดด เปลี่ยนแปลงอย่างชนิดตามไม่ทันก็ได้
ซึ่งปรากฎการณ์แบบ Butterfly effect แค่หิมะจากแอ นตาร์กติกลอยออกมาเป็นก้อน ๆ
ปลารูปร่างหน้าตาประหลาดมาเกยตื้นที่หากสะหมิหรา
ก็สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อโลกมนุษย์แล้ว
การก่อให้เกิดภาวะ Chaos หรือความซับซ้อนของตัวเอง ในสิ่งนั้น
ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้
เมื่อมีปัจจัยที่ซับซ้อนเข้ามากระทบกระเทือนต่อความซับซ้อนในระบบที่ซับซ้อนของตนเอง
เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดความคลาดเคลื่อนแม้แต่ .0000001% ความ
คลาดเคลื่อนนี้เมื่อมันก่อตัวขึ้นมาแล้ว จะเกิดความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาก
เมื่อเกิดภาวะที่เป็นไปอย่างไร้ระเบียบ ก็จะเกิดพลวัตรในระดับการโต้ตอบ,
สะท้อนกลับขึ้นมา เป็นภาวะที่แตกแยก, เริ่มแยกออกไปอย่างไร้ทิศทาง
จะมีสองมุมประกอบกัน มุมหนึ่งคือ มุมของการโต้ตอบ เรียกว่า Feedback
กับอีกมุมหนึ่งคือการเกิดซ้ำหรือ reiteration ซึ่ง อาจมีผลกระทบทางลบหรือบวกก็ได้
อาจก่อให้เกิดสภาพเร่งเร้า ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ

ซึ่งความเร่งเร้าที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในระดับที่สามารถจะควบคุมได้ และสภาวะแห่งความไร้ระเบียบนี้
ไม่ใช่เป็นความอลหม่าน จะซุกซ่อนความเป็นระบบอยู่ในความไร้ระเบียบของตัวมันเอง
และส่งผลกระทบถึงกัน ซึ่งระบบที่แสดงความไร้ระเบียบจะมีลักษณะ คือ
(สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์, 2549)

1. มีคุณสมบัติแบบไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinearly) คือผลลัพธ์ทั้งหมดของระบบ ไม่เท่ากับ ผลรวมของผลลัพธ์ที่เกิดจากส่วนย่อย ๆ รวมกัน

2. ไม่ใช่การเกิดแบบสุ่ม เหตุการณ์ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นภายใต้กฎเกณฑ์อันแน่นอน
3. มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้น (sensitive dependency on initial conditions)
ที่เรียกว่าปรากฎการณ์แบบ butterfly effect :
ซึ่งในบางครั้งการขยายความแตกต่างให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะขยายไปถึง
เลขยกกำลัง 3 (exponential) ของเวลา


4. ไม่ สามารถทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดล่วงหน้าได้ระยะยาว
เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีเหตุ(ปัจจัย)ใดที่กระทบ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เปรียบดังมีผีเสื้อหลายตัว “ไม่รู้ว่าตัวไหนจะกระพือปีก”

แล้วคุณล่ะ………รู้ไหมว่าในองค์การ……..มีผีเสื้ออยู่ตรงไหน
และตัวไหนกระพือปีก ไม่กระพือปีก ….
ซึ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยังไม่ติดหูกันมากนัก .
หากสมาชิกมีข้อมูลก็มาร่วมแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
คงทำให้ผู้เขียน เข้าใจอะไร ๆ ในเรื่องนี้ได้กระจ่างยิ่งขึ้น


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 16 ส.ค. 2011, 15:13, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 14:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.math.psu.ac.th/html/en/Artic ... ffect.html


:b1: :b41: :b41: :b41: :b41: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 15:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: :b49: :b49: :b49: :b41:

รูปภาพ

:b41: :b49: :b49: :b49: :b41:

รูปภาพ

:b41: :b49: :b49: :b49: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 15:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


world2/2554 เขียน:
อำนาจของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แผ่ไปได้ทั่วจักรวาลหาประมาณมิได้ นั้นเป็นวิสัยของพระองค์ ....อืม หากจะมาตั้งประเด็นว่า การเกิดจันทรุปราคาก็ดี สุริยุปราคาก็ดี นั้นเป็นอำนาจของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่หรือไม่?


:b12: ไม่รู้จ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 16:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยู่ ถ้าท่านวนเวียนอยู่แถวนี้ ช่วยมาตอบคำถามนี้ที่เถอะ

:b1:

ภาคความรู้ทั่วไป

มารคืออะไร

เราพูดกันว่า มารคือกิเลส ตัณหา อุปาทาน

เราพูดกันว่า มารคืออวิชชา มารคือทุกข์และสมุทัย

มารคือ กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุราชมาร อภิสังขารมาร

พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)

1. ขันธมาร

2. ธาตุมาร

3. อายตนะมาร

4. คติมาร

5. อุปบัติมาร

6. ปฏิสนธิมาร

7. ภวมาร

8. สังสารมาร

9. วัฏฏมาร

ยังเข้าใจถึงเรื่องมารอีกมากมาย ไม่ว่าอะไรต่อมิอะไร เป็นมารทั้งนั้น เพื่อยุติความให้สั้น ขอสรุปว่าการปฏิบัติทางญาณทัสสนะ ไม่ว่าอะไร ถ้าไม่ขาวและไม่ใส ถือว่าเป็นมารทั้งนั้น

การปราบมาร ก็คือ การกระทำใด ๆ ให้ความไม่ขาวไม่ใสดับไป และทำให้เกิดความขาวความใสขึ้นแทน



เรื่องของมารที่ควรทราบ

1. รูปร่างหน้าตาของมาร (ลักษณะ)

2. ที่อยู่ที่อาศัยของมาร

3. วิธีการปกครองของมาร

4. เทือก เถา เหล่ากอ ของมาร

5. วิธีปราบมาร (วิธีรบ)

เป็นการศึกษาคู่ต่อสู้ ว่าเขามีความเป็นมาอย่างไร รูปร่างหน้าตา ที่อยู่อาศัย และอะไรหลายอย่าง ทราบได้มากยิ่งเป็นประโยชน์ ส่วนวิธีต่อสู้ของเรา เป็นความรู้และวิธีการของหลวงพ่อวัดปากน้ำ มีเนื้อหาสาระดังต่อไปนี้

ควรทำความเข้าใจ 5 เรื่อง

1. ลักษณะธาตุธรรม 3 ฝ่าย

ก. กุศลาธัมมา คือ ภาคกุศล

กาย ขาวใส ดวงธรรมขาวใส

ข. อกุศลาธัมมา คือ ภาคมาร

กาย ดำ ดวงธรรมดำ

ค. อัพยากตาธัมมา

กาย สีตะกั่ว ดวงธรรมสีตะกั่ว



กาย ไม่ว่าเป็นกายอะไร ตั้งแต่กายหยาบถึงกายละเอียด (กายมนุษย์ถึงธรรมกายพระอรหัตต์)

กายละเอียด แต่ละกาย เป็น เถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด ... นับไม่ถ้วนลักษณะ

ที่เราทราบก็มี 3 ฝ่าย แต่ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ใช่กุศลาธัมมา ไม่ใช่อกุศลาธัมมา และไม่ใช่อัพยากตาธัมมา เป็นสีสันนานาชนิด เรียกว่า สารพัดธาตุสารพัดธรรม จัดเป็นธรรมภาคมารด้วย เขามารบกับเราด้วย เราจึงมีศึกหลายด้าน

แต่เดิมเรารบกับภาคดำและภาคกลาง เดี๋ยวนี้เรารบกับสารพัดธาตุสารพัดธรรมด้วย



2. ที่อยู่ที่อาศัยของมาร

ก. อยู่ในกาย

คืออยู่ใน กาย ใจ จิต วิญญาณของเราเอง เขามีนิพพาน ภพ 3 โลกันต์ของเขา

ข. อยู่นอกกาย

คืออยู่ในอายตนะภายนอก อยู่ในอากาศโลก ขันธโลก อยู่ในธาตุ 6 พูดง่าย ๆ ว่าอยู่ทั่วไปในอะไร ๆ เป็นอยู่ได้ทั้งนั้น



อย่างหยาบ เราเห็นได้

อย่างละเอียด รู้เห็นไม่ได้ เป็นว่างไปหมด เราเรียก เหตุว่าง ต้องทำความว่างให้หยาบขึ้นมา เราจึงจะเห็น นิพพาน ภพ 3 โลกันต์ และเห็นกาย

ความว่างมีนับเป็นชั้น ๆ เป็นเถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด ... นับไม่ถ้วน ละเอียดยิ่งนัก

ปัญหาที่เรารบไม่สุดปกครอง ก็คือ คำนวณเท่าไร ไม่สุดเหตุว่าง ต่อเมื่อทำว่างให้หยาบ เราจะเห็นบ้านเมืองของมารเขาว่า เขาอยู่กินกันอย่างไร ทำงานอะไรกัน



การได้มรรคผลนิพพาน

หมายความว่า ทำลายมารในกาย ใจ จิต วิญญาณ ของตัวเราเองหมดสิ้นไป และป้องกันไม่ให้มารในอายตนะภายนอกเข้ามารบกวนตัวเอง คือ มารภายนอกส่งมา แต่กาย ใจ จิต วิญญาณของเราไม่ตอบรับ เท่านั้น

แต่มารในอายตนะภายนอกยังมีอยู่ เพียงแต่หาโอกาสไม่ได้ สำหรับผู้ที่ละสังโยชน์ได้ แต่กับใครอื่นมารในอายตนะภายนอกตามไปรังควาญตลอดไป

ดังนั้นมารในพุทธกาลยังมีอยู่บริบูรณ์ เพียงแต่เปิดทางให้พระพุทธองค์และสาวกบางส่วนผ่านไปเท่านั้น



3. วิธีปกครองของมาร

การปกครองมี 2 อย่าง

ก. ปกครองใหญ่ คือ ปกครองธาตุธรรม ได้แก่ ปกครองนิพพาน

ข. ปกครองย่อย คือ ปกครองภพ 3 ใครที่อยู่ในภพ 3 เขาปกครองหมด

แปลว่า เขาปกครองหมด คือ ปกครองธาตุธรรมและปกครองสัตว์โลก ทิพย์ พรหม อรูปพรหม จักรพรรดิ กายสิทธิ์ด้วย



มารปกครองด้วยอะไร

ปกครองด้วยเครื่อง คือ เอาธาตุ 6 มาหมุนซ้ายทับทวีจนละเอียด จึงให้เครื่องไปทำอะไรได้สารพัด จะให้แก่ เจ็บ ตาย ข้าวยากของแพงอย่างไร รบราฆ่าแกงอย่างไร เขาทำได้ทั้งนั้น สัตว์โลกแก่ เจ็บ ตาย จนเราพิจารณากันว่าเป็นอนิจจัง



4. เทือกเถาเหล่ากอของมาร

มารเขามีพระพุทธเจ้า ทั้งในแบบธรรมกาย (อนุปาทิเสสนิพพาน) และกายมนุษย์ (สอุปาทิเสสนิพพาน) มีทิพย์ พรหม อรูปพรหม จักรพรรดิ กายสิทธิ์ สัตว์โลก

มีทั้งรูปแบบหยาบ คือ มองเห็นด้วยรู้และญาณทัสสนะ และรูปแบบละเอียดคือมองไม่เห็น จนเป็นเหตุว่าง

บริวาร คือ เทือกเถาเหล่ากอ มีมากมายและมีอยู่ทั่วไปทั้งเร้นลับและเปิดเผย



5. วิธีปราบมาร

การปราบ คือ การกระทำ 2 อย่าง ได้แก่

ก. ทำให้กาย ใจ จิต วิญญาณของเราสะอาด มีความขาวและใสสว่าง นั่นคือการทำในกมลสันดานตนเอง

ข. การทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มีอยู่ในอายตนะภายนอกหมดสิ้นไป (มารในสาธารณะทั่วไป)

การทำงาน 2 อย่างตามที่กล่าว มีวิธีทำอย่างธรรมดาและอย่างพิสดาร คือ

แบบธรรมดา เพียงเดินวิชาลำดับดวงธรรมและลำดับกาย ตั้งแต่กายมนุษย์ถึงธรรมกายพระอรหัตต์ละเอียด เป็นอนุโลมปฏิโลม กาย วาจา ใจของเราก็จะสะอาด เกิดความสงบระงับ

หากจะฝึกละสังโยชน์ ก็ลองทำไปทีละกาย ใช้เวลาพากเพียรทำ เราก็ทำได้ เพียงแต่ระวังกิเลสที่จะมาจากอายตนะภายนอก ไม่ให้มากำเริบในกาย วาจา ใจ ของเรา เป็นวิชามรรคผลส่วนตัว

แบบพิสดาร จะเดินวิชาตามแบบธรรมดาไม่ได้ เพราะอายตนะภายนอกส่งทุกข์ สมุทัยเข้ามา อายตนะภายในของเราออกรับ จำเป็นต้องต่อสู้กัน ถึงขั้นอายตนะภายนอกดับทั้งหมด

อวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มีอยู่ในอายตนะภายนอกนั้นมากมาย ละเอียดสุดประมาณ จำเป็นต้องทำวิชาที่เรียกว่า รบ หรือ อาสวักขยญาณชั้นสูง หรือเรียกว่า “ปราบมาร”

ท่านผู้เรียนวิชาธรรมกายชั้นสูง คงได้ลิ้มรสวิชาปราบมารมาบ้างแล้ว มากหรือน้อยเท่านั้น



ที่ว่ามารปกครองด้วยเครื่องนั้นคืออย่างไร

การทำกาย ใจ จิต วิญญาณของมาร

ทั้งหมดนี้ เขาประกอบด้วยเครื่องทับทวีเครื่อง เท่าไร วิชาทับทวีไม่ซ้ำวิชาปกครอง

เห็นว่าธรรมภาคบุญปกครองไม่ได้แล้ว จึงนำมาประกอบเป็นกาย ใจ จิต วิญญาณ

สรุปแล้ว ไม่ว่าอะไรเขาทำด้วยเครื่องทั้งนั้น



นิพพาน ภพ 3 โลกันต์

ทั้งหมดเขาประกอบด้วยเครื่องอีก ทับทวีเครื่องเท่าไร วิชาทับทวีไม่ซ้ำกันเลย

เห็นว่าธรรมภาคบุญระเบิดไม่แตกแล้ว จึงนำมาเป็น นิพพาน ภพ 3 โลกันต์ ของเขา

เมื่อทำนิพพาน ภพ 3 โลกันต์แล้ว เขาก็เอาผู้ปกครองมาประจำ (ผู้ปกครอง มีกาย ใจ จิต วิญญาณ) มีหน้าที่อย่างไร เขาก็สั่งกันไว้เสร็จ



ธาตุ 6

คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ทั้งที่อยู่ในกายเรา และอยู่นอกกายเรา คือ อยู่ในอายตนะภายนอก มารเขาก็ทำนิพพาน ภพ 3 โลกันต์ไว้ทั่ว

และถ้าที่ใดมีใจครอง คือ มีใจ จิต วิญญาณ เขาก็ทำขันธ์ 5 ซ้อนไว้ เรื่องของขันธ์เป็นโลกอีกโลกของมาร เรียกว่า ขันธโลก ในอากาศก็เรียก อากาศโลก ทั้งอากาศโลกและขันธโลก มารทำนิพพาน ภพ 3 โลกันต์ไว้มาก จนเราเห็นว่าขันธ์ 5 เป็นทุกข์ การรบจะต้องเพ่งเป้าอากาศโลกและขันธโลกไว้เป็นสำคัญด้วย



อากาศโลกและเหตุว่าง

อากาศรอบตัวเรานี้ เรามองไม่เห็นด้วยนัยน์ตาของกายมนุษย์ เราทราบว่ามีอากาศด้วยการสัมผัสทางกาย แม้แต่อากาศ เราก็ว่ามัน “ว่าง” มากแล้ว ตั้งแต่โบราณมาเคยได้ยินว่า “ป่วยโรคนี้มันมากับลม” เราฟังไม่ได้ เพราะลมทำให้ใครเจ็บไข้ไม่ได้ เป็นเรื่องเหลวไหล

ครั้นเราเรียนวิชาธรรมกายสูงขึ้น จึงเห็นว่าอากาศที่เราหายใจ มารเขาทำนิพพาน ภพ 3 โลกันต์ไว้มากมาย ลมธรรมดาเราก็ว่ามัน “ว่าง” อยู่แล้ว มารเขาทำให้ว่างยิ่งกว่าว่างไปอีก ไม่รู้ว่าเท่าไรต่อเท่าไร เราเรียกว่า “เหตุว่าง” คือ ความว่าง ที่มารเขาซ่อนนิพพาน ภพ 3 โลกันต์ไว้ ไม่ให้เรามองเห็น เขาทำไว้เพื่อให้ทุกข์และให้สมุทัยแก่สัตว์โลก พูดอย่างวิชาธรรมกายก็ว่า สร้างไว้ในอายตนะภายนอก

ทำไมเขาจึงทำให้ “ว่าง” เพราะเขาเกรงว่า พระศาสดาจะเห็นเข้า เมื่อเห็นแล้วก็จะทำลายนิพพาน ภพ 3 โลกันต์ ของเขาเสียหมด

คำว่า “ว่าง” หรือ “เหตุว่าง” นี้ มารเขาทำไว้เพื่อปิดรู้ปิดญาณทัสสนะ ไม่ให้เราเห็นเขา แต่เขาเห็นเรา เพราะวิชาของเขาละเอียดกว่าของเรา เราจึงไม่เห็นเขา การที่เขาเห็นเรา แต่เราไม่เห็นเขา เป็นการพ่ายแพ้ของเราอย่างหมดข้อกังขา เขาเล่นงานเราได้ข้างเดียว เราทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะเราไม่เห็นตัวคู่ต่อสู้ เราแก่ เจ็บ ตาย โดยที่เราตามตัวทุกข์และตัวสมุทัยไม่พบ เพราะเรามองไม่เห็น เนื่องจากเขาซ่อนตัวอยู่ในเหตุว่างละเอียด เหตุว่างนี้เป็นตัวการสำคัญ ที่เราจะต้องเรียนรู้กันต่อไป

พุทธวัจนะที่ว่า “นตฺถิ โลเก รโหนาม” ไม่มีความลับในโลกนั้น หมายความว่า เรากันเองไปทำอะไรไว้ที่ไหน พระอริยเจ้าย่อมรู้เห็นได้ จึงว่าไม่มีความลับ แต่การไปรู้เห็นโลกของมาร เราไปรู้เห็นได้ไม่ทั่ว โดยเฉพาะโลกที่เป็นความว่างของมาร เรารู้เห็นได้น้อย ในส่วนที่เกินรู้เกินญาณทัสสนะนั้น เป็นผู้ให้ความทุกข์ร้อนแก่เรา เกินความสามารถของเราที่เราจะสาวไปพบได้

แม้ว่าเราจะเข้าถึงธรรมอันยิ่ง มีญาณทัสสนะชั้นแก่กล้า เขาก็เอาเหตุว่างระดับแก่กล้ามาปกครองเราอีก เราจึงยังไม่สามารถที่จะไปให้สุดความว่างอันยิ่งนั้น

วิชาปราบมารที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นเรื่องของการคำนวณให้ละเอียด เพื่อให้ถึงเหตุละเอียด และส่วนที่เป็นละเอียดอันยิ่งนั้น เราจะทำความว่างให้หยาบขึ้นมา เพื่อให้พบตัวตนของ “อวิชชา” ที่อาศัยอยู่ในนั้น เพื่อเราจะได้กำจัดอวิชชาตัวนั้น เราจะทำได้เพียงไรและทำได้แค่ไหน เป็นความรู้ที่เราจะได้เรียนกันต่อไป

ปัญหาใหญ่ที่เราแก้ไม่ตก ก็คือเรื่องการเดินวิชาของเรายังไม่ละเอียดจริง ๆ วิธีคำนวณของเรายังย่อหย่อนอยู่ ทำให้งานปราบมารยังไม่บรรลุเป้าเท่าที่ควร เราเสียเวลาให้แก่งานปราบมารมามากแล้ว และเมื่องานปราบมารล้มเหลวลง จะส่งผลไปถึงวิชชามรรคผลด้วย จึงควรที่พวกเราจะมาช่วยปราบมารกันก่อน ประเด็นที่ว่าทำได้เพียงใดและแค่ไหน ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต หากเราไม่พัฒนาความรู้ปราบมาร วิชาของเรานับวันมีแต่จะลดน้อยถอยลง ในที่สุดมารก็ดับวิชาของเราจนหมด อย่างเช่นวิชา 18 กายของหลวงพ่อ เดี๋ยวนี้หาคนทำเป็นยากอยู่แล้ว ผมเคยฝึกวิทยากร ลงทุนให้หลายเรื่อง นับตั้งแต่ตำรา จนถึงลงทุนสอน เพียงให้สอนแค่หลักสูตร 18 กาย ก็ยังทำกันไม่ได้ ตำราที่พิมพ์ไว้ยังหาคนนำไปใช้ไม่ได้จนบัดนี้ ในที่สุดผมต้องสอนเองทุกเรื่อง ตามที่กล่าวนี้ เป็นข้อมูลแสดงว่า มารกำลังจะดับวิชาของเรา เราจึงต้องคิดอ่านพัฒนาวิชาธรรมกายในทุกเรื่อง แม้เรื่องยาก ๆ อย่างเรื่องปราบมาร เราก็ต้องพยายามขุดคุ้ยขึ้นมาเรียนกัน เพื่อผดุงวิชาธรรมกายไว้ในทุกรูปแบบ

แต่แรก ผมไม่คิดที่จะพิมพ์หนังสือเรื่องปราบมาร โดยคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ครั้นได้ไปทำวิชาปราบมารในประเทศอินเดียที่สังเวชนียสถาน เมื่อปี 2530 ได้เห็นสภาพการณ์ของพระศาสนาในอินเดีย เกิดความสังเวชสลดใจว่า พระศาสดาเข้านิพพานไปได้ไม่นาน บัดนี้ คำสอนของพระองค์ไม่อยู่ในใจของชาวอินเดีย ชาวอินเดียเป็นฮินดูเกือบหมดประเทศ สมบัติของพระองค์คือ พระธรรมที่ทรงค้นคว้าหามาได้ ชาวอินเดียหันหลังให้แก่คำสอนนั้น ไม่มีใครนำไปประพฤติปฏิบัติ เป็นผลให้อินเดียมีแต่ความยากแค้น ครั้นเข้าวิชาธรรมกายดูเหตุการณ์ก็ทราบว่า มารดับวิชาของเราเสียแล้ว ส่งผลให้พี่น้องประชาชนไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ เป็นเรื่องน่าเสียใจ ทำให้นึกถึงวิชาธรรมกาย ซึ่งวิชานี้พระศาสดาทรงค้นพบ และปฏิบัติสืบต่อกันมาในช่วงระยะเวลาที่พระศาสดาเข้านิพพานไปแล้ว 500 ปี พระสงฆ์ยังปฏิบัติสืบต่อกันมา แต่หลังจาก 500 ปีไปแล้ว วิชาธรรมกายสูญ เนื่องจากไม่มีการปฏิบัติสืบต่อ บังเอิญหลวงพ่อวัดปากน้ำค้นคว้ากลับมาได้อีกครั้ง จึงได้มีการเรียนสืบสานกันต่อ และหากเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์วิชาธรรมกายไว้ในทุกรูปแบบ วิชาธรรมกายก็น่าจะสูญ เหมือนกับอินเดียหันหลังให้กับคำสอนของพระองค์เหมือนกัน ส่วนวิชาปราบมารอันเป็นวิชาสำคัญ หากเราไม่เผยแพร่แก่กันและกัน ความรู้ทางปราบมารย่อมจะสูญในเร็ววันแน่ ๆ

สรุปแล้ว ควรช่วยกันเผยแพร่วิชาปราบมาร กว่าจะทราบได้แต่ละเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ การรบแต่ละวัน บางวันมีเหตุการณ์ใจหายใจคว่ำ แทบจะเอาชีวิตไม่รอด แม้ว่าความรู้ยังไม่อาจจัดเป็นหมวดหมู่เรียบร้อย ก็น่าที่เราจะนำมาเล่าสู่กันฟังบ้าง หากเก็บนิ่งไว้เฉพาะตน นับวันมีแต่จะสูญ ความรู้สำคัญอย่างนี้หากสูญไป น่าเสียดาย
http://www.kayadham.org/105.htm


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 16:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีเห็นท่านศึกษาเรื่อง ธรรมกาย

พอดีจะหาเรื่องโลกันต์
แต่ก็พลันมาเจอบทความนี้เข้าให้ด้วย

ซึ่งพอมาเจอข้อความนี้ ก็...อืม
เอกอนว่าสิ่งที่อยู่ในหัวเอกอนมันเพี้ยนสุด ๆ แล้วนะ
แต่ก็ยังมาเจอคนที่เขียนเกี่ยวกับสิ่งนี้น่ะ

:b14:

หลับอยู่ช่วยอธิบายที

:b14: :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2011, 15:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แม้ว่าเราจะอดทนสร้างบารมี จนดวงบารมีใหญ่พอสมควร ได้มรรคผลนิพพาน มีความสามารถเข้าถึงธรรมวิเศษคือเข้าถึงธรรมกายระดับแก่กล้า สามารถจะละสังโยชน์ดับทุกข์และสมุทัยที่มีในตนได้ และได้เข้านิพพานสมใจปรารถนา ลืมไปว่าทุกข์และสมุทัยที่ซ่อนตัวอยู่ในอายตนะภายนอกนั้น ยังมีอีกมากมาย เขาซุ่มตัวอยู่ ไม่แสดงอะไรให้ปรากฏ แต่พอเขามีกำลังขึ้นมา เขาสามารถเข้ายึดอำนาจปกครองได้หมด ทั้งระดับปกครองย่อย และปกครองใหญ่ เราว่าเราได้มรรคผลนิพพาน แต่เราไปเจอมารในปกครองใหญ่เข้าอีก เราจะว่าอย่างไร


http://www.kayadham.org/index-94.htm

:b8: :b8:
ผู้ที่ผ่านเข้ามาอ่านอย่าเพิ่งเชื่อ หรืออย่าเพิ่งไม่เชื่อ
เพราะเราก็หวังว่า จะไม่มีอะไรที่เป็นเช่นนั้นน่ะ หุหุ
อยากจะให้สายตาเราเพี้ยนไปเอง

แต่ถ้าหากว่า ผู้ที่กล่าวถึงเรื่องนี้
เป็นผู้ที่น่าเชื่อถือ ก็ ... ตัวใครตัวเผือกละกันนะ
เพราะ มันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสจริง ๆ

หลับอยู่ อยู่หน๋าย


:b12: :b5: :b14: :b21:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2011, 13:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อืมม
ทุกข์นะ มันเป็นทุกข์แบบแปลก ๆ

เคยคิดมั๊ยว่าทำไม เราจึงเกิดมา และต้องพบรักกับคน ๆ นี้ ไม่เป็นคนอื่น
เพราะกรรมที่เคยมีมาเหร๋อ
แน่ใจ๋ แล้วหรือ
พวกเราต่างระลึกชาติปางก่อนกันได้ทั้งหมดทั้งสิ้นแล้วหรืออย่างไร
จึงสรุปเช่นนั้น

อืมม มันเป็นเพียงคำตอบที่ดีที่สุดในสถานการณ์หนึ่ง ๆ เท่านั้น

เพื่อที่จะเป็นเหตุผลที่เราจะได้ปล่อยอารมณ์ตัวเองให้เลื่อนลอยไปตามกระแสที่ได้รับ
และแม้แต่การไม่ปล่อยตัวเองให้เลื่อนลอยไปตามกระแสที่ได้รับ ก็ตาม

บนหนทางแห่งการต่อสู้ ก็ล้วนแต่ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์
ทุกข์กับการติดบ่วง
ทุกข์กับการแสวงหาหนทางเป็นอิสระ

หากในเมื่อนกจะบิน ยังต้องอาศัยแผ่นดินหรือเกาะกิ่งก้านเพื่อเป็นแรงส่งให้ทะยานไป

บางครั้ง การเลิกคิดว่าตนจะต้องพุ่งไปในอากาศได้อิสระอย่างนกอาจจะเป็นการดี
ถ้าเพียงแต่เราละวางความทะยานอันซึ่งความจะเป็นไปในทั้งหมดทั้งมวล
และร่วมเป็นสิ่งเดียวกับฟ้าและดินได้
ที่ต่างก็จรดซึ่งกันและกัน ไม่แบ่งแยก

อืมม :b1:

มันยังยากแน่ ถ้าเรายังหวังว่าเราจะเป็นนก



แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 18 ส.ค. 2011, 13:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2011, 13:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


หากเป็นนกที่ตัวเล็ก ตัวเบา
เจ้าก็สามารถที่จะขึ้นไปยังจุดสูงสุดแห่งยอดไม้ได้
และเจ้าก็จะอาศัยข้อได้เปรียบนี้ ทะยานไปยังฟ้าที่สูงและกว้างได้เหนือนกใด ๆ

แต่ถ้าเจ้าเป็นดั่งนกกระจอกเทศแล้วไซร้
ยอดกิ่งใด ๆ ใยจะทนแรงน้ำหนักที่กดลงมาของเจ้าได้

:b12:

การใส่น้ำหนักลงไปกับการส่งแรงให้ทะยาน
บางครั้งมันก็เป็นการกำลังขุดหลุมลงไปเช่นเดียวกัน

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 12:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานในโลกัณฑ์ หง่ะ

huh

huh

huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2011, 23:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ถ้าจะต้องไปนิพพานที่โลกันต์
สู้วนๆเวียนอยุ่แถวๆนี้ดีกว่า....อียยยย :b5:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley ขออภัยเอรากอนถ้าจะให้เอาพระไตรปิฏก มาให้อ่านต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ ว่าอะไรถูกอะไรไม่ถูก แต่ร้อยเข้าไปได้แน่นอน กับความสงสัยว่า เรา มาจากไหน????
อันนี้ไม่ได้ว่าคุณทักทาย แสดงว่า คุณทักทายอ่านกระทู้ดาวไม่ชนกันไม่เข้าใจ ในทุกมุม(ว่ากันไม่ได้)

ผมต้องขอยืนยันตามตำราว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์พระปัจจเจกพุทธเจ้า ล้วนยังมีอยู่ในอายตนนิพพานทั้งนั้น ไม่หายสูญไปเหมือนนักปริยัติสมัยนี้บางคน ตีความตื้นๆกัน(แค่พระสูตรที่ผมเอามาบางส่วน ก็เพียงพอในพระอภิธรรมด้วย ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระมี...ไม่ใช่ว่าอยู่กับกายเนื้อพอตายแล้วสาปสูญหมด
และธาตุกับธรรม มีอยู่หมดทั้งสิ้น !เปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย พระอรหันต์พอกายเนื้อตายต้องมีที่ประทับที่ประทับคืออายตนนิพพาน
ถ้าผมจะถาม20คำถาม พวกลัทธิหายสาปสูญไม่มีใครตอบได้ (ฟันธงไม่เกิน5คำถาม)


ให้ไปอ่านธัมมนิยามสูตรให้ดีๆ จะมีพระตถาคตเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุธรรมมีมาอยู่แล้ว
ผมถามคำว่า ธาตุธรรมมาจากไหน ?????(รวมหมดทุกประเภทกุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพยากตาธรรมา และ ทั้งอสังขตธาตุอสังขตธรรม สังขตธาตุสังขตธรรม)
Quote Tipitaka:
[๖๑] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท
เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ พระตถาคต
ทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุอันนั้น คือ ธัมมฐิติ ๑-
ธัมมนิยาม ๒- อิทัปปัจจัย ๓- ก็ยังดำรงอยู่ เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๕๙๐ - ๖๔๑. หน้าที่ ๒๔ - ๒๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0


แล้วผมขอถามต่อว่า(ตัดกลับมาเฉพราะภายในภพสาม) ทำไมลักษณะดวงดาวต่างมีวงโคจร ภพซ้อนภพมีไหม?? ปรากฏในพระไตรปิฏกในที่ใดบ้าง?? เขาสิเนรุ มีจำนวนเท่าไหร่ ของในแต่ละจักรวาล ??





(ไปก่อนเวลาไม่ค่อยมี)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร