วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 21:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 00:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ใช่ครับ
ประโยคนี้ดูเหมือนจะเป็นประโยคบอกเล่ามากกว่าจะเป็นคำถาม

แต่คำถามเองก็มีหลายประเภท มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 01:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตาคือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของแม้กระทั่งพระนิพพานก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่พระนิพพานเที่ยง คือเป็นสภาพที่ไม่มีห่วงเกี่ยวพันเอาไว้ เป็นบรมสุข ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเราเป็นเจ้าของหรือมีเจ้าของ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 03:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานนี้โดยความเป็นจริง ไม่ใช่อนัตตา
แต่นิพพานโดยบัญญัติหรือโดยชื่อสมมุติ เป็นอนัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 09:16
โพสต์: 158

แนวปฏิบัติ: พุธโท
งานอดิเรก: นั่งสมาธิ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปรัชญา
ชื่อเล่น: T^^T
อายุ: 23
ที่อยู่: ลำปาง

 ข้อมูลส่วนตัว


:b13: :b13:

.....................................................
ดูก่อu!!!ภิกษุทั้งหลาย!!!คนพาลเขากลัวยากจนจึงไม่รู้จักขวนขวายในการให้ทาน!!!ส่วนบัณฑิตชนเขากลัวยากจนจึงรู้ขวนขวายในการให้ทาน!!!


แก้ไขล่าสุดโดย สัจจะธรรมของชีวิต เมื่อ 03 มิ.ย. 2011, 07:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต และเป็นวาจาไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียน คือ

1.วาจานั้นย่อมเป็นวาจาที่กล่าวถูกกาล
2.เป็นวาจาที่กล่าวเป็นสัจ
3.เป็นวาจาที่กล่าวอ่อนหวาน
4.เป็นวาจาที่กล่าวประกอบด้วยประโยชน์
5.เป็นวาจาที่กล่าวด้วยเมตตาจิต

อีกนัยหนึ่ง
วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เป็น วาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และวิญญูชนไม่พึงติเตียน

1.ย่อมกล่าวแต่คำที่เป็นสุภาษิต ไม่กล่าวคำที่เป็นทุพภาษิต
2.ย่อมกล่าวคำที่เป็นธรรม ไม่กล่าวคำที่ไม่เป็นธรรม
3.ย่อมกล่าวแต่คำอันเป็นที่รัก ไม่กล่าวคำอันไม่เป็นที่รัก
4.ย่อมกล่าวแต่คำสัตย์ ไม่กล่าวคำเหลาะแหละ

อ้างอิง wikipedia


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2011, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกศาสนามีกฏข้อบังคับแตกต่างกันออกไป แม้ตอนนี้คนไทยเยอะแยะก็นับถือศาสนาอื่นอยู่แล้วอนาคตยังมาไม่ถึง แม้คนจะเลิกนับถือศาสนาพุทธแล้วไปนับถือศาสนาอื่นก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ พระจะเลี้ยงงูเราก็ไม่กระตือรือร้น เรารักษาใจเราให้มั่นอยู่กับความเพียรก็เท่ากับเราเป็นส่วนหนึ่งของพุทธบริษัท4ที่ดี ใครไม่มีจิตตั้งมั่นก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปนับถือศาสนาอื่นหรือทำให้พุทธบริษัท4เกิดความด่างพร้อยทำให้คนมองพุทธศาสนาในทางอกุศล ธรรมของพระพุทธเจ้ายังคงต้องเรียนและศึกษาต่อไปและคงดำรงอยู่ให้คนที่มีความเพียร มีจิตตั้งมั่นได้ศึกษาต่อไป การที่เราจับตามองพระและวัดที่ทำผิดวินัยเพื่อช่วยรักษาภาพลักษณ์ของพุทธศาสนา กับ การที่เราเร่งศึกษาเอาตัวเราให้เห็นในพระธรรมของพระพุทธเจ้า อย่างไหนควรทำก่อนกัน? ตัวผมเองต้องเลือกอย่างหลัง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาสาธุ ทุกๆท่านครับ


อุปาทาน เป็นเหตุปัจจัย ทำให้เกิดภพ...

นิพพาน มิใช่ภพ
แต่การยึดมั่นถือมั่นในนิพพาน คือภพ.


ความรู้ ความเห็น อุบายในการปฏิบัติภาวนาต่างๆ
ญาณ ฌาน ใดๆทั้งหลาย
ยังมิได้เป็นภพ หากยังไม่มีการเข้าไปสำคัญมั่นหมายยึดมั่นถือมั่น.


ความวุ่นวาย ความทุกข์ ความคับแค้นขัดเคืองใจ ความโศกธุลี จะเกิดมีขึ้นก็ต่อเมื่อมีภพบังเกิดขึ้น
ภพจะบังเกิดมีขึ้น ก็เพราะมีอุปาทาน
อุปาทานจะเกิดมีขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยตัณหา
อยากให้ ไม่อยากให้
อยากได้ ไม่อยากได้
อยากมี ไม่อยากมี
อยากเป็น ไม่อยากเป็น...

อยากให้รู้อย่างนี้ อยากให้ดูอย่างนี้ อยากให้ปฏิบัติอย่างนี้ อยากให้สนทนาอย่างนี้
หากไม่รู้อย่างนี้ ไม่ดูอย่างนี้ ไม่ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่สนทนาอย่างนี้ ...ไม่ใช่ ไม่ถูก

การรู้ ก็ดี การเข้าไปรู้ ก็ดี
การดู ก็ดี การเข้าไปดู ก็ดี
ไม่ว่าจะเป็นการรู้หรือการดูแบบใดๆก็ตาม
หากมีการยึดมั่นให้ความสำคัญมั่นหมายขึ้นมาเมื่อใด
เมื่อนั้น การรู้ การดู ก็จะกลายเป็นภพ เป็นที่ที่ให้จิตเข้าไปเสพ เข้าไปอาศัย
เข้าไปตั้งอยู่ ให้จิตเจริญงอกงามอยู่
ความรู้... ที่ได้จากการรู้,จากการดู เช่นนี้ ก็ยังไม่อาจที่จะดับทุกข์ลงได้สนิทอย่างสิ้นเชิงแต่ประการใด

ความรู้ที่ยังมีความสำคัญมั่นหมายอยู่นั้น
จะเป็นได้ก็เพียงใช้เป็นอาวุธเมื่อการต่อสู่ประหัดประหารทางวาจาเท่านั้นเอง

ความรู้ที่ปรารถนาจะให้เป็นธรรมทานแก่ผู้อื่นนั้น เพื่อใช่ดับกระหายบันเทาทุกข์ให้เจือจาง
ก็จะกลับกลายเป็นผงทราย น้ำเกลือ ที่เพิ่มความระคายเคืองแสบตา หิวกระหายหนักเพิ่มขึ้นไปอีก.


...ความยึดมั่นถือมั่น มีผลเป็นแต่ความทุกข์สถานเดียว...

...ความยึดมั่นถือมั่น เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่เป็นทุกข์ เป็นไม่มี... :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 23:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยรู้ เขียน:
:b8: อนุโมทนาสาธุ ทุกๆท่านครับ


อุปาทาน เป็นเหตุปัจจัย ทำให้เกิดภพ...

นิพพาน มิใช่ภพ
แต่การยึดมั่นถือมั่นในนิพพาน คือภพ.


ความรู้ ความเห็น อุบายในการปฏิบัติภาวนาต่างๆ
ญาณ ฌาน ใดๆทั้งหลาย
ยังมิได้เป็นภพ หากยังไม่มีการเข้าไปสำคัญมั่นหมายยึดมั่นถือมั่น.


ความวุ่นวาย ความทุกข์ ความคับแค้นขัดเคืองใจ ความโศกธุลี จะเกิดมีขึ้นก็ต่อเมื่อมีภพบังเกิดขึ้น
ภพจะบังเกิดมีขึ้น ก็เพราะมีอุปาทาน
อุปาทานจะเกิดมีขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยตัณหา
อยากให้ ไม่อยากให้
อยากได้ ไม่อยากได้
อยากมี ไม่อยากมี
อยากเป็น ไม่อยากเป็น...

อยากให้รู้อย่างนี้ อยากให้ดูอย่างนี้ อยากให้ปฏิบัติอย่างนี้ อยากให้สนทนาอย่างนี้
หากไม่รู้อย่างนี้ ไม่ดูอย่างนี้ ไม่ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่สนทนาอย่างนี้ ...ไม่ใช่ ไม่ถูก

การรู้ ก็ดี การเข้าไปรู้ ก็ดี
การดู ก็ดี การเข้าไปดู ก็ดี
ไม่ว่าจะเป็นการรู้หรือการดูแบบใดๆก็ตาม
หากมีการยึดมั่นให้ความสำคัญมั่นหมายขึ้นมาเมื่อใด
เมื่อนั้น การรู้ การดู ก็จะกลายเป็นภพ เป็นที่ที่ให้จิตเข้าไปเสพ เข้าไปอาศัย
เข้าไปตั้งอยู่ ให้จิตเจริญงอกงามอยู่
ความรู้... ที่ได้จากการรู้,จากการดู เช่นนี้ ก็ยังไม่อาจที่จะดับทุกข์ลงได้สนิทอย่างสิ้นเชิงแต่ประการใด

ความรู้ที่ยังมีความสำคัญมั่นหมายอยู่นั้น
จะเป็นได้ก็เพียงใช้เป็นอาวุธเมื่อการต่อสู่ประหัดประหารทางวาจาเท่านั้นเอง

ความรู้ที่ปรารถนาจะให้เป็นธรรมทานแก่ผู้อื่นนั้น เพื่อใช่ดับกระหายบันเทาทุกข์ให้เจือจาง
ก็จะกลับกลายเป็นผงทราย น้ำเกลือ ที่เพิ่มความระคายเคืองแสบตา หิวกระหายหนักเพิ่มขึ้นไปอีก.


...ความยึดมั่นถือมั่น มีผลเป็นแต่ความทุกข์สถานเดียว...

...ความยึดมั่นถือมั่น เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่เป็นทุกข์ เป็นไม่มี... :b45:


ยึดในความไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็มีผลเป็นเป็นแต่ความทุกข์ แหละครับ

เพราะไปยึดว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่น ซะแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 23:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาครับ ท่านปล่อยรู้

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2011, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


ยึดในความไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็มีผลเป็นเป็นแต่ความทุกข์ แหละครับ
เพราะไปยึดว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่น ซะแล้ว



:b8:

ให้เอาความทุกข์...เป็นตัววัดสอบ
หากทุกข์ลงดับได้สนิทอย่างไม่เหลือ ก็ไม่ต้องสงสัยว่าอุปาทานหรือไม่อุปาทาน.

ตัวมานะ...รู้ของเขา รู้ของเรา
ละได้ ก็เบาโล่งขึ้นไปอีกขั้น.

นิพพาน...ต้องไม่มีของเขา ไม่มีของเรา อยู่ในนิพพาน.

:b45:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร