วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 21:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หัวกระทู้ตั้งไปอย่างนั้นเองเพราะคิดอะไรไม่ออก

อ่านกระทู้วิปัสสนามาหลายกระทู้พบว่า

มีหลายสำนักสอนเรื่องวิปปัสสนาเหมือนการย้ำคิดย้ำทำ

คือไม่ต้องใช้สมาธิมาก ที่สำคัญคือหยิบเอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาคิดพิจารณาไปเรื่อยๆ

แล้วจะเกิดปัญญาบรรลุธรรม

ง่ายๆอย่างนั้นเลย



ผมมีบางแง่บางมุมของการวิปสสนามาร่วมพิจารณาครับ

การวิปัสสนาไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆครับ ต่างจากจินตนาการหรือความคิดเช่นอุธัจจกุกจจะ

สมาธิกับวิปัสสนาเกิดอยู่ร่วมกัน

นั่นคือสมาธิก่อให้เกิดปัญญาหรือญาณ ซึงหมายความถึงความรู้ที่ผุดขึ้นจากผลของสมาธิ

เมือนำความรู้ที่ผุดขึ้นมานั้นมาพิจารณาหรือโยนิโสมนสิการด้วยอาศัยสมาธิอีกนั่นแหละ จะเกิดปัญญา

สิ่งที่เกิดพร้อมกับปัญญาคือวิจิกิจฉา ความสังสัย สังสัยลึกซึ้งขึ้นเรื่อย

ต้องอาศัยการวิปัสสนาด้วยการโยนิโสมนสิการอีกนั่นแหละจึงเกิดปัญญาประหารข้อสงสัยต่างๆเหล่านั้นลงได้


วิจิกิจฉาที่นำมาโยนิโสมนสิการนั้นผมเข้าใจเอาเองว่า เป็นดังวิตกได้

และโยนิโสมนสิการนั้นเป็นวิจารได้เช่นกัน

ผลที่ตามมาคือสมาธิก็ไต่ระดับสูงขึ้นตามไปด้วย

สิ่งที่น้อยลงคือวิจิกิจฉาซึงหมายถึงความเป็นบุคคลอริยะสูงขึ้น


จนท้ายสุด

สิ้นวิจิกิจฉา คือ บรรลุอรหันต์

ระดับสมาธิก็ต้องเป็นอัปปนาสมาธิหรือฌาณแน่นอน


เป็นบทสรุปที่ผมไม่เห็นด้วยกับหลายๆสำนักที่สอนวิปัสสนาด้วยการย้ำคิดย้ำทำ

เหมือนพายเรือในอ่างอย่างไหงไม่รู้

ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง


.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 14:54
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับ คุณ mes การวิปัสสนานั้นต้องทำสมาธิด้วยการกำหนดรับรู้ในอารมณ์ใดอารมณ์เดียวนั้นเป็นการตั้งมั้นในสมาธิ
เพราะถ้าไม่ได้สมาธิ ก็ไม่สามารถจะกำหนดอารมณืให้รับรู้ในรูปนามได้ หรือกำหนดการรับรู้ในอารมณ์ ๖ ได้ เมื่อใดที่สมาธิละเอียดขึ้นหรือแก่กล้ามากขึ้นก็จะรับรู้ความเป็นลักษณะ ๓ ของอารมณ์ ๖ ขอสนับสนุนข้อความของคุณ mes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ประยุทธ์ เขียน:
สาธุครับ คุณ mes การวิปัสสนานั้นต้องทำสมาธิด้วยการกำหนดรับรู้ในอารมณ์ใดอารมณ์เดียวนั้นเป็นการตั้งมั้นในสมาธิ
เพราะถ้าไม่ได้สมาธิ ก็ไม่สามารถจะกำหนดอารมณืให้รับรู้ในรูปนามได้ หรือกำหนดการรับรู้ในอารมณ์ ๖ ได้ เมื่อใดที่สมาธิละเอียดขึ้นหรือแก่กล้ามากขึ้นก็จะรับรู้ความเป็นลักษณะ ๓ ของอารมณ์ ๖ ขอสนับสนุนข้อความของคุณ mes

:b8:

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
mes เขียน
ต้องอาศัยการวิปัสสนาด้วยการโยนิโสมนสิการอีกนั่นแหละจึงเกิดปัญญาประหารข้อสงสัยต่างๆเหล่านั้นลงได้

สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะนั้นอยู่ในข้อมรรคมีองค์8 เป็นปัญญา แต่การทำวิปัสสนานั้นต้องให้เกิดความเบื่อหน่ายต่อความเกิดดับของนามรูป ซึ่งก็คือการพิจารณาพระไตรลักษณ์เพื่อให้เห็นความเป็นจริงเป็นวิปัสสนาโดยตรง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อ้างคำพูด:
mes เขียน
ต้องอาศัยการวิปัสสนาด้วยการโยนิโสมนสิการอีกนั่นแหละจึงเกิดปัญญาประหารข้อสงสัยต่างๆเหล่านั้นลงได้

สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะนั้นอยู่ในข้อมรรคมีองค์8 เป็นปัญญา แต่การทำวิปัสสนานั้นต้องให้เกิดความเบื่อหน่ายต่อความเกิดดับของนามรูป ซึ่งก็คือการพิจารณาพระไตรลักษณ์เพื่อให้เห็นความเป็นจริงเป็นวิปัสสนาโดยตรง



ออนุญาตกล่าวเสริมครับว่า(อนุมานจากตำรา)

ปัญญาที่เกิดก็คือวิชชา

เมื่อเกิดวิชชาคือรู้ทันรู้จริงในธรรมชาติของอริยะสัจจ ไตรลักษณ์

เช่นการเกิดดับของรูปนาม

ย่อมสลัดหลุดพ้นจากอุปาทานของการยึดเอากระแสแห่งเหตุปัจจัยมาเป็นตัวตน

ย่อมนิพพิทาเบื่อหน่าย ไม่กลับมาเกิดอีก

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ต้องใช้การวิปัสสนาหรือปัญญาโดยอาศัยสมาธิที่แข็งแรงขั้นอัปปนาสมาธิครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 23:02
โพสต์: 93

ชื่อเล่น: tongka
อายุ: 36
ที่อยู่: tongka34@gmail,com

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
หัวกระทู้ตั้งไปอย่างนั้นเองเพราะคิดอะไรไม่ออก

อ่านกระทู้วิปัสสนามาหลายกระทู้พบว่า

มีหลายสำนักสอนเรื่องวิปปัสสนาเหมือนการย้ำคิดย้ำทำ

คือไม่ต้องใช้สมาธิมาก ที่สำคัญคือหยิบเอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาคิดพิจารณาไปเรื่อยๆ

แล้วจะเกิดปัญญาบรรลุธรรม

ง่ายๆอย่างนั้นเลยฯลฯ เป็นบทสรุปที่ผมไม่เห็นด้วยกับหลายๆสำนักที่สอนวิปัสสนาด้วยการย้ำคิดย้ำทำ

เหมือนพายเรือในอ่างอย่างไหงไม่รู้

ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง




แหม..แยกมาตั้งกระทู้ใหม่เลยนะ

เห็นด้วยนะ และอยากพบความคิดเห็นเช่นนี้แหละ เพื่อทำความเข้าใจต่อเพื่อนเพิ่มทัศนะให้ตนเองยิ่งขึ้นด้วย
วิปัสสนา มิใช่เรื่องคิดเอา ถ้าคิดเอามันเป็นวิปัสสนึก มิใช่วิปัสสนา เราเข้าใจอย่างนั้นนะ
ถ้าอาศัยความคิดนึกตรึกตรองมากๆ แล้วบรรลุธรรม ก็แสดงว่านักคิดทั้งหลายบรรลุธรรมไปหมดแล้วล่ะ แต่นี่ไม่เห็นว่าเป็นเช่นนั้น
การนึกคิดตรึกตรองมันเป็นจินตาญาณ มิใช่ภาวนาญาณ ฉะนั้นปัญญาที่ได้จึงคนละระดับกันแน่นอน
ปัญญาที่เกิดจากภาวนาญาณ ต้องมีสมุฏฐานมาจาก สมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


tongka เขียน:
mes เขียน:
หัวกระทู้ตั้งไปอย่างนั้นเองเพราะคิดอะไรไม่ออก

อ่านกระทู้วิปัสสนามาหลายกระทู้พบว่า

มีหลายสำนักสอนเรื่องวิปปัสสนาเหมือนการย้ำคิดย้ำทำ

คือไม่ต้องใช้สมาธิมาก ที่สำคัญคือหยิบเอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาคิดพิจารณาไปเรื่อยๆ

แล้วจะเกิดปัญญาบรรลุธรรม

ง่ายๆอย่างนั้นเลยฯลฯ เป็นบทสรุปที่ผมไม่เห็นด้วยกับหลายๆสำนักที่สอนวิปัสสนาด้วยการย้ำคิดย้ำทำ

เหมือนพายเรือในอ่างอย่างไหงไม่รู้

ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง




แหม..แยกมาตั้งกระทู้ใหม่เลยนะ

เห็นด้วยนะ และอยากพบความคิดเห็นเช่นนี้แหละ เพื่อทำความเข้าใจต่อเพื่อนเพิ่มทัศนะให้ตนเองยิ่งขึ้นด้วย
วิปัสสนา มิใช่เรื่องคิดเอา ถ้าคิดเอามันเป็นวิปัสสนึก มิใช่วิปัสสนา เราเข้าใจอย่างนั้นนะ
ถ้าอาศัยความคิดนึกตรึกตรองมากๆ แล้วบรรลุธรรม ก็แสดงว่านักคิดทั้งหลายบรรลุธรรมไปหมดแล้วล่ะ แต่นี่ไม่เห็นว่าเป็นเช่นนั้น
การนึกคิดตรึกตรองมันเป็นจินตาญาณ มิใช่ภาวนาญาณ ฉะนั้นปัญญาที่ได้จึงคนละระดับกันแน่นอน
ปัญญาที่เกิดจากภาวนาญาณ ต้องมีสมุฏฐานมาจาก สมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา


ผมเป็นคนขี้เกรงใจครับ

กลัวทำผิดทำให้กระทู้คุณเสีย กราบขอโทษ ณ.ที่นี้

แต่ต้องการชี้ถึง

ปัญญา กับ สัญญา แม้จะเป็นถิรสัญญาก็ไม่ทำลายอวิชชา

อีกประการหนึ่ง ไม่ต้องการให้ใคามาอ้วงมั่วๆว่าเป็นโสดาบัน

แต่ถ้าเป็นจริงผมกราบเลยนะ

ไม่อยากให้ใครเข้ามาในเวปนี้ต้องพบกับพวก๑๘มงกุฎมันเสียเวลาเสียโอกาส

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 23:02
โพสต์: 93

ชื่อเล่น: tongka
อายุ: 36
ที่อยู่: tongka34@gmail,com

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุุ สาธุ สาธุ
ขอบคุณที่เป็นห่วงกระทู้ที่ตั้งขึ้น
แต่อย่าลืมนะ
ภาษาที่พูดแม้จะเป็นสิ่งที่ปรากฎแค่เพียงอักษรแต่มันสามารถบอกวัดความเย็น-ร้อนของจิตใจได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


tongka เขียน:
สาธุุ สาธุ สาธุ
ขอบคุณที่เป็นห่วงกระทู้ที่ตั้งขึ้น
แต่อย่าลืมนะ
ภาษาที่พูดแม้จะเป็นสิ่งที่ปรากฎแค่เพียงอักษรแต่มันสามารถบอกวัดความเย็น-ร้อนของจิตใจได้



มันอยู่ที่ว่า

อักษรนั้นเป็นวิชชา

หรือ

อวิชชา

มากกว่า

มากกว่าความร้อนของจิตใจ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2011, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลายสำนักสำคัญผิดว่า ปปัญจสัญญาคือวิปัสสน

viewtopic.php?f=1&t=23555&start=0

mes เขียน:
ผมจะอ้างจากหนังสือพุทธธรรมครับ

สัญญาแยกออกได้อย่างคร่าวๆได้๒ระดับคือ

สัญญาสามัญ ซึ่งกำหนดหมายของอารมณ์ที่เกิดขึ้นหรือเป็นอยู่ตามปกติของมัน

ปปัญจสัญญา อันหมายถึงสัญญาเนื่องด้วยอารมณ์ที่คิดปรุ่งแต่งขึ้นให้ซับซ้อนพิศดารด้วยแรงผลักดันของตัญหามานะและทิฏฐิ ซึ่งเป็นสังขารชั้นนำในฝ่ายร้าย

ม.มู.๑๒/๒๔๘/๑๑๖

"อาศัยตาและรูป เกิดจักขุวิญาณ ความประจวบแห่งธรรมทั้งสามนั้น เป็นผัสสะ, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี, บุคคลเสวยอารมณ์ใด ย่อมหมายรู้อารมณ์นั้น(สัญญา), หมายรู้อารมณ์ใด ย่อมตริตรึกอารมณ์นั้น(วิตักกะ), ตริตรึกอารมณ์ใด ย่อมผันพิศดารอารมณ์นั้น(ปปัญจะ), บุคคลผันพิศดารอารมณ์ใด เพราะการผันพิศดารนั้นเป็นเหตุ ปปัญจสัญญาในแง่ต่างๆ คำเต็มคือ "ปปญฺจสญฺญาสงฺขา" (สัญญาที่ซับซ้อนหลากหลาย) ย่อมผุดพลุ่งสุมรุมเขา ในเรื่องรูปทั้งหลาย ที่พึ่งรู้ได้ด้วยตา ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน"


ที.ม.๑๐/๒๕๖-๗/๓๑๑

เมื่อเกิดปปัญจสัญญาแล้ว ก็ยิ่งมีความตริตรึงนึกคิด (วิตักกะ) ได้มากมายกว้างขวางพิศดารยิ่งขึ้น ทำให้เกิดกิเลสต่างขึ้นเช่น ชอบใจ ไม่ชอบใจ หวงแหน ริษยา เป็นต้น ปนแป คลุกเคล้าไปกับความคิดนั้น

ม.อ.๒/๙๘:สํ.อ.๓/๓๓

สัญญาที่เกิดจากความคิดปรุ่งแต่งที่เป็นอกุศล เรียกว่า ปปัญจสัญญา คือสัญญาที่ฟ่ามเฝือหรือซับซ้อนหลากหลาย ซึ่งเกิดจากการแต่งเสริมเติมต่อให้พิศดาร ของตัญหา มานะ และทิฏฐิ เรียกอีกอย่างหนึ่งตามสำนวนอรรถกถาบางแห่งว่า กิเลสสัญญา แปลว่าสัญญาที่เกิดจากกิเลส หรือสัญญาที่ประกอบด้วยกิเลส(สัญญาเจือกิเลส)


.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2011, 07:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อ: 07 ก.ค.2009, 10:45 am

กรัชกาย
สมาชิกไร้ระดับ

viewtopic.php?f=1&t=23555&start=0


ผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ควรศึกษาเกี่ยวกับธัมมุธัจจ์หรือวิปัสสนูปกิเลส ที่ลิงค์นี้

viewtopic.php?f=2&t=23387

เมื่อภาวนาไปๆแล้ววิปัสสนูปกิเลส หรือ ธัมมุธัจจ์ปรากฏ พึงกำหนดรู้สิ่งนั้นๆทุกๆขณะจิต ขณะที่เห็น ได้ยิน
ได้กลิ่น ฯลฯ ได้คิด (ธรรมารมณ์) กรรมฐานก็รุดหน้าต่อไป องค์ธรรมมีสติปัญญา เป็นต้น จะสำรอกอวิชชาไปเรื่อยๆ วิชชาก็เจริญขึ้นๆตามลำดับ

หากนิ่งเฉยหรือคิดฟุ้งไปว่า นั่นอะไร ใช่นั่นเป็นนั่นเป็นนี่หรือ ฯลฯ ก็คิดวนอยู่อย่างนั้น ปล่อยวางอารมณ์นั้น
ไม่ลง จิตจะติดข้องถือมั่นต่อสิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ฯลฯ ยึดความรู้สึกนึกคิด ฟุ้งซ่านวนไปวนมา
เหมือนคนหลงป่าเดินวนมาเดิม

.....................................................
อินทรีย์สังวร แปลว่า ความสำรวมอินทรีย์ๆไม่ได้หมายถึงการปิดตา ปิดหู ไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยินเป็นต้น

ในขั้นต้น ความสำรวมอินทรีย์ หมายถึงการควบคุมจิตใจ ควบคุมความรู้สึกได้ ในเมื่อเกิดความรับรู้ทางตา ทางหูเป็นต้น ไม่ให้ถูกชักจูงไปในทางที่ถูกกิเลสครอบงำ

ในขั้นสูง เมื่อกลายเป็นผู้เจริญอินทรีย์แล้ว มีความหมายถึงขั้นเป็นนายเหนือความรู้สึกต่างๆที่จะเกิดจากการรับรู้อารมณ์ทางตา ทางหู เป็นต้นเหล่านั้น สามารถบังคับให้เกิดความรู้สึกต่างๆได้ตามต้องการ

ม.อุ.14/853/541

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2011, 00:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




0117m_resize_resize_resize.jpg
0117m_resize_resize_resize.jpg [ 78.79 KiB | เปิดดู 7510 ครั้ง ]
:b12:
วิปัสสนาภาวนา เป็นเรื่องของการเจริญปัญญา โดยมี สติ สมาธิเป็นกองหนุน ตามลำดับขององค์แห่งมรรค 8

ถูกต้องแล้วในเรื่องในเรื่องของ นิพพาน มรรค ผล ความพ้นกิเลส ตัณหา อัตตา ไม่สามารถจะสำเร็จได้ด้วยการนึกคิด

แต่การนึกคิดหรือจินตมยปัญญา หรือมโนกรรม จะเป็นผู้คอยชี้ให้ก่รกระทำ ภาวนามยปัญญา ให้ไปถูกช่องและถูกทาง

"บัญญัติ ชี้ ปรมัตถ์"

สติต้องถูกอบรมด้วยปัญญา จึงจะกลายเป็นสัมมาสติ

สมาธิเป็นผลของการเจริญสติ จึงไม่เป็นเรื่องที่ต้องกังวลใจ ถ้าสติเป็นสัมมาแล้วไซร้ สมาธิก็จักเป็นสัมมาตามไปเอง หากว่าสมาธินั้นยังถูกกำกับด้วยปัญญา

เรื่องที่เรากำลังคุยและถกเถียงสนทนากันอยู่นี้ก็เป็นเรื่องของการพัฒนาปัญญา อันเป็นส่วนของ
สุตตมยปัญญาและจินตมยปัญญา เมื่อลงตัวดีแล้ว จึงจะเกิดการทำ ภาวนามยปัญญาได้อย่างถูกต้อง

คุณไม่รู้จักวิธีทำสมาธิ ไม่รู้จักวิธีทำสมาธิธรรมดาให้เป็นสัมมาสมาธิ แล้วคุณจะทำสมาธิให้เกิดขึ้นได้อย่างไร หรือว่าคุณรู้จักวิธีทำสัมมาสมาธิมาตั้งแต่อยู่ในท้องพ่อท้องแม่

อย่าดูแคลนปัญญา การเอาสติ สมาธิมานำหน้าปัญญา อาจพาคุณหลงไปติดกัปป์อย่างพรหมทั้งหลายก็ได้ ให้พึงระวังให้มาก

ทั้งหมดนี้คือ 1 ความเห็นครับ


เจริญธรรมกันทุกท่าน ผ่านความขุ่นมัวในจิตให้ได้กันทุกคนเทอญ สาธุ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2011, 00:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b30: :b30: :b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2011, 03:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็รู้สึกเหมือนกันครับว่าปัจจุบันนี้กระแสวิปัสนาแบบไม่พึ่งพาสมาธิแรงเหลือเกิน

บางกระแสถึงกับกล่าวว่าสมาธิปราศจากคุณ มีแต่โทษ

โดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับหลายๆท่านในที่นี้ที่ว่าปัญญาที่แท้ในทางพุทธเรา หรือวิชชานั้นไม่ได้เกิดจากการ "คิด" หากแต่เกิดจากการ "เห็น"

ดังที่มีอาจารย์หลายท่านเน้นย้ำว่า "คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด จึงรู้"

การเห็นที่ว่านี้หมายถึงการเห็นลักษณะตามธรรมชาติทั้ง 3 หรือไตรลักษณ์ ของรูปนามอารมณ์ต่างๆตามสภาพที่เป็นจริง

คือเห็นความไม่เที่ยงเกิดดับ ความตั้งอยู่ไม่ได้ และความอยู่นอกเหนืออำนาจบังคับบัญชาของอารมณ์รูปนามต่างๆ คืออยู่ดีๆเค้าก็เกิดของเค้าเอง ผันผวนปรวนแปรไปเอง แล้วก็ดับลงไปเอง จะไปบังคับให้ตั้งอยู่ หรือไปบังคับให้ดับไม่ได้

ความเห็นนี้อาจจะเห็นเพียงบางลักษณะ หรือเห็นทั้งหมด ขึ้นอยู่กับบุคคล แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเห็นตรงจุดไหนก็จะทำให้เกิดปัญญารู้เท่าทันรูปนาม นำไปสู่การบรรลุธรรมได้ทั้งสิ้น

ที่สำคัญ ผมมีความเข้าใจว่าในสภาวะปกติที่เรายังมีความคิดนึกฟุ้งซ่านปรุงแต่งอยู่ ไม่มีทางที่จะเห็นตามนี้ได้

การจะ "เห็น" ได้นั้นต้องให้ใจของเรามีความนิ่ง เป็นกลาง ออกห่างจากอารมณ์เสียก่อน และนี่เองที่ทำให้สมาธิมีความสำคัญมากต่อการปฏิบัติวิปัสนา เนื่องจากสมาธิมีความเป็นกลางต่ออารมณ์ต่างๆ หรือเอกัคตารมณ์ เป็นสิ่งเกิดร่วมเสมอ และยิ่งสมาธิแข็งแรงเท่าใด เอกัคตารมณ์ก็จะยิ่งแข็งกล้า ทำให้รับรู้ไตรลักษณ์ในรูปนามได้คมชัดยิ่งขึ้น

สมาธิเป็นของมีประโยชน์

สมาธิเองยังไม่ใช่ปัญญา แต่ปัญญาจะเกิดได้ต้องอาศัยสมาธิเป็นเครื่องมือ ดังคำกล่าวที่ว่า "สมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา"

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2011, 12:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


การที่จะปล่อยวางจิต ปล่อยวางความรู้สึกนึกคิดต่างๆทั้งหลายที่เกิดขึ้น
ได้เพียงแค่ชั่วลัดนิ้วมือเดียวนั้น
เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้และผ่านการฝึกฝน ผ่านการทดสอบมาแล้วอยางโชกโชน

นิพพานที่นี้ เดี๋ยวนี้
เป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้ที่ยังไม่ยอมรับความจริงว่า
ไม่มีจิตใดๆเลยซักจิตเดียว ที่เป็นอัตตาตัวตน

นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้
จะเข้าใจได้ ก็ต่อเมื่อยอมรับว่าทุกๆสิ่งที่มีการเกิดปรากฏขึ้นมานั้น
ล้วนสักแต่ว่าอนิจจังทั้งสิ้น ไม่ใช่อัตตาตัวตนแต่อย่างไรทั้งนั้น


พระพุทธเจ้าและบรรดาเหล่าอริยสาวกที่รู้แจ้งในธรรมได้แล้ว
ล้วนต่างอาศัยฌานสมาธิเป็นเครื่องอยู่อาศัย ทั้งนั้น

สัมมาสมาธิ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ทั้งก่อนที่จะเข้าสู่เส้นทางสัมมาทิฏฐิ
หรือหลังจากเดินทางเข้าสู่สัมมาทิฏฐิได้แล้ว

หากไม่อาศัยสัมมาสมาธิเป็นเครื่องประกอบในการเรียนรู้ที่จะดับทุกข์
หากไม่อาศํยสัมมาสมาธิเป็นเครื่องอยู่อาศัย
แล้วจะรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่านิโรธได้อย่างไรกัน

นิโรธได้ ต้องได้มรรค
ปฏิบัติมรรคได้ ก็ได้นิโรธ


แล้วมรรคมันต้องครบทั้งแปด
ขาดมรรคใดมรรคหนึ่ง มันยังนิโรธไม่ได้

การสอนภาวนา หากผิดเพี้ยนไปจากพุทธธรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านทรงอธิบายเอาไว้อย่างรอบครอบรัดกุมที่สุดแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่น่าที่จะเข้าไปใส่ใจเรียนรู้ศึกษาแต่อย่างใดเลย ครับ
ถือว่าเป็นเรื่องเสียประโยชน์เปล่า เป็นเรื่องน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งครับ


ทุกวันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า
การสอนภาวนาใดๆที่ผิดเพี้ยนเกินเลยไปจากพุทธธรรมคำสอน
มิอาจตั้งอยู่ได้นาน มิอาจทานทนต่อการพิสูจน์ได้แต่อย่างใด

อานาปานสติตามที่พระพุทธเจ้าบอกนั้น
เป็นทั้งการเจริญสติและสมาธิอยู่ในตัวแบบครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด
ผู้ปฏิบัติจะเห็นผลได้ด้วยตัวของตัวเอง...


โมทนาสาธุในทุกๆกุศลจิต
ที่มีความดำริในการที่จะนำเสนอการภาวนาที่เป็นแบบอย่างสัมมาสัมพุทธะอันแท้จริง
ให้เป็นที่เปิดเผย กระจายกว่างไกลให้ยิ่งๆขึ้นไป
และดำริที่จะรักษาคำสังสอนภาวนาแบบสัมมาสัมพุทธะอันแท้จริง
ให้ดำรงค์คงอยู่ให้ได้ตราบนานเท่านาน... :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร