วันเวลาปัจจุบัน 21 พ.ค. 2025, 04:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2011, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.ค. 2006, 22:43
โพสต์: 29

โฮมเพจ: http://www.thaimillionaire.net
อายุ: 0
ที่อยู่: กรุงเทพ

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

โทษของการดูหมอ
ตอบโดยหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ



ก็เคยพูดในหลักธรรมแล้วว่า การมาปฏิบัติธรรมที่นี่ เราตั้งเป้าของเราไว้แล้วว่า สพฺพทุกขนิสฺสรณ เราจะมาสลัดตนออกจากทุกข์ทั้งปวง นิพฺพานสจฺฉิกรณตฺถาย เราจะมาทำนิพพานให้แจ้ง นั่นหมายความว่า

เรามีหน้าที่รับผิดชอบต่อตัวเองในการมาศึกษาและปฏิบัติธรรม เพื่อทำความเข้าใจให้แจ้งชัดว่า การมีชีวิตเวียนว่ายตายเกิดในสังสารจักรนี้มีทุกข์มาก และที่เป็นทุกข์เช่นนั้นก็เพราะมีเหตุแห่งความทุกข์เป็นเหตุเป็นปัจจัย ปรุงแต่งสัตว์โลกให้เป็นไป กรรมไม่ดีจึงเป็นทุกข์ ในส่วนที่ทำกรรมดีก็เป็นสุข เมื่อทำทั้งดีและชั่วก็ทุกข์ระคนสุข แม้สุขก็ไม่ถาวร ลงท้ายก็ทุกข์อย่างเก่า

กรรมไม่ดีมีอะไรบ้าง คงไม่ต้องแจกแจง แต่ว่าอย่างน้อยท่านทราบความประพฤติผิดศีลเป็นความประพฤติไม่ดี อุบาสกอุบาสิกามาอยู่ที่นี่จึงตั้งใจรักษาศีล 8 เพื่อที่จะรักษากาย วาจา ใจให้เรียบร้อยดี ไม่มีโทษต่อตนเองและผู้อื่น สามเณรรักษาศีล 10 พระตั้งใจรักษาศีล 227 นั่นจำเพาะที่มีมาในพระปาฏิโมกข์ นอกพระปาฏิโมกข์อีกต่างหาก ก็ต้องการให้สำรวมกาย วาจา ให้เรียบร้อยดีไม่มีโทษ ซึ่งความจริงไม่ใช่ศีล 8 ข้อ 10 ข้อ หรือ 227 ข้อเท่านั้น แต่มีมากกว่านั้นมากมาย อะไรขึ้นชื่อว่ากายทุจริตคือไม่ดีทางกายเป็นอันให้โทษทั้งหมด เราต้องศึกษาว่าที่ไม่ดีนั้นมีอะไรบ้าง

แม้กระทั่งการดูหมอ ก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนดูละ และก็จะไม่ถามหาด้วย แต่ให้ทราบว่าการมาดูหมอไม่ใช่กิจที่พึงกระทำ ณ สถานที่นี้ และในขณะเช่นนี้ เพราะนั้นไม่ใช่ทางให้หลุดพ้น เราจะทำอะไรจะต้องทำเฉพาะในส่วนที่เป็นทางให้หลุดพ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ส่วนผู้ที่มาดูก็ไม่ได้ผลให้เป็นความพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง เพราะว่าถ้าหมอเขาดูว่าชะตาไม่ดี เราก็เสียใจ เป็นห่วงเป็นใยตัวเอง ดีไม่ดีก็ต้องเชื่อหมอว่า ต้องสะเดาะเคราะห์อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถ้าหมอว่าจะดี ก็ลิงโลดดีอกดีใจ ประมาทต่อไปอีก

ที่แท้คนจะดีหรือไม่ดีไม่ต้องดูหมอ ถ้าทำไม่ดี ดูหมอ เอาหมอมาเรียงตั้งแต่นี้ไปถึงกรุงเทพฯ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้าทำดี ไม่ต้องมีหมอเลยสักหมอเดียวก็ดีได้ แต่บางครั้งบางท่านอาจจะนึกว่า เอ๊ะเดี๋ยวนี้ก็ทำดีแล้วแต่ยังไม่ได้ผลดี หรือว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ กรรมเก่ายังไงล่ะ มันกำลังให้ผล หมอก็ช่วยไม่ได้ ถ้าหมอช่วยได้ ไม่ต้องมาสอนให้ปฏิบัติธรรมหรอก

เพราะฉะนั้น เรื่องหมอดูนี่เกือบไม่มีผลเลยในชีวิตถ้าคนที่มีปัญญา เพราะจะดีหรือชั่วอยู่ที่เราทำ เราทำดี ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล หมอดูทำอะไรไม่ได้ ดูก็ไม่เห็นมีอะไรที่จะต้องไปศักดิ์สิทธิ์อะไร เพราะฉะนั้น พูดเรื่องนี้มาก็วกมาถึงเรื่องที่เรามาศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อกระทำคุณความดีให้เกิดความเจริญและสันติสุขและพ้นทุกข์

เราถามตัวเองก่อนว่า ดูหมอช่วยให้พ้นทุกข์ไหม ? ทั้งผู้ดูหมายถึงผู้ที่เป็นหมอ และผู้มาขอให้ดูนั่นแหละ มันใช่ไหมทางพ้นทุกข์ เพราะคนเราจะทุกข์หรือจะสุขจะดีหรือจะชั่วมันอยู่ที่กรรม การกระทำของเราเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรอื่น มีเท่านี้แหละ ไม่ต้องไปหาอะไร ทำดีก็สบาย ทำไม่ดีก็ไม่สบาย มีเท่านี้ ให้เรามารู้ตรงนี้ มีหลักตรงนี้ แล้วสบาย นี้ในเรื่องของที่กล่าวว่าการดูหมอ

แม้กระทั่งไปถึงการใบ้หวย การพนัน เวลาเล่นไปแล้วมันเหมือนผีสิงนะ อาตมาสมัยเป็นคฤหัสถ์ก็เคยเล่นนะการพนัน ไม่ใช่ไม่เคย เล่นอะไรมันติดไอ้นั่นแหละโยม เล่นไพ่ติดไพ่ เล่นหวยติดหวย ซื้อล๊อตเตอรี่ติดล๊อตเตอรี่ ขณะรู้ๆ มันแกะไม่ออกนะโยม เพราะฉะนั้นมันเป็นประเภทผีสิงนะอบายมุขน่ะ มันหนักพอๆ กันกับยาเสพติดนะ เพราะฉะนั้นตัดได้เลิกได้ก็ดี

แล้วนอกจากนั้นผู้ให้หวยอย่านึกว่าดี ทำให้ผู้อื่นติดอบายมุข ตนเองเป็นเปรตด้วย ไม่ว่าเป็นพระเป็นเณรเป็นเถรเป็นชี ไม่เจริญหรอกชีวิตน่ะ ไม่ว่าใคร กายในกายเป็นเปรตตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดสฬายตนะ สฬายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาละที่นี้ ทั้งภวตัณหาชื่นชมยินดี ถ้าเกิดถูกหวย หรือว่าใบ้หวยไปแล้วบังเอิญมันถูก คนอื่นเขาชื่นชม แหมชอบใจ

และก็คนที่ไปตีหวยถูกก็ดีใจ ยึดติด ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นด้วยตัณหาและทิฏฐิ เป็นการกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ ทำให้เกิดภพ ชาติ เกิดเลยตามสายปฏิจสมุปบาทธรรม กายในกาย ณ ภายในเปลี่ยนจากกายสุคติจากกายมนุษย์ละเอียดที่บริสุทธิ์ผ่องใสถ้ามีศีลมีธรรม เป็นกายเปรต เหมือนกายมนุษย์แต่ว่าซ่อมซ่อ ตัวสูงๆ ใหญ่ๆ ตัวเองไม่รู้ แต่หน้าดำๆ หน้าไม่มีราศี และเดี๋ยวก็เดือดร้อน เพราะมันทุกข์ นำไปสู่ความทุกข์ ชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ ก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นก็อุตส่าห์มีแม่ชีมาขอให้หลวงพ่อมาบอกผู้ที่มาปฏิบัติที่ยังหลงผิด ให้ถามตัวเองก่อนปฏิบัติทำไม ? ปฏิบัติเพื่อสลัดตนออกจากทุกข์ ถ้าเราทำอะไรที่มันผูกพันตัวเองเข้าไปสู่ความเป็นทุกข์ ทำทำไม ? และเราต้องรู้ด้วย มันไม่พ้นทุกข์ มันกลับผูกพันตัวเองเข้าไปในทุกข์ เพราะการกระทำของเรา

เพราะฉะนั้นจงเลิกละเสีย และก็ตั้งใจกระทำคุณความดี ให้มีผลเป็นความเจริญและสันติสุขต่อตัวเองและพ้นทุกข์ตามแนวทางพระพุทธศาสนา เริ่มตั้งแต่ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล และก็ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ถึงอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ให้ถึงธรรมโคตรภู โสดา พระสกิทาคา พระอนาคา อรหัต ถึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ละท่านๆ ก็มีสิทธิ์ทำและดำเนินไปในแนวทางนี้ ธรรมะเป็นเครื่องชี้ทางมีอยู่แล้ว ผู้บอกก็มีอยู่แล้ว ท่านจะเดินหรือท่านไม่เดินก็ตัวท่าน อาตมาก็เลยบอกเท่านี้ อันนี้ก็ให้เป็นที่เตือนใจ ให้นึกว่าแม่ชีที่เขียนมานี้คือผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้ จงนึกขอบคุณและอนุโมทนาท่านด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2011, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 17:27
โพสต์: 72


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
มองทาง สำรวจทาง รู้ทุกเส้นทาง เผื่อเจอแยกจะได้จำได้ และเลือกเส้นทางได้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2011, 14:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2011, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 07:32
โพสต์: 95

แนวปฏิบัติ: หลักวิถีธรรมชาติ - อานาปานสติ,บริกรรมภาวนา
ชื่อเล่น: นุ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เริ่มตั้งแต่ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล และก็ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ถึงอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ให้ถึงธรรมโคตรภู โสดา พระสกิทาคา พระอนาคา อรหัต ถึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ละท่านๆ ก็มีสิทธิ์ทำและดำเนินไปในแนวทางนี้ ธรรมะเป็นเครื่องชี้ทางมีอยู่แล้ว ผู้บอกก็มีอยู่แล้ว ท่านจะเดินหรือท่านไม่เดินก็ตัวท่าน อาตมาก็เลยบอกเท่านี้ อันนี้ก็ให้เป็นที่เตือนใจ

:b44: :b8: :b44:

.....................................................
จงทำศีลให้เป็น อธิศีล
ทำจิตให้เเป็น อธิจิต
ทำปัญญาให้เป็น อธิปัญญา


พื้นฐานคุณธรรมความเป็นมนุษย์คือ ศีล๕ กุศลกรรมบถ๑๐ หิริโอตัปปะ และความกตัญญู กตเวทิตา

จุดสูงสุดของการรู้ธรรม เห็นธรรม ก็คือ
...สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2011, 01:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอลิงค์และที่มาด้วยครับ

เพิ่งเคยเห็น.... :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2011, 01:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ใช่สำนวนของหลวงพ่อ ครับ

ขอที่มาด้วย


:b5: :b5: :b5: Onion_L Onion_L Onion_L


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร