วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 135 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 00:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


suthee เขียน:
อะเสวะนาจะพาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา การไม่คบคนพาลการคบบัณฑิตนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ถึงแม้เราคบค้าสมาคมกับอริยะบุคคลแต่เราไม่ปฏิบัติตามธรรมของท่าน เราก็ไม่สามารถเข้าใจในธรรมของท่านได้ สังเกตได้จากบุคคลที่ชอบแอบอ้างว่าเป็นลูกศิษย์ลูกหาหลวงพ่อหลวงตาที่มีชื่อเสียงโดงดัง พอสอบถามว่าจิตใจเป็นอย่างไรบ้าง กลับตอบไม่รู้เรื่อง พูดง่ายๆก็คือไม่รู้เรื่องของจิตไม่รู้จักจิตใจนั่นเอง
พระโสดาบันรู้จักจิตใจได้แค่๒๐เปอร์เซนต์
พระสกิทาคามีรู้จักจิตใจได้๓๐เปอร์เซนต์
พระอนาคามีรู้จักจิตใจได้๕๐เปอร์เซนต์
พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายรู้จักจิตใจได้๑๐๐เปอร์เซนต์
อริยะบุคคลภายนอกไม่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ นอกจากเราต้องลงมือปฏิบัติจิตใจเอาเอง พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่ากิจในการทำความเพียรเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลาย เราตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้บอกแนวทางเท่านั้น


ทำไมจาก อนาคามี กะ อรหันต์ การรู้จักจิตจึงมีเปอร์เซ็นต์ห่างกันเช่นนั้น

ท่านพอจะอธิบายรายละเอียดโดยภาพรวมของการปฏิบัติได้รึเปล่าคะ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 00:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ท่านพอจะอธิบายรายละเอียดโดยภาพรวมของการปฏิบัติได้รึเปล่าคะ

อะ..จึยยย...
s002 s002 s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 09:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
ท่านพอจะอธิบายรายละเอียดโดยภาพรวมของการปฏิบัติได้รึเปล่าคะ

อะ..จึยยย...
s002 s002 s002


มา อะ...จึ๋ย อะ...เจ๋ย อะไรล๊าาาาา...

:b12: :b12: :b12:

มาทำเช็ดเหงื่อ
ท่าน suthee นี่เอกอนไม่ได้มาปาดหรอก ท่านอ๊บไม่ต้องห่วง
เพราะก่อนหน้านี้ ที่ได้อ่านบทความของท่าน Suthee ที่ท่านเคยนำมากล่า่ว
เอกอนก็พอมองเห็นแล้ว ว่าท่านปฏิบัติสมาธิถึงสภาวะบางสภาวะจริง
ก็ถ้าจะถามคำถาม ก็ต้องถามกับคนที่ปฏิบัติแล้วเห็นสภาวะนั้น ๆ จริง เขาก็ตอบได้
และเป็นคำตอบแบบ สะท้อนสภาวะจริง
ซึ่งคำพูดจะต่างจาก คำตอบที่ออกแนวไหลไปตามอุปทาน

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 17:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...ชีวิตประจำวันสำคัญที่สุดในการระลึกเข้าใจสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง...
...เพราะต้องกำหนดระลึกรู้สภาพธรรมะขณะนี้ตามความเป็นจริงตามสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่...
...ลองคลิกเข้าไปฟังการบรรยายธรรม...หัวข้อ...ระลึกถึงพระธรรมช่วยให้จิตสงบหรือไม่...
http://www.dhammahome.com/front/audio/show.php?id=4708


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 20:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
........
ก็ต้องถามกับคนที่ปฏิบัติแล้วเห็นสภาวะนั้น ๆ จริง เขาก็ตอบได้
และเป็นคำตอบแบบ สะท้อนสภาวะจริง
ซึ่งคำพูดจะต่างจาก คำตอบที่ออกแนวไหลไปตามอุปทาน

:b12: :b12: :b12:


จะไม่ให้..อะจึยยยย..ได้งัย..เน๊าะ

อ้างคำพูด:
ทำไมจาก อนาคามี กะ อรหันต์ การรู้จักจิตจึงมีเปอร์เซ็นต์ห่างกันเช่นนั้นท่านพอจะอธิบายรายละเอียดโดยภาพรวมของการปฏิบัติได้รึเปล่าคะ

s002 s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 22:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


s004 s004

อะจึ๋ย ทำไมก็ไม่รู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 22:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


s004

อะโท่

ก็พอดีวันนี้ได้อ่านไปเจอบทความนี้เข้า

ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมา คือ เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วว่า
ธรรมเหล่านี้ควรกำหนดรู้ เป็น สุตมยญาณ


ธรรมหนึ่ง ควรกำหนดรู้ คือ ผัสสะอันมีอาสวะ เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน
ธรรมสอง ควรกำหนดรู้ คือ นาม 1 รูป 1
ธรรมสาม ควรกำหนดรู้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา
ธรรมสี่ ควรกำหนดรู้ คือ อาหารแห่งชีวิต
ธรรมห้า ควรกำหนดรู้ คือ อุปาทานขันธ์ห้า
ธรรมหก ควรกำหนดรู้ คือ อายตนะภายในหก
ธรรมเจ็ด ควรกำหนดรู้ คือ วิญญาณฐิติเจ็ด
ธรรมแปด ควรกำหนดรู้ คือ โลกธรรมแปด
ธรรมเก้า ควรกำหนดรู้ คือ สัตตาวาสเก้า
ธรรมสิบ ควรกำหนดรู้ คือ อายตนะสิบ (ตา-รูป เป็นต้น)

onion onion onion

ก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันรึเปล่า คือ ต้องกำหนดรู้(แจ้ง)ในทั้งหมดน่ะ
ถ้าธรรมทั้งหมดที่ว่าเป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้
ก็จะได้มองภาพออก ว่าใครพกแบงค์ปลอมมาจ่ายตลาด :b9: :b9:


:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 00:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมา คือ เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วว่า
ธรรมเหล่านี้ควรกำหนดรู้ เป็น สุตมยญาณ
โสดาปัตติมรรคญาณ (อินทรีย์ของผู้ปฏิบัติด้วยมนสิการว่า เราจักรู้ธรรมที่ยังไม่รู้) คือความรู้หรือสิ่งที่โสดาบันจะต้องเรียนรู้ อันได้แก่

จักขวายตนะ รูปายตนะ โสตายตนะ สัททายตนะ ฆานายตนะ คันธายตนะ ชิวหายตนะ รสายตนะ กายายตนะ โผฏฐัพพายตนะ มนายตนะธรรมายตนะ จักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ โสตธาตุ สัททธาตุ โสตวิญญาณธาตุ ฆานธาตุ คันธธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาธาตุ รสธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ กายธาตุ โผฏฐัพพธาตุ กายวิญญาณธาตุ มโนธาตุ ธรรมธาตุ มโนวิญญาณธาตุ จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ มนินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ สุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ โทมนัสสินทรีย์ อุเบกขินทรีย์ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์

ญานแปลว่ารู้ อธิบายได้ รู้แจ้ง คือ ทำความเข้าใจให้ถูกคามความเป็นจริง ถ้ามากไป รู้ว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาไว้รับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิด รู้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นที่ตั้งของความพอใจไม่พอใจและความหลง เกิดเมื่อมีกระทบสัมผัส รู้ว่าปัญญาเอามาดับทุกข์เหล่านี่ได้ทั้ง ๖ ทาง ก็เพียงพอแล้วสำหรับการวิปัสสนา

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน มีข้อที่เรากล่าวไว้ว่าอุปาทานขันธ์ ๕ ได้แก่อุปาทานขันธ์ คือรูป คือเวทนา คือสัญญา คือสังขาร คือวิญญาณ เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 01:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 09:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


suthee เขียน:
การหาอริยะบุคคลภายนอกไม่ทำให้ใครพ้นจากกองทุกข์ไปได้หรอก ควรใช้ปัญญาใคร่ครวญพิจารณาว่าอะไรคือทุกข์? อะไรคือเหตุให้เกิดความทุกข์ อะไรคือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ และอะไรคือความดับทุกข์ และคบหากัลยามิตรบัณฑิตผู้ที่สามารถชี้ทางสว่างบอกทางพระนิพพานให้ อันนี้จะเป็นประโยชน์กว่าและเป็นมงคลอันสูงสุดด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


suthee เขียน:
การหาอริยะบุคคลภายนอกไม่ทำให้ใครพ้นจากกองทุกข์ไปได้หรอก ควรใช้ปัญญาใคร่ครวญพิจารณาว่าอะไรคือทุกข์? อะไรคือเหตุให้เกิดความทุกข์ อะไรคือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ และอะไรคือความดับทุกข์ และคบหากัลยามิตรบัณฑิตผู้ที่สามารถชี้ทางสว่างบอกทางพระนิพพานให้ อันนี้จะเป็นประโยชน์กว่าและเป็นมงคลอันสูงสุดด้วย

ความรู้ ต้องได้เรียนจากผู้ที่รู้ ถ้ายังหาผู้รู้ไม่ได้ คุยกันในกลุ่มของผู้ยังไม่รู้ ต่างอะไรไปจาก ตาบอดจูงมือตาบอดเดิน

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 09:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


suthee เขียน:
จืตที่ยังถูกครอบงำด้วยอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ย่อมเกิดๆดับ,ทั้งนั้น ตั้งแต่พระอนาคามีลงมาจนถึงปุถุชนคนทั่วไป ยกเว้นพระจิตของพระพุทธเจ้ากับเหล่าพระอรหันต์เท่านั้นนอกนั้นไม่มีเหลือสักรายเดียว อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด-ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิต รู้ไม่เกิด-ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นแค่อาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 09:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


suthee เขียน:
ที่ว่ามันคือสภาวะอะไรนั้นขอตอบให้ทราบ ทุกอย่างที่คุณเล่ามานั้นมันเป็นอาการของจิตทั้งนั้น อาการของจิตล้วนแล้วแต่มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นตั้งอยู่ชั่วขณะและก็ดับไปในที่สุดหาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้สักอย่างเดียวสิ่งที่ความใส่ใจสนใจคือผู้รู้ สิ่งต่างๆที่เกิดๆดับๆเขาไม่รู้เรื่องรู้ราว อาการต่างๆของจิตเขาเกิดขึ้นแล้วก็ดับตามกฏธรรมชาติของเขาจิตที่ไม่มีสติ,ปัญญา,ไปรู้อาการของจิตที่เกิดๆดับๆแล้วก็ทำให้เป็นสมุทัยเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต

จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด-ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิต รู้ไม่เกิด-ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นแค่อาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาต่อไปอีกนับกัปป์ นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ จิตที่พ้นจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตการท่านเรียกว่า จิต ที่เป็นวิสังขาร สังขารไม่อาจปรุ่งแต่งจิตนั้นได้อีกต่อไป สิ่งใดก็ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 09:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


suthee เขียน:
นักปฏิบัติธรรมปฏิบัติจิตภาวนาที่มีสติปัญญาสามารถสังเกตรู้ที่จิตที่ใจของตนเองได้ ให้รู้เองเห็นเอง(สันทิฏฐิโก) ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,เป็นอายตนะที่รับผัสสะ ไม่มีอะไรชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่าจิตใจ สิ่งใดก็ตามที่มีสภาพเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง แตกสลายในที่สุด สิ่งนั้นๆล้วนแล้วแต่เป็นเงาของจิตเป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่แท้ไม่มีการเกิดไม่มีการดับ นักปฏิบัติจิตภาวนาร้อยทั้งร้อยจะพากันไปดูไปรู้ที่เงาของจิตหรืออาการของจิต สิ่งใดก็ตามที่เกิดๆดับๆสิ่งนั้นชื่อว่าเงาของจิตหรืออาการของจิต การดูจิตก็คือดูสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับก็คือจิตหรือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับนั่นเอง สิ่งที่เกิดๆดับๆมันไม่รู้ ให้มาดูมารู้สิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับคือจิตหรือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับนั่นเอง สิ่งที่เกิดๆดับๆไม่ใช่พระนิพพาน สิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับคือ พระนิพพาน ปล่อยสติปัญญาไปอยู่กับเงาของจิตหรืออาการของจิตก็เลยหาพระนิพพานไม่พบสักทีเลยนิพพานไปไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน จิตที่รู้เกิดรู้ดับเป็น สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิดรู้ดับเป็น ทุกข์ จิตที่รู้ไม่เกิดไม่ดับเป็น มรรคข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิดไม่ดับเป็น นิโรธความดับทุกข์หรือนิพพานนั่นเอง จะไปถามหานิโรธนิพพานอยู่ที่ไหน? ไม่ต้องไปถามหาให้เสียเวล่ำเวลาแต่จะปรากฏขึ้นที่จิตที่ใจของนักปฏิบัติจิตปฏิบัติธรรมด้วยทุกคน (ยกเว้นพวกที่แบกหามตู้คำภีร์มาอวดกันเล่น)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 135 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร