วันเวลาปัจจุบัน 18 พ.ค. 2025, 00:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 133 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 17:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ในพุทธประวัติน่าจะมีนะ
พระอรหันต์ผู้ที่ตั้งอธิษฐานจิตไว้ว่ายังไม่ขอเข้านิพพาน
แต่จะอยู่เพื่อดูแลพุทธศาสนา ต่อไปจนกว่า

ไม่รู้อาจารย์เล่าให้ฟัง นานมากแล้ว ลืม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ในพุทธประวัติน่าจะมีนะ
พระอรหันต์ผู้ที่ตั้งอธิษฐานจิตไว้ว่ายังไม่ขอเข้านิพพาน
แต่จะอยู่เพื่อดูแลพุทธศาสนา ต่อไปจนกว่า

ไม่รู้อาจารย์เล่าให้ฟัง นานมากแล้ว ลืม


ครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 22:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ในพุทธประวัติน่าจะมีนะ
พระอรหันต์ผู้ที่ตั้งอธิษฐานจิตไว้ว่ายังไม่ขอเข้านิพพาน
แต่จะอยู่เพื่อดูแลพุทธศาสนา"

ซึ่งนั่นเรียกว่านิกายมหายาน ซึ่งเป็นที่สถิตอยู่ของจิตที่เป็นมหากรุณาดั่งพระโพธิสัตต์ที่ยังมีมหากรุณาต่อโลกไม่ยอมนิพพานเพื่อเผยแพร่ศาสนาและทางพ้นทุกข์ต่อให้ถึงที่สุด ก็เหมืินดังพระพุทธเจ้าตอนที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์องค์แรกของโลกก็ทรงยังไม่เข้าสู่การละวางโดยสมบรูณ์แต่ทรงอยู่ต่อในการเผยแพร่ธรรมด้วยความเมตตา มหากรุณาและทรงดำริว่าคนนั้นมีสี่เหล่าจักทรงอยู่โดยไม่ละจากโลกนี้เพื่อเผยแพร่ธรรมมะเพื่อพาผู้ที่จะสามารถระลึกรู้ตามได้ตามกำลังของตน ก็จะยังประโยชน์ให้มหาชนได้อีกมากมหาศาล จึงยังไม่เข้าสู่การละวางโดยสมบรูณ์ พระพุทธองค์นั้นทรงหมดกิเลสสิ้นสุดแล้วแต่ยังคงไม่ยอมละวางจากมหากรุณาเพื่อสอนบุรุษและสตรีที่สมควรฝึกเพื่อประโยชน์ต่อมวลมนุษย์โลกและเทวโลกถึงที่สุด ซึ่งเป็นทางให้พวกเราเดินตามต่อสืบมาโดยไม่ต้อง.งม.หาจนมาถึงทุกวันนี้ครับ...^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
"ในพุทธประวัติน่าจะมีนะ
พระอรหันต์ผู้ที่ตั้งอธิษฐานจิตไว้ว่ายังไม่ขอเข้านิพพาน
แต่จะอยู่เพื่อดูแลพุทธศาสนา"


พระอรหันต์องค์ใด หรือครับ

พระอานนท์ พระอนุรุทธะ พระโมคคัลลานะ พระมหากัจจายนะ พระแม่น้ามหาปชาบดีโคตมีเถรี
หรือ.......... เป็นพระอสีติมหาสาวกหรือไม่หนอ

แต่เท่าที่เคยอ่านพุทธประวัติจากพระโอษฐ์มายังไม่เคยเจอนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 22:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ในพุทธประวัติน่าจะมีนะ
พระอรหันต์ผู้ที่ตั้งอธิษฐานจิตไว้ว่ายังไม่ขอเข้านิพพาน
แต่จะอยู่เพื่อดูแลพุทธศาสนา ต่อไปจนกว่า

ไม่รู้อาจารย์เล่าให้ฟัง นานมากแล้ว ลืม



พระอรหันต์ที่อธิฐานจิต ว่ายังไม่ขอเข้านิพพานมีเยอะครับ
แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็อธิฐานจิต ว่าจะไม่ขอปรินิพพาน จนกว่าสาวก สาวิกา จะเห็นแจ้งในธรรม
อธิษฐานได้
แต่เป็นไปไม่ได้

เพราะอยู่มานาน ลืม เรื่อง ปัญจมหวิโลกะนะไป
ไม่ตรวจดูอายุขัยตนเอง ไง ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 23:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
ท่านครับ

ผมขออนุญาตเรียนว่าอย่างนี้ครับ

ความคิดเห็นผมแสดงด้วยบริสุทธิ็ใจในความเคารพตนเองด้วย

ความรู้ที่ท่านหลวงพ่อครูบาอาจารย์สอนนั้นลึกซึ้ง ตามระดับธรรมของแต่ละท่าน

หากความคิดเห็นผมขัดกับของท่านครูบาอาจารย์ผมต้องขอ

กาเยนะ วาจายะ วะเจตสาวา สังเฆกุกำมัง ปะกะตัง มยายัง

สังเฆ ปฏิคัณหะตุ อัจจะยังตัง

กาลันตะเล สังวะลิตุงวะสังเฆ



ความคิดเห้นคุณเมส ขัดครูบาอาจารย์แน่นอนครับ
นั่นแค่ยกตัวอย่าง มาสองท่าน

และความเห็นคุณเมส ก้ขัดพระพุทธเจ้าด้วย

จะให้เข้าใจผัสสะ ก็ต้องไปเรียนอภิธรรมให้เข้าใจด้วย
จิต เจตสิก รุป และนิพพาน

ผัสสะ เป็นเจตสิกต้องอาศัยจิต เป้นที่เกิด
แต่จิตหรือใจ ไม่ต้องอาศัยผัสสะ เป้นที่เกิด

แล้วทีนี้ อาการตรัสรู้นั่นเป็นยังไง
ก้เป้นอาการของโสภณเจตสิก ที่เกิดจาก ปัญญนินทรีย์เจตสิก อโลภะ อโทสะ อโมหะ ที่สุด
คือ จนมีอารมณ์อันหนึ่งอันเดียว กับจิตหรือใจ

เมื่อเจตสิก ถึงความมีอารณ์เดียวกับใจ จึงเป้นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เจตสิกทั้งหมด จึงตกงาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 23:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
อ้างคำพูด:
"ในพุทธประวัติน่าจะมีนะ
พระอรหันต์ผู้ที่ตั้งอธิษฐานจิตไว้ว่ายังไม่ขอเข้านิพพาน
แต่จะอยู่เพื่อดูแลพุทธศาสนา"


พระอรหันต์องค์ใด หรือครับ

พระอานนท์ พระอนุรุทธะ พระโมคคัลลานะ พระมหากัจจายนะ พระแม่น้ามหาปชาบดีโคตมีเถรี
หรือ.......... เป็นพระอสีติมหาสาวกหรือไม่หนอ

แต่เท่าที่เคยอ่านพุทธประวัติจากพระโอษฐ์มายังไม่เคยเจอนะครับ


ไปลองศึกษาอ่าน พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนเสด้จปรินิพพานครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 23:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


LuiPan เขียน:
mes เขียน:
อวิชชา วิชชา ปัญญา ญาณทัศนะ ปริญญา ล้วนเป็นนิมิต

คือเครืองกำหนดรู้เกิดในมโนวิญาณ

รู้ด้วยผัสสะเช่นกัน

การรู้แจ้งเห็นจริง การบรรลุนิพพานก็ต้องเกิดผัสสะจึงรับรู้ว่า

บัดนี้ถึงนิพพานแล้ว

ภาระอันหนักอึ้งได้จบลงแล้ว

ชาติ ภพ ได้จบสิ้นแล้ว

จบโฆษณาครับ



ต้องกราบขออภัยที่จะต้อง เสนอ สิ่ง ให้พิจารณา ก่อนจะ แฉลบญาณ

นิพพานนั้น ไม่ควรเป็น สภาพธรรมที่ต้องอาศัยผัสสะให้รับรู้ว่าถึงแล้ว

สภาพธรรมใดๆก็ตาม หากปรากฏว่า ยังต้องอาศัยผัสสะ(อาหาร) ย่อมแสดง
ว่ายังอยู่ในภพ ยังมีชาติ

เช่น สัญญาเวทยิตนิโรธน มี สุญญตา อนิมิต อัปณิหิต เป็นผัสสะ เป็นอาหาร
เหตุนี้ อนาคามีบุุคลจะเอาแต่ทำสัญญาเวทยิตนิโรธนถ่ายเดียวไม่ได้ งานไม่จบ

* * * * * *

แต่ธรรมดา ที่เราย่อมต้อง อาศัยเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อน้อมระลึก

กรณีนี้ พระสารีบุตร บอกแก่ภิษุว่า หากยังมีศุภนิมิตใดปรากฏแปลว่ายังอยู่
ในชาติ ในภพ แต่หาก ใช้การสิ้นไปของกิเลส โลภะ โทษ โมหะ เป็นนิมิต
แทนแล้ว ย่อมเป็นการง่ายที่จะน้อมข้ามฝากผู้รู้ไปอย่างไม่มีกำหนดมหาย

ถ้าจะใช้คำว่า ผัสสะ ก็ใช้สำนวนว่่า "ร่อนออกจากการมีผัสสะ ดำเนินไปเพียงกริยาของจิต"

ลองพิจารณาดูนะครับ เพราะว่า คำพูดเหล่านี้ผมดัดแปรงแล้ว หากสนใจ ก็ลองหาอ่าน
พระสูตรของพระสารีบุตร ที่เน้นสอน ปฏิสัมภิทามรรค โดยเฉพาะ ก็จะพบร่องรอยเดิม
แท้ของกลองธรรมกถึกที่ถูกต้อง
หรือ ข้ามศุภนิมิตทั้งปวงได้


:b4: :b17:

จิต ไม่ต้องอิงอาศัยเจตสิก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2011, 23:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 19:46
โพสต์: 12


 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาทำความเข้าใจ อรรถสาระทางธรรม

ต้องพยายาม ทวนดูเครื่องมือที่ใช้พิจารณาไว้ด้วย ซึ่งเครื่องมือนั้นจะมี 3 อย่าง

คือ ความจำได้ตามที่ได้ฟังมา , ความน้อมนึกระลึกได้ และ การรู้เห็นตามความเป็นจริง

อย่างคำว่า ไม่มีผัสสะ ปราศจากผัสสะ หากเราใช้เครื่องมือ คือ เอาที่คุ้นเคยจำได้ว่ามี
เคยฟัง คำว่า ไม่มีผัสสะ ก็จะอาศัยว่า เคยได้ยินใครพูดแบบนี้ไหม หากมี ก็อาจจะ
รับได้ว่า สภาวะนี้มีอยู่ แต่ถ้าใชเครื่องมือแบบนี้บวกกับมิจฉาทิฏฐิ ผู้สนทนาจะปล่อย
ทิฏฐิเกี่ยวกับ การสิ้นผัสสะแบบอิฐแบบปูน ก้อนหินไป

แต่ กรณีนี้ เครื่องมือแบบนี้ เราข้ามกันไปแล้ว

ก็มาที่ เครื่องมือการน้อมนึก ซึ่งจะพอเห็นได้ว่า ผัสสะนั้นมันผ่านไปผ่านมา มันไม่ได้
กระทบแล้วตั้งอยู่ไปตลอดกาล ดังนั้น ไม่มีผัสสะ ก็จะหมายเอาเป็นเรื่องๆ หากเรื่อง
นั้นๆ เราหมายเอาเฉพาะนิมิตอกุศล เราก็สัมผัสได้เลาๆว่า การสิ้นไปของผัสสะที่เป็น
อกุศล นั้นมีอยู่

แต่ความที่ นิมิตอกุศลอื่นยังมีอยู่ แถม นิมิตกุศลเองก็มีอยู่ เรายังอร่อยอยู่กับอารมณ์
มันก็มองไม่เห็นว่า การสิ้นไปของผัสสะ มันจะมีจริงๆ จังๆ หากมีมิจฉาทิฏฐิเจืออยู่ส่วน
มากก็เป็นการเลือกข้างอยู่กับนิมิตกุศลโลกยังเป็นสอง

ทีนี้เหลือเครื่องมือสุดท้าย แหมนะ เครื่องมือสุดท้ายนี้ ก็ ภาวนามันปัญญา ตรงนี้
สงสัยก็ต้องมีให้ได้เสียก่อนนั้นแหละ หากมีแล้ว คำถามที่ว่า ผัสสะไม่มี มันจะ
ออกมาจากสัมมาทิฏฐิที่สมบูรณ์ ไม่เอียงไปทาง ขาดสูญ หรือ เที่ยง เสียก่อน

คุณ mes ก็ลองพิจารณาละกันว่า ที่คำนึงไปว่า ไม่รู้จะเข้าใจคำว่า ผัสสะไม่มี
นี้อย่างไร ใช้เครื่องมือใดในการรีบร้อนปรารภออกมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 01:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
อ้างคำพูด:
"ในพุทธประวัติน่าจะมีนะ
พระอรหันต์ผู้ที่ตั้งอธิษฐานจิตไว้ว่ายังไม่ขอเข้านิพพาน
แต่จะอยู่เพื่อดูแลพุทธศาสนา"


พระอรหันต์องค์ใด หรือครับ

พระอานนท์ พระอนุรุทธะ พระโมคคัลลานะ พระมหากัจจายนะ พระแม่น้ามหาปชาบดีโคตมีเถรี
หรือ.......... เป็นพระอสีติมหาสาวกหรือไม่หนอ

แต่เท่าที่เคยอ่านพุทธประวัติจากพระโอษฐ์มายังไม่เคยเจอนะครับ


พุทธประวัติจากพระโอษฐ์

ไม่ใช่แหล่งรวบรวมคำอธิษฐาน นี่นะ

:b1: :b1:

เช่นว่า ถ้าสักวันท่าน FLAME จะอธิษฐานเช่นนั้นบ้าง
จะมีใครเอาเรื่องคำอธิษฐานของท่านไปบันทึกลงใน พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ มั๊ย

หลักแห่งกาลเวลา มันก็เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่หรือ ....หรือท่านว่าไม่ใช่ :b12:

จะเป็นได้ก็คือ อัตชีวประวัติของท่าน FLAME เอง ที่ทำไว้เป็นอนุสรณ์น่ะ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 01:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


LuiPan เขียน:
เวลาทำความเข้าใจ อรรถสาระทางธรรม

ต้องพยายาม ทวนดูเครื่องมือที่ใช้พิจารณาไว้ด้วย ซึ่งเครื่องมือนั้นจะมี 3 อย่าง

คือ ความจำได้ตามที่ได้ฟังมา , ความน้อมนึกระลึกได้ และ การรู้เห็นตามความเป็นจริง



สภาพอากาศที่ ลมโคจร ในระดับต่าง ๆ กัน

ลมนิ่ง ลมอ่อน ๆ ลมฉุย ๆ ลมแรง ๆ ลมกรรโชก ลมบ้าหมู ทรอนนาโด เฮอริเคน

ลมอย่างไหนที่เมื่อเราเขวี้ยงหินใส่เข้าไปแล้ว
เบี่ยงเบนทิศทางการเคลื่อนที่ของก้อนหิน
ลมแบบไหนที่ก้อนหินไม่อาจจะทะลุทะลวงผ่านไปได้

เรากำลังพูดถึงสิ่งที่ปรากฎอยู่ รับรู้ได้ แต่มองไม่เห็นด้วยตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 07:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


LuiPan เขียน:
เวลาทำความเข้าใจ อรรถสาระทางธรรม

ต้องพยายาม ทวนดูเครื่องมือที่ใช้พิจารณาไว้ด้วย ซึ่งเครื่องมือนั้นจะมี 3 อย่าง

คือ ความจำได้ตามที่ได้ฟังมา , ความน้อมนึกระลึกได้ และ การรู้เห็นตามความเป็นจริง

อย่างคำว่า ไม่มีผัสสะ ปราศจากผัสสะ หากเราใช้เครื่องมือ คือ เอาที่คุ้นเคยจำได้ว่ามี
เคยฟัง คำว่า ไม่มีผัสสะ ก็จะอาศัยว่า เคยได้ยินใครพูดแบบนี้ไหม หากมี ก็อาจจะ
รับได้ว่า สภาวะนี้มีอยู่ แต่ถ้าใชเครื่องมือแบบนี้บวกกับมิจฉาทิฏฐิ ผู้สนทนาจะปล่อย
ทิฏฐิเกี่ยวกับ การสิ้นผัสสะแบบอิฐแบบปูน ก้อนหินไป

แต่ กรณีนี้ เครื่องมือแบบนี้ เราข้ามกันไปแล้ว

ก็มาที่ เครื่องมือการน้อมนึก ซึ่งจะพอเห็นได้ว่า ผัสสะนั้นมันผ่านไปผ่านมา มันไม่ได้
กระทบแล้วตั้งอยู่ไปตลอดกาล ดังนั้น ไม่มีผัสสะ ก็จะหมายเอาเป็นเรื่องๆ หากเรื่อง
นั้นๆ เราหมายเอาเฉพาะนิมิตอกุศล เราก็สัมผัสได้เลาๆว่า การสิ้นไปของผัสสะที่เป็น
อกุศล นั้นมีอยู่

แต่ความที่ นิมิตอกุศลอื่นยังมีอยู่ แถม นิมิตกุศลเองก็มีอยู่ เรายังอร่อยอยู่กับอารมณ์
มันก็มองไม่เห็นว่า การสิ้นไปของผัสสะ มันจะมีจริงๆ จังๆ หากมีมิจฉาทิฏฐิเจืออยู่ส่วน
มากก็เป็นการเลือกข้างอยู่กับนิมิตกุศลโลกยังเป็นสอง

ทีนี้เหลือเครื่องมือสุดท้าย แหมนะ เครื่องมือสุดท้ายนี้ ก็ ภาวนามันปัญญา ตรงนี้
สงสัยก็ต้องมีให้ได้เสียก่อนนั้นแหละ หากมีแล้ว คำถามที่ว่า ผัสสะไม่มี มันจะ
ออกมาจากสัมมาทิฏฐิที่สมบูรณ์ ไม่เอียงไปทาง ขาดสูญ หรือ เที่ยง เสียก่อน

คุณ mes ก็ลองพิจารณาละกันว่า ที่คำนึงไปว่า ไม่รู้จะเข้าใจคำว่า ผัสสะไม่มี
นี้อย่างไร ใช้เครื่องมือใดในการรีบร้อนปรารภออกมา



ขอยกเอาศัพท์คำว่าผัสสะมาเสนอครับ

http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_see ... &detail=on

Quote Tipitaka:
สัมผัส ความกระทบ, การถูกต้องที่ให้เกิดความรู้สึก,
ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ มี ๖
เริ่มแต่ จักขุสัมผัส สัมผัสทางตา เป็นต้น
จนถึง มโนสัมผัส สัมผัสทางใจ (เรียงตามอายตนะภายใน ๖);
ผัสสะ ก็เรียก

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


my-way เขียน:
mes เขียน:
ท่านครับ

ผมขออนุญาตเรียนว่าอย่างนี้ครับ

ความคิดเห็นผมแสดงด้วยบริสุทธิ็ใจในความเคารพตนเองด้วย

ความรู้ที่ท่านหลวงพ่อครูบาอาจารย์สอนนั้นลึกซึ้ง ตามระดับธรรมของแต่ละท่าน

หากความคิดเห็นผมขัดกับของท่านครูบาอาจารย์ผมต้องขอ

กาเยนะ วาจายะ วะเจตสาวา สังเฆกุกำมัง ปะกะตัง มยายัง

สังเฆ ปฏิคัณหะตุ อัจจะยังตัง

กาลันตะเล สังวะลิตุงวะสังเฆ



ความคิดเห้นคุณเมส ขัดครูบาอาจารย์แน่นอนครับ
นั่นแค่ยกตัวอย่าง มาสองท่าน

และความเห็นคุณเมส ก้ขัดพระพุทธเจ้าด้วย

จะให้เข้าใจผัสสะ ก็ต้องไปเรียนอภิธรรมให้เข้าใจด้วย
จิต เจตสิก รุป และนิพพาน

ผัสสะ เป็นเจตสิกต้องอาศัยจิต เป้นที่เกิด
แต่จิตหรือใจ ไม่ต้องอาศัยผัสสะ เป้นที่เกิด

แล้วทีนี้ อาการตรัสรู้นั่นเป็นยังไง
ก้เป้นอาการของโสภณเจตสิก ที่เกิดจาก ปัญญนินทรีย์เจตสิก อโลภะ อโทสะ อโมหะ ที่สุด
คือ จนมีอารมณ์อันหนึ่งอันเดียว กับจิตหรือใจ

เมื่อเจตสิก ถึงความมีอารณ์เดียวกับใจ จึงเป้นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เจตสิกทั้งหมด จึงตกงาน


http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_see ... &detail=on

Quote Tipitaka:
อัญญสมานาเจตสิก เจตสิกที่มีเสมอกันแก่จิตพวกอื่น คือ ประกอบเข้าได้กับจิตต์ทุกฝ่ายทั้งกุศลและอกุศล มิใช่เข้าได้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว มี ๑๓ แยกเป็น
ก. สัพพจิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับจิตทุกดวง) ๗ คือ
ผัสสะ (ความกระทบอารมณ์)
เวทนา
สัญญา
เจตนา
เอกัคคตา
ชีวิตินทรีย์
มนสิการ (ความกระทำอารมณ์ไว้ในใจ, ใส่ใจ)
ข. ปกิณณกเจตสิก (เจตสิกที่เรี่ยราย คือเกิดกับจิตได้ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล แต่ไม่แน่นอนเสมอไปทุกดวง) ๖ คือ
วิตก (ความตรึกอารมณ์)
วิจาร (ความตรองอารมณ์)
อธิโมกข์ (ความปักใจในอารมณ์)
วิริยะ
ปีติ
ฉันทะ (ความพอใจในอารมณ์)

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


my-way เขียน:
LuiPan เขียน:
mes เขียน:
อวิชชา วิชชา ปัญญา ญาณทัศนะ ปริญญา ล้วนเป็นนิมิต

คือเครืองกำหนดรู้เกิดในมโนวิญาณ

รู้ด้วยผัสสะเช่นกัน

การรู้แจ้งเห็นจริง การบรรลุนิพพานก็ต้องเกิดผัสสะจึงรับรู้ว่า

บัดนี้ถึงนิพพานแล้ว

ภาระอันหนักอึ้งได้จบลงแล้ว

ชาติ ภพ ได้จบสิ้นแล้ว

จบโฆษณาครับ



ต้องกราบขออภัยที่จะต้อง เสนอ สิ่ง ให้พิจารณา ก่อนจะ แฉลบญาณ

นิพพานนั้น ไม่ควรเป็น สภาพธรรมที่ต้องอาศัยผัสสะให้รับรู้ว่าถึงแล้ว

สภาพธรรมใดๆก็ตาม หากปรากฏว่า ยังต้องอาศัยผัสสะ(อาหาร) ย่อมแสดง
ว่ายังอยู่ในภพ ยังมีชาติ

เช่น สัญญาเวทยิตนิโรธน มี สุญญตา อนิมิต อัปณิหิต เป็นผัสสะ เป็นอาหาร
เหตุนี้ อนาคามีบุุคลจะเอาแต่ทำสัญญาเวทยิตนิโรธนถ่ายเดียวไม่ได้ งานไม่จบ

* * * * * *

แต่ธรรมดา ที่เราย่อมต้อง อาศัยเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อน้อมระลึก

กรณีนี้ พระสารีบุตร บอกแก่ภิษุว่า หากยังมีศุภนิมิตใดปรากฏแปลว่ายังอยู่
ในชาติ ในภพ แต่หาก ใช้การสิ้นไปของกิเลส โลภะ โทษ โมหะ เป็นนิมิต
แทนแล้ว ย่อมเป็นการง่ายที่จะน้อมข้ามฝากผู้รู้ไปอย่างไม่มีกำหนดมหาย

ถ้าจะใช้คำว่า ผัสสะ ก็ใช้สำนวนว่่า "ร่อนออกจากการมีผัสสะ ดำเนินไปเพียงกริยาของจิต"

ลองพิจารณาดูนะครับ เพราะว่า คำพูดเหล่านี้ผมดัดแปรงแล้ว หากสนใจ ก็ลองหาอ่าน
พระสูตรของพระสารีบุตร ที่เน้นสอน ปฏิสัมภิทามรรค โดยเฉพาะ ก็จะพบร่องรอยเดิม
แท้ของกลองธรรมกถึกที่ถูกต้อง
หรือ ข้ามศุภนิมิตทั้งปวงได้


:b4: :b17:

จิต ไม่ต้องอิงอาศัยเจตสิก


จิตและเจตสิกทำงานร่วมกัน

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 07:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
my-way เขียน:
LuiPan เขียน:
mes เขียน:
อวิชชา วิชชา ปัญญา ญาณทัศนะ ปริญญา ล้วนเป็นนิมิต

คือเครืองกำหนดรู้เกิดในมโนวิญาณ

รู้ด้วยผัสสะเช่นกัน

การรู้แจ้งเห็นจริง การบรรลุนิพพานก็ต้องเกิดผัสสะจึงรับรู้ว่า

บัดนี้ถึงนิพพานแล้ว

ภาระอันหนักอึ้งได้จบลงแล้ว

ชาติ ภพ ได้จบสิ้นแล้ว

จบโฆษณาครับ



ต้องกราบขออภัยที่จะต้อง เสนอ สิ่ง ให้พิจารณา ก่อนจะ แฉลบญาณ

นิพพานนั้น ไม่ควรเป็น สภาพธรรมที่ต้องอาศัยผัสสะให้รับรู้ว่าถึงแล้ว

สภาพธรรมใดๆก็ตาม หากปรากฏว่า ยังต้องอาศัยผัสสะ(อาหาร) ย่อมแสดง
ว่ายังอยู่ในภพ ยังมีชาติ

เช่น สัญญาเวทยิตนิโรธน มี สุญญตา อนิมิต อัปณิหิต เป็นผัสสะ เป็นอาหาร
เหตุนี้ อนาคามีบุุคลจะเอาแต่ทำสัญญาเวทยิตนิโรธนถ่ายเดียวไม่ได้ งานไม่จบ

* * * * * *

แต่ธรรมดา ที่เราย่อมต้อง อาศัยเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อน้อมระลึก

กรณีนี้ พระสารีบุตร บอกแก่ภิษุว่า หากยังมีศุภนิมิตใดปรากฏแปลว่ายังอยู่
ในชาติ ในภพ แต่หาก ใช้การสิ้นไปของกิเลส โลภะ โทษ โมหะ เป็นนิมิต
แทนแล้ว ย่อมเป็นการง่ายที่จะน้อมข้ามฝากผู้รู้ไปอย่างไม่มีกำหนดมหาย

ถ้าจะใช้คำว่า ผัสสะ ก็ใช้สำนวนว่่า "ร่อนออกจากการมีผัสสะ ดำเนินไปเพียงกริยาของจิต"

ลองพิจารณาดูนะครับ เพราะว่า คำพูดเหล่านี้ผมดัดแปรงแล้ว หากสนใจ ก็ลองหาอ่าน
พระสูตรของพระสารีบุตร ที่เน้นสอน ปฏิสัมภิทามรรค โดยเฉพาะ ก็จะพบร่องรอยเดิม
แท้ของกลองธรรมกถึกที่ถูกต้อง
หรือ ข้ามศุภนิมิตทั้งปวงได้


:b4: :b17:

จิต ไม่ต้องอิงอาศัยเจตสิก


จิตและเจตสิกทำงานร่วมกัน


สภาวะนี้ ไปหาในตำราไม่เจอแล้วหละคุณเมส เอ๋ย
จิต ไม่อิงอาศัยสิ่งใด
ครู ไม่ต้องอาศัยนักเรียน
ความเป้นหนึ่งเดียว ไม่แตกแยกจิตและเจตสิก เนื่องจากมีอารรณ์เดียวกัน
ไม่มีเขา ไม่มีเรา นี่คือนิพพาน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 133 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร