วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 20:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 133 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2011, 23:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
ขอบคุณครับคุณหลับอยู่ ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอย่างเดียว เรียกสมาธิ
ส่วนเอกัคตาหรือเอกัคตาจิต ผมมีคำใช้แล้วครับคือเอกัคตาจิต เพราะพระพุทธเจ้าใช้คำนี้แน่นอน
ส่วนความหมายอื่นๆของ เอกัคตาโดดๆ ไม่มีจิตต่อท้าย อันนี้ละไว้ในฐานที่ไม่เข้าใจ
คำพูดของพระพุทธองค์สมบูรณ์พร้อมแล้วด้วยอรรถะ และพยัญชนะ
ท่านใช้มาเอกัคตาจิตเราก็ใช้เอกัคตาจิตนี้แหละง่ายดี :b8:


ความ..ที่ จิต มี อารมณ์..เป็นอย่างเดียว


คุณเช่นนั้น อธิบายถูกแล้วครับ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2011, 23:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอยืนยัน อีกว่า คุณเช่นนั้น อธิบาย เรื่องเจตสิกถูกแล้วครับ สำคัญนะครับต้องเข้าใจ

ex....(ขอยกตัวอย่างไม่ได้มีเจตนาว่าท่านใดท่านหนึ่งใน ชมรมนี้) :b8:
เณรแอร์ ไง ครับ ที่ไม่เข้าใจ และพวกหมอผี ไสยดำต่างๆ เพราะไม่รู้อภิธรรมใดๆเลย
เจริญ แต่อกุศลจิตท่าเดียว พอเห็นว่า ได้การรวมเป็นหนึ่งในจิต ปั๊บ !มีฤทธิ์ มีเดช ก็เอาใหญ่เลย โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นจิตฝ่ายไหน? ใหม่ๆก็ทำได้...ท้ายสุดก็ เละเทะ...
เหลือแต่หลอกๆเขาไป ชีวิต ลงต่ำ
พวกเราในนี้หลายท่านคงไม่เคยเจอ ของจริงๆหรอกครับ อดีตผม เที่ยวมาเยอะ ก็สงสัยว่า เอ??!! เขาทำได้ยังไงว่ะ??

ต้องทำความเข้าใจในเรื่องเจตสิกธรรนะครับ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2011, 00:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อันนี้พอเข้าใจครับ พวกเล่นไสยดำ อกุศลฌาณ :b1:
ส่วนเรื่องเจตสิก สำคัญครับ

จะใช้บัญญัติก็ต้องใช้ตามพระพุทธองค์ ข้อนี้สำคัญมาก
สาวกไม่มีสิทธิ์บัญญัติ ไม่งั้นก็คงเป็นศาสดาเสียเอง

ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ
ไม่เพิกถอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว
เพื่อความดำรงอยู่ได้นานแห่งพระสัทธรรม

ป.ล.น่าจะมี CD อัดเสียงพุทธวจนะแล้วนำออกเผยแพร่เนาะ
:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2011, 00:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สติปัฏฐานเป็นทางแห่งกุศล เป็นทางสายเอก
นิวรณ์ห้าอย่างนี้เป็นอกุศล ในพระสูตรก็ตรัสไว้
พุทธวจนะที่พระองค์ตรัสไว้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2011, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบพระคุณทุกความเห็นครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2011, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
walaiporn เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
ส่วนตัวของผม หนังสือนั้น ขัดกับ พระไตรปิฏกเรื่อง ฌาณครับ ๆลๆ



คุณหลับอยู่ พอจะมีเนื้อหาข้อความที่กล่าวถึงมานี้ มีให้อ่านบ้างไหมคะ ที่ว่าขัดกันนั้น ขัดตรงไหน ข้อความส่วนไหนน่ะค่ะ



อ้างคำพูด:
สมาธิ และ ปัญญา

สมาธิ เป็นองค์ธรรมที่สำคัญยิ่งข้อหนึ่งก็จริง แต่ก็มีขอบเขตความสำคัญที่พึงตระหนักว่า สมาธิมีความจำเป็นแค่ไหนเพียงใด ในกระบวนการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงวิมุตติ อันเป็นจุดหมายของพุทธธรรม ขอบเขตความสำคัญนี้ อาจสรุปดังนี้

๑. ประโยชน์ของสมาธิ ในการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงจุดหมายของพุทธธรรมนั้น อยู่ที่การนำมาใช้เป็นที่ทำการสำหรับให้ปัญญาปฏิบัติการอย่างได้ผลที่สุด และสมาธิที่ใช้ในการนี้ก็ไม่จำต้องเป็นขั้นที่เจริญถึงที่สุด ลำพังสมาธิอย่างเดียวแม้จะเจริญถึงขั้นฌานสูงสุด หากไม่ก้าวสู่ขั้นใช้ปัญญาแล้ว ย่อมไม่สามารถทำให้ถึงจุดหมายของพุทธธรรมได้อย่างเป็นอันขาด

๒. ฌานต่างๆทั้ง ๘ ขั้น แม้จะเป็นภาวะจิตที่ลึกซึ้ง แต่ในเมื่อเป็นผลของกระบวนการปฏิบัติที่เรียกว่าสมถะอย่างเดียวแล้ว ยังเป็นเพียงโลกีย์เท่านั้น จะนำไปปะปนกับจุดมุ่งหมายทางพุทธธรรมหาได้ไม่

๓. ในภาวะแห่งฌานที่เป็นผลสำเร็จของสมาธินั้น กิเลสต่างๆสงบระงับไป จึงเรียกว่าเป็นการหลุดพ้นเหมือนกัน แต่ความหลุดพ้นนี้มีชั่วคราวเฉพาะเมื่ออยู่ในภาวะนั้นเท่านั้น และถอยกลับสู่สภาพเดิมได้ ไม่ยั่งยืนแน่นอน ท่านจึงเรียกการหลุดพ้นชนิดนี้ว่าเป็นโลกียวิโมกข์ (ความหลุดพ้นขั้นโลกีย์) เป็นกุปปวิโมกข์ (ความหลุดพ้นที่กำเริบคือเปลี่ยนแปลงกลับกลายหายสูญได้) และเป็นวิกขัมภนวิมุตติ (ความหลุดพ้นด้วยข่มไว้ คือ กิเลสระงับไปเพราะถูกกำลังสมาธิข่มไว้ เหมือนเอาแผ่นหินทับหญ้า ยกแผ่นหินออกเมื่อใด หญ้าย่อมกลับงอกงามขึ้นได้ใหม่) (สามารถอ่านรายละเอียดเหตุผลได้ในนิวรณ์ ๕ - webmaster)

จากข้อพิจารณาที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่า ในการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่จุดมุ่งหมายของพุทธธรรมนั้น องค์ธรรมหรือตัวการสำคัญที่สุดที่เป็นตัวตัดสินใจในขั้นสุดท้าย จะต้องเป็นปัญญา และปัญญาที่ใช้ในการปฎิบัติการในขั้นนี้ เรียกชื่อเฉพาะได้ว่า วิปัสสนา ดังนั้น การปฏิบัติจึงต้องก้าวมาถึงขั้นวิปัสสนาด้วยเสมอ ส่วนสมาธิ นั้นแม้จะจำเป็น แต่อาจยืดหยุ่นเลือกใช้ขั้นใดขั้นหนึ่งก็ได้ เริ่มแต่ขั้นต้นๆ ที่เรียกวิปัสสนา-สมาธิ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับขณิกสมาธิ และอุปจารสมาธิ เป็นต้นไป....................

พุทธธรรม หน้า ๘๖๘ - ๘๖๙




แค่นี้ ก็พอแล้ว :b7:







ได้อ่านสิ่งที่คุณนำมาโพสแล้ว อ่านหลายๆรอบ ก็ไม่เห็นจุดที่ว่าขัดกับพระไตรปิฎก

เพราะสิ่งที่พระอาจารย์ท่านนำมาพูดในเรื่องของฌาน เป็นมิจฉาสมาธิ ท่านก็ไม่ได้พูดผิดอะไรนี่คะ

แล้วตามสำนักต่างๆ เวลาพูดเรื่องฌาน ก็หาได้น้อยมากๆที่จะแสดงสภาวะเกี่ยวกับฌานที่เป็นสัมมาสมาธิ


ยังอยากฟังข้อคิดเห็นของคุณหลับอยู่นะ ว่ามีข้อคิดเห็นนอกเหนือจากที่นำมาโพสนี้ไหมคะ?

คนที่สัมผัสสภาวะฌานต่างๆทั้งสัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ เรียกว่าสามารถเข้าออกจนชำนาญหรือที่เรียกว่าวสี

ส่วนมากเลยนะ ไม่เห็นมีใครนำเรื่องตัวสภาวะที่แท้จริงมาพูด


ที่อ่านๆมา มีแต่นำตำรามาตัดแปะกัน แล้วใช้สัญญาตามที่เคยอ่าน เคยศึกษากันมา ใช้ในการคาดเดาสภาวะกันเอาเองว่าต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้

สุดท้ายเมื่อต่างคนต่างไม่เคยสัมผัสโดยตัวสภาวะที่แท้จริง เมื่อนำมาสนทนากัน มีแต่ความคาดเดา พอเห็นไม่ตรงกัน มีแต่วิวาทะเสียมากกว่า

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2011, 22:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณวลัยพรก็ต้องไม่เห็นกันต่อไป
และคุณวลัยพร ก็สำคัญผิดว่า ไม่มีใครในนี้เคยทำได้ ไม่ขั้นใดก็ขั้นหนึ่ง :b4:
ไม่มีพระไตรปิฏก ยิ่ง หนักกว่านี้ แน่นอน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2011, 22:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
Quote Tipitaka:
[๑๘๓] ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
เพราะวิตกวิจารสงบไป
มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
มีอุเบกขา
มีสติ
มีสัมปชัญญะ
เสวยสุขด้วยนามกาย
เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า
ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
บรรลุจตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ
ได้มีอุเบกขา
เป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
ฌานทั้งสี่นี้เรากล่าวว่า
ความสุขเกิดแต่ความออกจากกาม
ความสุขเกิดแต่ความสงัด
ความสุขเกิดแต่ความสงบ
ความสุขเกิดแต่ความสัมโพธิ
อันบุคคลควรเสพ
ควรให้เกิดมี
ควรทำให้มาก
ไม่ควรกลัวแต่สุขนั้น ดังนี้.



อ่านต่ออย่างใจเย็นๆ ว่าการ ละฌาณ พระองค์ตรัสไว้ยังไง ที่ลิงค์นี้ครับว่าด้วยการละรูปฌานและอรูปฌาน

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ บรรทัดที่ ๓๒๕๓ - ๓๕๐๗. หน้าที่ ๑๔๑ - ๑๕๑.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0

:b1: อ่านใหม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2011, 23:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
คุณวลัยพรก็ต้องไม่เห็นกันต่อไป
และคุณวลัยพร ก็สำคัญผิดว่า ไม่มีใครในนี้เคยทำได้ ไม่ขั้นใดก็ขั้นหนึ่ง :b4:
ไม่มีพระไตรปิฏก ยิ่ง หนักกว่านี้ แน่นอน





เอ๋ ... มีคำพูดตรงไหนหรือคะ ที่เป็นเหตุให้คุณหลับอยู่คาดเดาข้อความออกมาแบบนั้น

ใครจะทำได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ เพราะล้วนเป็นเหตุของแต่ละคน

ส่วนใครที่ทำไม่ได้ แต่สำคัญผิดว่าตนเองนั้นทำได้ อันนั้นก็เหตุของคนๆนั้นนะคะ

เพราะว่า เราจะไปตัดสินหรือคิดแทนคนอื่นๆว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ล้วนแต่เป็นการสร้างเหตุทั้งสิ้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2011, 23:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
Quote Tipitaka:
[๑๘๓] ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
เพราะวิตกวิจารสงบไป
มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
มีอุเบกขา
มีสติ
มีสัมปชัญญะ
เสวยสุขด้วยนามกาย
เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า
ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
บรรลุจตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ
ได้มีอุเบกขา
เป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
ฌานทั้งสี่นี้เรากล่าวว่า
ความสุขเกิดแต่ความออกจากกาม
ความสุขเกิดแต่ความสงัด
ความสุขเกิดแต่ความสงบ
ความสุขเกิดแต่ความสัมโพธิ
อันบุคคลควรเสพ
ควรให้เกิดมี
ควรทำให้มาก
ไม่ควรกลัวแต่สุขนั้น ดังนี้.



อ่านต่ออย่างใจเย็นๆ ว่าการ ละฌาณ พระองค์ตรัสไว้ยังไง ที่ลิงค์นี้ครับว่าด้วยการละรูปฌานและอรูปฌาน

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ บรรทัดที่ ๓๒๕๓ - ๓๕๐๗. หน้าที่ ๑๔๑ - ๑๕๑.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0

:b1: อ่านใหม่




อ่านแล้วค่ะ เพียงจะบอกว่า ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้ง ล้วนแต่เป็นการคาดเดาทั้งนั้น หาใช่ตามความเป็นจริงของตัวสภาวะจริงๆไม่

ส่วนใครจะคาดเดาอะไรยังไง อันนี้แล้วแต่เหตุของแต่ละคน ใครสร้างเหตุอย่างไร ย่อมรับผลเช่นนั้น



เนื้อความที่ถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ทุกถ้อยคำของตัวอักษรที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากพระโอษฐ์ ล้วนมีสภาวะแฝงอยู่ทั้งสิ้น ไม่ใช่เป็นแค่เพียงแต่ตัวหนังสือ

สิ่งที่ผู้คนนำข้อความจากพระไตรปิฎกมาเผยแผ่นั้น ล้วนเกิดจากการให้ค่าตามสัญญาหรือตามรู้ของแต่ละคน รู้แค่ไหน ย่อมตีความได้แค่นั้น ไม่ใช่โดยสภาวะตามความเป็นจริงของตัวสภาวะแต่อย่างใด

แม้กระทั่งเรื่องฌานต่างๆ ล้วนมีสภาวะของฌาน ตั้งแต่สภาวะแบบหยาบๆจนกระทั่งละเอียด ผู้ที่จะอธิบายได้ชัดเจน ต้องพบเจอกับสภาวะนั้นๆจนจำได้แม่นยำ ไม่ใช่เป็นการจำแบบสัญญา


เหตุที่ผู้ปฏิบัติ ตลอดจนถ้อยความที่ถูกบันทึกไว้ ที่มีความเห็นต่าง ล้วนเกิดจากการคาดเดาสภาวะ ที่คิดว่า ในพระไตรปิฎกบันทึกไว้ สภาวะจะต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ เป็นเหตุให้เกิดวิวาทะกันเพราะเหตุนี้ เพราะมีแต่การคาดเดา แต่ไม่ใช่สภาวะตามความเป็นจริง ที่มีอยู่จริงในพระไตรปิฎกแต่อย่างใด



การศึกษาพระไตรปิฎก

พระไตรปิฎกมีไว้เพื่อเป็นแนวทาง เราจึงต้องมาศึกษากันเพราะเหตุนี้ ไม่ใช่ศึกษาเพื่อให้เกิดความยึดติด ที่ยังมีการยึดติดแบบหนาแน่น ล้วนเกิดจากความโง่กับกิเลส ยึดแต่ไม่รู้ว่ายึด ยึดเพราะตีความ แล้วให้ค่าว่าใช่หรือไม่ใช่ ตามกิเลสที่มีอยู่ แต่ไม่ใช่เพราะว่ารู้ตามความเป็นจริงของสภาวะที่มีอยู่ในทุกๆตัวอักษรที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก

หากแม้นว่าเป็นการตีความ ควรบอกว่าเป็นการตีความจากที่ได้ศึกษามา การยอมรับตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ที่เกิดความเสียหาย เพราะไม่ยอมรับตามความเป็นจริง ว่าไม่รู้ แต่พยายามแสดงว่ารู้

คนที่เสียหายมากที่สุด ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ใครสร้างเหตุอย่างไร ย่อมรับผลเช่นนั้น ไม่มีข้อยกเว้นใดๆเลย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2011, 00:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


คร้าบ คุณน้ำผู้เข้าถึงสภาวะธรรม :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2011, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยู่...

เหนื่อยไหม ...กับสภาวะธรรม... :b5: :b23:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2011, 23:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
หลับอยู่...

เหนื่อยไหม ...กับสภาวะธรรม... :b5: :b23:


ยังมีอีกมากมายมหาศาล....... (ยืมคำพูดเช่นนั้น มาใช้ จำได้เปล่าครับ) :b32: smiley


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 133 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร