วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 19:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2011, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ในกระทู้นี้ จำเป็นต้องขออนุญาต ต่อทีมงาน ขอให้ช่วยอนุเคราะห์ต่อประชาชน ขอให้ตัดความรัก ความไม่รัก ความชอบ ความไม่ชอบ ออกไปก่อน หากท่านผู้ใดได้อ่าน และสามารถนำข่าวสาร ไปบอกต่อได้ ก็จะดียิ่ง เหตุเพราะต้องการให้ผู้รับปฏิบัติ ได้รับทราบแนวทางการปฏิบัติ เพื่อประชาชนจะได้อยู่ดีมีสุข จึงของอนุญาตทางทีมงาน ขอโพสกระทู้นี้ด้วยขอรับ


ข้อเสนอแนะ
ท่านทั้งหลายที่จะมาเป็น นายกฯรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรี ในรัฐบาลชุดใหม่อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ตามนโยบายที่พวกท่านได้ให้ไว้กับประชาชนนั้น ข้าพเจ้ามีข้อคิดข้อเสนอแนะให้กับพวกท่าน เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนให้ได้อยู่ดีกินดีมีความสุขในการใช้ชีวิต ดังนี้
๑. ให้ปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบ โดยให้ฐานเงินเดือนขั้นต่ำของข้าราชการประจำ ไม่น้อยกว่า ๙,๒๐๐ บาท(เก้าพันสองร้อยบาท),ถึง ๙,๘๐๐ บาท(เก้าพันแปดร้อยบาท) ไปจนถึง ๑๒,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นสองพันบาท) เป็นระยะ เป็นไปตามลำดับเวลา
๒.สำหรับข้าราชการที่จบปริญญาตรีทำงานอยู่แล้ว และที่รับราชการใหม่ให้ปรับเป็นรับเงินเดือน ๑๕,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นห้าพันบาท) ตามลำดับขั้นเงินเดือน คือ อัตราเงินเดือน หนึ่งหมื่นห้าพัน อยู่ที่ชั้นไหนขั้นไหน ก็ให้ปรับเงินเดือนไปรับเงินที่ชั้นนั้นขั้นนั้น
๓.ให้ปรับฐานเงินเดือนของข้าราชการบำนาญ ที่ได้รับเงินบำนาญต่ำกว่า ๙,๕๐๐ บาท เป็นรับเงินบำนาญเดือนละ ๙,๕๐๐ บาท(เก้าพันห้าร้อยบาท) ที่รับเงินบำนาญตั้งแต่เดือนละ ๙,๓๐๐ บาท (เก้าพันสามร้อยบาทขึ้นไป)ขึ้นไป ให้ปรับเพิ่ม ๓ เปอร์เซ็นต์ ในที่นี้ การปรับขั้นแรกให้ปรับเป็นขั้นต่ำ ๗,๘๐๐ บาท(เจ็ดพันแปดร้อยบาท) แล้วก็ทยอยปรับเป็นระยะ ตามลำดับเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำในภาคเอกชน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายในการครองชีพ
สำหรับการปรับอัตราค่าแรงงานขั้นต่ำนั้น ให้ปรับเป็นระยะ แบ่งออกเป็น ๔ ระยะ (สี่) คือ ระยะที่หนึ่ง ให้ปรับ อัตราค่าแรงขั้นต่ำ ในต่างจังหวัด ให้ปรับไปอยู่ในระดับ ๗,๐๐๐ บาทต่อเดือน(เจ็ดพันบาทต่อเดือนโดยประมาณ) ในกรุงเทพฯให้ปรับเป็น ๗,๕๐๐ บาทต่อเดือน(เจ็ดพันห้าร้อยบาทต่อเดือน โดยประมาณ) และดำเนินการเป็นระยะๆต่อไป
ที่สำคัญ เมื่อปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการ และปรับอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำแล้ว จะต้องควบคุมไม่ให้มีการขึ้นราคาสินค้าทุกชนิด แต่ก็จะมีสินค้าหรือการค้าขายบางชนิดที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ เช่น สินค้าการเกษตรบางชนิด ที่มีการจ้างแรงงาน และสินค้าเกษตรบางชนิดที่รัฐบาลจำเป็นต้องควบคุมให้เป็นไปตามราคาที่ต้องการ และมาตรการการควบคุมสินค้าบางชนิดที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้นั้น ให้รัฐบาลช่วยเหลือเพื่อลดต้นทุน ไม่ให้มีการขึ้นราคา ก็คือ การลดต้นทุนทางด้านการขนส่ง และการลดภาษีสินค้าที่เกี่ยวข้องกับในการทำเกษตรกรรมทุกชนิด ในที่นี้หมายเอาเฉพาะการทำการเกษตรกรรมทุกระดับที่มีการเสียภาษีต่าง ๆ
การปรับอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น ทางผู้ประกอบการย่อมต้องมีต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ถ้าหากทางรัฐบาลมีมาตรการลดต้นทุนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถจ่ายอัตราค่าจ้างแรงงานได้ จนถึงอัตราค่าจ้างแรงงาน วันละ ๓๐๐ บาท(สามร้อยบาท) รัฐบาลจะต้องมีมาตรการลดการใช้จ่ายของผู้ประกอบการ เช่น
๑.ลดค่าไฟฟ้า ที่เป็นปัจจัยในการผลิต
๒.ลดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในการขนส่ง เป็นการเฉพาะ
๓.ลดภาษีวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตบางชนิด,
๔.ลดภาษีสรรพสามิต,และภาษีที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น อาจจะรวมไปถึง ดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งในทางที่เป็นจริงแล้ว ดอกเบี้ยที่ทางธนาคารปรับขึ้นนั้น ไม่สามารถลดอัตราเงินเฟ้อได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับไปเพิ่มอัตราเงินเฟ้อด้วยซ้ำไป (ทฤษฎี กับ การปฏิบัติจริง นั้น บางครั้งก็ไปด้วยกันไม่ได้)
๕. ลดภาษี Vat เฉพาะผู้ประกอบการที่ค้าส่ง ทุกระดับลงบ้าง นอกเหนือจากการลดภาษีนิติบุคคล
มาตรการลดต้นทุนการผลิตดังกล่าวข้างต้น ก็ต้องดำเนินการเป็นระยะๆเป็นลำดับขั้น เพื่อให้สอดคล้องกับการขึ้นอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเช่นกัน
ถ้าหากรัฐบาลสามารถลดต้นทุนของผู้ประกอบการในด้านต่างๆลงได้ ราคาสินค้าก็จะไม่มีการปรับ ถ้าราคาสินค้ามีราคาคงเดิม (หรืออาจจะมีการปรับราคาสูงขึ้นบ้างเล็กน้อย) ไปอีกไม่น้อยกว่า ๔ ถึง ๘ ปี(อันนี้ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆในการผลิต) ประชาชนก็จะอยู่ดีกินดี มีเงินเก็บออมได้บ้างตามสมควร ทำให้สภาพการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่บุคคล
หากเกิดปัญหาในปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนการผลิต ที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ ก็ให้รัฐบาลอุดหนุน เช่น ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น ดังนั้นควรมีการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันทุกชนิด อาจจะเก็บน้อยลงบ้าง แต่อย่าได้งดเก็บเป็นอันขาด เมื่อมีเงินกองทุนน้ำมัน ก็สามารถอุดหนุนหรือช่วยเหลือผู้ประกอบการเป็นการเฉพาะได้ เพราะประชาชนสมัยนี้มีความรู้ ในเรื่องของราคาน้ำมันดีอยู่แล้ว อีกประการที่สำคัญ การขึ้นราคาแก๊ส แอลพีจี ในภาคอุตสาหกรรม ถ้างดได้ก็ควรงดการขึ้นราคา หรืออาจจะขึ้นราคาในอัตราที่ผู้ประกอบการสามารถรับได้ เพื่อแบ่งเบาภาระรายจ่าย อันเนื่องจากการปรับอัตราค่าจ้างแรงงาน รวมไปถึงปัจจัยในการผลิตอาจมีการเปลี่ยนแปลงราคา หากทางรัฐบาลใช้เครื่องมือหลายๆอย่าง หลายๆรูปแบบ ก็ย่อมสามารถดำเนินการไปได้ตามวัตถุประสงค์ ตามความมุ่งหมาย ย่อมประสบผลดีต่อประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศ
ประการสุดท้าย มาตรการต่างๆ อันเป็นเครื่องมือในการดำเนินการนั้น ต้องคิดพิจารณาให้ดีว่า ใช้แล้วจะมีผลเสียต่องบประมาณแผ่นดินหรือไม่ รัฐบาลจะขาดรายได้ หรือมีรายได้เพียงพอต่อการใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้นในหลายด้านได้หรือไม่ รัฐบาลมีช่องทางในการหารายได้หรือจัดเก็บเงินรายได้โดยไม่เดือดร้อนประชาชนหรือไม่ ปัจจุบันรายได้ของรัฐบาลที่ได้จัดเก็บเพียงพอต่อการใช้จ่ายในการบริหารประเทศหรือไม่ ต้องใช้งบประมาณเกินดุลอีกกี่ปี ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น
ดังนั้น จึงขอให้รัฐบาลได้คิดพิจารณาตามที่ข้าพเจ้าได้เสนอแนะ หากสามารถดำเนินการได้ ก็ย่อมมีผลดีต่อประเทศชาติและประชาชน
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๔
เชียงราย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2011, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ ผมไม่มีความรู้ทางด้านนี้แต่หากว่ารัฐบาลยอมลดภาษีลงบ้างก็อนุโมทนาครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2011, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ท่านแต่งเอง หรือเอามาจากที่ไหนครับ
แต่ว่าอย่างไร ก็ขอบคุณครับ

ผมมีข้อเสนอแนะนิด ..... ต่อรัฐบาล และผู้เกี่ยวข้อง

ในบรรดาข้าราชการทั้งหลาย

ถ้ามีการลด ความลดหลั่นทางด้านรายได้ อย่าให้มันห่างกันเกินไป
15000 บาท จ่ายได้แน่ๆครับ

ก็คือ ข้าราชการชั้นบนๆ ที่ ได้เงินทิ้งห่างข้าราชการชั้นผู้น้อยเกินไป ให้เพลาๆ ลงบ้าง
เช่น เงินเดือนเกินห้าหมื่นบาท หรือเกินแสนบาทเป็นต้น

การขึ้นเงินเดือน ควรจะแค่ 1-2 เปอร์เซนต์เท่านั้น
แต่ข้าราชการชั้นผู้น้อย ขึ้นมากๆ เปอร์เซนต์หน่อย

เพื่อบีบระยะห่าง อย่าให้มากเกินไป

เช่น ชั้นผู้น้อย 15000 บาท ชั้นผุ้ใหญ่ สุด 50000 ก็พอครับ ท่าน

เงินมันก็จะเหลือบานตะไท
พอที่จะจ่าย 15000 โดยไม่เดือนร้อน แน่นอนครับ

ที่แล้วมาเอาเปรียบข้าราชการชั้นผู้น้อย กันมาจนเป็นนิสัย

มีทั้งเงิน มีทั้งอำนาจบริหาร

ข้าราชการชั้นผู้น้อย มีปาก แต่พูดไม่ออก

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2011, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 08:25
โพสต์: 326


 ข้อมูลส่วนตัว




ชีวิตที่พอเพียง.jpg
ชีวิตที่พอเพียง.jpg [ 82.03 KiB | เปิดดู 8702 ครั้ง ]
:b34: :b34: :b34: สรุปข้าราชการผูใหญ่เอาเปรียบข้าราชการผู้น้อยทั้งปี ทั้งแรงงาน และเงินเดือน เงินใต้โต๊ะ เงินเล็กเงินน้อย เป็นเรื่องธรรมดาของระบบราชการ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อยากดี อยากเด่น ไม่อยากถูกเอาเปรียบมั่นสร้างกุศลไว้ ภพหน้าจะได้ไม่มีใครเอาเปรียบ สาธุ เอวัง ด้วยประการละฉะนี้แล :b8: :b8: :b8:
:b5: :b5: :b5: :b5: :b5: :b34: :b34: :b34: :b34: :b5: :b5: :b5: :b5: :b5:

.....................................................
สุดปลายฟ้า... เชื่อมั่นและสัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ผู้รู้แจ้ง เห็นจริง ยึดถือพระองค์เป็นสรณะ อย่างไม่มีสิ่งใดเหนือกว่า
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2011, 04:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุดปลายฟ้า เขียน:
: สรุปข้าราชการผูใหญ่เอาเปรียบข้าราชการผู้น้อยทั้งปี ทั้งแรงงาน และเงินเดือน เงินใต้โต๊ะ เงินเล็กเงินน้อย เป็นเรื่องธรรมดาของระบบราชการ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อยากดี อยากเด่น ไม่อยากถูกเอาเปรียบมั่นสร้างกุศลไว้ ภพหน้าจะได้ไม่มีใครเอาเปรียบ สาธุ เอวัง ด้วยประการละฉะนี้แล

คุณครับจะว่าจะวิจารณ์ใคร ผมแนะนำให้อย่างครับ กรุณาใช้วิจารณญาณไตร่ตรอง
ให้ดีเสียก่อน ที่สำคัญอย่าทำอะไรตามกระแสโดยเฉพาะกระแสในด้านลบ
การใช้อกุศลนำหน้าในการมองผู้อื่น มันไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่ถูกมอง
หรือการมองคนที่มีอาชีพที่แตกต่างในเชิงเปรียบเทียบ แล้วสรุปเองเออเองว่า
คนอื่นเลวไปหมด มีตัวตัวเองเท่านั้นที่ดี ผมว่าการใช้ชีวิตในสังคมคงไม่เป็นสุข
มันเป็นการบั่นทอนสุขภาพจิตตัวเองนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2011, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ผมมีข้อเสนอแนะนิด ..... ต่อรัฐบาล และผู้เกี่ยวข้อง
ในบรรดาข้าราชการทั้งหลาย
ที่แล้วมาเอาเปรียบข้าราชการชั้นผู้น้อย กันมาจนเป็นนิสัย
มีทั้งเงิน มีทั้งอำนาจบริหาร
ข้าราชการชั้นผู้น้อย มีปาก แต่พูดไม่ออก

ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้มีอาชีพข้าราชการ ที่ต้องเข้ามาแสดงความเห็น
ในกระทู้นี้เพราะไม่เห็นด้วย รู้สึกเห็นใจผู้ที่ถูกกล่าวหาที่ต้องตกเป็นเหยื่อของสังคมทุกครั้ง
ที่มีการกล่าวอ้างอิงหรือเปรียบเทียบ

คุณโกวิทผมก็ไม่รู้หรอกน่ะว่า คุณไปเอาข้อมูลในสิ่งที่คุณวิจารณ์มาจากไหน
หรือมันเป็นทัศนคติที่ฝั่งหัวคุณมา ผมดูในสื่งที่คุณแสดงความเห็นมาแล้ว ผมก็ได้แต่
ขำในเชิงเนื้อหา และสังเวชใจกับความมีอคติของคุณ อยากแนะนำครับ การจะเสนอแนะ
หรือต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้างอะไรสักอย่าง กรุณาดูที่ระบบรากฐาน
ของความรับผิดชอบ อย่าเอาองค์กรณ์ที่สำคัญของประเทศ ไปเปรียบเทียบด้วยความสะใจ
เพราะมันแสดงให้เห็นถึงระดับในสังคมของผู้แสดงความเห็น
govit2552 เขียน:
ในบรรดาข้าราชการทั้งหลาย
ถ้ามีการลด ความลดหลั่นทางด้านรายได้ อย่าให้มันห่างกันเกินไป
15000 บาท จ่ายได้แน่ๆครับ

ที่คุณว่า อย่าให้มันห่างกันเกินไป แล้วคุณใช้หลักเกณท์อะไรครับที่ว่าห่างที่ว่าถี่
อย่าลืมสิครับ ข้าราชการประจำไม่ใช่ข้าราชการการเมือง
ข้าราชการประจำทุกคนก็ต้องไตร่เต้ามาจากชั้นผู้น้อยก่อน
และช่วงระยะเวลาตั้งแต่อายุยี่สิบเศษจนถึงอายุหกสิบนี่คุณว่ามันถี่หรือมันห่าง

คุณอย่าคิดเอาแต่ได้สิครับ งานทุกอย่างถ้ามันมีผลประโยชน์มันก็ต้องมีความรับผิดชอบ
ควบคู่กันไปด้วยนะครับ งานที่ข้าราชการชั้นผู้น้อยทำถ้าเกิดผิดพลาด ใครกันครับที่ต้องรับ
ผิดชอบ แล้วใครกันครับที่ไม่สามารถอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง จะต้องย้ายเปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อยๆ
แล้วลูกใครครับที่ต้องเปลี่ยนที่เรียนบ่อยๆ บางที่เมียทำงานจังหวัดหนึ่ง ผัวทำงานจังหวัดหนึ่ง
ไม่ใช่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรือครับ

ไอ้เรื่องเงิน15000บาทสำหรับจ่ายให้ข้าราชการชั้นผู้น้อย มันง่ายมากครับสำหรับรัฐบาล
ความสำคัญมันอยู่ที่รัฐบาลจะเห็นหัวข้าราชการประจำหรือเปล่า
เพราะอย่างไรก็เป็นลูกไก่ในกำมือครับ

ขอนอกเรื่องข้าราชการนิดครับ ในส่วนของค่าแรงขั้นต่ำ 300บาท ทำไมจะทำไม่ได้
ที่แล้วๆมาจะขอค่าแรงขึ้นสัก5บาท10บาท มันยากเย็นแสนเข็น มันเพราะอะไรครับ
ไม่ใช่รัฐบาลไม่อยากขึ้น แต่ละบาทล้วนเป็นคะแนนเสียงทั้งนั้น
สิ่งที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถขึ้นค่าแรงได้ เพราะพวกนายทุนเขาไม่ยอมครับ
แล้วอะไรล่ะครับ ที่ทำให้ต้องทำให้รัฐบาลคิดหนัก ถ้ามันไม่ใช่เงินบบริจาค
หรือเงินสนับสนุนพรรคหรอกหรือครับ

ขอเสริมครับ สมัยนี้ผมว่า เลิกระวังได้แล้วกับการซื้อเสียง คนเขารู้และเข้าใจมากขึ้นแล้วครับ
สิ่งที่ควรระวัง มันอยู่ตรงเงินบริจาคเข้าพรรคของพวกนายทุนต่างหากครับ

ท่านนายทุน อาเสี่ย เจ้าสั่วทั้งหลายครับ ผมกราบล่ะครับ
กรุณาก้มลงมองลูกน้อง ลูกจ้างของท่านบ้าง อย่าเลือกดูเฉพาะตอนที่เขาทำงาน
ช่วยดูความเป็นอยู่ของเขาและครอบครัวบ้าง

พวกท่านรวมกลุ่มกันทำมาหากินอย่างสุจริต ทำไมจะต้องไปกลัวนักการเมืองครับ
เงินที่ท่านต้องเสียให้กับความไม่ถูกต้องท่านรู้หรือเปล่าครับว่า มันสามารถทำให้เหล่าบรรดา
บริวาลของท่านยืดชีวิตในสังคมที่เห็นแก่ได้ไม่มากก็น้อยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2011, 06:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ที่แล้วมาเอาเปรียบข้าราชการชั้นผู้น้อย
กันมาจนเป็นนิสัย
มีทั้งเงิน มีทั้งอำนาจบริหาร
ข้าราชการชั้นผู้น้อย มีปาก แต่พูดไม่ออก

ผมไม่รู้นะครับว่า คุณรู้จักเหตุรู้จักผลหรือเปล่า
ผมดูการเปรียบเทียบของคุณแล้วขำครับ
คุณเล่นเอาคนในครอบครัวเดียวกันมาเปรียบเทียบกัน
พี่ชายคนโตเรียนมหาวิทยาลัยได้เงินไปเรียนมากกว่าน้อง
ที่เรียนชั้นประถมร.ร.ข้างบ้านแล้วบอกไม่เป็นธรรมต่อน้อง

การจะเปรียบเทียบต้องเปรียบกับครอบครัวหรือองค์กรณ์ที่ต่างกันครับ
ถ้าคุณจะเปรียบเทียบถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คุณต้องเอาบรรดากรรมการผู้จัดการ
ของบริษัทเอกชนมาเปรียบครับ ไม่ใช่เอาเด็กกับผู้ใหญ่ในครอบครัวเดียวกันมาเปรียบ
แบบนี้ตรรกะมันใช่ไม่ได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2011, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ต้องขออภัย ท่านโฮฮับ ที่ผมพูดไม่ถูกอารมณ์

พอดีผมใช้โวหารมากไปหน่อย

การเอาเปรียบนั้น มันมาจากระบบ ซึ่งสืบหาต้นตอไม่ได้ ว่ามันมาอย่างไร

ยกตัวอย่างเช่น
การขึ้นราคาข้าวแกง จาก 10 บาท เป็นจานละ 15 บาท
ย่อมจับมือใครดมไม่ได้ ว่าใครเป็นคนเริ่มเป็นเจ้าแรก

การที่ข้าราชการชั้นผู้น้อย หรือชั้น ผู้ใหญ่ได้เงินเดือนกันต่างๆ กันไป
เท่านั้นเท่านี้
ผมก็ไม่ทราบ ถึงที่มาที่ไปเหมือนกัน ว่าใครเป็นคนต้นคิด (เหมือนการขึ้นค่าข้าวแกงนั่นแหละครับ)

แต่ต้องขอวิงวอนล่ะครับว่า

อย่าให้มันทิ้งห่างกันมากเกินไป สร้างความเหลื่อมล้ำกันมากเกินไป

มีคนมากมายครับ มีรายได้มากเกินพอดี

ในเมื่อคุณโฮฮับ ว่า 50000 น้อยไปสำหรับเพดานข้างบน

งั้นเพิ่มไปอีกสิครับ ว่ามาว่าเท่าไร

ชั้นปริญญาเริ่มที่ 15000 แล้วชั้นสูงสุดควรเป็นเท่าไร

ขอให้ท่านโฮฮับ เสนอมา

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2011, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ต้องขออภัย ท่านโฮฮับ ที่ผมพูดไม่ถูกอารมณ์
พอดีผมใช้โวหารมากไปหน่อย
การเอาเปรียบนั้น มันมาจากระบบ ซึ่งสืบหาต้นตอไม่ได้ ว่ามันมาอย่างไร

คุณโกวิทครับ ที่บอกว่าคุณใช้โวหารมากไป อย่าเข้าใจผิดครับ
คำพูดของคุณผมไม่เห็นจะเป็นโวหารตรงไหน ตรงกันข้ามครับ
ความเห็นหรือคำพูดคุณ มันฟันธงตรงประเด็นเข้าใจง่ายครับ
เสียอย่างเดียว มันเป็นความเห็นที่ใช้ไม่ได้ ขาดเหตุผลและ
ที่สำคัญผิดทำนองคลองธรรมและหลักของประชาธิปไตยครับ
govit2552 เขียน:
การเอาเปรียบนั้น มันมาจากระบบ ซึ่งสืบหาต้นตอไม่ได้ ว่ามันมาอย่างไร

คุณอย่าพูดเรื่อยเปื่อยสิครับ ผมรู้สึกว่าความคิดของคุณมันแคบนะครับ
ก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นระบบ การมองต้องมองมวลรวมทั้งหมด

การดูความแตกต่างของเงินเดือนระหว่างข้าราชการชั้นผู้น้อยกับผู้ใหญ่
มันมีเงื่อนไขในตัวของมันอยู่แล้ว เงื่อนไขที่ว่าก็คือ ระยะเวลาของการทำงาน
และความรับผิดชอบของบุคคลนั้นๆ ผมก็บอกคุณไปแล้วว่า ก่อนที่จะมาเป็นข้าราชการ
ผู้ใหญ่ ท่านเหล่านั้นก็เคยเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยมาก่อน อย่ามองแค่ปัจจุบันแค่นี้สิครับ
หันไปมองอดีตของท่านเหล่านั้นด้วยว่า ก่อนจะมาถึงตรงนี้ท่านลำบากมาอย่างไร
อดทนทำงานมากี่สิบปี มันอะไรกันครับกับคนที่พึ่งจะเข้ามาทำงานวันแรกก็มาตีโพย
ตีพายว่า เงินเดือนไม่ยุติธรรม ทำไมเงินเดือนถึงแตกต่างกับคนเก่า
ถ้าเป็นแบบนี้ผมว่าอย่าได้ย่างกายไปสมัครงาน
บริษัทเอกชนเป็นอันขาดนะครับ เพราะเจ้าของบริษัทคงไล่ตะเพิดออกมาไม่ทัน

govit2552 เขียน:
ยกตัวอย่างเช่น
การขึ้นราคาข้าวแกง จาก 10 บาท เป็นจานละ 15 บาท
ย่อมจับมือใครดมไม่ได้ ว่าใครเป็นคนเริ่มเป็นเจ้าแรก
การที่ข้าราชการชั้นผู้น้อย หรือชั้น ผู้ใหญ่ได้เงินเดือนกันต่างๆ กันไป
เท่านั้นเท่านี้
ผมก็ไม่ทราบ ถึงที่มาที่ไปเหมือนกัน ว่าใครเป็นคนต้นคิด (เหมือนการขึ้นค่าข้าวแกงนั่นแหละครับ)

การที่คุณยกเรื่องข้าวแกงมา ผมว่าคุณยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่เป็นความเห็นของคุณเองนะครับ
มันไม่ได้เกี่ยวกันเลยครับ สิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่คือ อัตราเงินเดือนของข้าราชการ
ผมถามหน่อยคุณเข้าใจถึงระบบเงินเดือนข้าราชการดีแค่ไหนครับ ขั้นตอนการขึ้นเงินเดือน
เขามีเกณท์ระเบียบแบบแผนซึ่งตัวเราสามารถรู้ได้เลยว่า ทำงานกี่ปีจะได้เงินเดือนแค่ไหน
ปีนี้ได้กี่ขั้น

ผมจะบอกให้ไอ้เรื่องที่คุณยกมาอ้างมันเป็นเรื่องของเอกชนเขา เงินเดือนมันขึ้นอยู่กับความพอใจ
ของเจ้ากิจการ มันเอาแน่เอานอนไม่ได้
govit2552 เขียน:
แต่ต้องขอวิงวอนล่ะครับว่า
อย่าให้มันทิ้งห่างกันมากเกินไป สร้างความเหลื่อมล้ำกันมากเกินไป
มีคนมากมายครับ มีรายได้มากเกินพอดี

คุณรู้มั้ยครับการแสดงความเห็นแบบนี้ มันเป็นการแสดงความเห็นที่เห็นแก่ได้ครับ
อะไรกันครับจะดูแต่เงินเดือนของเขา ทำไมไม่ดูเวลาการทำงานบ้าง

ผมขอถามหน่อยครับสมมุติว่าคุณเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทำงานมาจนใกล้เกษียน
พอดีพอร้ายรัฐบาลมาออกนโยบายว่า ต้องลดเงินเดือนข้าราชการผู้ใหญ่มาให้ข้าราชการที่
เข้าใหม่ ผมถามหน่อยนโยบายแบบนี้มันเป็นเป็นประชาธิปไตยหรือครับ อย่างนี้เขาเรียก
เผด็จการคอมมิวนิสต์นะครับ
และกรุณามองมุมกลับเกี่ยวกับความเลื่อมล้ำในแง่นี้ด้วย พึงเข้ามาทำงาน
แต่จะเอาเงินเดือนพอๆกับคนที่อยู่มานาน แบบนี้มันตลกร้ายครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2011, 13:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ในเมื่อคุณโฮฮับ ว่า 50000 น้อยไปสำหรับเพดานข้างบน
งั้นเพิ่มไปอีกสิครับ ว่ามาว่าเท่าไร
ชั้นปริญญาเริ่มที่ 15000 แล้วชั้นสูงสุดควรเป็นเท่าไร
ขอให้ท่านโฮฮับ เสนอมา

ปัญหาที่ผมสาธยายให้คุณฟัง มันไม่ได้เกี่ยวกับจำนวนเงิน
สิ่งที่ผมจะสื่อให้รู้ก็คือ เหตุผลและความเป็นธรรมที่คนในสังคม
โดยเฉพาะข้าราชการควรได้รับเสมอภาคกัน

แนวคิดของคุณมันใช้ไม่ได้ครับ มันมีอย่างที่ไหนไปริดรอนสิทธิคนอื่น
เพื่อมาให้เพิ่มกับอีกคน จะบอกให้นะครับการให้เงินเดือนข้าราชการใหม่
15000บาทนั้นรัฐบาลสามารถทำได้ครับ

ที่สำคัญรัฐบาลจะต้องเอาหลักเกณท์นี้ไปใช้กับข้าราชการเก่าๆที่
ทำงานอยู่ก่อนนโยบายนี้ด้วย รัฐบาลจะต้องเอาฐานเงินเดือนใหม่นี้
ไปปรับขึ้นเงินให้กับข้าราชเก่าด้วย ไม่ใช่ไปลดเงินเดือนคนเก่าเพื่อมาให้คนใหม่
นี่ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2011, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ผมขอถามหน่อยครับสมมุติว่าคุณเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทำงานมาจนใกล้เกษียน
พอดีพอร้ายรัฐบาลมาออกนโยบายว่า ต้องลดเงินเดือนข้าราชการผู้ใหญ่มาให้ข้าราชการที่
เข้าใหม่ ผมถามหน่อยนโยบายแบบนี้มันเป็นเป็นประชาธิปไตยหรือครับ อย่างนี้เขาเรียก
เผด็จการคอมมิวนิสต์นะครับ


เรียนท่านโฮฮับ ผมไม่ได้บอกว่า ให้ไปลดเงินเดือนข้าราชการผู้ใหญ่นะครับผม อ่านดูให้ดีๆ

แต่ ต่อไปนี้ ให้เพิ่มเงินเดือนชั้นผู้ใหญ่ให้น้อยลง.........นึ่คือข้อเสนอแนะของผม

ยกตัวอย่าง การขึ้นเงินเดือนในอดีตนะครับ

ด้วยความเฉลียวฉลาดที่คิดว่าใครก็ตามตามคิดนั้นไม่ทัน..........ของใครก็ไม่ทราบ

มีการคิดให้ชั้นผู้น้อย และชั้นผู้ใหญ่ แบบ เปอร์เซนต์........... เหอๆ

เช่น 10 เปอร์เซนต์ เป็นต้น ยกตัวอย่าง....................เท่านั้น

ชั้นผู้น้อยเงินเดือน 5000 เพิ่มอีก 10 เปอร์เซนต์

ชั้นผู้ใหญ่เงินเดือน 50000 บาท เพิ่มอีก 10 เปอร์เซนต์

เป็นความยุติธรรม มั๊ยละครับ ท่านโฮฮับ

ยุติธรรม จริง ๆ ....................ก็ 10 เปอร์เซนต์เท่ากัน แล้วนี่จ๊ะ

ชั้นผู้น้อย สิบเปอร์เซนต์ 10 ปี เป็นไงครับ ได้มาเท่าไร

ชั้นผู้ใหญ่ สิบเปอร์เซนต์ 10 ปี เป็นเงินเท่าไรครับ


.........................................................................
เรียนท่านโฮฮับ ผมไม่ได้ เสนอให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ลดเงินเดือนลงมาเท่าชั้นผู้น้อยนะครับ
ยังคงมีความลดหลั่น อยู่เหมือนเดิม
แต่.....................

วิงวอน และเสนอแนะ ว่า อย่างให้มัน แตกต่างกันมากจนเกินไป

คือ สมควรให้มีการใช้กระบวนการอะไรก็แล้วแต่ บีบระยะห่างนี้ให้แคบเข้ามา



10 เปอร์เซนต์ ของ 5000 ก็คือ 500 บาท
สรุป ข้าราชการชั้นผู้น้อย ได้เงินเดือนใหม่ 5500 บาท
10 เปอร์เซนต์ ของ 50000 ก็คือ 5000 บาท
สรุป ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ได้เงินเดือนใหม่ 55000 บาท .....................ในปีแรกของสิบปี


เนื่องจากผม คิดเลขไม่ค่อยเก่ง ไปทีละปี ก็แล้วกัน

10 เปอร์เซนต์ ของ 5500 บาท
ก็คือ 550 บาท ปีที่สองนี้ ข้าราชการชั้นผู้น้อย ได้เงินเดือนใหม่ 6550 บาท

10 เปอร์เซนต์ ของ 55000 บาท ก็คือ 5500 บาท
สรุป ก็คือ ในปีที่สองนี้ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ๋ ได้เงินเดือนใหม่ 60500 บาท ครับ

ปีถัดๆ ไป ค่อยเอามาสาธยายครับ ............

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2011, 15:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
และกรุณามองมุมกลับเกี่ยวกับความเลื่อมล้ำในแง่นี้ด้วย พึงเข้ามาทำงาน
แต่จะเอาเงินเดือนพอๆกับคนที่อยู่มานาน แบบนี้มันตลกร้ายครับ


เนื่องจากผมไม่ได้มีความคิดแบบที่คุณโฮฮับ กล่าวหา

ผมจึงไม่ได้เป็น ตลกร้าย

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2011, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
เรียนท่านโฮฮับ ผมไม่ได้บอกว่า ให้ไปลดเงินเดือนข้าราชการผู้ใหญ่นะครับผม อ่านดูให้ดีๆ
แต่ ต่อไปนี้ ให้เพิ่มเงินเดือนชั้นผู้ใหญ่ให้น้อยลง.........นึ่คือข้อเสนอแนะของผม

อ๋อ!อย่างนั้นหรือครับ แล้วไอ้คำพูดของคุณที่ไปกำหนดกฏเกณท์ว่า"ชั้นผู้น้อย15,000
และสูงสุดไม่ควรเกิน50,000"มันหมายถึงอะไรครับ ถ้าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีเงินเดือนเกิน
50,000แบบนี้ไม่เรียกว่าไปลดเงินเดือนเขาหรือครับ
govit2552 เขียน:
เพื่อบีบระยะห่าง อย่าให้มากเกินไป
เช่น ชั้นผู้น้อย 15000 บาท ชั้นผุ้ใหญ่ สุด 50000 ก็พอครับ ท่าน

คุณโกวิท คุณลองดูคำพูดคุณใหม่สิว่ามันหมายถึงอะไร
govit2552 เขียน:
ยกตัวอย่าง การขึ้นเงินเดือนในอดีตนะครับ
ด้วยความเฉลียวฉลาดที่คิดว่าใครก็ตามตามคิดนั้นไม่ทัน..........ของใครก็ไม่ทราบ
มีการคิดให้ชั้นผู้น้อย และชั้นผู้ใหญ่ แบบ เปอร์เซนต์........... เหอๆ

ก็ไอ้คุณมันก็เป็นเสียแบบนี้ ชอบกล่าวถึงบุคคลอื่นในทางเสียหาย
พอมีคนไม่เห็นด้วย คุณก็ปฏิเสธหน้าตาเฉยว่า"เปล่าผมไม่ได้พูด" ตลกดีครับ
govit2552 เขียน:
เช่น 10 เปอร์เซนต์ เป็นต้น ยกตัวอย่าง....................เท่านั้น
ชั้นผู้น้อยเงินเดือน 5000 เพิ่มอีก 10 เปอร์เซนต์
ชั้นผู้ใหญ่เงินเดือน 50000 บาท เพิ่มอีก 10 เปอร์เซนต์
เป็นความยุติธรรม มั๊ยละครับ ท่านโฮฮับ
ยุติธรรม จริง ๆ ....................ก็ 10 เปอร์เซนต์เท่ากัน แล้วนี่จ๊ะ
ชั้นผู้น้อย สิบเปอร์เซนต์ 10 ปี เป็นไงครับ ได้มาเท่าไร
ชั้นผู้ใหญ่ สิบเปอร์เซนต์ 10 ปี เป็นเงินเท่าไรครับ

ผมอธิบายความถึงระบบการทำงาน ให้คุณฟังเสียยืดยาวสงสัยคุณไม่เข้าใจละมั้ง
เห็นพูดแต่ เงินเดือนๆๆๆๆ ถามจริงคุณเคยทำงานในบริษัทหรือรับราชการบ้างหรือเปล่า
เอาง่ายๆ คุณรู้จักการใช้ทรัพยากรบุคคล คุณรู้คำว่าประสบการณ์มั้ย คุณรู้จักรับผิดชอบ
ในสิ่งที่คนอื่นทำมั้ย และคุณมีบารมีพอที่จะสามารถสั่งงานคนอื่นได้หรือเปล่า และที่สำคัญ
คุณสามารถทำงานโครงการใหญ่ๆให้สำเร็จผลมั้ย

สิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดมันเป็นปัจจัยในการให้เงินเดือนของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
แบบคุณมันคิดตื้นๆเห็นแก่ได้ครับ เอะอะอะไรก็ไม่ยุติธรรม แล้วที่คุณพูดมามันยุติธรรม
กับคนอื่นหรือครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2011, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
เพื่อบีบระยะห่าง อย่าให้มากเกินไป
เช่น ชั้นผู้น้อย 15000 บาท ชั้นผุ้ใหญ่ สุด 50000 ก็พอครับ ท่าน


ให้สังเกตุ คำว่า เช่น ................................... ครับผม

เป็นการยกตัวอย่าง เฉยๆ ไม่ได้หมายความว่า 50000 จริงๆ

สรุปแนวคิดของผม ก็คือ

การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ให้มาก น่าจะทำให้สังคมน่าอยู่ มากขึ้น

แต่.....................................................................

อย่า ไพล่ ไปคิดว่า ไปใช้เผด็จการ ลดภายในวันเดียวหรือ ปีเดียวนะครับ

มันคือ คอมมิวนิสต์ อย่างที่คุณโฮฮับว่า

ย่อมต้อง ค่อยๆ เป็นไป

ซึ่ง ปกติ ก็ทำแบบนี้ กันอยู่แล้ว

เลียนแบบ สมัย ร. 5 เลิกทาส

คนที่เป็นทาสอยู่แล้ว ก็เป็นไปจนตาย ไม่ได้ไปแก้อะไร
แต่ลูกที่เกิดมา ไม่ต้องเป็นทาส แล้วนะ

สุดท้าย ปัจจุบันนี้ ไม่มีทาส แบบในสมัยนั้น อีกแล้ว

การบีบระยะห่าง ของเงินเดือน ก็เช่นกัน คนที่ได้รับ 2-3 แสน ต่อเดือนอยู่แล้ว
เราไม่ได้ไปลดเงินเดือนของเขา
แต่การขึ้นเงินเดือนในปีต่อไป ไม่ใช่ 20 เปอร์เซนต์แล้วนะ
ต้องแค่ 15 เปอร์เซนต์ เป็นต้น และปีถัดๆ ไป ก็ลดเปอร์เซนต์ไปเรื่อยๆ

ถามว่า เดือนร้อนไหม ก็ไม่มีใครเดือดร้อน
ข้าราชการผู้ใหญ่ ที่ว่า ลูกเต้า ก็โต มีเหย้ามีเรือนกันหมดแล้ว
ค่าใช้จ่ายก็น้อยลง ..............................เป็นต้น

อ้างคำพูด:
เอาง่ายๆ คุณรู้จักการใช้ทรัพยากรบุคคล คุณรู้คำว่าประสบการณ์มั้ย คุณรู้จักรับผิดชอบ
ในสิ่งที่คนอื่นทำมั้ย และคุณมีบารมีพอที่จะสามารถสั่งงานคนอื่นได้หรือเปล่า และที่สำคัญ
คุณสามารถทำงานโครงการใหญ่ๆให้สำเร็จผลมั้ย


ไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้ครับ เงินเดือน ยังคงลดหลั่น เป็นลำดับขั้น
แต่ที่จะเห็นต่างก็คือ .................
แต่ความห่างของเงินเดือน
ไม่แตกต่าง กันมากเกินไป เช่นปัจจุบัน

เป็นแค่ความคิดเห็น ของคนเล็กๆ ของราษฏรเต็มขั้น แบบผม เฉยๆ ครับ ไม่ได้มีอำนาจ ไปเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2011, 05:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
เพื่อบีบระยะห่าง อย่าให้มากเกินไป
เช่น ชั้นผู้น้อย 15000 บาท ชั้นผุ้ใหญ่ สุด 50000 ก็พอครับ ท่าน

ให้สังเกตุ คำว่า เช่น ................................... ครับผม
เป็นการยกตัวอย่าง เฉยๆ ไม่ได้หมายความว่า 50000 จริงๆ
สรุปแนวคิดของผม ก็คือ
การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ให้มาก น่าจะทำให้สังคมน่าอยู่ มากขึ้น

คุณว่างั้นเหรอ พุทโถ๋! พูดไปเรื่อยแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ มันจะตัวอย่างหรือสมมุติ
มันต้องดูตัวเลขที่15,000บาท คุณเอาตัวเลขนี้เป็นตัวตั้ง ที่แน่ๆมันเป็นตัวเลขที่จริง
เป็นนโยบายของรัฐบาล วรรคประธานเป็นเรื่องจริง แล้ววรรครองเป็นตัวอย่าง
หรือสมมุติได้ไง
ถามหน่อยคุณเข้าใจหลักการใช้ภาษาแค่ไหนครับ
ผมเห็นคุณใช้ภาษาไทยแบบนี้แล้วทำให้คิดว่า คุณอาจไม่เข้าใจคำว่า"แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ"
ผมจะบอกให้ครับมันหมายถึง "เห็นหลักฐานความจริงอยู่ตรงหน้า ยังปากแข็งไม่ยอมรับ"
govit2552 เขียน:
[สรุปแนวคิดของผม ก็คือ
การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ให้มาก น่าจะทำให้สังคมน่าอยู่ มากขึ้น
แต่..............................................................

ผมว่าคุณอ่านนิยายมากไป หรือไม่ก็ฟังพวกคนที่ชอบเอาหน้ากากผู้ดีมาใส่
แล้วมาเพ้อเจ้อรายวัน คุณโกวิทครับอ่านได้ ฟังได้ แต่เราต้องคิดตามด้วย
ต้องรู้จักแยกแยะด้วยว่า กลุ่มคนเป็นอย่างไร สังคมเป็นอย่างไร
มันมีอะไรบ้างที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นสังคม

ความเหลื้อมล้ำในสังคมมันมีจริง แต่คุณไปเอามาใช้ผิดที่ผิดทาง
อย่างเช่นในระบบงานราชการที่คุณบอกต้องลดความเหลื้อมล้ำ แบบนี้มันใช่ซะที่ไหน
ระบบงานมันเป็นระบบของการเจริญเติบโตของเวลาการทำงานและความสามารถในงานนั้นๆ
มันเป็นตรรกะมันเป็นเหตุเป็นผลกัน
คำพูดของคุณมันเป็นลักษณะของคนมองปัญหาที่กลับตาลปัตร คือเอาสิ่งที่ไม่ใช่เงื้อนไขปัญหา
มาทำให้มันเป็นปัญหา ความหมายของมันก็คือ ปัญหาจริงๆมันคือการหาเงินที่ไหน
มาให้คนใหม่และจะเอาเงินที่ไหนมาเพิ่มให้คนเก่า อย่าลืมนะว่าฐานอัตราเงินเดือนของราชการ
เขามีกฎอัตราตายตัวมีกฎหมายรองรับ

เรื่องปัญหาใหม่ที่ผมบอกก็คือ คุณคิดว่าการกระทำแบบคุณ คนเก่าที่ทำงานมาก่อนจะยอมหรือ
คุณคิดว่ามันไม่ไปตัดหรือหักหาญน้ำใจกันมากไปหน่อยหรือ
ถามหน่อยรู้จักคำว่า"สมองไหลหรือเปล่า"
คุณรู้หรือเปล่าว่าราชการต้องเสีย ทรัพยากรบุคคลที่มีค่า มีประสบการณ์มีความสามารถ
ไปให้กับเอกชนเท่าไร มันไม่ใช่เพราะไอ้อัตราเงินเดือนของคนเก่าที่คุณมองว่า มันมากมาย
มันสร้างความเหลื้อมล้ำหรอกหรือ
ผมอยากให้คุณดูว่า มันเป็นความเหลื้อมล้ำจริงหรือ
คนที่ทำงานราชการใหม่วันนี้ สักวันเขาก็ต้องได้รับสิทธิแบบคนเก่าคนแก่เหมือนกัน
เขาเรียกว่าการเจริญเติบโตในการทำงาน มันยุติธรรมและถูกจริยธรรมที่สุดแล้ว


หลักความเหลื้อมล้ำในสังคม เราต้องไปดูในลักษณะของการนำทรัพยากรมาใช้
ทรัพยากรธรรมชาติเป็นของส่วนรวม แต่มีบางคนถืออภิสิทธิ์เอามาใช้ประโยชน์
มากกว่าคนอื่นแบบนี้เขาจึงเรียกความเหลื้อมล้า
หรือผลผลิตที่เราใช้อุปโภคบริโภคอยู่นี้ เราต้องดูสายการผลิตว่า แต่ละสายงานผลิต
จะได้ผลประโยชน์ที่เหมาะสมกับการลงมือลลงแรงหรือไม่
ตัวอย่างง่ายๆ ข้าวที่เรากินอยู่นี้ถ้าเราดูถึงสายการผลิต
คุณว่าชาวนากับพ่อค้าผลประโยชนืที่ได้รับมันเหมาะสมหรือไม่
ชาวนาคนผลิตได้ผลประโยชน์นิดเดียว แต่พ่อค้าไม่ต้องทำอะไรได้กำไรมากมาย
แบบนี้ครับเขาถึงเรียกว่า ความเหลื้อมล้ำในสังคม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร