วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 04:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 14 เม.ย. 2011, 00:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
อ้างคำพูด:
กบเผลอสติ ในช่วงขณะจิตนั้น


กบนอกกะลา เขียน:
:b8: :b8:
ผมรู้แต่ว่า..มันไม่ได้อะไร



การสวดมนต์ เป็นการทำกรรมฐานอย่างหนึ่ง
เมื่อ กายเราพนมมือไหว้พระ นอบน้อม กานเราเป็นกุศล
เมื่อ ปากเรา ท่องบ่นเปล่งออกมา วาจาเป็นคำกุศลทั้งสิ้น
เมื่อใจเราน้อมตาม ใจเราก็เป็นกุศล
ครบ3อย่างครบไตรทวาร
นี่คือการทำบุญอย่าตอบว่าไม่ได้อะไรเลยกบน้อย
และขอยืนยันสามารถสัมผัสสิ่งที่เป็นอจิณไตยได้


กระผมหมายถึง....ตอนที่มันนิ่งเหมือนหินนะครับ...มันไม่ได้รู้อะไรอย่างที่เขาว่า..รู้ชัดในรูปในนาม..อะไรนั้น...เข้าใจว่าหลับใน...จึงพยายามสวดมนต์ให้จบ..นะครับ
:b9:

รู้ชัดในรูปในนาม นั้นมัน ขั้นสูงแล้ว กบเอ๋ยยย....
สวดให้จบ ก็ได้ สัจจะบารมี วิริยะบารมี ขันติ บารมี หากทำเป้นประจำ ก้ได้ศีลบารมีอีกโดยที่กบไม่รู้ตัวเลย (ศีลแปลว่าปกติ) นี่มันลึกซึ้งอย่างนี้
หากไม่มีพระพุทธเจ้า เราไม่ได้มาเปล่งมนต์ท่องขานเอาบุญกันหรอก กบเอ๋ยยยย(อนุโมทนา)ทำต่อไปเถอะ
ลมหายใจเข้าออกเป็นรูป รู้เป็นนาม...นี่ก็ลึกซึ้ง....ๆลๆ

แล้วนิ่งเหมือนหิน ของกบผมไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่า จะเป็นภวังค์จิตอะไรหรือเปล่า? ข้อนี้ก็สำคัญ ไปดูในมหาสติปัฏฐาน แต่สำคัญต้องมีฌาณโลกีย์ก่อน :b1:


โพสต์ เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เป็นเรื่องจริงอย่างยิ่งว่า...หากมีช่วงไหนที่เราไม่รู้จากการพบมันจริง ๆ ..สังขารมันก็จับเอาบรรดาสัญญามาประมวลหรือปรุงแล้วก็เติมลงไปในช่องว่างที่ไม่รู้นั้นเสีย...มันเป็นปกติแบบอัตโนมัตซะด้วยมั้ง

เรื่องมีอยู่ว่า...ฝรั่งมันว่าคนไทยคนจีนเวียตนามพูดฟังแล้วก็เหมือน ๆ กัน
ผมว่า..มันจะเป็นไปได้ยังงัยวะ..คือไม่เชื่อ

ก็เลยฟังสาวๆ เขาเม้าท์กันตอนเที่ยงหลังทานอาหาร..อย่างตั้งใจ

แต่มีอุปสรรค..คือว่า..เราฟังภาษาไทยรู้เรื่อง..พอเสียงตกกระทบ..มันจะแปลคำพูดนั้นว่าหมายถึงอะไรซะก่อน..มันจึงไม่รู้สึกถึงสำเนียงที่แท้จริงเหมือนที่ฟังคนจีนเขาพูด..

พอตั้งใจฟังมาก ๆ...จึงเห็นช่องว่าง..ระหว่างเสียงที่พูด..กับ...การรู้ความหมายของคำพูดนั้น ๆ...จึงท่องคำว่า..ไม่แปล..ก่อนที่การรู้ความหมายของคำนั้น

ผมท่อง..ไม่แปล..ไม่แปล..ไม่แปล

มีเสียง..ไม่แปล..ยังเข้าใจความหมายอยู่
มีเสียง..ไม่แปล..เริ่มมาจับคำว่าไม่แปลแทนรู้ความหมาย
มีเสียง..ไม่แปล..รู้คำว่าไม่แปล
มีเสียง..ไม่แปล..ไม่แปล
มีเสียง..ไม่แปลก็หาย..ความหายของคำก็ไม่รู้..แต่รู้สึกถึงสำเนียงของภาษาชัดเจน
มีเสียง..ไม่แปลก็หาย..ความหายของคำก็ไม่รู้..แต่รู้สึกถึงสำเนียงภาษาคล้ายฟังคนจีนพูดกัน
อ้อ..เป็นอย่างนี้หรือ

ที่นี้ก็เริ่มเข้าใจคำที่เขาพูด ๆ กันขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็นปกติ


ที่เล่า ๆ มานี้..ก็ไม่รู้อะไรสักอย่างว่าอะไรเป็นอะไร...เพราะเป็นเรื่องที่เกิดก่อนจะมาศึกษาศาสนา.สมาธิอะไรก็ทำไม่เป็น

มีอะไรพอจะเป็นอุเบกขา..มีอะไรพอจะเรียกว่า..รู้ชัด..บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

หรือไม่มีอะไรเลยก็ไม่รู้..อีกเช่นกัน
:b9: :b9: :b9:





สิ่งที่คุณกบวิเคราะห์ เรียกว่า การคิดพิจรณา ไม่ใช่สภาวะอุเบกขาในจตุตถฌาน

สภาวะอุเบกขาในจตุตถเาน เกิดจากกำลังของสติ สัมปชัญญะและสมาธิ ที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการผ่านแต่ละฌานที่ผ่านมา

ลองหาที่หลวงพ่อชาท่านเทศน์เรื่อง " การปล่อยวาง " ฟังดูนะคะ เหมือนสิ่งที่คุณกบนำมาโพสนี่แหละค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
walaiporn เขียน:
บางทีนั่งแล้วเกิดโอภาสสว่างทันทีก็มีค่ะ ( สภาวะตรงนี้ เคยได้กราบนมัสการเรียนถามหลวงพ่อพุธ ว่าทำไมเป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ ท่านยังแนะนำให้เริ่มต้นใหม่เลยค่ะ ให้เริ่มทำตั้งแต่ปฐมาฌานให้คล่องก่อน จนกว่าจะถึงจตุตถฌาน ไม่ใช่นั่งแล้วสว่างพรึ่บทันทีแบบนั้น )

เป็นผมผมเอาโอภาสครับ จะขั้นไหนก็ได้ เพราะเข้ากับพระบาลีว่า อุทะปาทิอาโลโก แล้วค่อยไปเกลาจากพระสูตรที่ พระองค์ทรงสอนพระอนุรุทธ :b1:






แล้วแต่เหตุที่ทำมาค่ะ บางคนอยากได้แทบตาย ทำยังไงก็ทำไม่ได้ เพตุเพราะ ทำเพราะความอยาก ละความอยากได้เมื่อไหร่ สภาวะจะดำเนินไปตามตัวของสภาวะเอง ต้องอาศัยความต่อเนื่อง จงอย่าอยากเท่านั้นเอง

แต่ถ้าอยาก จงยอมรับว่ามีความอยาก แล้วตั้งใจทำต่อไปให้ต่อเนื่อง พอเห็นความไม่เที่ยงของสภาวะที่เกิดขึ้นบ่อยๆ จิตจะเกิดการปล่อยวางเอง แล้วฌานแต่ละองค์ฌานจะเกิดขึ้นเองตามสภาวะ ที่เกิดจากจิตที่ปล่อยวางแล้ว

ส่วนคนที่ทำได้ ไม่ได้มีความอยากได้ แต่ทำเพราะต้องทำ สิ่งที่ได้มา คือ ผลที่ได้จากเหตุที่ทำโดยปราศจากความอยากได้อะไร





หลับอยุ่ เขียน:
walaiporn เขียน:

ส่วนสภาวะตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงจตตุถฌานที่ได้นำมาแบ่งปันกัน ต้องเจริญสติค่ะ แล้วถึงจะเข้าใจสภาวะตรงนี้ได้ ต้องเรียนและรู้ด้วยตัวเองค่ะ รู้แล้ว เห็นผลด้วยตัวเองแล้ว จะร้องอ้อเลย


สมาธิกับสติและสัมปัชฌัญญะ ต้องไปด้วยกันครับ






มีเขียนอธิบายรายละเอียดของสภาวะแต่ละฌานไว้แล้วนะคะ ว่าให้ดูอะไรเป็นหลัก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
walaiporn เขียน:
[

จตุตถฌาน มีจุดเด่น คือ อุเบกขา แค่ดู แค่รู้ เรียกว่า รู้ชัดในรูปนาม



คือกระผม..กำลังสงสัยว่า...จตุตถฌาน...กับ..การหลับใน...มีอะไรเป็นข้อสังเกตุ..

ขณะนั้น..ผมไม่ได้หลับตา..นะครับ...มันแค่เห็น..แค่รู้ว่าเห็น..แต่ไม่รู้ว่า..เห็นอะไร (หมอนก็ไม่รู้ว่านี้คือหมอน...มือก็ไม่รู้ว่านี้คือมือ)...แต่รู้

สักพัก...ก็เอ๋ะใจ..ว่าเอ๋..นี้เรากำลังสวดมนต์นี้..แล้วคำสวดหายไปไหน???...เท่านั้นแหละ...ก็เริ่มจะรู้ว่าที่เห็น..คือหมอน..คือมือที่พนมอยู่..

หากคุณน้ำว่า...แค่รู้ เรียกว่า รู้ชัดในรูปนาม...

เห็นที..ผมจะหลับในซะแล้ว.. :b9: :b9: :b9:






หลับอยุ่ เขียน:
กบเผลอสติ ในช่วงขณะจิตนั้น :b1:





คุณกบ ไม่ได้เผลอสติ



คุณกบมีสติ เพราะรู้ว่ามีอาการหรือสภาวะเกิดขึ้นแบบนี้ๆ (ขณะนั้น..ผมไม่ได้หลับตา..นะครับ...มันแค่เห็น..แค่รู้ว่าเห็น.. )



มี สัมปชัญญะ เพราะรู้ว่า สภาวะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้นมีอะไรบ้าง (หมอนก็ไม่รู้ว่านี้คือหมอน...มือก็ไม่รู้ว่านี้คือมือ ...แต่รู้ )


เพียงแต่ เพราะมี วิจิกิจฉา เกิดขึ้น ( จากตรงนี้ สักพัก...ก็เอ๋ะใจ..ว่าเอ๋..นี้เรากำลังสวดมนต์นี้..แล้วคำสวดหายไปไหน???... )


เป็นเหตุให้ทำให้สมาธิคลายตัว จิตจึงกลับมาอยู่ที่สภาวะปัจจุบัน ( เท่านั้นแหละ...ก็เริ่มจะรู้ว่าที่เห็น..คือหมอน..คือมือที่พนมอยู่.. )

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:


ขณะนั้น..ผมไม่ได้หลับตา..นะครับ...มันแค่เห็น..แค่รู้ว่าเห็น..แต่ไม่รู้ว่า..เห็นอะไร (หมอนก็ไม่รู้ว่านี้คือหมอน...มือก็ไม่รู้ว่านี้คือมือ)...แต่รู้

สักพัก...ก็เอ๋ะใจ..ว่าเอ๋..นี้เรากำลังสวดมนต์นี้..แล้วคำสวดหายไปไหน???...เท่านั้นแหละ...ก็เริ่มจะรู้ว่าที่เห็น..คือหมอน..คือมือที่พนมอยู่..

หากคุณน้ำว่า...แค่รู้ เรียกว่า รู้ชัดในรูปนาม...

เห็นที..ผมจะหลับในซะแล้ว.. :b9: :b9: :b9:



กลับมาสวดอีก..สวดไปสักพักก็เป็นอีก
เป็นอย่างนี้ 3 ครั้ง...แต่ก็ตั้งใจจะสวดให้จบให้ได้เพราะคิดว่ามันเป็นนิวรณ์ ถีนมิทธะ ...
อยากเอาชนะมัน.. :b32: :b32: ใช่ไม่ใช่ก็ไม่รู้นะ


:b8: :b8:
ผมรู้แต่ว่า..มันไม่ได้อะไร






ได้แต่ไม่รู้ว่าได้ ลองพิจรณาดูค่ะ

ขณะที่สวดมนต์ เมื่อจิตรู้อยู่กับการกระทำหรือ จิตจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์ที่กำลังสวด ขณะนั้น จิตย่อมเป็นสมาธิ จิตย่อมมีกุศลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน



เพราะอาจจะไปมองว่าได้อะไร แล้วสภาวะไม่ใช่ในสิ่งที่คาดเดาเอาไว้ จึงคิดว่าไม่ได้อะไร

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 15 เม.ย. 2011, 17:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


จางบางลางเลือน เขียน:
คุณ..น้ำ ตอบหน่อยสิครับ

ว่า อุเบกขา และ อพยากฤต นั้นเป็นอย่างไร

อยากได้ ชนิดที่เอามาจากสภาวะ ห่างๆตำราสักหน่อยก็ดีครับ

:b55: :b55: :b55: :b53: :b53:







ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องคู่กันค่ะ จะมาอ้างสภาวะอย่างเดียวไม่ได้ค่ะ :b12:





หลับอยุ่ เขียน:
คำถาม...
อุเบกขา กับ จิตที่เป็นอัพยา... แตกต่างกันอย่างไร?








ทั้งสองคำถาม ถามมาเหมือนๆกัน คงต้องถามกลับไปอีกว่า " อุเบกขา " ที่นำมาถามถึงนั้น เป็นอุเบกขาที่เกิดขึ้นในองค์ฌาน หรืออุเบกขาโดยทั่วๆไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ลมหายใจเข้าออกเป็นรูป รู้เป็นนาม...นี่ก็ลึกซึ้ง....ๆลๆ





แบบนี้เรียกว่า " อนุมาน " เหมือนหลายๆที่ใช้อุบายในการสอนลักษณะเช่นนี้
เพราะยังต้องอาศัยบัญญติเป็นอารมณ์อยู่



สภาวะที่กล่าวว่า รู้ชัดหรือรู้อยู่กับรูป,นาม แค่ดู แค่รู้ เป็นสภาวะปรมัตถ์ ไม่มีการอาศัยคำบัญญัติใดๆ แต่เป็นการดูสภาวะตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในกายและจิต


โดยตัวของสภาวะจะมีเพียง สิ่งที่เกิดขึ้น และสิ่งที่รู้เท่านั้นเอง


หากยังมีการบอกว่าเห็นอะไร เป็นอะไร ล้วนแต่ยังไม่ใช่สภาวะของรูป,นามตามสภาวะที่แท้จริง เนื่องจากยังมีการให้ค่าอยู่


เมื่อยังมีการให้ค่ากับสภาวะ ย่อมมีกิเลสเกิดขึ้น คือ ความยินดี ยินร้าย หรือวางอุเบกขาที่เกิดจากการให้ค่า


ไม่ใช่อุเบกขาที่เกิดโดยสภาวะ ที่เกิดเนื่องจากกำลังของสติ สัมปชัญญะและสมาธิ






ตัวอย่าง เช่น สภาวะที่นำมากล่าวว่า เหมือนไม่มีตัวตนของเราอยู่บนโลกใบนี้

หรือ สภาวะดับ ทำให้รู้สึกว่าไม่มีตัวเราอยู่บนโลกใบนี้ มีเพียงก้อนธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก้อนหนึ่งเท่านั้น
สภาวะเกิด ทำให้รู้สึกว่ามีตัวเรา เพราะยึดก้อนธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อันนี้ว่าเป็นตัวเรา
เดี๋ยวมีตัวเรา เพราะมีสภาวะเกิด
เดี๋ยวไม่มีตัวเรา เพราะสภาวะดับ
เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ ไป
ตัวตนที่แท้จริงไม่มีเลย ไม่มีจริงๆ
มีเพราะยึด
ไม่ยึดก็ไม่มี


ถ้าสภาวะรู้นี้คือวิญญาณ หรือ จิต
มันก็เป็นของเกิดดับ เป็นเพียงสภาวะที่หาตัวตนมิได้เลย เราเลยสมมุติเรียกมันว่า "นาม"
ส่วนร่างกายอันมีธาตุสี่นี้ เราสมมุติเรียกมันว่า "รูป" เพราะมองเห็นด้วยตา

"ธรรมชาติของมันเป็นเช่นนั้นเอง"




สภาวะที่นำมาให้ดูเป็นตัวอย่างนี้ เป็นเพียง " สุตตมยปัญญา และ จินตามยปัญญา " ยังไม่ใช่สภาวะที่เกิดจาก ภาวนามยปัญญา



ถ้าเป็นสภาวะ ภาวนามยปัญญา จะมีแค่ สิ่งที่เกิดขึ้น และ สิ่งที่รู้ เท่านั้นเอง


ถึงแม้ว่า จะเป็นปัญญาที่เกิดจากสภาวะใดๆก็ตาม ล้วนเป็นเหตุที่กำลังสร้างเหตุดีให้กับตัวเอง ผลย่อมดีอย่างแน่นอน ส่วนจะดีตามความเป็นจริงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการกระทำต่างๆที่สร้างขึ้นใหม่ด้วย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 16 เม.ย. 2011, 01:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
mes เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
walaiporn เขียน:
[

จตุตถฌาน มีจุดเด่น คือ อุเบกขา แค่ดู แค่รู้ เรียกว่า รู้ชัดในรูปนาม



คือกระผม..กำลังสงสัยว่า...จตุตถฌาน...กับ..การหลับใน...มีอะไรเป็นข้อสังเกตุ..

ขณะนั้น..ผมไม่ได้หลับตา..นะครับ...มันแค่เห็น..แค่รู้ว่าเห็น..แต่ไม่รู้ว่า..เห็นอะไร (หมอนก็ไม่รู้ว่านี้คือหมอน...มือก็ไม่รู้ว่านี้คือมือ)...แต่รู้

สักพัก...ก็เอ๋ะใจ..ว่าเอ๋..นี้เรากำลังสวดมนต์นี้..แล้วคำสวดหายไปไหน???...เท่านั้นแหละ...ก็เริ่มจะรู้ว่าที่เห็น..คือหมอน..คือมือที่พนมอยู่..

หากคุณน้ำว่า...แค่รู้ เรียกว่า รู้ชัดในรูปนาม...

เห็นที..ผมจะหลับในซะแล้ว.. :b9: :b9: :b9:






หลับอยุ่ เขียน:
กบเผลอสติ ในช่วงขณะจิตนั้น :b1:





คุณกบ ไม่ได้เผลอสติ



คุณกบมีสติ เพราะรู้ว่ามีอาการหรือสภาวะเกิดขึ้นแบบนี้ๆ (ขณะนั้น..ผมไม่ได้หลับตา..นะครับ...มันแค่เห็น..แค่รู้ว่าเห็น.. )



มี สัมปชัญญะ เพราะรู้ว่า สภาวะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้นมีอะไรบ้าง (หมอนก็ไม่รู้ว่านี้คือหมอน...มือก็ไม่รู้ว่านี้คือมือ ...แต่รู้ )


เพียงแต่ เพราะมี วิจิกิจฉา เกิดขึ้น ( จากตรงนี้ สักพัก...ก็เอ๋ะใจ..ว่าเอ๋..นี้เรากำลังสวดมนต์นี้..แล้วคำสวดหายไปไหน???... )


เป็นเหตุให้ทำให้สมาธิคลายตัว จิตจึงกลับมาอยู่ที่สภาวะปัจจุบัน ( เท่านั้นแหละ...ก็เริ่มจะรู้ว่าที่เห็น..คือหมอน..คือมือที่พนมอยู่.. )



คุณน้ำจะหมายถึงอาการของกบน้อยนี้ อยู่ในสภาวะฌาณ4หรือเปล่าครับ


โพสต์ เมื่อ: 16 เม.ย. 2011, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
ลมหายใจเข้าออกเป็นรูป รู้เป็นนาม...นี่ก็ลึกซึ้ง....ๆลๆ





แบบนี้เรียกว่า " อนุมาน " เหมือนหลายๆที่ใช้อุบายในการสอนลักษณะเช่นนี้
เพราะยังต้องอาศัยบัญญติเป็นอารมณ์อยู่



สภาวะที่กล่าวว่า รู้ชัดหรือรู้อยู่กับรูป,นาม แค่ดู แค่รู้ เป็นสภาวะปรมัตถ์ ไม่มีการอาศัยคำบัญญัติใดๆ แต่เป็นการดูสภาวะตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในกายและจิต


โดยตัวของสภาวะจะมีเพียง สิ่งที่เกิดขึ้น และสิ่งที่รู้เท่านั้นเอง


หากยังมีการบอกว่าเห็นอะไร เป็นอะไร ล้วนแต่ยังไม่ใช่สภาวะของรูป,นามตามสภาวะที่แท้จริง เนื่องจากยังมีการให้ค่าอยู่


เมื่อยังมีการให้ค่ากับสภาวะ ย่อมมีกิเลสเกิดขึ้น คือ ความยินดี ยินร้าย หรือวางอุเบกขาที่เกิดจากการให้ค่า


ไม่ใช่อุเบกขาที่เกิดโดยสภาวะ ที่เกิดเนื่องจากกำลังของสติ สัมปชัญญะและสมาธิ






อย่างเช่น สภาวะที่นำมากล่าวว่า เหมือนไม่มีตัวตนของเราอยู่บนโลกใบนี้

หรือ สภาวะดับ ทำให้รู้สึกว่าไม่มีตัวเราอยู่บนโลกใบนี้ มีเพียงก้อนธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก้อนหนึ่งเท่านั้น
สภาวะเกิด ทำให้รู้สึกว่ามีตัวเรา เพราะยึดก้อนธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อันนี้ว่าเป็นตัวเรา
เดี๋ยวมีตัวเรา เพราะมีสภาวะเกิด
เดี๋ยวไม่มีตัวเรา เพราะสภาวะดับ
เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ ไป
ตัวตนที่แท้จริงไม่มีเลย ไม่มีจริงๆ
มีเพราะยึด
ไม่ยึดก็ไม่มี


ถ้าสภาวะรู้นี้คือวิญญาณ หรือ จิต
มันก็เป็นของเกิดดับ เป็นเพียงสภาวะที่หาตัวตนมิได้เลย เราเลยสมมุติเรียกมันว่า "นาม"
ส่วนร่างกายอันมีธาตุสี่นี้ เราสมมุติเรียกมันว่า "รูป" เพราะมองเห็นด้วยตา

"ธรรมชาติของมันเป็นเช่นนั้นเอง"




สภาวะที่นำมาให้ดูเป็นตัวอย่างนี้ เป็นเพียง " สุตตมยปัญญา และ จินตามยปัญญา " ยังไม่ใช่สภาวะที่เกิดจาก ภาวนามยปัญญา



ถ้าเป็นสภาวะ ภาวนามยปัญญา จะมีแค่ สิ่งที่เกิดขึ้น และ สิ่งที่รู้ เท่านั้นเอง


ถึงแม้ว่า จะเป็นปัญญาที่เกิดจากสภาวะใดๆก็ตาม ล้วนเป็นเหตุที่กำลังสร้างเหตุดีให้กับตัวเอง ผลย่อมดีอย่างแน่นอน ส่วนจะดีตามความเป็นจริงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการกระทำต่างๆที่สร้างขึ้นใหม่ด้วย

ถ้าแบบที่คุณน้ำบรรยายมา เช่น คำๆนี้ ตัวตนที่แท้จริงไม่มีเลย ไม่มีจริงๆ
น่ากลัวนะครับ
:b5:

ไหนก็ดูแล้วคุณน้ำ ปฏิเสธคำบัญญัติ ผมก็ต้องยืมคำ ท่านมาใช้ ว่า สภาวะที่คุณน้ำบรรยายมา
คือการ ติดเหตุว่าง หรือเปล่า


โพสต์ เมื่อ: 16 เม.ย. 2011, 00:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
walaiporn เขียน:
mes เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
walaiporn เขียน:
[

จตุตถฌาน มีจุดเด่น คือ อุเบกขา แค่ดู แค่รู้ เรียกว่า รู้ชัดในรูปนาม



คือกระผม..กำลังสงสัยว่า...จตุตถฌาน...กับ..การหลับใน...มีอะไรเป็นข้อสังเกตุ..

ขณะนั้น..ผมไม่ได้หลับตา..นะครับ...มันแค่เห็น..แค่รู้ว่าเห็น..แต่ไม่รู้ว่า..เห็นอะไร (หมอนก็ไม่รู้ว่านี้คือหมอน...มือก็ไม่รู้ว่านี้คือมือ)...แต่รู้

สักพัก...ก็เอ๋ะใจ..ว่าเอ๋..นี้เรากำลังสวดมนต์นี้..แล้วคำสวดหายไปไหน???...เท่านั้นแหละ...ก็เริ่มจะรู้ว่าที่เห็น..คือหมอน..คือมือที่พนมอยู่..

หากคุณน้ำว่า...แค่รู้ เรียกว่า รู้ชัดในรูปนาม...

เห็นที..ผมจะหลับในซะแล้ว.. :b9: :b9: :b9:






หลับอยุ่ เขียน:
กบเผลอสติ ในช่วงขณะจิตนั้น :b1:





คุณกบ ไม่ได้เผลอสติ



คุณกบมีสติ เพราะรู้ว่ามีอาการหรือสภาวะเกิดขึ้นแบบนี้ๆ (ขณะนั้น..ผมไม่ได้หลับตา..นะครับ...มันแค่เห็น..แค่รู้ว่าเห็น.. )



มี สัมปชัญญะ เพราะรู้ว่า สภาวะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้นมีอะไรบ้าง (หมอนก็ไม่รู้ว่านี้คือหมอน...มือก็ไม่รู้ว่านี้คือมือ ...แต่รู้ )


เพียงแต่ เพราะมี วิจิกิจฉา เกิดขึ้น ( จากตรงนี้ สักพัก...ก็เอ๋ะใจ..ว่าเอ๋..นี้เรากำลังสวดมนต์นี้..แล้วคำสวดหายไปไหน???... )


เป็นเหตุให้ทำให้สมาธิคลายตัว จิตจึงกลับมาอยู่ที่สภาวะปัจจุบัน ( เท่านั้นแหละ...ก็เริ่มจะรู้ว่าที่เห็น..คือหมอน..คือมือที่พนมอยู่.. )



คุณน้ำจะหมายถึงอาการของกบน้อยนี้ อยู่ในสภาวะฌาณ4หรือเปล่าครับ





เปล่าค่ะ ... ไม่ใช่ฌาน แต่เป็นจิตทีเกิดสมาธิชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งคนที่สวดมนต์จะเจอกันมากในสภาวะแบบนี้ เรื่องปกติค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 16 เม.ย. 2011, 00:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
ลมหายใจเข้าออกเป็นรูป รู้เป็นนาม...นี่ก็ลึกซึ้ง....ๆลๆ



แบบนี้เรียกว่า " อนุมาน " เหมือนหลายๆที่ใช้อุบายในการสอนลักษณะเช่นนี้
เพราะยังต้องอาศัยบัญญติเป็นอารมณ์อยู่





คำนี้ มาจาก ครูบาอาจารย์ท่านนึง ที่ พระอาจารย์ของคุณน้ำที่คุณน้ำเคารพนับถือ และพระเกจิชื่อดังหลายท่านยกย่องนะครับ คุณน้ำต้องคิดให้ดีๆนะครับ


โพสต์ เมื่อ: 16 เม.ย. 2011, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
walaiporn เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
ลมหายใจเข้าออกเป็นรูป รู้เป็นนาม...นี่ก็ลึกซึ้ง....ๆลๆ





แบบนี้เรียกว่า " อนุมาน " เหมือนหลายๆที่ใช้อุบายในการสอนลักษณะเช่นนี้
เพราะยังต้องอาศัยบัญญติเป็นอารมณ์อยู่



สภาวะที่กล่าวว่า รู้ชัดหรือรู้อยู่กับรูป,นาม แค่ดู แค่รู้ เป็นสภาวะปรมัตถ์ ไม่มีการอาศัยคำบัญญัติใดๆ แต่เป็นการดูสภาวะตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในกายและจิต


โดยตัวของสภาวะจะมีเพียง สิ่งที่เกิดขึ้น และสิ่งที่รู้เท่านั้นเอง


หากยังมีการบอกว่าเห็นอะไร เป็นอะไร ล้วนแต่ยังไม่ใช่สภาวะของรูป,นามตามสภาวะที่แท้จริง เนื่องจากยังมีการให้ค่าอยู่


เมื่อยังมีการให้ค่ากับสภาวะ ย่อมมีกิเลสเกิดขึ้น คือ ความยินดี ยินร้าย หรือวางอุเบกขาที่เกิดจากการให้ค่า


ไม่ใช่อุเบกขาที่เกิดโดยสภาวะ ที่เกิดเนื่องจากกำลังของสติ สัมปชัญญะและสมาธิ






อย่างเช่น สภาวะที่นำมากล่าวว่า เหมือนไม่มีตัวตนของเราอยู่บนโลกใบนี้

หรือ สภาวะดับ ทำให้รู้สึกว่าไม่มีตัวเราอยู่บนโลกใบนี้ มีเพียงก้อนธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก้อนหนึ่งเท่านั้น
สภาวะเกิด ทำให้รู้สึกว่ามีตัวเรา เพราะยึดก้อนธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อันนี้ว่าเป็นตัวเรา
เดี๋ยวมีตัวเรา เพราะมีสภาวะเกิด
เดี๋ยวไม่มีตัวเรา เพราะสภาวะดับ
เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ ไป
ตัวตนที่แท้จริงไม่มีเลย ไม่มีจริงๆ
มีเพราะยึด
ไม่ยึดก็ไม่มี


ถ้าสภาวะรู้นี้คือวิญญาณ หรือ จิต
มันก็เป็นของเกิดดับ เป็นเพียงสภาวะที่หาตัวตนมิได้เลย เราเลยสมมุติเรียกมันว่า "นาม"
ส่วนร่างกายอันมีธาตุสี่นี้ เราสมมุติเรียกมันว่า "รูป" เพราะมองเห็นด้วยตา

"ธรรมชาติของมันเป็นเช่นนั้นเอง"




สภาวะที่นำมาให้ดูเป็นตัวอย่างนี้ เป็นเพียง " สุตตมยปัญญา และ จินตามยปัญญา " ยังไม่ใช่สภาวะที่เกิดจาก ภาวนามยปัญญา



ถ้าเป็นสภาวะ ภาวนามยปัญญา จะมีแค่ สิ่งที่เกิดขึ้น และ สิ่งที่รู้ เท่านั้นเอง


ถึงแม้ว่า จะเป็นปัญญาที่เกิดจากสภาวะใดๆก็ตาม ล้วนเป็นเหตุที่กำลังสร้างเหตุดีให้กับตัวเอง ผลย่อมดีอย่างแน่นอน ส่วนจะดีตามความเป็นจริงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการกระทำต่างๆที่สร้างขึ้นใหม่ด้วย

ถ้าแบบที่คุณน้ำบรรยายมา เช่น คำๆนี้ ตัวตนที่แท้จริงไม่มีเลย ไม่มีจริงๆ
น่ากลัวนะครับ
:b5:

ไหนก็ดูแล้วคุณน้ำ ปฏิเสธคำบัญญัติ ผมก็ต้องยืมคำ ท่านมาใช้ ว่า สภาวะที่คุณน้ำบรรยายมา
คือการ ติดเหตุว่าง หรือเปล่า






อะไรคะ วงว่างอะไรกันคะ สุดแต่จะให้ค่ากันเท่านั้นเอง

ถ้าปฏิบัติแล้วเจอแต่่ความว่าง ไม่สามาารถรู้กายหรือจิตได้เลย นั่นโดนโมหะครอบงำแล้วล่ะค่ะ คือ หลง

ถ้ามีสติ สัมปชัญญะดี มีสมาธิด จะสมารถรู้ในกายและจิตได้ตลอด สภาวะมีเกิดขึ้นตลอดเวลา เพียงแต่ กำลังของสมาธิมีมากน้อยหรือแนบแน่นแค่ไหนเท่านั้นเอง



พอจิตรวม ลมหายใจหายไป นี่เรื่องปกติ

จริงๆแล้วลมหายใจไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ลมหายใจละเอียดมากจนจับไม่ได้เท่านั้นเอง

แต่จะเห็นอาการทางกายชัดมากขึ้น เช่น ท้องพองยุบ ยิ่งจิตเสพสมาธิสูง ท้องพองยุบก็จับไม่ได้ แต่จะไปรู้ที่ลิ้นปี่ รู้ตามชีพจรที่เต้นตามจุดต่างๆแทน

เมื่อมีเวทนาเกิด ก็รู้เวทนา มีความคิดก้รู้ความคิด มันจะรู้ๆแบบนี้ สลับไปมา

พอสมาธิคลายตัวลง ก็จะรู้ลมหายใจได้ดังเดิม


ส่วนใครจะให้ค่าสภาวะอย่างไร นั่นออยู่ที่ว่าอ่านหรือฟังมากมากแค่ไหนเท่านั้นเอง แต่โดยตัวสภาวะมันจะเป็นแบบนี้ เรามีหน้าที่แค่ดู แค่รู้อยู่กับสภาวะที่เกิดขึ้นณขณะนั้นๆเอง

แต่อยู่ที่ว่า มีกำลังสติมากน้อยแค่ไหน ถ้าสมาธิมีกำลังมากกว่าก็เสร็จสมาธิ ขาดความรู้สึกตัว

แต่สภาวะที่เกิดขึ้นก็ไม่เที่ยง เราแค่ดู แค่รู้ไป ดีมั่ง ไม่ดีมั่ง ทุกอย่างที่ว่าดีหรือไม่ดี ล้วนเกิดจากการให้ค่า

การให้ค่าก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อเจอสภาวะเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ไม่แน่นอน จะค่อยๆเลิกให้ค่าสภาวะที่เกิดขึ้นไปเอง




ไม่ได้ปฏิเสธบัญญัติ ถ้าปฏิเสธบัญญัติ คงไม่อ้างอิงถึง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เพียงพูดตามสภาวะค่ะว่า ฌานแต่ละฌาน มีสภาวะที่แตกต่างกันตรงไหน


แล้วที่องค์บริกรรมหายไป เกิดเนื่องจากกำลังของสติ สัมปชัญญะและสมาธิที่มีมากขึ้น องค์บริกรรมหรือคำบริกรรมที่ใช้ในการภาวนาจึงหายไป

ส่วนปีติ สุข ก็ไม่แตกต่างจากองค์บริกรรม หายไปเพราะกำลังของสติ สัมปชัญญะและสมาธิที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ

แล้วจะไม่เหลือแค่ดู แค่รู้ได้อย่างไรคะ



สนทนากันได้นะคะ ถ้าจะให้อธิบายสภาวะโดยละเอียด คุณต้องตั้งคำถามมาน่ะค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 16 เม.ย. 2011, 00:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 16 เม.ย. 2011, 00:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
walaiporn เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
ลมหายใจเข้าออกเป็นรูป รู้เป็นนาม...นี่ก็ลึกซึ้ง....ๆลๆ



แบบนี้เรียกว่า " อนุมาน " เหมือนหลายๆที่ใช้อุบายในการสอนลักษณะเช่นนี้
เพราะยังต้องอาศัยบัญญติเป็นอารมณ์อยู่





คำนี้ มาจาก ครูบาอาจารย์ท่านนึง ที่ พระอาจารย์ของคุณน้ำที่คุณน้ำเคารพนับถือ และพระเกจิชื่อดังหลายท่านยกย่องนะครับ คุณน้ำต้องคิดให้ดีๆนะครับ




สภาวะใดๆก็ตาม หากยังใช้คำบัญญัติอยู่ เช่น ลมหายใจเข้าออก แล้วบอกว่าเป็นรูป รู้เป็นนาม เหมือนขณะที่เดินจงกรม แล้วบอกว่า รูปเดิน

หากผู้ปฏิบัติยังไม่สามารถรู้โดยสภาวะที่แท้จริงเองได้ ล้วนยังเป็นสภาวะบัญญัติอยู่ ยังไม่ใช่สภาวะปรมัตถ์




ต้องขออภัย หากคำที่ได้อธิบายไป อาจทำให้เกิดความรู้สึกไปในทางชอบหรือชัง เพียงแต่ไม่ได้มีจิตคิดลบหลู่หรือดูหมิ่นครูบาฯของใครๆ

แล้วอีกอย่าง บอกตามตรง คำพูดที่คุณยกมาอ้างอิงนั้น ไม่ทราบจริงๆว่าเป็นคำพูดของใคร ที่ตอบไปนั้น ตอบตามคำพูดที่คุณโพสมาเท่านั้นเอง



อาจารย์ของน้ำมีหลายท่านค่ะ และถึงแม้ไม่ใช่อาจารย์ที่ให้คำแนะนำก็ตาม ให้ความเคารพทุกๆท่าน ไม่เคยมีจิตคิดละเมิดใครๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 16 เม.ย. 2011, 00:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณน้ำบอกว่า

รู้ตามโน่นตามนี่ มันจะไปเป็น ส่งจิตไปๆมาๆ หรือกลายเป็น เอาจิตไปไล่ล่าตามอดีต หรือเปล่าครับ :b10: :b1:


โพสต์ เมื่อ: 16 เม.ย. 2011, 00:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
คุณน้ำบอกว่า

รู้ตามโน่นตามนี่ มันจะไปเป็น ส่งจิตไปๆมาๆ หรือกลายเป็น เอาจิตไปไล่ล่าตามอดีต หรือเปล่าครับ :b10: :b1:





ไหงงั้นล่ะคะ สภาวะรู้อยู่กับปัจจุบันแท้ๆ เป็นสภาวะที่รู้ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในแต่ละขณะๆๆๆ

กลับบอกว่าเอาจิตไปไล่ล่าอดีต เจริญสติสิคะ เมื่อถึงสภาวะที่เล่าไป คุณจะเข้าใจเอง


แต่ที่คุณสงสัยหรือพูดมาแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่สภาวะของคุณยังไม่ถึงสภาวะที่บอกไปเท่านั้นเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร