วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 03:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ nida nida ผมไม่ได้ต่อว่าอะไรคุณนะครับ เพราะเห็นคุณพูดถึงเรื่องคนหมู่มากหมู่น้อย เลยได้โอกาสแสดงความจริงอย่างหนึ่งให้เห็น ... นึกถึงตอนที่พระสารีบุตรลาอาจารย์สัญชัยมาหาพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรชวนอย่างไรอาจารย์ก็ไม่ไป ชวนให้พระสารีบุตรบริหารคณะด้วยกัน สุดท้าย อาจารย์สัญญชัยถามพระสารีบุตรว่า ในโลกนี้ คนโง่กับคนฉลาดอย่างใหนมีมากกว่ากันล่ะ พระสารีบุตรตอบว่า คนโง่ครับ อาจารย์สัญชัยตอบว่า ถ้างั้นเราขออยู่กับคนโง่ที่นี่ ท่านไปหาคนฉลาดเถิด พอพระสารีบุตรไปจริงๆ อาจารย์สัญญชัยก็ถึงกับกระอักเลือด อยู่ไม่นานก็ตาย

พุทธ เป็นศาสนาที่ว่าด้วยปัญญา เสวนาธรรมต้องได้ปัญญา การที่คุณได้เข้ามาร่วมเสวนาธรรม สิ่งที่คุณจะได้ ก็คือ ปัญญา อันถือเป็นมงคลสูงสุดอย่างหนึ่งในชีวิต

อ้างคำพูด:
ที..อาจารย์ตน..ก็ว่าค้นพบด้วยความอยากลำบาก
แต่ที..กับคนอื่น..ก็ว่า..ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแล้วจะพบมรรคด้วยตัวเอง...เป็นฐานะที่เป็นไปไม่ได้

มรรคก็อยู่ในพระไตรปิฏกนั่นแหละครับ ที่เขาหากันไม่เจอ เพราะทิ้งพระไตรปิฏก ความรู้จากการอ่านก็เป็นสุตตมยปัญญา คือรู้ตามไม่ได้รู้เอง ที่สำคัญ พระไตรปิฏกสังคยนาโดยพระอรหันต์ นับครั้งได้ ๓ ครั้ง นอกจากนั้นเป็นเพียงการแก้เล็กน้อยเรื่องคำกับการจัดหมวดหมู่ ... เพราะมันเป็นกฏมันถึงแก้ไม่ได้ ... ตกลงท่านเริ่มปรมารสพระไตรปิฏกเพื่อปกป้องความเชื่อแล้วนะครับ รู้ตัวหรือเปล่า



พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้ที่บำเพ็ญบุญญาบารมีมา ๔ อสงไขย์กับแสนกัป จนในที่สุด ก็ได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แรกเริ่มการตรัสรู้ ท่านเกิดเป็นเจ้าชาย ท่านมีความสงสัยว่า ทำไมคนต้องเกิดแก่เจ็บตาย และเห็นว่า การบวช เป็นหนทางที่จะค้นพบคำตอบของปัญญานี้ ท่านก็หนีออกบวช ไปขอศีลจากฤาษีพราหมณ์ ๒ ตน คือ อาฬารดาบัส อุทกดาบส ทำสมาธิจนได้ความสงบสูงสุด ท่านก็ไม่พบคำตอบ จึงลาอาจารย์ทั้ง ๒ ไปหาคำตอบด้วยตัวเอง ใช้เวลา ๖ ปี

คืนที่ท่านจะตรัสรู้ ท่านระลึกชาติได้เป็นอันมาก เห็นการเกิดตายของสัตว์ เห็นการกำเนิดและแตกสลายของโลกและจักรวาล ฯ ท่านจึงได้เห็นความจริงของโลกและชีวิต คือเห็นว่า ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม ต่างก็มีลักษณะเหมือนกัน ๓ ประการ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป หรือ แปรปรวนตลอดเวลา ไม่มีอะไรหยุดอยู่กับที่ ที่มันเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่มีการบังเอิญ มันเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว มีเหตุปัจจัยให้เกิดก็ต้องเกิด มีเหตุปัจจัยให้ตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ มีเหตุปัจจัยให้แตกสลายก็ต้องแตกสลาย ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ หรือ สรุปเป็นกฏธรรมชาติ ๒ กฏ ได้แก่ กฏไตรลักษณ์ และกฏของเหตุปัจจัย ซึ่งเป็นความจริงที่แท้จริงของธรรมทั้งปวง

เมื่อท่านมองเห็นความจริงของธรรมชาติแบบนี้แล้ว ท่านก็มาหาต่อว่า การตายก็ต้องมีเหตุปัจจัยสิ การตายต้องไม่เกิดขึ้นมาลอยๆ เพราะมันก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ท่านก็พบว่า การเกิดนี่แหละเป็นเหตุของความตาย เพราะอะไรที่เกิดขึ้นมาตายเรียบไม่มีอะไรรอดเลย เพราะฉะนั้น ดับความเกิดได้ ก็ดับความตายได้

แล้วอะไรเป็นเหตุของความเกิดละ ท่านก็พบว่า เพราะทุกข์ที่คนเราสร้างขึ้นมาเองทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่แหละ ทำให้เราเกิด ดับทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาได้ ก็ดับความเกิด ดับความตาย ดับชาติดับภพได้ ... คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จึงมีแต่เรื่องทุกข์กับการดับทุกข์ เรื่องอื่นๆ ท่านไม่ได้สอน

อะไรคือทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ดับไปได้ด้วยอาการอย่างไร แล้วจะเอาอะไรไปดับ?

ทุกข์มี ๒ อย่าง คือ ทุกข์ตามธรรมชาติ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แก้ไม่ได้ และทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเอง อันเป็นผลมาจากความพอใจไม่พอใจและความหลง ที่เกิดขึ้นประกอบกับ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส และใจคิดนึก ทำให้เกิดความรู้สึก โศกเศร้า โหยหา ดีใจ เสียใจ ฯ ทุกข์จึงเกิดขึ้นนกับเราได้เพียง ๖ ทางเท่านั้น นอกจากนั้นไม่มีทุกข์เกิดขึ้นกับเรา ... ทุกข์ที่เราสร้างเองก็คือเหตุของการเกิดทุกข์ตามธรรมชาติ

ที่มันเกิดเป็นทุกข์ เพราะเรารู้ไม่เท่าทันความพอใจไม่พอใจ ทำให้เราหลง ถ้าเรารู้เท่าทัน ทุกข์ก็เกิดไม่ได้ เมื่อทุกข์เกิดจากความไม่รู้ หรือเป็นเพียงความเห็น ท่านก็ให้เอาความจริงไปดับ

ความจริงอย่างเดียวที่เอาไปดับการเกิดของทุกข์ทั้ง ๖ ทางได้ คือ ความรู้ในกฏธรรมชาติ ๒ กฏ ซึ่งสรุปได้เป็นคำๆ เดียวสั้นๆ ว่า ไม่เที่ยงฯ ให้เอาไม่เที่ยงไปไล่ดับทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราทั้ง ๖ ทาง ทันทีที่ตาเห็นรูป ก็ให้ใส่ความคิดเห็นไปว่า รูปที่เราเห็นด้วยตานี้ อันที่จริง มันก็คือ ธรรมชาติที่ไม่เที่ยงเกิดดับนะ เกิดมาเพราะเหตุปัจจัยมาประชุมกันขั่วคราวแล้วก็ต้องดับไป ถ้าเราคิดเห็นอย่างนี้ประกอบการการมองเห็นในปัจจุบัน ความพอใจไม่พอใจอันเป็นบ่อเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งปวงก็จะไม่เกิดร่วมกับจิตปัจจุบันของเราได้ หรือ ทุกข์และกิเลสตัณหาดับไปทันทีเมื่อเกิดความคิดเห็นเช่นนี้

เมื่อความพอใจไม่พอใจและความหลงไม่เกิด ธรรมชาติตรงกันข้าม คือ ปัญญา จะเกิดขึ้นมาแทนที่ทันทีและจิตจะเก็บปัญญาไว้ในความทรงจำแทนความพอใจไม่พอใจ เรียกว่า การสะสมวิชชาแทนอวิชชา

ความพอใจเรียกภาษาธรรมว่า โลภะ ความไม่พอใจเรียกภาษาธรรมว่า โทสะ ความหลงก็คือ โมหะ หรือ อวิชชา

ปัญญาที่เอามาดับทุกข์ได้ ทำให้เกิด อโลภะ อโทสะ อโมหะ หรือ วิชชา ดังนั้น เมื่อเราพิจารณาผัสสะอารมณ์ตามความเป็นจริงว่า มันไม่เที่ยง แปลว่า อวิชชาดับ วิชชาเกิดแทนที่ จิตจะจำ วิชชาไว้แทนอวิชชา หรือเก็บความจริงไว้แทนความเห็น พูดภาษาคนว่า แทนที่จิตจะจำว่า "รูปสวย" มันก็จะจำว่า "รูปไม่เที่ยง" ไว้แทน

จิตจำว่า รูปไม่เที่ยง แปลเป็นภาษาธรรมว่า เกิด อนิจสัญญา เมื่อเกิดอนิจสัญญา ก็จะเกิด อนัตตสัญญาตามมาด้วยเสมอ

ทุกข์เกิดกับเราทั้ง ๖ ทาง เราก็ต้องดับมันให้ได้ทั้ง ๖ ทาง ดับทันทีเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมมผัส ใจคิดนึก สิ่งที่รู้เห็นไปแล้ว เป็นอดีต ไม่ต้องไปสนใจ สิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็ไม่ต้องสนใจ สนใจเพียงปัจจุบัน เพราะฉะนั้นปัจจุบันอารมณ์ สำคัญที่สุดสำหรับการวิปัสสนา .... ย้ำว่า ต้องทำให้ครบทั้ง ๖ ทาง ถึงจะดับทุกข์ที่เกิดกับเราได้ทั้งหมด แต่ในระยะแรกๆ เราต้องต่อสู้กับความเคยชินเก่า ให้เน้น ตา กับ หู ก่อน เพราะมีอิธิพลต่อการรับรู้ของคนเรามากที่สุด

โลภะ โทสะ โมหะ เป็นกิเลสอันนอนเนื่องอยู่ในจิตใจเรา ในสัญญาของเราสะสมความพอใจไม่พอใจและความหลงไว้ข้ามชาติข้ามภพกลายเป็นความเคยชินที่ละเอียด เพราะฉะนั้นปกติเมื่อเราเกิดการรับรู้ ความพอใจไม่พอใจจะขึ้นมารับอารมณ์และทำให้กลายเป็นเวทนาทันที แต่ถ้าเราวิปัสสนาทัน อวิชชาถึงจะนอนเนื่องอยู่ แต่ถ้ามันไม่เกิดประกบกับจิตปัจจุบัน มันก็ไม่ส่งผลอะไรกับเรา เมื่อเราเอาความจริง หรือ ปัญญาสัมมาทิฐิมาตั้งรับ (คือทิฐิที่เห็นว่ามันไม่เที่ยง) ความเชื่อก็เกิดไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติที่เกิดร่วมกันไม่ได้

ผู้ที่วิปัสสนาแบบนี้เป็นประจำ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ก็คือ ผู้ที่กำลังเดินทางออกจากโลก พ้นโลก ผู้ที่อยู่ในวิถีทางสู่นิพพาน ... ผู้อยู่ในมรรค

โดยปกติ ถ้าเราประมาท ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ก็จะไม่วิปัสสนา เพราะความเคยชินเก่ามีมาก วิปัสสนาเพิ่งจะเริ่มทำ ต่อเมื่อทำติดต่อกันไปต่อเนื่องยาวนาน จนเกิดความเคยชิน เราก็จะวิปัสสนาได้มาก จนระดับหนึ่ง ปัญญาหรือความจริงมีสะสมไว้ในจิตใจเรามากพอที่จะคานกับความเชื่อที่เราสะสมมาได้ เราก็จะเริ่มเห็นสิ่งรอบๆ ตัวตามความเป็นจริงเป็นปกติวิสัย ... เกิดอาการ รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น หรือ ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพญัชนะ ฯ

เมื่อข้ามความเชื่อไปได้ มีความจริงเกิดแทนที่ หรือ ความเห็นผิดดับไป เรียกภาษาธรรมว่า สักกายะทิฐิดับ ความสงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนก็ไม่มี เพราะปฏิบัติแล้วดับได้จริงๆ ตอนนี้ก็ยกพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ไว้เหนือหัว พฤติกรรมการเป็นอยู่ก็เปลี่ยนไปตามความเห็นที่เปลี่ยนไป เรียกว่า วิจิกิจฉาดับ ศีลพตปรมารสดับ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 21:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
มรรคก็อยู่ในพระไตรปิฏกนั่นแหละครับ ที่เขาหากันไม่เจอ เพราะทิ้งพระไตรปิฏก ความรู้จากการอ่านก็เป็นสุตตมยปัญญา คือรู้ตามไม่ได้รู้เอง ที่สำคัญ พระไตรปิฏกสังคยนาโดยพระอรหันต์ นับครั้งได้ ๓ ครั้ง นอกจากนั้นเป็นเพียงการแก้เล็กน้อยเรื่องคำกับการจัดหมวดหมู่ ... เพราะมันเป็นกฏมันถึงแก้ไม่ได้ ... ตกลงท่านเริ่มปรมารสพระไตรปิฏกเพื่อปกป้องความเชื่อแล้วนะครับ รู้ตัวหรือเปล่า


3 ครั้ง.. :b10: :b10:
กระผมไม่มีทางปรามาสพระไตรปิฎก..ได้หรอกครับ...เพราะผมเชื่อครูของกระผม..
ครูสอนว่า...พระไตรปิฎกเหมือนเดิม..ไม่มีผิดเพี้ยนสักนิด..มีแค่คำเดียวที่เขียนเหมือนกันแต่ออกเสียงต่างกันเท่านั้น..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 21:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่..กระผมเห็นคนกำลังปรามาสพระรัตนตรัย...คือ..ท่านซุปฯ..นั้นแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 09:41
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูไม่ได้สนใจคุณพี่ซุปจะกล่าวหรืออธิบายเรื่องอะไรหรอกค่ะเพราะหนังสือและครูหนูก็มีหนูก็ทำความเข้าใจได้เหมือนที่พี่คนอื่นเขาแหละค่ะ
!!!!!!!!!!!!!!!แต่ที่หนูสนใจที่สุด
หนูแค่อยากรู้ว่าทำไมคุณพี่ถึงความคิดผิดแปลกจากคนอื่นแค่นั้นเอง หนูถามพี่รอบนี้รอบที่3แล้ว พี่ก็ไม่ตอบ แล้วทำไมถึงไม่ตอบล่ะค่ะหนูรอคำตอบตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว
(ส่วนที่คุณพี่ซุปบอก คุณกำลาปรามาสพระไตรปิฏก
หนูคิดว่าพี่คงเข้าใจอะไรผิด
แล้วละล่ะค่ะ)(ส่วนเรื่องคนหมู่มากหมู่น้อยที่สำคัญมันไม่ใช่ประเด่นหลักแต่พอพี่พูดมาพี่ไม่นึกแปลกใจบ้างหรอ
ว่าคนหมู่มากหมู่น้อย ณ ตอนนี้มันคืออะไรแล้วพี่จะเลือกอยู่และเข้าใจหลักธรรมแบบไหน
ระหว่างคนหมู่มากที่เข้าใจถูกกับคนหมู่น้อยหรือแค่คุณคนเดียวที่เข้าใจผิด)

.....................................................
เห็นสิ่งใด เอามาคิด พินิจไว้

เพื่อเตือนใจ ตนเอง มิให้หลง

เห็นเขาผิด คิดแก้ตน ให้อาจอง

ใจมั่นคง น้อมมาดู รู้ภายใน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 01:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ายังงั้น ทำข้อตกลงร่วมกันก่อนนะครับว่า พระไตรปิฏกฉบับปัจจุบัน ที่แปลเป็นไทยหรือต้นฉบับบาลี ยังบันทึกคำสอนไว้ครบถ้วน

เพราะฉะนั้น คำสอนที่แตกต่างออกไปจากคำสอนในพระไต่ปิฏก ย่อมไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสหลักมหาประเทศ ๔ ไว้

ที่ผมนำมาแสดง มีตรงใหนที่ขัดกับพระไตรปิฏกบ้าง มีอะไรที่ไม่ใช่พระธรรมบ้าง จากนั้นก็ลองเอสสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้เรียนมารู้มาเทียบธรรมวินัย แล้วดูว่า จัดลงพระสูตรพระวินัยได้หรือเปล่าด้วย

สงฆ์ คือ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า บวชถูกธรรม ไม่ได้ไปบวชกับพระปราชิก เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงไปที่การดับทุกข์ สอนเฉพาะเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์ดังพระปาติโมกข์ ถ้าบวช ศีล ๔ หรือปราชิกศีลต้องไม่ผิดเลย ถ้านอกเหนือจากนี้ ก็ไม่ใช่สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ใช่ใหมครับ?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 04:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nida nida เขียน:
ถ้าคุณพี่ซุป ย้อนกลับไปดูกระทู้สักนิดนะค่ะแล้วอยากให้คุณพี่ซุปอ่านใหม่ว่าหนูไม่ได้ว่า
อะไรพี่เลย หนูแค่ถามด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ๆที่ตอบกระทู้นี้มาหลายวันถึงมีแค่คนๆเดียวความคิดเห็นไม่ตรงกับพี่ๆคนอื่นทั้งๆที่พี่ๆคนอื่นมีความเห็นคล้ายกันหมดช่วยตอบหนูหน่อย?แค่นี้เองที่หนูอยากรู้?แต่คุณพี่ซุปกลับถามหนูว่า
คนฉลาดกับคนโง่ใครมีมากกว่ากัน(หนูตอบได้อย่างไม่คิดเลย)(ว่าหนูพร้อมจะโง่เสมอ)เพราะการที่ฉลาดกว่าก็คงไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับหนูอยู่แล้ว!(หนูพร้อมจะโง่เสมอเพราะมันคงจะทำให้หนูรู้อะไรอีกหลายๆอย่างมากกว่านี้
หนูยอมเป็นน้ำครึ่งแก้วดีกว่าเป็นน้ำเต็มแก้วค่ะ) สาธุ สาธุ

ขอยุ่งหน่อยนะครับ ว่าจะไม่ยุ่งแล้วเชี่ยว แค่เอาใจช่วยคุณซุปแกอยู่เงียบ ชอบครับ
ประเภท1ต่อ10 ไม่กลัวใคร นี่แค่คนเดียวยังรู้จักให้เหตุผลตั้งมากมายทุกความเห็น
ผิดกลับฝ่ายพวกมาก หาไม่เหตุผลไม่ค่อยได้ มีแต่วาจาลีลายียวน ดีครับแบบนี้
คนนอกเขามองง่ายดี

คุณนิดาครับ ผมอยากให้คุณเปลียนความเห็นใหม่ครับ พระธรรมไม่ใช่การเมืองนะครับ
มันไม่เกี่ยวว่าพวกมากจะต้องถูก สาเหตุที่มีการรวมกลุ่ม มีพวกมากมันเกิดจากการไม่รู้จักใช้
ปัญญาของตัวหรืออาจเรียกว่าไม่มีปัญญาก็ได้ครับ คนขาดปัญญามักจะมองสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ
แบบง่ายๆว่าถูกว่าต้อง รังเกียจการพิจารณาหาเหตุผล ในสังคมจึงมีคนโง่มากกว่าคนฉลาด

คุณนิดาครับ ถ้าคุณรู้จักใช้เหตุใช้ผลแล้วล่ะก็ บางทีตัวคุณก็อาจจะไม่อยู่ในกลุ่ม
ของคนพวกมากหรือพวกน้อย แต่จะเป็นคนกลุ่มที่สามก็ได้ครับ


อีกอย่างครับ กับสำนวนน้ำเต็มแก้ว การเอาสำนวนนี้มาใช้ในการแสดงความเห็น
มันไม่ใช่การแสดงการถ่อมตัวเลยครับแต่มันเป็นอาการของการประชดประชัน
ซึ่งดูๆแล้วมันไม่งามครับ ผมมีความรู้สีกว่าคุณยังเด็กครับ เลยมาเตือน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nida nida เขียน:
ไม่ได้อยากจะรบกวนนะค่ะถ้ารบกวนก็ขอโทษพี่ๆด้วยนะค่ะ
แต่หนูอ่านกระทู้นี้มาหลายวันแล้วเลยอยากถามอะไรสักหน่อยในฐานะเด็กกว่าที่ยังไม่รู้? หนูรู้สึกว่ากระทู้ที่เขียนต่อๆ
กันมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว
ซึ่งก็มีพี่ๆหลายๆคนเข้ามา
ตอบกระทู้ให้ความเห็นกันมาก
มาย"แต่เท่าที่หนูติดตามอ่านมา หนูรู้สึกว่ามีแค่(คนเดียว)ที่ความคิดเห็นแตกต่างจากคน
อื่นหรือพูดง่ายๆก็คือ1ใน10
9คนเห็นด้วยและเข้าใจค่อน
ข้างตรงกันแต่มันเป็นเพราะ
สาเหตุใดค่ะถึงทำให้พี่1ในนั้นมีความคิดที่เหนือกว่าหรือ
แตกต่างจากพี่ๆคนอื่น(ตอบหนูหน่อยได้ไหมค่ะ)หนูอยากรู้(หากมีข้อความไหนทำให้พี่โกรธหนูขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วย ค่ะ)

คุณนิดาครับ เดียวจะหาว่าดีแต่ว่า ไม่ช่วยแก้ปัญหา เรื่องที่คุณถามปัญหา1ต่อ10
แล้วสงสัยว่า ทำไมคนเดียวความเห็นต่างออกไป

ผมอยากให้คุณมองดูภาพใหญ่ครับ คุณลองดูครับว่าในโลกนี้ศาสนาใดมีคนนับถือมากที่สุดครับ
คุณอย่าเข้าใจว่าเป็นศาสนาพุทธนะครับ ศาสนาพุทธเป็นเพียงแค่อันดับสาม ถ้าคุณเข้าใจว่า
การมีพวกมากแล้วจะเป็นฝ่ายถูก ผมว่าไม่มีใครมานับถือพุทธหรอกครับ เขาคงหนีไปนับถือคริสต์
นับถืออิสลามกันหมดแล้ว

มันขึ้นอยู่กับศรัทธาและที่สำคัญต้องอาศัยความเข้าใจในหลักของศาสนาครับ
ศาสนาพุทธสอนให้คนใช้เหตุผล สอนให้รู้จักการใช้ปัญญาคิดตริตรองพระธรรม
ส่วนศาสนาอื่นสอนให้คนต้องปฏิบัติตามคำสอน ไม่ต้องคิดไม่ต้องพิจารณา
ความยากง่ายมันอยู่ตรงนี้ สิ่งที่ยากมันย่อมทำได้น้อยกว่า สิ่งที่ง่ายอยู่แล้วครับ

ยกตัวอย่างง่ายๆในสังคมของเรา มีทั้งหมอ มีช่าง มีกรรมกร คุณว่า
อาชีพเหล่านี้อันไหนมีมากอันไหนมีน้อยครับ มันต้องอาศัยความสามารถสติปัญญา
อาชีพหมอถึงมีน้อยกว่าช่าง ช่างมีน้อยกว่ากรรมกรครับ


สรุปที่คุณเห็น ในกระทู้นี้ 1คนนั้นก็คือหมอ ส่วน9คนก็คือกรรมกรครับ
หวังว่าคงเข้าใจ เรื่องพวกมากพวกน้อย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 09:41
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาเหตุ!จริงแล้ว!"แค่อยากรู้ว่าเพราะอะไรแค่นั้นเอง!แต่ก็ไม่คิดว่าคุณพี่ทั้ง2จะมองอีก
ในแง่มุมนึง!การที่เด็กอายุน้อยกว่าอยากจะถามคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยความไม่เข้าใจมันผิดตรงไหนล่ะค่ะคุณพี่ทั้ง2และที่ตอบกระทู้มาคุณว่าเป็นการยียวนแล้วคุณได้อ่านกระทู้นี้และก่อนหน้านี้หรือยังค่ะ
"ส่วนการถ่อมตัวหนูถ่อมตัว
เสมอค่ะ"แต่เฉพาะบุคคล"ผู้ใหญ่คนไหนที่มี จริยธรรม ถึงเขาจะไม่ฉลาดสู้พี่2คนไม่ได้ดิฉันก็ยังให้ความเกรงใจและเคารพเสมอ แต่คนที่ไม่มี
จริยธรรม ในการชีแนะ
บุลคลประเภทนี้"ดิฉันขอยกเว้นค่ะ"

คนไม่รู้มีสิทธิ์ถามได้ไม่ใช่หรอค่ะแต่ถามไปก็คงแค่นั้นแหละค่ะไม่รู้ใครว่าใครกันแน่เอาเป็นว่าคนโง่ก็คือคนโง่ถึงจะโง่ก็คงไม่ได้เสียหายอะไร
ค่ะคุณพี่แต่ก็คิดอยู่เสมอว่าเป็นคนไม่รู้เลยดีกว่ารู้มากเกินไปจนเข้าใจผิด
ส่วนคนฉลาดแบบคุณพี่ทั้ง2ก็ขอให้ เจริญในธรรมนะค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ

.....................................................
เห็นสิ่งใด เอามาคิด พินิจไว้

เพื่อเตือนใจ ตนเอง มิให้หลง

เห็นเขาผิด คิดแก้ตน ให้อาจอง

ใจมั่นคง น้อมมาดู รู้ภายใน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 09:41
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศาสนาสอนให้คนทุกคนเป็นคนดี คนที่ปฏิบัติธรรมะ
ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้รู้ไป
ซะทุกอย่า ทุกเรื่อง
แต่คนปฏิบัติธรรม ข้อสำคัญต้องมีจิตใจที่ดีเป็นอันดับแรกก่อนจริงไหมค่ะ

.....................................................
เห็นสิ่งใด เอามาคิด พินิจไว้

เพื่อเตือนใจ ตนเอง มิให้หลง

เห็นเขาผิด คิดแก้ตน ให้อาจอง

ใจมั่นคง น้อมมาดู รู้ภายใน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 10:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


การเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นเกาะ เอาธรรมเป็นที่พึ่ง คือ เอาความจริงเป็นเกาะ เอาความจริงเป็นที่พึ่ง พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ผู้ที่มีความจริง คือ มีปัญญาที่ดับทุกข์แล้ว บุคคลผู้นั้นจึงถือได้ว่า มีตนอันเป็นที่พึ่งของตนได้แล้ว ... สูตรนี้พระพุทธองค์สอนพระอริยะ มีหมายความว่า มีแต่อริยบุคคลเท่านั้นที่มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ปุถุชนยังพึ่งตนไม่ได้

สาวกคือผู้รู้ตามเห็นตาม เพระได้สดับรับฟังความจริงจากสัตตบุรุษ เมื่อได้ปฏิบัติจนรู้เองเห็นเองแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อใครในคำสอนของพระศาสดา

เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า ทำไมแสดงธรรมเช่นนี้ คำตอบก็คือ ถ้าไม่แสดงเช่นนี้ก็ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่โพธิธรรมที่เอาไปดับทุกข์ได้ ที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะได้ปฏิบัติจนได้รู้เองเห็นเอง สิ่งที่นำมาแสดง ไม่ใช่ความเชื่อ ไม่ใช่เพียงอ่านมามาก รู้มามาก หรือมาจากความตรึก มาจากรู้เห็นแล้วก็เอามาบอก เท่านั้น

เรื่องใหนดูยาก รู้ยาก ก็ให้ยกไว้ก่อน แล้วของเอาวิธีการดับทุกข์ไปปฏิบัติดู วิปัสสนามันก็ง่ายๆ ไม่ได้ลงทุนอะไรเลย เมื่อความทุกข์มาจากความคิดเห็นที่ไม่ถูกเมื่อเกิดการเรารับรู้ ก็แค่เอาความเห็นถูก เห็นด้วยปัญญาอันชอบใส่ลงไปแทน เท่านี้ทุกข์ก็ไม่เกิด พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า มันจะเป็นกุศลหรืออกุศลตัวท่านก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง

รู้ความจริงเห็นความจริงเท่าทันปัจจุบันอารมณ์ เห็นถูกคิดถูกก็ไม่ทุกข์ เห็นผิิดคิดผิดก็ทุกข์ ... มรรค สรุปง่ายๆ ได้เพียงเท่านี้

Quote Tipitaka:
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัส
เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระผู้มีพระภาค
แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นของไม่เที่ยง สิ่งใด
ไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
สิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่
ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา หูเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ จมูก
เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ลิ้นเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ กายเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ใจ
เป็นของไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็น
อนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความ
เป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน
จักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในหู ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจมูก ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในลิ้น
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในใจ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลาย-
*กำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้
ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ
ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b16:
...ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของผู้เลิศโลกหนึ่งเดียวที่สิ้นกิเลสแล้วจึงประกาศคำสอน...
...พระศาสดาคือพระพุทธเจ้า...เป็นพระก็คือเป็นผู้มีความรู้อันประเสริฐเลิศในโลก...
...ที่ทรงค้นคิดวิธีทำลายกิเลสอาสาวะในจิตใจให้สิ้นไปกลายเป็นพุทธะ...รู้แจ้งโลก...
...เพราะทรงสอนความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้อย่างละเอียดและลึกซึ้งอย่างยิ่ง...
...ปุถุชนคนหนาแน่นด้วยกิเลสไม่อาจคิดหรือด้นเดาได้ถึงความจริงที่กำลังปรากฎ...
...นอกจากการได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนแล้ว...กต้องคิดค้นตาม...ไม่มีวิธีอื่น...
...เพราะเห็นปุ๊บก็เป็นคน สัตว์ สิ่งของ...ก็คือไม่เข้าใจในพระธรรมคำสอน...
...ความจริงของพระธรรมคำสอนที่ทรงแสดงว่าธรรมเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...
...ทุกคนไม่อาจเห็นความละเอียดของสภาพความจริงที่ทรงแสดงว่าไม่มีคน สัตว์ สิ่งของได้ทันที...
...จึงต้องฟังและคิดค้นตามพระธรรมคำสอนที่ละเอียดอยางยิ่งจนกว่าจะเริ่มเข้าใจขึ้นเท่านั้น...
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nida nida เขียน:
สาเหตุ!จริงแล้ว!"แค่อยากรู้ว่าเพราะอะไรแค่นั้นเอง!แต่ก็ไม่คิดว่าคุณพี่ทั้ง2จะมองอีก
ในแง่มุมนึง!การที่เด็กอายุน้อยกว่าอยากจะถามคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยความไม่เข้าใจมันผิดตรงไหนล่ะค่ะคุณพี่ทั้ง2และที่ตอบกระทู้มาคุณว่าเป็นการยียวนแล้วคุณได้อ่านกระทู้นี้และก่อนหน้านี้หรือยังค่ะ
"ส่วนการถ่อมตัวหนูถ่อมตัว
เสมอค่ะ"แต่เฉพาะบุคคล"ผู้ใหญ่คนไหนที่มี จริยธรรม ถึงเขาจะไม่ฉลาดสู้พี่2คนไม่ได้ดิฉันก็ยังให้ความเกรงใจและเคารพเสมอ แต่คนที่ไม่มี
จริยธรรม ในการชีแนะ
บุลคลประเภทนี้"ดิฉันขอยกเว้นค่ะ"

คนไม่รู้มีสิทธิ์ถามได้ไม่ใช่หรอค่ะแต่ถามไปก็คงแค่นั้นแหละค่ะไม่รู้ใครว่าใครกันแน่เอาเป็นว่าคนโง่ก็คือคนโง่ถึงจะโง่ก็คงไม่ได้เสียหายอะไร
ค่ะคุณพี่แต่ก็คิดอยู่เสมอว่าเป็นคนไม่รู้เลยดีกว่ารู้มากเกินไปจนเข้าใจผิด
ส่วนคนฉลาดแบบคุณพี่ทั้ง2ก็ขอให้ เจริญในธรรมนะค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ

เอ้าไปกันใหญ่แล้ว แทนที่จะมองธรรม ที่คนอื่นมีน้ำใจมอบให้ ดันไปมองอารมณ์ตัวเอง
ผมว่าแบบนี้ไปได้ไกลแค่หน้าประตูโบสถ์

ที่ว่าพูดจายียวน ผมว่าพวกขาประจำเขาครับ คุณมาใหม่คงไม่รู้
ส่วนเรื่องการถ่อมตัว ผมไม่ได้ว่าหนูถ่อมตัว แต่ผมว่าหนูพูดจาประชดคุณซุปเขา

เรื่องการถามทุกคนมีสิทธิถาม แต่คำตอบที่จะได้รับมันขึ้นอยู่กับ รูปแบบที่ถามครับ
ที่สำคัญเขาได้อธิบายในสิ่งที่หนูต้องการรู้หรือเปล่า
ถ้าเขาได้อธิบายมา แต่หนูไม่สนใจ ไปสนใจแต่ในสิ่งที่เป็นอกุศล
ผมว่า ที่หนูพูดมันเหมาะกับหนูแล้วที่ว่า " เป็นคนไม่รู้ดีกว่ารู้มากเกินไป"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักษา เขียน:
เอ่อ....คุณโฮฮับครับ ผมว่าเรากำลังออกนอกประเด็นขึ้นเรื่อยๆแล้วนะครับ
วกกลับมาบ้างก็ได้นะครับ เรากำลังคุยกันเรื่อง นั่งสมาธิแล้วโดนเปรตครอบงำ
อยู่ครับ กลับมาครับ กลับมา
:b12: :b12: :b12:

เรื่องนอกประเด็นนี่ผมว่า ถ้าคุณจะว่าต้องไปว่าน้องเขาครับ
ผมเห็นเขาสงสัยเรื่อง "พวกมากพวกน้อย" ก็คุยให้น้องเขาฟัง

คุณทักษาครับ ก่อนที่จะเขาประเด็นผมว่าคุณไปทำความเข้าใจเรื่องของ
"โคลัมบัส"กับเรื่อง"สองพี่น้องตระกูลไร้ท์"ให้ดีเสียก่อนดีมั้ยครับ

ผมว่าคุณกำลังปล่อยไก่ฝูงใหญ่อยู่นะครับ
ทักษา เขียน:
โคลัมบัส บอกว่าโลกกลม ทั้งๆที่คนทั้งโลกบอกว่าโลกแบน คนทั้งโลก
จึงรุมประนามว่าโคลัมบัสเป็นคนบ้า สติไม่สมประกอบ ที่คิดไม่เหมือนคนอื่น
มีอย่างที่ไหนโลกกลม บ้าแน่ๆ อันเป็นเหตุให้โคลัมบัสต้องออกเดินทางเพื่อ
พิสูจน์ว่าโลกกลมจนค้นพบทวีปอเมริกาในเวลาต่อมา และทุกคนก็ได้รู้ว่า
ความจริงแล้วโลกมันกลมตามที่โคลัมบัสกล่าวไว้ ทั้งๆที่ก่นหน้านี้บอกว่าโคลัมบัส
เป็นคนบ้าที่คิดไม่เหมือนคนอื่นอยู่คนเดียว

ใครกันแน่ครับที่บอกว่าโลกกลม คนที่บอกว่าโลกกลมเป็นคนแรกคือ
กาลิเลโอ บิดาแห่งดาราศาสตร์ ต่างหากล่ะครับ

โคลัมบัสแค่ ใช้ทฤษฎีของกาลิเลโอมาอ้างในการเดินเรือเท่านั้นครับ
ทักษา เขียน:
อีกตัวอย่าง
สองพี่น้องตระกูลไรต์ บอกว่าตนเองจะขึ้นไปบินเหมือนนกให้ได้ คนทั้งประเทศ
บอกว่าสองคนนี้บ้า คิดได้ยังไงว่าจะบินได้เหมือนนก เสียสติ เพ้อเจ้อแน่ๆ จนทำ
ให้สองพี่น้องทำการทดลองจนสร้างเครื่องร่อนบินบนฟ้าได้สำเร็จ ซึ่งเป็นที่มาของ
เครื่องบินที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันไงครับ และทุกคนก็ได้รู้ว่าสิงที่สองพี่นองคิดเขา
สามารถทำได้จริงๆ บินบนฟ้าได้จริงๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้า คนทั้งประเทศบอกว่าเขาบ้า

แล้วเรื่องที่คนอื่นบอกว่า สองพี่น้องตระกูลไร้ท์บ้า อยากรู้ครับว่าใคร
ผมว่าคนๆนั้นมัวไปงมโข่งอยู่ที่ไหนครับ เพราะมีคนบินได้เหมือนนกก่อนตระกูลไร้ท์
เสียอีกครับ เป็นใครไปหาเอาเอง แล้วที่แน่ๆทษฤฎีการบิน ผู้ที่คิดค้นคือ
เลียวโอนาโด นาวินซีครับ ไอ้สองพื่น้องนี้มันแค่นักเลี่ยนแบบครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 14:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 09:41
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ผมว่าแบบนี้ไปได้ไกลแค่หน้าประตูโบสถ์

ที่ว่าพูดจายียวน ผมว่าพวกขาประจำเขาครับ คุณมาใหม่คงไม่รู้
ส่วนเรื่องการถ่อมตัว ผมไม่ได้ว่าหนูถ่อมตัว แต่ผมว่าหนูพูดจาประชดคุณซุปเขา

เรื่องการถามทุกคนมีสิทธิถาม แต่คำตอบที่จะได้รับมันขึ้นอยู่กับ รูปแบบที่ถามครับ
ที่สำคัญเขาได้อธิบายในสิ่งที่หนูต้องการรู้หรือเปล่า
ถ้าเขาได้อธิบายมา แต่หนูไม่สนใจ ไปสนใจแต่ในสิ่งที่เป็นอกุศล
ผมว่า ที่หนูพูดมันเหมาะกับหนูแล้วที่ว่า " เป็นคนไม่รู้ดีกว่ารู้มากเกินไป"


b14: :b14: :b14: เอาเป็นว่าถ้าหนูพูดประชดก็ขอโทษด้วยแล้วกัน ส่วนใครจะว่ายังไงหนูไม่ว่าหรอกค่ะ
เข้าใจอยู่ว่าพี่บางคนอาจจะ(หวังดี) แต่... :b7: :b14: :b10: :b4: ที่พี่เขียนว่า
(ผมว่า ที่หนูพูดมันเหมาะกับหนูแล้วที่ว่า " เป็นคนไม่รู้ดีกว่ารู้มากเกินไป")มันก็จริง แต่หนูก็ไม่ได้แสดงความรู้ซะทุกเรื่องจนมากเกินไปไม่ใช่หรอค่ะก็แค่ถามดูเฉยๆมันผิด ตรงไหน ยัง งง อยู่ :b10: :b5: :b24: :b25: :b23: :b21: :b21: :b21:

.....................................................
เห็นสิ่งใด เอามาคิด พินิจไว้

เพื่อเตือนใจ ตนเอง มิให้หลง

เห็นเขาผิด คิดแก้ตน ให้อาจอง

ใจมั่นคง น้อมมาดู รู้ภายใน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2011, 14:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 09:41
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อันนี้เริ่มเห็นแล้วว่าคุณกำลังวิจารณ์ผู้อื่นอย่างเจ็บแสบ แบบเหน็บแนม ก็ไหนบอกว่าเป็นเด็กไง
ทำไมไปวิจารณ์(ด่า)ผู้ใหญ่อย่างเจ็บแสบขนาดนั้น ผมมองตรงนี้ว่า ก้าวร้าวนะ
[/quote]
ทักษา เขียน:
อันนี้ทั้งจิก ทั้งกัด ทั้งข่วน คนดีที่ไหนเขาทำกัน ยิ่งเป็นเด็กกว่าเขาคงไม่ทำกันนะ

ไม่ได้เข้าข้างคุณ โฮฮับหรอกนะ คุณ nida nada แต่เท่าที่มองดูแล้วคุณเป็อย่างนั้นจริงๆ
คุณอาจไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นะ แตถ้าคุณอ่านโดยไม่มีอคตินะ คุณจะเห็นว่าผมหวังดีนะ



:b13: :b12: :b1: :b6: :b8: :b8: ขอบคุณในความหวังดีค่ะ เรื่องนี่เข้าใจอยู่
(ส่วนเรื่อง ก้าวร้าว ก็รู้ตัวอยู่ ไม่ใช่ไม่รู้ตัว) :b5: :b5: :b9: :b19: :b7: :b11: :b19: แต่หนูก็ถามพี่เขาดีๆแต่กลับได้คำตอบ มาอีกแบบ นึง แล้วคำตอบพวกนี้ผู้ใหญ่ดีๆ ที่ไหนเขาพูดกันล่ะค่ะคุณพี่ :b5: :b25: :b24: :b25: :b24:

.....................................................
เห็นสิ่งใด เอามาคิด พินิจไว้

เพื่อเตือนใจ ตนเอง มิให้หลง

เห็นเขาผิด คิดแก้ตน ให้อาจอง

ใจมั่นคง น้อมมาดู รู้ภายใน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร