วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 17:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พระุทธเจ้าตรัสรู้ โดยการเข้าสมาธิ ฯ มันเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่วิสัยของสาวก สูตรพวกนี้ พระพุทธเจ้าเล่าให้ฟัง เพราะมีคนมาถามว่าท่านไม่มีอาจารย์แล้วท่านรู้เองได้อย่างไร ไม่ได้บอกให้ทำ หรือถ้าคิดว่าท่านบำเพ็ญมาพอที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็ทำไปเลย

ใน ฌานสูตร พระพุทธองค์สอนพระอริยะที่เป็นพระเสขะ หรือจะบอกว่ากท่านก็คือภิกษุ เป็นอริยะสงฆ์เหมือนกัน และยังมีขยายความต่อ เนื้อความต่อจากนี้ ก็คือ ให้พิจาณาว่า ธรรมทั้งปวงที่ปรากฏในสมาธิว่ามันไม่เที่ยง ฯ

สุขในสมาธิของอริยะ เกิดจาก อุปธิวิเวก ก่อนเป็นอันดับแรก คือ ฝึกอบรมจิตจนไม่เกิดการปรุงแต่ง ไม่ยึดมั่นถือมั่น จิตก็สงบเป็นสมาธิ แปลว่า วิปัสสนาจนได้อย่างน้อยโสดาปัตติผลก่อน แล้วจะเกิดอัปนาสมาธิตามมาได้ แต่ก็ไม่ได้เกิดกับพระอริยะทุกรูปหรอกนะครับ บางรูปถึงอรหันต์ท่านก็ไม่ได้ฌาน ... เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของอริยสงฆ์ ไม่ใช่เรื่องของฆราวาส ไม่ใช่เรื่องของปุถุชน ไม่ได้บอกว่า ทุกคนจะบรรลุธรรมได้ต้องมีสมาธิถึงฌาน

คงามสงบในสมาธิ ถ้าไครไปติดแล้ว ลากออกมายาก ติดยิ่งกว่าติดยาเสพติดอีก สุขที่ได้จากปัญญาประหารกิเลสได้ ปราณีตยิ่งกว่า ของดีกว่ารออยู่ข้างหน้า พวกไม่รู้ ได้แค่นั้นก็เอาแค่นั้น ผมได้พบทั้ง ๒ สภาวะ จึงแสดงได้เต็มปากเต็มคำว่า มันหนังคนละม้วน และมันก็เป็นเรื่องเฉพาะตน อธิบายยาก ... ปิติก็เกิดขึ้นได้ทั้งวันจากการวิปัสสนา สมาธิแหลมมายังต้องฆ่ามันทิ้ง

การอบรมจิต ก็คือการวิปัสสนา เอาความจริงใส่ให้จิตรู้ ไม่ได้ให้ไปนั่งสมาธิ ... เวลาท่านอ่านพระไตรปิฏก ดูดีๆ ก่อนว่า พระพุทธองค์สอนบุคคลคนระดับใหน (บุคคลมี ๑๒ ประเภท) เป็นคนธรรมดา เป็นอริยบุคคล เป็นพระเสขะหรือพะรอะเสขะ ไม่เช่นนั้น ท่านก็จะมั่วไปเอาสูตรที่พระพุทธองค์สอนพระอริยสงฆ์ที่เป็นพระเสขะมาปฏิบัติ ผลที่ออกมาก็คือ สมถะที่มีแต่ความสงบเหมือนหินทับหญ้าเท่านั้น

ท่านกบฯ โสดาบันบุคคลกับพระโสดาบันไม่เหมือนกันนะครับ โสดาบันบุคคลไม่ได้บวช มีชีวิตปกติเหมือนทุกๆ ท่านแหละ แต่อยู่ด้วยปัญญาสัมมาทิฐิ ถ้าบวชแล้วถึงจะได้เป็นพระโสดาบัน ต้องรักษาศีล ๒๒๗ ข้อ บารมีทางธรรมต่างกันเยอะ

ปัญญาสัมมาทิฐิ เอาไว้ดับความเห็นผิด หรือดับสักกายะทิฐิ เมื่อมันดับได้จริงๆ ก็ไม่มีใครสงสัยหรอกครับว่าคำสอนพระพุทธเจ้าดับทุกข์ได้จริง ตอนนี้ยกพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ไว้หนือหัวเลย พฤติกรรมการเป็นอยู่ก็เปลี่ยนตามปัญญาที่ได้ ที่เรียกว่า ศีลพตปรารสดับ ... โลภ โกรธ หลง ยังอยู่ครบ ถ้าประมาทโดนมันเล่นได้ทันทีเหมือนกัน ... มันก็เป็นไปตามธรรมแบบนี้แหละ

เรื่องพระอริยะรูปสุดท้าย มาจากท่านสินธพ เมื่อท่านบรรลุโสดาบัน ท่านระลึกชาติได้ เพราะชาติก่อนๆ ท่านเป็นฤาษีที่ทรงฌานอภิญญาที่สุดท่านหนึ่ง สมัยต่อๆ มาท่านก็ได้บวชเป็นพระอีกหลายชาติ ทำให้ท่านเกิดญานทัศนะเมื่อได้โสดาปัตติผล ตอนนี้ท่านปฏิบัติถึงอนาคามีมรรค ถือเป็นอริยะบุคคลที่บรรลุธรรมขั้นสูงสุดตอนนี้แล้ว

ในสมัยพระเจ้าอโศกฯ พระอรหันต์รู้ด้วยญานว่า พุทธจะไม่สามารถตั้งอยู่ในอินเดียได้ถึง พ.ศ. ๕๐๐๐ จึงมีการวางแผนที่จะอพยพออกจากอินเดีย ท่านก็พบว่า ในแดนสุวรรณภูมิ หรือบ้านเราเป็นดินแดนที่สงบ สามารถนำศาสนาพุทธมาตั้งได้ถึงสิ้นอายุพระศาสนาของพระพุทธเจ้าโคตมะ จึงได้มีการเตรียมการวางแผนโยกย้าย โดยมีการรวบรวมสมบัติของศาสนาทั้งหมดมาเก็บไว้ในเมืองไทย มีการย้ายมา ๒ ครั้ง คือ ราวๆ พ.ศ. ๗๐๐ และ พ.ศ. ๙๔๕ หลังจาก พ.ศ. ๙๔๕ พุทธก็ถือว่าหมดไปจากอินเดีย จากนั้นก็เป็นยุคงรุ่งเรืองของมหายานตันตระในอินเดีย

พ.ศ. ๙๔๕ มีพระเถระ อนุเถระ อุบาสก อุบาสิกาที่เหลือทั้งหมด ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองไทย ในอินเดียไม่มีเหลือเลย มาตั้งฐานอยู่ที่บริเวณนครลัพพะ หรือ เมืองลำพูนในปัจจุบัน มีพระอรหันต์เหลือเพียง ๙ รูปเท่านั้น จากนั้นก็มีพระอนุเถระมาบรรลุอรหันต์ที่นี่อีก ๑๐ รูป มีคนลำพูนบวชได้บรรลุอรหันต์อีก ๕ รูป รวมทั้งหมด มี ๒๔ รูป ทั้งหมดมาดับขันธ์ฯ ที่ในเมืองลำพูน พระอรหันต์รูปสุดท้าย ชื่อ พระไชยยะเถระเป็นคนลำพูน ดับขันธ์เมื่อ พ.ศ. ๑๐๗๙ จากนั้นก็นับว่า โลกขาดอริยบุคคล ... คำสอนเพื่อดับทุกข์ก็หายไปด้วย

ระหว่างที่พระสูตรพระอภิธรรมเลือนหาย ก็ยังคงมีพระวินัยเท่านั้นที่เหลืออยู่ พุทธจึงได้ชื่อว่า ยังตั้งอยู่ในโลก มีพระสมมุติสงฆ์รักษาพุทธศาสนาไว้มาถึงปัจจุบัน ในระหว่างนี้ มีพระเกจิอาจารย์ ที่หลายท่านเชื่อว่าเป็นอริยสงฆ์ มาจำวัดที่ดอยไซหลายรูป เพราะท่านเหล่านี้ ทำสมาธิจนได้ฌานอภิญญา ก็รู้ว่า ที่ดอยไซ มีสิ่งวิเศษอยู่ แต่ท่านก็ไม่รู้ว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกเก็บรวบรวมมารักษาไว้ที่นี่ อาจารย์โตพรมรังษีมาจำวัดอยู่ที่นี่ ๓๐ ปี หลวงปู่ทวดมาอยู่ ๖ ปีตอนสังฆยานาพระไตรปิฏก หลวงปู่แหวน ครูบาศีวิชัย ฯ ทั้งหมดเคยมาอยู่ที่นี่ทั้งนั้น หลักฐานยังมีอยู่ครบ ... ในบริเวณนี้ เครื่องบินจะไม่บินผ่าน พวกนักบินบอกว่า เครื่องมันจะรวนๆ เข็มมันส่ายๆ หลายคนก็มาดูว่า มันมีอะไรที่นี่

จนมาถึง พ.ศ. ๒๕๒๕ เมื่อท่านสินธพศึกษาพระไตรปิฏกจนจบ (อดีตชาติท่านเป็นเปรียญ ๑๘ ประโยค) และเห็นว่าพระสอนเราผิดมาพันกว่าปี ท่านลองผิดลองถูกถึง ๒๕ ปี จนบรรลุเป็นโสดาบันบุคคลในที่สุด ท่านก็พยายามเอาสิ่งที่พบมาสอน ตอนนี้มีคนรู้ตาม และปฏบิัติได้สูงสุดเป็นสกิทาคามีหลายท่าน

เรื่องนี้มันยาว ถ้าจะให้เล่าจริงๆ คงต้องมานั่งฟัง มันเกี่ยวเนื่องกันหลายเรื่อง รวมไปถึงเรื่องการกำเนิดฤาษีพุทธในลำพูนด้วย ฯ

ตอนนี้เราจึงมีหลักฐาน เป็นพยายเอกสาร คือ พระไตรปิฏก พยานวัตถุ คือ สิ่งที่พระอรหันต์ขนมาจากอินเดียเก็บไว้ในถ้ำที่ดอยไซ พยานบุคคล คือ อาจารย์สินธพ ประจักษพยาน คือ ผู้ที่ปฏิบัติตามแล้วได้บรรลุเป็นอริยะบุคคล ๒๐๐ ท่าน เพราะฉะนั้น ก็ถือได้ว่า อาจารย์สินธพได้นำพุทธศาสนากลับมาตั้งในโลกได้อย่างมั่นคงสำเร็จ ตามสัจจะอธิฐานที่ท่านได้ตั้งไว้ตั้งแต่เมื่อสมัยพุทธกาล ...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 23:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจากอาจารย์สินธพแล้ว...รู้ได้อย่างไร...ว่า..ที่อื่น ๆ ไม่มีอริยะเจ้าอีก...

หากจะรู้ด้วยญาณ...ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก...ก็ของมันรู้ได้

แต่..ญาณ..กับ..เปรต...จะแยกกันยังงัยอีกละท่าน..ซุปฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 00:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ญานทัศนะของอริยบุคคล ก็เป็นอภิญญาอย่างหนึ่ง เกิดหลังจากได้ธรรมเอกผุดขึ้น คือ ได้ฌานจิต อาจารย์สินธพได้ถึง ฌาน ๘ เกิดจากการวิปัสสนาจนเกิดอุเบกขา หรือฌาน ๔ ได้มาเองไม่ได้ตั้งใจให้เกิด ผมก็วิปัสสนาถึงอุเบกขาบ่อยๆ อยู่ช่วงหนึ่ง จากนี้ก็สามารถทำอรูปฌานต่อได้เลย ทำง่ายด้วย แต่ยังไม่มีใครไปทำ นอกจากอาจารย์ท่านเดียว ตอนนี้ก็เลยมีคนเดียวที่ได้ญานทัศนะ

โสดาบันที่มีฤทธิ์ พระพุทธองค์เรียกว่า กายะสักขี มีจำนวนไม่มาก ก็คือเป็นฌานลาภีบุคคลมาก่อน (พวกฤาษีเก่า) ตอนนี้มีอยู่ ๕-๖ ท่านเท่านั้น ของเก่าที่พอมีติดตัวผมอยู่บ้าง ยักแยกไม่ได้เลยว่าใครเป็นอริยะบ้าง

แปลว่า สมาธิของพระอริยะ หรือ อริยบุคคล เกิดได้โดยไม่ต้องทำฌาน ๑ ถึง ฌาน ๔ มีสูตรหนึ่งที่พระอานนท์ถามพระพุทธเจ้าเรื่องนี้ ท่านตอบละเอียด สรุปว่า อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ สามารถได้อรูปฌานโดยไม่ต้องอาศัยรูปฌาน

มันก็คือ ตาทิพย์หูทิพย์นั่นแหละ แต่เป็นฤทธิ์ที่เกิดจากจิตสงบเป็นสมาธิมาจากปัญญา เวลารู้เห็นอะไรก็ตรวจสอบย้อนไปย้อนมาก่อน จิตที่ประกอบด้วยความจริง ก็จะแยกได้ว่า ของเทียมหรือของจริง เพราะไม่มีความเห็นประกอบ แยกได้ว่า เป็นนิมิตหรือเห็นจริง เป็นเปรตหรือเทวดา ซึ่งพวกโดนเปรตครอบ แยกไม่ได้ว่ากายทิพย์ที่เห็นเป็นเปรตหรือเทวดา

การระลึกชาติ ก็คือ การที่เราจำเรื่องอดีตของเราได้ จำได้เหมือนเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อวาน เมื่อเดือนก่อน เมื่อปีก่อน ฯ ไม่ได้ไปนั่งสมาธิแล้วเห็นอะไรในนิมิต แบบนั้นเปรตมันฉายหนังให้ดู

เมื่อระลึกชาติได้ ท่านก็เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ท่านทำไว้ในอดีต เช่น เมืองที่ท่านเคยเป็นกษัตริย์อยู่ สำนักฤาษีที่ดอยไซ ฯ

การตรวจสอบอริยบุคคล ต้องใช้ฌานทัศนะ ใช้สมาธิตรวจไม่ได้ พวกสมาธิแน่ๆ มาหาพวกเราหลายราย เอาธาตุฤาษีกับธาตุพระอรหันต์ให้จับ พวกยังแยกไม่ได้เลย เส้นผมของพวกผมก็ปลุกได้ มีพวกปลุกพระได้มาหาบ้าง แต่ก็ไม่บ่อย

เรื่องนี้ถ้าอยากรู้ ก็ต้องเรียนรู้ บอกไปก็เท่านั้น

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 00:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณไม่ใช่อริยบุคคลหรอก...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 00:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ murano รู้ได้อย่างไรครับว่าใครเป็นอริยบุคคล?

อริยบุคคลไม่ใช่จะเอามาล้อเล่นได้นะครับ จริงๆ เรื่องนี้ ขอให้ยกไว้ก่อน เพราะมันอันตรายเหมือนกัน ฯ เชื่อไม่เืชื่อ ก็ยกไว้ก่อนเถอะครับ มาดูคำสอนที่ดับทุกข์ได้ดีกว่า

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2010, 07:19
โพสต์: 89


 ข้อมูลส่วนตัว


:b55:


แก้ไขล่าสุดโดย อานาปานา เมื่อ 24 เม.ย. 2011, 07:30, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 10:47
โพสต์: 11

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ, สติปัฏฐาน ๔
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: พุทธธรรม
ชื่อเล่น: พัท
อายุ: 37
ที่อยู่: กรุงเทพ

 ข้อมูลส่วนตัว www


เห็นด้วยกับความเห็นของท่านกรัชกายครับ tongue

.....................................................
ปล่อยวาง...ปล่อยวาง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ อานาปานา ที่ยกมาพระเถระเจ้าสอนพระอริยสงฆ์ ให้ทำสมาธิเพื่ออยู่สุขในธรรมวินัยนี้ เพื่อให้เกิดธรรมเอก ฯ สมาธิไม่ใช่เครื่องขัดเกลา เป็นเรื่องของพระโสดาบันผู้ทรงคุณอย่างน้อยเป็นโสดาปัตติผล

Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
สัลเลขสูตร ว่าด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส

ฯลฯ [๑๐๒] ดูกรจุนทะ ก็ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะแต่ธรรมคือปฐมฌานนี้ เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลา ในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ ในวินัยของพระอริยะ ฯลฯ


การได้ปฏิบัติธรรมเต็มรูปแบบในสมัยพุทธกาล เริ่มจากได้ฟังธรรมจนมีดวงตาเห็นธรรมจึงไปขอบวชกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนฆราวาส พอมีดวงตาเห็นธรรม ท่านให้ปฏิบัติ ทาน ศีล วิปัสสนาภาวนา ในพระไตรปิฏกจึงมีแต่เรื่องสอนพระอริยะเป็นส่วนมาก สอนให้พระโสดาบันบรรลุดอรหันต์ เรื่องของฆาราวาสมีน้อยมาก เรื่องของสมมุติสงฆ์ที่เกิดปลายพุทธกาล หรือเรื่องหลังพุทธกาล ก็มีบันทึกไว้ไม่กี่เรื่อง

ลำดับการศึกษาปฏิบัติของพระอริยสงฆ์ ท่านแสดงไว้ละเอียดใน ทันตภูมิสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 14:57
โพสต์: 32

แนวปฏิบัติ: กำหนดรู้
งานอดิเรก: วาดรูป
สิ่งที่ชื่นชอบ: .......กำลังค้นหาต่อไป
ชื่อเล่น: โป้ ครับ..
อายุ: 14

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิบัติจริงๆ เขาไม่มาเล่นคอมหรอกครับ น่าจะดูตัวเองได้

.....................................................
เมตตะคุนัง อะระหัง เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2010, 07:19
โพสต์: 89


 ข้อมูลส่วนตัว


:b48:


แก้ไขล่าสุดโดย อานาปานา เมื่อ 24 เม.ย. 2011, 07:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 11:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


nigpo เขียน:
ปฏิบัติจริงๆ เขาไม่มาเล่นคอมหรอกครับ น่าจะดูตัวเองได้


อาจเป็นความเมตตา
หรืออาจเป็นบุญของคนในเว็บก็ได้ครับ

:b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 16:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุปัจจโย ไม่มีอะไรเกิดมาลอยๆ โดยไม่มีเหตุปัจจัย

สมัยก่อนมันไม่มีคอมพิวเตอร์นะ ไม่มี internet ผมทำงานเป็น Programmer ตั้งแต่อายุ 19 ตอนนั้นใช้เครื่อง Apple II ตอนนี้ทำธุรกิจส่วนตัว ก็ยังทำงนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อยู่ แล้วคุณจะให้ผมเป็นอยู่อย่างไรละครับ บรรลุธรรมแล้วไปอยู่ป่าอยู่เขาทิ้งโลกทิ้งงานไปเลยหรือยังไง?

อริยบุคคลไม่มีในโลกนานแล้ว คนทั่วไปก็ไปเอาภาพพจณ์ของพระโสดาบันมาบอกว่า ถ้าเป็นอริยบุคคลต้องมีศีลและวัตรแบบนั้น บางทีก้ไปเอาศีลและวัตรของพวกฌานลาภีบุคคลมาเป็นบรรทัดฐาน เพราะรู้เห็นมาแบบนั้น

โสดา มาจากคำว่า โสตตะ คือ ได้ฟังแล้วเข้าใจ เกิดปัญญาจากการฟัง มีความคิดเห็นที่เปลี่ยนไป ตรงกับความเป็นจริงของโลกและชีวิต สมัยพุธกาล โสดาบันไม่ได้มีร้อยเดียว พันเดียว หรือหมื่นเดียว แต่มีมากกว่านั้น เขาก็มีชีวิตอยู่ตามปกติ กษัตริย์ก็เป็นกษัตริย์ต่อ ชาวนาก็ทำนาต่อ ฯ

คุณอานาปานา ที่ท่านยกมา ยังเป็นสูตรที่พระพุทธองค์สอนพระอริยสงฆ์ ถ้าท่านอยากจะปฏิบัติ ท่านต้องบรรลุธรรมอย่างน้อยโสดาปัตติผล แล้วไปบวช

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เปรตวัดสุทัศน์

http://www.4shared.com/audio/pLAdQ5Uz/_-______.html

เปรตสิงสถิตอยู่ที่นี่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 22:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ญานทัศนะของอริยบุคคล ก็เป็นอภิญญาอย่างหนึ่ง เกิดหลังจากได้ธรรมเอกผุดขึ้น คือ ได้ฌานจิต อาจารย์สินธพได้ถึง ฌาน ๘ เกิดจากการวิปัสสนาจนเกิดอุเบกขา หรือฌาน ๔ ได้มาเองไม่ได้ตั้งใจให้เกิด

ที่ว่า...ตอนนี้มีอริยะกันแค่ 200 มีอาจารย์ด้วย..และ..นับแต่ พ.ศ. ๑๐๗๙ โลกขาดอริยบุคคล... นั้น
ก็แสดงว่า..รู้ด้วยญาณ..

แต่ถ้า..ตวเลข..ไม่ถูกต้อง..ดังว่าแล้ว..ญาณที่ไปรู้ก็ยังไม่จริง..ใช่เปล่าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 23:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 21:56
โพสต์: 56

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กัลยาณมิตรทั้งหลาย ท่านจงอย่า เอาเชื่อ เอาเหตุแห่งทุกข์มาใส่ตัวอีกเลย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร