วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 23:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 10 เม.ย. 2011, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
mes เขียน:
การเข้าฌาณไม่จำเป็นต้องหลับตา

ในขณะลืมตา หรือ กำลังเดินจงกรมก็เข้าฌาณได้




พอจะอธิบายสภาวะที่เกิดขึ้น ขณะที่กำลังเดินหรือนั่ง แล้วเข้าฌานนั้น สภาวะที่เกิดขึ้น รู้ได้จากอะไรคะ?


ผมจำเป็นต้องขออกตัวก่อนครับว่า คำตอบต่อไปนี้มาจากการอ่าน การศึกษามาประกอบ มิใช่ประสพการณ์ของตนเองล้วนๆ

แต่จะไม่ไปหาหลักฐานตอนนี้ เพราะคงเสียเวลา และคิดว่าไว้เมื่อค้นเจอเมื่อไหร่จะนำมาโพสต์อีกครั้ง

ผมขอตอบสั้นๆครับ ตอบยาวไปเดี๋ยวผิด

สภาวะที่เกิดขึ้นรู้ได้จาก การที่ไม่รู้ลึกยินดี ยินร้าย จิตใจจรดจ่ออยู่กับบางสิ่งบางอย่างเช่น

ปิติ(คนละอย่างกับยินดี) ที่รับรู้ว่าตนบรรลุธรรมแล้ว อารมณ์ปิติจะแช่อยู่เช่นนั้น ใครด่าก็ไม่โกรธ ดูทีวืก็ไม่ได้ยินเสียง จิตถูกตรึงพิจารณาอยู่กับความรู้นั้นตลอดเวลา

ดูภาพก็แค่เห็นไม่รับรู้ สภาวะเช่นนี้จะค่อยๆจางลงเมื่อเวลาผ่านไปครับ

ผิดถูกอย่างไรผมขอน้อมรับไว้ครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
ผมจำเป็นต้องขออกตัวก่อนครับว่า คำตอบต่อไปนี้มาจากการอ่าน การศึกษามาประกอบ มิใช่ประสพการณ์ของตนเองล้วนๆ



กล่าวได้ชอบค่ะ คือ มีสภาวะเป็นอย่างไร พูดไปตามนั้น รู้จากตัวเอง หรือรู้ทั้งจากตัวเอง ประกอบด้วยการศึกษาเพิ่มเติม ดีทั้งนั้นค่ะ



mes เขียน:
แต่จะไม่ไปหาหลักฐานตอนนี้ เพราะคงเสียเวลา และคิดว่าไว้เมื่อค้นเจอเมื่อไหร่จะนำมาโพสต์อีกครั้ง ผมขอตอบสั้นๆครับ ตอบยาวไปเดี๋ยวผิด




ไม่ต้องกังวลเรื่องถูกหรือผิด พูดได้ค่ะ ตามสภาวะที่คุณรู้ด้วยตนเองจากการปฏิบัติ




mes เขียน:
สภาวะที่เกิดขึ้นรู้ได้จาก การที่ไม่รู้ลึกยินดี ยินร้าย จิตใจจรดจ่ออยู่กับบางสิ่งบางอย่างเช่น

ปิติ(คนละอย่างกับยินดี) ที่รับรู้ว่าตนบรรลุธรรมแล้ว อารมณ์ปิติจะแช่อยู่เช่นนั้น ใครด่าก็ไม่โกรธ ดูทีวืก็ไม่ได้ยินเสียง จิตถูกตรึงพิจารณาอยู่กับความรู้นั้นตลอดเวลา

ดูภาพก็แค่เห็นไม่รับรู้ สภาวะเช่นนี้จะค่อยๆจางลงเมื่อเวลาผ่านไปครับ

ผิดถูกอย่างไรผมขอน้อมรับไว้ครับ




ถามนะคะ สภาวะนี้เกิดขึ้นบ่อยไหม? แล้วส่วนมากเกิดตอนไหน? และเกิดได้ในทุกอิริยาบทไหม?

คำถามต่อมาค่ะ ที่กล่าวว่า จิตถูกตรึงพิจารณาอยู่กับความรู้นั้นตลอดเวลา ดูภาพก็แค่เห็นไม่รับรู้ สภาวะเช่นนี้จะค่อยๆจางลงเมื่อเวลาผ่านไป

หมายถึง จิตรับรู้แต่สภาวะที่กำลังเกิดขึ้นแค่นี้ใช่ไหมคะ? แล้วรู้กายได้ด้วยไหมคะ ขณะที่สภาวะนี้เกิดขึ้น?

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงนี้เป็นคำถามนะคะ ต่อจากเรื่องฌานต่างๆ

จะถามว่า จากปฐมฌาน แล้วสภาวะเปลี่ยนไปสภาวะทุติยฌานนั้น ทำอย่างไร แล้วรู้ได้อย่างไรคะ?

กรุณาช่วยตอบเป็นตัวสภาวะนะคะ จะแนบปริยัติด้วยก็ได้ค่ะ แต่ช่วยอธิบายรายละเอียดของสภาวะด้วยค่ะ



คุณmes สนทนาได้ตามถนัดนะคะ พูดตามที่คุณรู้ตามสภาวะน่ะค่ะ :b12:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่ตั้งคำถามกับคุณไปทั้งหมด ไม่ใช่การลองภูมิความรู้แต่อย่างใด เพียงแต่ถือว่าเรามาแลกเปลี่ยนความรู้ในแนวทางปฏิบัติซึ่งกันและกัน

และสิ่งที่ถามคุณไปทั้งหมด มีเหตุค่ะ ที่ให้ถามเช่นนั้น จะอธิบายรายละเอียดให้ทราบในการสนาทนาต่อๆไปค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 12 เม.ย. 2011, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ตรงนี้เป็นคำถามนะคะ ต่อจากเรื่องฌานต่างๆ

จะถามว่า จากปฐมฌาน แล้วสภาวะเปลี่ยนไปสภาวะทุติยฌานนั้น ทำอย่างไร แล้วรู้ได้อย่างไรคะ?

กรุณาช่วยตอบเป็นตัวสภาวะนะคะ จะแนบปริยัติด้วยก็ได้ค่ะ แต่ช่วยอธิบายรายละเอียดของสภาวะด้วยค่ะ



คุณmes สนทนาได้ตามถนัดนะคะ พูดตามที่คุณรู้ตามสภาวะน่ะค่ะ :b12:


ขออนุญาติชี้แจงก่อนครับว่า คำพูดต่อไปนี้นำมาจากบุคคลที่3


จากเริ่มแรกที่มีความอิ่มอกอิ่มใจ คือปิติ นานๆไปความรู้สึกนั้นก็เปลี่ยนเป็นเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย

ไม่โกรธ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เหมือนถูกสกดจิต

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสต์ เมื่อ: 12 เม.ย. 2011, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
walaiporn เขียน:
ตรงนี้เป็นคำถามนะคะ ต่อจากเรื่องฌานต่างๆ

จะถามว่า จากปฐมฌาน แล้วสภาวะเปลี่ยนไปสภาวะทุติยฌานนั้น ทำอย่างไร แล้วรู้ได้อย่างไรคะ?

กรุณาช่วยตอบเป็นตัวสภาวะนะคะ จะแนบปริยัติด้วยก็ได้ค่ะ แต่ช่วยอธิบายรายละเอียดของสภาวะด้วยค่ะ



คุณmes สนทนาได้ตามถนัดนะคะ พูดตามที่คุณรู้ตามสภาวะน่ะค่ะ :b12:


ขออนุญาติชี้แจงก่อนครับว่า คำพูดต่อไปนี้นำมาจากบุคคลที่3


จากเริ่มแรกที่มีความอิ่มอกอิ่มใจ คือปิติ นานๆไปความรู้สึกนั้นก็เปลี่ยนเป็นเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย

ไม่โกรธ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เหมือนถูกสกดจิต





นี่แหละคุณ mes เหตุของแต่ละคนสร้างมาแตกต่างกันไป การที่ใครจะมาเชื่อหรือไม่เชื่อกัน ทุกอย่างมันมีเหตุ



ขออภัยที่ต้องอ้างอิงบทสนทนาจากกระทู้หนึ่ง แต่จะไม่แนบลิงค์นะคะ เรื่องรูป,นาม

บางสำนักที่สอนเรื่องรูป,นาม มีหลายท่าน ที่ท่านเห็น ท่านรู้จริงๆ แต่ไม่สามารถแยกแยะรายละเอียดลงไปลึกได้
ท่านจึงต้องใช้อุบายในการสอนรูป,นาม หรือ การแยกรูป แยกนามแบบนั้น ท่านไม่ได้สอนผิดเลย ท่านรู้ของท่านแบบไหน ถ่ายทอดได้แค่ไหน ท่านย่อมถ่ายทอดหรือสอนได้แค่นัั้น


เหมือนเรื่องสมาธิ เรื่องฌาน คนที่จะอธิบายได้ ต้องเข้าออกจนชำนาญ จะสามารถแยกแยะสภาวะของฌานแต่ละฌานได้ทุกรายละเอียด ตั้งแต่สภาวะที่เกิดขึ้น อาการที่เกิดขึ้น องค์ประกอบต่างๆ จะอธิบายได้ละเอียด

แต่คนบางคน ทำได้จริง แต่รู้ได้แค่ตัวเอง สอนหรือแนะนำใครไม่ได้


ฌานแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ในแนวทางปฏิบัติ

๑. ฌานที่เป็นมิจฉาสมาธิ

๒. ฌานที่เป็นสัมมาสมาธิ หรือบางครูบาฯอาจารย์ชอบนำมาเรียกว่า ฌานของอริยะ หรือฌานสมาบัติ จริงๆแล้วมันก็แค่ฌาน สุดแต่ว่า ใครจะบรรยายออกมาในรูปแบบไหน หรือให้ค่าสภาวะกันแบบไหนเท่านั้นเอง

ฌานทั้ง ๒ มีความแตกต่างกันที่ สติ สัมปชัญญะ


ฌานที่เป็นมิจฉาสมาธิจะมีแค่สติ คือ รู้ว่าเกิด แต่ไม่สามารถรู้สึกตัวได้ตลอด ตั้งแต่เริ่มเกิด กำลังเกิด และคลายตัวจนหายไป

ส่วนฌานที่เป็นสัมมาสมาธิ จะมีทั้งสติและสัมปชัญญะเป็นองค์ประกอบหลัก จึงสมารถรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้ตลอด ขณะที่จิตเป็นสมาธิ


จุดเด่นของฌานแต่ฌาน ที่มีเรียกว่า ธรรมเอกผุด หรือ จุดที่ชี้ชัดว่า เป็นฌานไหนนั้น จะสามารถแยกได้อย่างชัดเจน


ปฐมฌาน มีจุดเด่นที่ วิตก วิจาร ปีติ สุข ยังต้องอาศัยบัญญัติช่วยในการทำให้เกิดสมาธิ


สภาวะดูดังนี้ เมื่อเดินจงกรมแล้ว กำหนดนั่งลง แล้วใช้คำบริกรรมภาวนาต่างๆ หรือเพ่งกสิณ หรือยกข้อความใดๆขึ้นมาพิจรณาก็ได้ คือ ยังต้องอาศัยสิ่งภายนอกในการทำให้เกิดสมาธิ


ทุติยฌาน มีจุดเด่น คือ ปีติ สภาวะของปีติ ที่เกิดขึ้น จะไม่ใช่อาการปีติแบบในปฐมฌาน หรือปีติที่เกิดขึ้นในสมาธิทั่วๆไป แต่เป็น ผรณาปีติ



ถ้าสภาวะกล้ำกึ่งระหว่าง ปฐมฌานกับทุติยฌาน คือ ดูที่การบริกรรมภาวนาเป็นหลัก และปีติที่เกิดขึ้น



สภาวะที่แท้จริงของทุติยฌาน จะไม่มีคำบริกรรมภาวนาแล้ว เรียกว่า รู้อยู่กับรูปนามได้ดี ดูจากสภาวะตรงนี้

เมื่อเดินจงกรมแล้ว กำหนดนั่งลง เพียงรู้อยู่กับลมหายใจ หรือท้องพองยุบ หรือการเคลื่อนไหวของกาย มีผรณาปีติเกิด สุขเกิด นี่แหละคือสภาวะของทุติยฌาน


ตติยฌาน มีจุดเด่น คือ สุข


จตุตถฌาน มีจุดเด่น คือ อุเบกขา แค่ดู แค่รู้ เรียกว่า รู้ชัดในรูปนาม


นับตั้งแต่ฌาน ๒ ถึง ฌาน ๔ จะมีสภาวะเป็นปรมัตถ์ เพราะไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอกหรือคำบริกรรม หรือต้องคิดพิจรณาอะไรมาช่วย



ปีติ หรือสุข หรือ อุเบกขา ล้วนเป็นกิเลส ชนิดละเอียด


ฌานแต่ละฌาน ไม่ได้เกิดในรอบเดียวกัน แต่จะเกิดจากกำลังของ สติ สัมปชัญญะ และสมาธิเป็นหลัก ในแต่ละวิตก วิจาร ปีติ สุข ในแต่ละรอบของฌาน


เช่น ปฐมฌาน การที่จิตจะละวิตก วิจารได้ ต้องมีกำลังของสติ ในระดับหนึ่ง จิตมันจะค่อยๆละตามกำลังของสติ
ส่วนจะนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ ตัวเจ้าของสภาวะเองด้วย หากมีความพอใจในสภาวะของปีติ สุข ความสงบที่เกิดขึ้น
อาจจะติดอยู่แค่ปฐมฌาน

วิธีแก้ คือ เจริญสติให้ต่อเนื่อง ไม่ต้องไปคาดหวังใดๆ ทำให้ต่อเนื่องไปเท่านั้นเอง เมื่อกำลังของสติมากขึ้น สัมปชัญญะมากขึ้น สมาธิมีกำลังมากขึ้น ตัววิตก วิจารจะค่อยๆหายไปเอง

เมื่อจิตมีความชำนาญในการเข้าออกสมาธิมากขึ้น สภาวะของฌานจะเปลี่ยนไปเอง

ทุติยฌานก็เช่นเดียวกัน ตติยฌานก็เช่นเดียวกัน

จนถึงจตุตถฌาน เรียกว่า รู้อยู่ หรือรู้ชัดในรูปนามได้ดีที่สุด สมาธิตั้งมั่นและแนบแน่นกว่าสภาวะของฌานอื่นๆ จึงเรียกว่า มีสติบริสุทธิ์อยู้พราะเหตุนี้แหละค่ะ



ฉะนั้น สิ่งที่คุณ mes ได้ฟังมาจากผู้อื่น จะไม่บอกว่าถูกหรือผิด เพราะนั่นคือ รู้ของคนที่เขาเล่าให้คุณฟัง

ส่วนสภาวะฌานต่างๆที่ได้อธิบายให้ฟังไปนั้น เป็นเพียงสภาวะของฌานแบบหยาบๆ เพราะ สุข ในองค์ฌานจะเปลี่ยนไป เมื่อจิตมีสภาวะที่ละเอียดมากขึ้น แทนที่จะสุขแบบในองค์ฌานที่เคยเจอในแรกๆ จะกลายเป็น จิตละทิ้งสุขเนื่องจากสุขตัวนี้ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด

สรุปคือ ฌานแต่ละฌาน จะมีจุดเด่นของตัวสภาวะ สามารถแยกแยะรายละเอียดออกมาได้

ฌานแต่ละฌาน จะเกิดคนละรอบ คนละครั้ง ไม่ใช่ในรอบเดียวกัน ในขณะนั่งอยู่ในตอนนั้นๆ

ไม่ใช่แบบที่นำข้อความจากพระไตรปิฎกมาตีความกันว่า จากฌาน ๑ พอบริกรรมหายไป ปีติเกิด นี่ฌาน ๒ พอสุขเกิด นี่ฌาน ๓ พอจิตนิ่งสงบ ไม่ยินดี ยินร้าย นี่ฌาน ๔ อันนี้เป็นการตีความจากการอ่าน แต่ไม่ใช่ตามสภาวะที่มีอยู่จริง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 15 เม.ย. 2011, 17:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 12 เม.ย. 2011, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
สภาวะที่เกิดขึ้นรู้ได้จาก การที่ไม่รู้ลึกยินดี ยินร้าย จิตใจจรดจ่ออยู่กับบางสิ่งบางอย่างเช่น

ปิติ(คนละอย่างกับยินดี) ที่รับรู้ว่าตนบรรลุธรรมแล้ว อารมณ์ปิติจะแช่อยู่เช่นนั้น ใครด่าก็ไม่โกรธ ดูทีวืก็ไม่ได้ยินเสียง จิตถูกตรึงพิจารณาอยู่กับความรู้นั้นตลอดเวลา

ดูภาพก็แค่เห็นไม่รับรู้ สภาวะเช่นนี้จะค่อยๆจางลงเมื่อเวลาผ่านไปครับ




สภาวะของคุณที่เล่ามานี่ เรียกว่า อารมณ์สมถะเกิดขึ้น เพราะไม่สามารถรู้กายได้ จิตไปจมแช่อยู่กับสภาวะที่เกิดขึ้น

มันไม่ใช่การบรรลุธรรมอะไรหรอกค่ะ

ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้นทั้งนอกกาย และในกาย ล้วนเป็นเพียงสภาวะเท่านั้นเองค่ะ เราต้องดูกิเลสที่เกิดขึ้นในใจเป็นหลัก การให้ค่า คาดเดาสภาวะ ไม่ใช่ไปบอกว่า ได้อะไร เป็นอะไร

สภาวะที่บอกว่า ได้อะไร เป็นอะไรนั้น ล้วนเกิดจากอุปทานที่ให้ค่าต่อสภาวะที่เกิดขึ้น เมื่อจิตถูกกิเลสแทรกแซง จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในจิตได้ค่ะ เรียกว่า กิเลสบดบังสภาวะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 12 เม.ย. 2011, 23:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
[

จตุตถฌาน มีจุดเด่น คือ อุเบกขา แค่ดู แค่รู้ เรียกว่า รู้ชัดในรูปนาม



คือกระผม..กำลังสงสัยว่า...จตุตถฌาน...กับ..การหลับใน...มีอะไรเป็นข้อสังเกตุ..

ขณะนั้น..ผมไม่ได้หลับตา..นะครับ...มันแค่เห็น..แค่รู้ว่าเห็น..แต่ไม่รู้ว่า..เห็นอะไร (หมอนก็ไม่รู้ว่านี้คือหมอน...มือก็ไม่รู้ว่านี้คือมือ)...แต่รู้

สักพัก...ก็เอ๋ะใจ..ว่าเอ๋..นี้เรากำลังสวดมนต์นี้..แล้วคำสวดหายไปไหน???...เท่านั้นแหละ...ก็เริ่มจะรู้ว่าที่เห็น..คือหมอน..คือมือที่พนมอยู่..

หากคุณน้ำว่า...แค่รู้ เรียกว่า รู้ชัดในรูปนาม...

เห็นที..ผมจะหลับในซะแล้ว.. :b9: :b9: :b9:


โพสต์ เมื่อ: 13 เม.ย. 2011, 00:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
walaiporn เขียน:
[

จตุตถฌาน มีจุดเด่น คือ อุเบกขา แค่ดู แค่รู้ เรียกว่า รู้ชัดในรูปนาม



คือกระผม..กำลังสงสัยว่า...จตุตถฌาน...กับ..การหลับใน...มีอะไรเป็นข้อสังเกตุ..

ขณะนั้น..ผมไม่ได้หลับตา..นะครับ...มันแค่เห็น..แค่รู้ว่าเห็น..แต่ไม่รู้ว่า..เห็นอะไร (หมอนก็ไม่รู้ว่านี้คือหมอน...มือก็ไม่รู้ว่านี้คือมือ)...แต่รู้

สักพัก...ก็เอ๋ะใจ..ว่าเอ๋..นี้เรากำลังสวดมนต์นี้..แล้วคำสวดหายไปไหน???...เท่านั้นแหละ...ก็เริ่มจะรู้ว่าที่เห็น..คือหมอน..คือมือที่พนมอยู่..

หากคุณน้ำว่า...แค่รู้ เรียกว่า รู้ชัดในรูปนาม...

เห็นที..ผมจะหลับในซะแล้ว.. :b9: :b9: :b9:





แค่จิตเป็นสมาธิน่ะค่ะ ไม่ใช่หลับในหรอกค่ะ หลับในต้องมีอาการสัปปะหงก

การสวดมนต์ สภวะคือ การเอาจิตจดจ่อรู้อยู่ในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ย่อมทำให้เกิดสมาธิได้ค่ะ

พอคุณไปเอ๊ะ ไปสงสัยในสภาวะที่เกิดขึ้น เป็นเหตุให้กลับมารู้ในสิ่งที่กำลังทำอยู่




กบนอกกะลา เขียน:

ขณะนั้น..ผมไม่ได้หลับตา..นะครับ...มันแค่เห็น..แค่รู้ว่าเห็น..แต่ไม่รู้ว่า..เห็นอะไร (หมอนก็ไม่รู้ว่านี้คือหมอน...มือก็ไม่รู้ว่านี้คือมือ)...แต่รู้

สักพัก...ก็เอ๋ะใจ..ว่าเอ๋..นี้เรากำลังสวดมนต์นี้..แล้วคำสวดหายไปไหน???...เท่านั้นแหละ...ก็เริ่มจะรู้ว่าที่เห็น..คือหมอน..คือมือที่พนมอยู่..




สภาวะตรงนี้ ไม่ใช่จตุตถฌานค่ะ ฌาน ๔ ที่เป็นสัมมาสมาธิ จะรู้ชัดในรูปนามได้ดี ไม่มีการบริกรรมภาวนาใดๆ จิตเกิดสมาธิได้ทุกอิริยาบท ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน หรือแม้กระทั่งอยู่ในกิจกรรมอื่นๆ เป็นสภาวะจิตที่มีปัญญาอบรมด้านสมาธิได้ดีแล้วค่ะ

ส่วนจตตุถฌาน ที่เป็นมิจฉาสมาธิ จะดิ่งแล้วดับหายไปเลย เหมือนคนหลับไปน่ะค่ะ จะรู้สึกตัวอีกที ตอนที่สมาธิคลายตัวแล้ว เกิดจากจิตที่ยังไม่ผ่านฌานตามลำดับขององค์ฌานต่างๆ

บางทีนั่งแล้วเกิดโอภาสสว่างทันทีก็มีค่ะ ( สภาวะตรงนี้ เคยได้กราบนมัสการเรียนถามหลวงพ่อพุธ ว่าทำไมเป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ ท่านยังแนะนำให้เริ่มต้นใหม่เลยค่ะ ให้เริ่มทำตั้งแต่ปฐมาฌานให้คล่องก่อน จนกว่าจะถึงจตุตถฌาน ไม่ใช่นั่งแล้วสว่างพรึ่บทันทีแบบนั้น )



กบนอกกะลา เขียน:
คือกระผม..กำลังสงสัยว่า...จตุตถฌาน...กับ..การหลับใน...มีอะไรเป็นข้อสังเกตุ..



หลับในก็คือ หลับใน เหมือนคนที่เผลอหลับไป เคยเห็นไหมคะ หัวสัปปะหงกงึกๆ นั่นแหละหลับใน ไม่รู้สึกตัวก่อนที่จะหลับ

ส่วนถ้ามีสมาธิมาก แต่สติไม่ทัน จิตที่เป็นสมาธิ ขณะนั้น หัวก็สัปปะหงกเหมือนคนหลับได้ค่ะ แต่คนๆนั้น จะรู้สึกตัวตอนที่สมาธิกำลังจะเกิด ต่อจากนั้นจะไม่รู้แล้วค่ะ

ส่วนวิธีปรับอินทรีย์ อันนี้ต้องแล้วแต่สภาวะของแต่ละคน


ส่วนสภาวะตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงจตตุถฌานที่ได้นำมาแบ่งปันกัน ต้องเจริญสติค่ะ แล้วถึงจะเข้าใจสภาวะตรงนี้ได้ ต้องเรียนและรู้ด้วยตัวเองค่ะ รู้แล้ว เห็นผลด้วยตัวเองแล้ว จะร้องอ้อเลย



เพียงจะบอกว่า ส่วนมากเลยเท่าที่ได้เจอสภาวะของหลายๆคนที่เข้ามาสนทนาหรือมาปรึกษา แต่ละคนล้วนมีด้านสมถะติดตัวกันมาทั้งนั้น เพียงแต่ยังไม่รู้จักวิธีที่จะนำสิ่งหรือสมาธิที่มีอยู่นั้นออกมาใช้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 13 เม.ย. 2011, 00:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:
แล้ว...การรู้ชัดในรูปนาม...มันเป็นยังงัยละครับ...ไหนว่ามันอุเบกขาไปแล้วงั้ย?? :b10: :b10:


โพสต์ เมื่อ: 13 เม.ย. 2011, 00:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b8: :b8:
แล้ว...การรู้ชัดในรูปนาม...มันเป็นยังงัยละครับ...ไหนว่ามันอุเบกขาไปแล้วงั้ย?? :b10: :b10:





คำถามของคุณกบ ทำให้ระลึกถึงคำสอนของครูบาฯที่ท่านบอกไว้ว่า คุยกับคนที่ไม่เคยได้ฌาน หรืออาจจะได้ฌานแบบฟลุ๊กๆ มันยากที่จะสนทนาได้ เพราะ ผู้ที่สนทนาด้วยสภาวะยังไม่ถึงจะมีแต่การคาดเดา ตีความตามที่ตัวเองเข้าใจกัน หรือที่เรียกง่ายๆว่า ให้ค่าแก่สภาวะที่เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ตามความเป็นจริงของสภาวะที่มีอยู่จริง


แต่ขอนอกคำสั่งของครูบาฯสักหน่อยนะคะ เรามาลองแลกเปลี่ยนความรู้กัน ไม่ว่าคุณกบจะรู้มาจากไหน แบบไหน ลองมาแลกเปลี่ยนรู้นั้นๆกันนะคะ สงสัยสภาวะตรงไหน หรือถ้าพูดสภาวะตรงไหนไม่ชัดเจน ถามได้นะคะ


จะถามนะคะ คำว่า " อุเบกขา " คุณกบเข้าใจความหมายของคำๆนี้ว่าอย่างไรคะ?

ส่วนเรื่องของคำว่า " รู้ชัดในรูป,นาม " หมายถึง รู้ชัดอยู่ในกายและจิต รู้ชัดในสิ่งที่เกิดขึ้นในกายและจิต แค่ดู แค่รู้ สภาวะใดๆเกิดขึ้น จะแค่ดู แค่รู้ ไม่มีการให้ค่าต่อสภาวะ

สภาวะรู้ชัดในรูป,นาม ที่นำมากล่าวถึงนี่ ยังเป็นสภาวะแบบหยาบๆนะคะ ส่วนรายละเอียดของตัวสภาวะจริงๆมีมากกว่านี้ค่ะ แต่ตัวหลักๆของสภาวะจริงๆคือ ไม่มีการให้ค่าต่อสภาวะที่เกิดขึ้น เพราะถ้ามีการให้ค่า ย่อมมีความยินดีหรือยินร้ายเกิดขึ้นทันที

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 13 เม.ย. 2011, 01:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นเรื่องจริงอย่างยิ่งว่า...หากมีช่วงไหนที่เราไม่รู้จากการพบมันจริง ๆ ..สังขารมันก็จับเอาบรรดาสัญญามาประมวลหรือปรุงแล้วก็เติมลงไปในช่องว่างที่ไม่รู้นั้นเสีย...มันเป็นปกติแบบอัตโนมัตซะด้วยมั้ง

เรื่องมีอยู่ว่า...ฝรั่งมันว่าคนไทยคนจีนเวียตนามพูดฟังแล้วก็เหมือน ๆ กัน
ผมว่า..มันจะเป็นไปได้ยังงัยวะ..คือไม่เชื่อ

ก็เลยฟังสาวๆ เขาเม้าท์กันตอนเที่ยงหลังทานอาหาร..อย่างตั้งใจ

แต่มีอุปสรรค..คือว่า..เราฟังภาษาไทยรู้เรื่อง..พอเสียงตกกระทบ..มันจะแปลคำพูดนั้นว่าหมายถึงอะไรซะก่อน..มันจึงไม่รู้สึกถึงสำเนียงที่แท้จริงเหมือนที่ฟังคนจีนเขาพูด..

พอตั้งใจฟังมาก ๆ...จึงเห็นช่องว่าง..ระหว่างเสียงที่พูด..กับ...การรู้ความหมายของคำพูดนั้น ๆ...จึงท่องคำว่า..ไม่แปล..ก่อนที่การรู้ความหมายของคำนั้น

ผมท่อง..ไม่แปล..ไม่แปล..ไม่แปล

มีเสียง..ไม่แปล..ยังเข้าใจความหมายอยู่
มีเสียง..ไม่แปล..เริ่มมาจับคำว่าไม่แปลแทนรู้ความหมาย
มีเสียง..ไม่แปล..รู้คำว่าไม่แปล
มีเสียง..ไม่แปล..ไม่แปล
มีเสียง..ไม่แปลก็หาย..ความหายของคำก็ไม่รู้..แต่รู้สึกถึงสำเนียงของภาษาชัดเจน
มีเสียง..ไม่แปลก็หาย..ความหายของคำก็ไม่รู้..แต่รู้สึกถึงสำเนียงภาษาคล้ายฟังคนจีนพูดกัน
อ้อ..เป็นอย่างนี้หรือ

ที่นี้ก็เริ่มเข้าใจคำที่เขาพูด ๆ กันขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็นปกติ


ที่เล่า ๆ มานี้..ก็ไม่รู้อะไรสักอย่างว่าอะไรเป็นอะไร...เพราะเป็นเรื่องที่เกิดก่อนจะมาศึกษาศาสนา.สมาธิอะไรก็ทำไม่เป็น

มีอะไรพอจะเป็นอุเบกขา..มีอะไรพอจะเรียกว่า..รู้ชัด..บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

หรือไม่มีอะไรเลยก็ไม่รู้..อีกเช่นกัน
:b9: :b9: :b9:


โพสต์ เมื่อ: 13 เม.ย. 2011, 03:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ส่วนเรื่องของคำว่า " รู้ชัดในรูป,นาม " หมายถึง รู้ชัดอยู่ในกายและจิต รู้ชัดในสิ่งที่เกิดขึ้นในกายและจิต แค่ดู แค่รู้ สภาวะใดๆเกิดขึ้น จะแค่ดู แค่รู้ ไม่มีการให้ค่าต่อสภาวะ

สภาวะรู้ชัดในรูป,นาม ที่นำมากล่าวถึงนี่ ยังเป็นสภาวะแบบหยาบๆนะคะ ส่วนรายละเอียดของตัวสภาวะจริงๆมีมากกว่านี้ค่ะ แต่ตัวหลักๆของสภาวะจริงๆคือ ไม่มีการให้ค่าต่อสภาวะที่เกิดขึ้น เพราะถ้ามีการให้ค่า ย่อมมีความยินดีหรือยินร้ายเกิดขึ้นทันที

:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 13 เม.ย. 2011, 03:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ตรงนี้เป็นคำถามนะคะ ต่อจากเรื่องฌานต่างๆ

จะถามว่า จากปฐมฌาน แล้วสภาวะเปลี่ยนไปสภาวะทุติยฌานนั้น ทำอย่างไร แล้วรู้ได้อย่างไรคะ?

กรุณาช่วยตอบเป็นตัวสภาวะนะคะ จะแนบปริยัติด้วยก็ได้ค่ะ แต่ช่วยอธิบายรายละเอียดของสภาวะด้วยค่ะ



ปีติหาย.... ใจแกร่งแนบแน่นขึ้น ๆลๆไม่จำเป็นต้องหลับตา

หากใครกำลังคิดถึงเรา หรือ แอบมองเราด้านหลังไกลๆ ก็จะมีภาพคนๆนั้นผุดขึ้นในท้องเรา หรือใครคิดกับเรายังไงก็จะรู้ได้ในแว๊ปเดียว หรือมีคนในเวปนี้ หลายๆคนสงสัยว่าเราหายไปไหน หลายๆเดือน ก็จะรู้ได้ (เห็นกับรู้ไม่เหมือนกัน สภาวะทางจิตหากละเอียดและสูงกว่า ก็จะ รู้ ,เห็นได้มากกว่า
เห็นภายนอก จะไม่แม่น ต้องภายในอย่างเดียว)
ถามว่าอาการเหล่านี้เป็นฌาณไหม ตอบ ไม่แน่ใจ เพราะ ยังไม่มีธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่นในภายใน
ปล.ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว :b9:


โพสต์ เมื่อ: 13 เม.ย. 2011, 03:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
บางทีนั่งแล้วเกิดโอภาสสว่างทันทีก็มีค่ะ ( สภาวะตรงนี้ เคยได้กราบนมัสการเรียนถามหลวงพ่อพุธ ว่าทำไมเป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ ท่านยังแนะนำให้เริ่มต้นใหม่เลยค่ะ ให้เริ่มทำตั้งแต่ปฐมาฌานให้คล่องก่อน จนกว่าจะถึงจตุตถฌาน ไม่ใช่นั่งแล้วสว่างพรึ่บทันทีแบบนั้น )

เป็นผมผมเอาโอภาสครับ จะขั้นไหนก็ได้ เพราะเข้ากับพระบาลีว่า อุทะปาทิอาโลโก แล้วค่อยไปเกลาจากพระสูตรที่ พระองค์ทรงสอนพระอนุรุทธ :b1:



กบนอกกะลา เขียน:
คือกระผม..กำลังสงสัยว่า...จตุตถฌาน...กับ..การหลับใน...มีอะไรเป็นข้อสังเกตุ..


สมาธิกับสติและสัมปัชฌัญญะ ต้องไปด้วยกัน



ส่วนสภาวะตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงจตตุถฌานที่ได้นำมาแบ่งปันกัน ต้องเจริญสติค่ะ แล้วถึงจะเข้าใจสภาวะตรงนี้ได้ ต้องเรียนและรู้ด้วยตัวเองค่ะ รู้แล้ว เห็นผลด้วยตัวเองแล้ว จะร้องอ้อเลย
สมาธิกับสติและสัมปัชฌัญญะ ต้องไปด้วยกันครับ






แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron