วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 20:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 21:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:

โลกขาดอริยบุคคลมา ๑๔๐๐ ปีแล้ว เพราะความหมายที่แท้จริงของคำว่าปัญญาหายไป เลยพากันไปหาปัญญาในสมาธิ มีพระอรหันต์คนตั้งเต็มไปหมด พระอรหันต์ที่ธรรมตั้งไม่มีเลย เพราะไปเอาวัตรปฏิบัติของพราหมณ์มาปฏิบัติ พวกที่เชื่อตามว่าท่านโน้นท่านนี้เป็นอรหันต์ ก็ได้แต่เชื่อตามเท่านั้น เพราะไม่สามารถพิสูจณ์ได้ด้วยตนเอง พอไปทำสมาธิ ได้โอกาสพวกมารเข้าแทรก เป่าหู่ว่า ท่านโน้นท่านนี้เป็นอรหันต์ .... เกิดเป็นคนดันโง่กว่าเปรต


ความอ่อนน้อม..น้อบน้อม..สำคัญไม่น้อย...จนต้องกล่าวใว้ในเรื่องของบุญ...บุญกิริยาวัตถุ 10 ข้อที่ 4...

ความอ่อนน้อม..ทำให้การโยนิโสมนสิการมีประสิทธิภาพเต็ม...

ผู้ที่ฝึกตนดีพอสมควรแล้ว...จะรู้สึกได้..ว่าใครปฏิบัติดี..ปฏิบัติชอบ...
บางคนต้องคลุคลีใกล้ชิด...จึงจะรู้สึก...
บางคนเก่งขึ้นมานิด....แค่ฟังที่ท่านพูด..ก็รู้สึกได้แล้ว...
บางคนเก่งกว่านี้อีกก็มี..แค่มองเห็น..ก็เป็นเพชรเป็นทอง..ไม่ต้องมาพูดอะไรกัน..ขั้นนี้ไม่เรียกรู้สึกแล้ว..มันเลยไปแล้ว

รู้สึกได้..ไม่ใช่พรายกระซิบ...
รู้สึกได้..มันปัจจัตตัง...น้ำผึ่งหอมหวานอย่างไรมันต้องชิมเอง..บอกได้แต่ก็งั้น ๆ แหละ

ส่วนใครจะเชื่อเสียงที่กระซิบข้างหู...ก็ช่วยไม่ได้..ศีลธรรมไม่มั่นคงเองทำงัยได้ละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 21:56
โพสต์: 56

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ปัญญา แปลว่า ความรู้ที่ดับทุกข์ได้ เกิดมาจากการเรียนรู้ ภาษาบาลีเรียกว่า ปริยัติ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้ที่บำเพ็ญบารมีมาไม่พอที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ปัญญาจะได้มากจากการรู้ตาม เรียกว่าสาวก เราจึงเรียกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายว่า บรมครู เพราะถ้าไม่มีพวกท่านทั้งหลายเหล่านี้มาเกิด พวกเราก็จะหาทางออกจากชาติชรามรณะไม่ได้เลย พวกปัญเจกพุทธเจ้า ก็ได้แต่เอาตัวรอดเฉพาะตนเท่านั้น ไม่ได้สอนใคร

โลกขาดอริยบุคคลมา ๑๔๐๐ ปีแล้ว เพราะความหมายที่แท้จริงของคำว่าปัญญาหายไป เลยพากันไปหาปัญญาในสมาธิ มีพระอรหันต์คนตั้งเต็มไปหมด พระอรหันต์ที่ธรรมตั้งไม่มีเลย เพราะไปเอาวัตรปฏิบัติของพราหมณ์มาปฏิบัติ พวกที่เชื่อตามว่าท่านโน้นท่านนี้เป็นอรหันต์ ก็ได้แต่เชื่อตามเท่านั้น เพราะไม่สามารถพิสูจณ์ได้ด้วยตนเอง พอไปทำสมาธิ ได้โอกาสพวกมารเข้าแทรก เป่าหู่ว่า ท่านโน้นท่านนี้เป็นอรหันต์ .... เกิดเป็นคนดันโง่กว่าเปรต

สิ่งที่เอามาบอก ไม่ได้บอกว่า ผมพูดถูกอยู่คนเดียว แต่มันเป็น ความจริง ก็เท่านั้น


ปริยัติเต็มๆ ปัญญาสุตมย

สุตมยปัญญา คือ การอ่าน การฟัง เป็นบ่อเกิดแห่งการเรียนรู้ เป็นปัญญาแบบสัญญาจำ

ดังนั้นจึงขัดแย้งกันเอง กับคำที่ท่านบอกว่า มันเป็นความจริง
ส่วนปัญญาอีกสองแบบท่านก็คงรู้อยู่แล้ว แต่ก็รู้แบบ สุตมยปัญญา ดังเช่น นักเรียนเรียนในห้องเรียน เรียนรู้เรื่อง
ก-ว-า-ง มีสี่ขา หูสองหู รูจมูก ปาก ลำตัวยาว มีหาง แต่ไม่เคยเห็น กวาง ตัวจริง กวางตัวจริงนั้น เมื่อเห็นแล้ว
ไม่ต้องอธิบาย มันบอกทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในตัวของมันเอง สมบูรณ์แบบไม่มีความสงสัยใดๆ ในกวางเลย

ดั่งเช่น กริยาท่าทาง คำพูดคำจา แม้แต่การนึกคิด ก็บ่งบอกถึง ผิวพรรณ น้ำเสียง สำเนียง สติ ปัญญา
เมื่อรู้เช่นนั้นแล้วมนุษย์ ผู้มีใจสูง ก็จัก สำรวม กาย วาจา ใจ เพื่อพัฒนา ศักยภาพให้สูง ให้ละเอียดขึ้นในทุกๆด้าน
เพราะว่าปัญญาอีกสองส่วนก็จะมีมาเอง โดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัว


แก้ไขล่าสุดโดย ไร้นา เมื่อ 11 มี.ค. 2011, 10:28, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 00:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนความจริง ก็จดจำความจริง ได้รู้ความจริง จิตมันทำได้เพียงรู้และจำ เอาผิดใส่ให้มันรู้ผิด เอาถูกใส่ให้มันรู้ถูก สาวกในธรรมวินัยนี้ จึงเริ่มจากการได้สดับรับฟังธรรม คือได้ฟังความจริงของโลกและชีวิต และความจริงเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์ เมื่อเข้าใจ ก็เรียกว่า เกิดมีดวงตาเห็นธรรม คือ เห็นความจริงของโลกและชีวิต เห็นทางเดิน(มรรค)ที่จะทำให้ดับชาติชรามรณะได้

อุปมาเหมือนเด็กเรียนสูตรคูณ สอนว่า เอาสองมาบวกันสามครั้งก็ได้หก เรียกว่าสองคูณหก ฯ เมื่อเด็กร้องอ๋อ ก็แปลว่าเข้าใจ คือ เกิดสุตมยปัญญา จิตยมยปัญญา อีกสองวันเรียกมาถามว่า ห้าคูณแปดได้เท่าใหร่ เด็กหยุดคิดไปนาน แล้วถึงบอกได้ว่า สี่สิบครับ เลยบอกให้ไปท่องสูตรคูณทุกๆ วัน เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน เรียกเด็กคนเดิมมาถามว่า หกคูณหกได้เท่าใหร่ เด็กตอบได้ทันทีว่า สามสิมหกครับ แบบนี้คือปัญญาได้มาจากการฝึก มีสติปัญญาแก่กล้า คือ ระลึกถึงความรู้ได้ทันที

ปัญญาตามความหมายของศัพท์ คือ รู้ชัดในสิ่งนั้น ฌานแปลว่ารู้และอธิบายสิ่งนั้นได้ วิปัสสนา คือ ปัญญาที่วิเศษ คือ ความรู้ที่เอามาดับทุกข์ได้ การเจริญวิปัสสนา (วิปัสสนาภาวนา) คือ การเจริญให้มาก ฝึกให้มาก ทำให้มาก เพื่อทำให้ปัญญาแก่กล้า มีอธิบายอย่างละเอียดในพระไตรปิฏกเล่มที่ ๑๘ หรือพระสูตรเล่มที่ ๑๐ ทั้งเล่ม

การเรียนเพื่อดับทุกข์ก็ไม่ได้แตกต่างพิศดารจากการเรียนทางโลก เพราะมันก็คือ ธรรมชาติที่เรียกว่าจิตเหมือนกัน ต่างที่เรื่องที่เรียน เป็นเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์ พอเข้าใจว่า ทุกข์คืออะไร เกิดอย่างไร ดับได้อย่างไร ก็คือ มีดวงตาเห็นธรรม แต่พอตาเห็นวัตถุที่ต้องตาต้องใจ จิตก็เกิดโลภะ อยากได้ขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่รู้แท้ๆ ว่า ความอยากได้เกิดขึ้นมาอย่างไรจะดับได้อย่างไร แต่ดับไม่ทัน เพราะอวิชชามีกำลังมากไม่ใช่เล่นๆ พอได้ฝึกไปสักระยะ เห็นอะไรก็ตั้งท่าวิปัสสนา เอาปัญญาสัมมาทิฐิไปกันไม่ให้เกิดเป็นเวทนา มีอะไรกระทบก็พิจารณาทันทีว่า มันไม่เที่ยงฯ พอฝึกไปต่อเนื่องยาวนาน เห็นอะไรก็รู้เห็นทันทีว่ามันไม่เที่ยงนะ ความคิดว่า ไม่น่ายึดถือ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ฯ ก็ตามมา เกือบเป็นอัตโนมัติ แบบนี้เรียกว่า ปัญญาแก่กล้าขึ้น เกิดมีสติปัญญาขึ้นมา

มรรคจึงถูกเรียกว่า ทางสายกลาง เพราะไปตามครรลองการทำงานปกติของจิต ไม่ได้หักไม่ได้ฝืนอะไรเลย ปล่อยไปตามธรรมชาติ เอาความจริงใส่ให้จิตรู้ จิตมันก็รู้ก็จำความจริง เอาความพอใจไม่พอใจใส่ให้จิตรู้ จิตมันก็จำเอาความพอใจไม่พอใจไว้ การวิปัสสนาจึงสามารถทำได้คู่กับการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปหลบมุม นั่งซื่อบื้อแล้วหวังว่าจะเกิดปัญญา คือ ไม่รู้จักปัญญา แล้วหวังจะไปหาเอาข้างหน้า ... นั่งไปทั้งชาติก็ไม่มีทางได้ปัญญา มีแต่ทางให้หลง

คุณกบ! ในบุญกริยาวัตถุ ๑๐ ท่านให้เคารพบุคคลที่ควรเคารพ ไม่ได้ให้ไปยกเปรตหรือพวกถูกเปรตครอบเป็นอรหันต์ ... ปุถุชนมีแต่ความเห็นเท่านั้นนะครับ ความรู้สึกของปุถุชนมาจากความเห็น พวกฤาษี พวกฌานลาภีบุคคล ความคิดประกอบด้วยความเห็นทั้งนั้น เอาความรู้สึกอะไรไปวัดว่าใครได้อริยะ ... ผีก็เห็นผีด้วยกันเท่านั้นแหละครับ

คุณ nigpo เป็นคำถามที่ลำบากใจจะตอบ เอาเป็นว่าพวกผมไม่ได้เป็นบุรุษเปล่าเรียนธรรม ได้ทดลองปฏิบัติผิดๆ ถูกๆ มานาน หลายสิบปี จนพบทางที่ถูกจากสัตตบุรุษท่านหนึ่ง และก็ได้ผลออกมาตามที่ปฏิบัติถูก ที่ต้องไปอ่านพระไตรปิฏก อ่านจบหลายๆ รอบ เพราะมันมี conflict เยอะ ระหว่างเรื่องที่เรารู้ เรื่องที่ได้รู้เห็นในสังคม กันที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฏก ... แล้วพระบ้านเราไม่ได้อ่านพระไตรปิฏกกันหรอกครับ เอ่านพระวินัยเล่มแรกไปครึ่งเล่ม ท่านก็ต้องเอาเท้าก่ายหน้าผากนอนแล้ว

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 01:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Supareak ก็ลองพิจารณาด้วยปัญญาเอาก็แล้วกัน

-ว่าที่มาตำหนิคนอื่นก่อนที่จะไปศึกษาว่างานที่เขาเขียนออกมามันเป็นยังไง มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ตรงไหนเป็นจุดผิดพลาด นี่เรียกว่าใช้ปัญญาที่พ้นโลกแล้วในการคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะพิมพ์ จะโพสลงมาให้ผู้อื่นอ่าน?

-ว่าที่มานั่งด่าคนอื่นเป็นเปรตอยู่กลางเวปบอร์ดมันเกิดคุณ หรือโทษต่อผู้รับสารมากกว่ากัน?

-ว่าการที่ประกาศว่ากูถูกอยู่คนเดียวนี่ปราศจากความยึดในอัตตาอย่างสิ้นเชิงแล้ว?

-ว่าสมควรอย่างยิ่งที่ทุกคนในเวปบอร์ดจะสนทนากันแบบนี้เพื่อความหลุดพ้น?

ผมคงสนทนาอะไรกับคุณไม่ได้หรอกครับ เพราะภูมิธรรมของคุณ Supareak มันล้นออกมาแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 03:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
คุณกบ! ในบุญกริยาวัตถุ ๑๐ ท่านให้เคารพบุคคลที่ควรเคารพ ไม่ได้ให้ไปยกเปรตหรือพวกถูกเปรตครอบเป็นอรหันต์ ... ปุถุชนมีแต่ความเห็นเท่านั้นนะครับ ความรู้สึกของปุถุชนมาจากความเห็น พวกฤาษี พวกฌานลาภีบุคคล ความคิดประกอบด้วยความเห็นทั้งนั้น เอาความรู้สึกอะไรไปวัดว่าใครได้อริยะ ... ผีก็เห็นผีด้วยกันเท่านั้นแหละครับ


แล้วท่าน ซุปฯ เอาอะไรไปวัด...ว่าคนที่เขาเคารพศรัทธาเป็นพวกเปรตเข้าสิง...

กระผมก็เห็นแต่ท่านซุปฯ..เชื่อทิฎฐิของตัวเองอย่างเดียว...ไม่ลืมหูลืมตา...นี้แหละปัญหาของท่านซุปฯ..ละ...ตีเหมาเอาเอง...แต่ไม่เคยคิดว่ามีอะไรที่ตัวเอง..คิดหรือ..เชื่อมาผิดบ้าง..นี้แหละ..ความหมายของกระผมที่ว่า...ไร้ความน้อบน้อม..อ่อนโยน..ขาดความละเอียดรอบคอบ...

และคนที่สอนให้ท่านซุปฯ..คิดอย่างนี้...ก็ไม่ต่างอะไรกัน...บูชาคนเยี่ยงไร..ก็ได้เยี่ยงนั้น...บูชาอริยะ..ก็ได้อริยะ...บูชาโจร..ก็ได้โจร

คนดี..คนจริงมีอยู่...แต่ไม่ได้บอกให้เชื่อ..ทุกคนที่เขาว่าดี...เป็นคนจริงซะทุกรายนี้นา...

ฟังก็สักแต่ว่าฟัง...ไม่ใช่ด่วนไปตัดสินเขาว่า...พวกถูกเปรตครอบเป็นอรหันต์...

อันนี้เป็นความไม่เข้าท่า..ของท่านซุปฯ...

พวกที่เอาแต่เชื่อตามเขา..ว่าคนนั้นดีคนนี้ดี...กับ..พวกที่มองไม่เห็นความดีของคนอื่น...
คน 2 พวกนี้ถือว่ามีความเลว..เท่า ๆ กัน..คือ..ไม่ประกอบด้วยปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b12: ฟังชื่อกระทู้แล้วน่ากลัวและยั่วยุให้คนอยากเข้ามาดู

ก็เพราะพากันไปฝึก "สมาธิ" จึงพากันมีปัญหาเช่นนี้

ถ้าเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าพากันมาฝึกให้เกิด "สัมมาสมาธิ" จะไม่มีอะไรวุ่นวายเลย


สัมมาสมาธิ คือสมาธิที่มีสัมมาสติและสัมมาปัญญา (สัมมาทิฐิ+สัมมาสังกัปปะ) กำกับ
ความละเอียดในเรื่องสัมมาทั้ง 8 ข้อนั้น มีแสดงไว้ในหลายกระทู้โปรดไปคันอ่านดูกันนะครับ หรือจะให้ Google เขาค้นให้ก็ง่ายและได้อ่านหลายสำนวนด้วยครับ

เจริญธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ yodyood ผมไม่ได้ตำหนิใครหรือไปว่าใครเลย เล่าความจริงให้ฟัง ความจริงจะไปมีผลอะไรกับใคร ก็เป็นเรื่องของความเชื่อกับความจริง ผมมีความจริงเป้นเกาะมีความจริงเป็นที่พึ่ง ... ความจริงก็คือความจริง รับได้ไม่ได้ มันก็จริงของมันอยู่อย่างนั้น เกลือก็คือเกลือ ปั่นอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นพิเสนไปได้ จะเอาเหตุปลอะไรมาแก้ไขความจริงได้ละครับ

คุณกบ! พวกโดนเปรตครอบดูไม่ยากหรอกครับ แต่ถ้าเป็นเทวปุตมารดูยากหน่อย เอาแบบคนทั่วไปดูได้ก็คือ รอบๆ ตัวเขาจะมีวัตถุบูชา รูปปั้นฤาษี รูปปั้นเทพ ฯ เต็มไปหมด มีธาตุฤาษีที่เขาเข้าใจว่าเป็นของพระพุทธเจ้า ฯ บางคนพูดภาษาเทพได้ จริงๆ ก็คือภาษาฮินดู สวดด่าพระพุทธเจ้าเป็นประจำ ลักษณะภายนอก ไม่ได้ต่างอะไรไปจากปุถุชน ทั้งความคิดเห็น พฤติกรรม แค่มีเปรตมาทำให้เกิดนิมิตร บางคนลืมตาก็เห็นได้ แต่ส่วนมาก ต้องสลึมสลือเหมือนตื่นนอน จึงจะมีฤทธิ์ คือ จิตต้องเข้าไกล้ภวังค์ก่อนเปรตมันถึงจะครอบได้ แล้วฤทธิ์ที่พวกนี้คิดว่าได้มา ก็สั่งไม่ได้ มาๆ ไปๆ เพราะจริงๆ มันไม่ใช่ของเขา เวลาต้องการของบูชา พวกจะบอกว่าขาดน้ำไม่ได้ แสดงว่าเจอพวกอสูรกาย พวกนี้ขาดน้ำต้องการน้ำ บ้างหัวเราะแล้วบอกว่าตนเองเป็นอรหันต์ เพราะเปรตมันจะเอาให้ลงมหานรก ... เกินจากนี้ก็เป็นเรื่องของญานทัศนะ แล้วอย่าคิดว่าเปรตโง่ละ มันตายไปจากคนก็ฉลาดเท่าคนนั่นแหละ

คุณอนัตตาธรรม สัมมาสมาธิของโสดาปัตติมรรค คือ ตั้งใจมั่นประกอบด้วยปัญญา สัมมาสมาธิของพระอริยะคือความสงบของจิตขั้นสูงขึ้นเพราะพระอริยมีปัญญาประกอบอยู่แล้ว ถ้าไปนั่งสมาธิตอนที่ยังไม่มีปัญญา ก็ได้แต่มิจฉาสมาธิเท่านั้น ในพระสูตรพระวินัย ไม่มีที่ใหนสอนให้ฆราวาสไปนั่งสมาธิแล้วจะได้สัมมาสมาธิ ไม่รู้สาวกรุ่นหลังเอามาจากใหน

จะศึกษาหาความจริง หรือ อยู่เพื่อปกป้องความเชื่อ ก็เรื่องของพวกท่านนะครับ ... สวัสดี

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 14:57
โพสต์: 32

แนวปฏิบัติ: กำหนดรู้
งานอดิเรก: วาดรูป
สิ่งที่ชื่นชอบ: .......กำลังค้นหาต่อไป
ชื่อเล่น: โป้ ครับ..
อายุ: 14

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านคิดยังไงก็เรื่องของท่านเหอะ เเต่อย่ามาให้คนอื่นหลงผิดไปด้วยนะครับ

.....................................................
เมตตะคุนัง อะระหัง เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากจะสนทนากันรูปแบบไหนก็ตามสบายก็แล้วกันครับ
ถือว่าได้กระชากคอแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วนะครับ :b24:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประสบการณ์จากการนั่งสมาธิ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามที่จะให้ดูต่อไปนี้ เมื่อผู้บุคคลนั้นๆ ไม่เห็นเหตุของปัญหาแล้ว อาจคิดหรือตกลงปลงใจเลยว่า เป็นเวรเป็นกรรมเป็นบาป เป็นที่อยู่ของเปรตอสุรกายไปได้ลองอ่านดู


ตอนผมบวชเป็นพระ ผมลองนั่งสมาธิครั้งแรก ทำไปประมาณ 2 นาที พบว่าตัวเองอยู่ในลักษณะผีอำขยับตัวไม่ได้ หูได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะติดต่อกันนานมาก และ มีเสียงเด็กเป่าปาก เสียงคล้ายตดรอบตัว แต่โชคดีที่ไม่เห็นตัวผี และที่รอบกุฏิไม่มีบ้านคน หรือไม่มีเด็ก และผู้หญิงอยู่ใกล้เลย ไม่ทราบว่าทำอย่างไรจะไม่ให้ผีมาหลอกอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รายต่อไป


เวลาปฏิบัติ ก็เข้าใจว่า รับมือรับเจ้ากรรมนายเวรได้ ทั้งที่เราก็ขอเขาก่อนนั่งสมาธิทุกครั้ง จนกระทั่งคืนวันอังคาร วันพระน่ะค่ะ ขณะกำลังทำสมาธิอยู่ จู่ๆร่างของเราก็เหมือนถูกตึง เราก็ปล่อยตามสะบายแค่ตามดู คิดว่าเป็นนิมิตธรรมดา แต่ไม่ใช่ค่ะ เพราะนิมิตธรรมดา เรากำหนดรู้มักจะหายไปได้เอง แต่นี้ไม่ใช่ เขาวิ่งผ่านตัวเราไปค่ะ กระแสของเขา ตอนที่ผ่านร่าง เหมือนจิตกับกายเราจะแยกออกจากกัน ความเจ็บปวดที่เราเคยปวด (เวทนา) ที่นั่งสมาธิตอนแรก ไม่เจ็บเท่านี้ เหมือนร่างกายเราถูกฉีก เหมือนเส้นเลือดจะระเบิดประมาณนั้นจริง ๆ ค่ะ เราแผ่เมตตาให้เขา เขาก็ไม่ยอม แรงเหวี่ยงเยอะมาก ๆ ทั้งที่ห้องปิดหมดเปิดแอร์นะ แต่มีกระแสลมหมุนตลอดเวลา นึกถึงครูบาอาจารย์ เขาเลยปล่อย เราเป็นไข้วันรุ่งขึ้นเลยค่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกรายหนึ่ง


ขอถามหน่อยค่ะว่า เวลาที่นั่งสมาธิสักพัก จิตเริ่มสงบแล้ว ก็เกิดนิมิตเห็นคน หรือวิญญาณไม่แน่ใจค่ะ นั่งก้มหน้าสงบนิ่งอยู่ข้างๆเรา เจอหลายครั้งค่ะ บางทีก็มากันหลายคน มีอยู่ครั้งหนึ่งชัดเจนมาก มาด้วยกัน4 คนค่ะ ผู้ชาย 2 คน หญิงอุ้มลูกเล็กๆอีกหนึ่ง เกิดจากอะไรคะ และทำอย่างไรคะหากเจอแบบนี้ แค่แผ่เมตตาพอหรือเปล่า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีตำราเล่มใหนเขียนมาบอกว่าเปรตครอบได้อย่างไรหรอกครับ นอกจากจะได้รู้เองเห็นเอง ... เอาไว้เจอประสบการณ์ตรงๆ (เต็มๆ ตีน) แบบพวกผม ท่านก็จะถึงความจริงเอง แต่จะทันชาตินี้หรือเปล่าไม่รู้นะ

ถ้าหลงไปกับความพอใจไม่พอใจ ไม่ได้เกิดจากเปรตครอบ เกิดจากอวิชชา หรือเป็นไปตามอำนาจของมาร เป็นเรื่องของบุญบาป

ถ้าจิตฟุ้งซ่าน ไม่เป็นสมาธิ เปรตมันครอบไม่ได้ พวกกินเหล้า จิตจะไม่เป็นสมาธิ จะไม่เห็นผี ผิดกับพวกขี้กลัว ตกใจง่าย ถือศีลแบบหลับหูหลับตา สวดมนต์นานๆ พวกนี้จิตนิ่งเป็นสมาธิง่าย จะเห็นผีบ่อย

พวกเปรต สมุนมาร เทวปุตมาร ไม่ชอบพระพุทธเจ้า ของคุยๆ ชมพระพุทธองค์ให้พวกมันได้ยิน สักพักมันทนไม่ได้ มันก็จะหาเรื่องต่อว่าพระพุทธเจ้าให้ได้ยินเองแหละครับ

ถ้ายังคิดกันว่า นี่เป็นเรื่องล้อเล่น อ่านมาเล่าให้ฟังเฉยๆ ก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกันครับ...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอีกสักราย


ผมได้หมั่นฝึกนั่งกรรมฐาน ตอนนั้นสมองปลอดโปร่ง ไม่มีเรื่องเครียดมากมายนัก จึงทำสมาธิได้ดี ครั้งแรกๆที่เริ่มต้นก็รู้สึกว่าตัวเองลอยๆขึ้นไปครับ แต่ไม่ได้สนใจอะไร

จนมีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากนั่งได้ประมาณ 15 นาทีได้ ผมรู้สึกว่างเปล่า ไม่รู้สึกว่ามีร่างกายอยู่ตรงนี้ สบายอย่างบอกไม่ถูก รอบๆข้างกายรู้สึกว่าจะมีแต่แสงสว่างสีขาวจ้าอยู่รอบๆกายมองไปทางไหนก็มีแต่แสงสว่างสีขาวจ้าเต็มไปหมด

แต่ว่าในใจก็ตกใจเหมือนกัน สักพักผมจึงลืมตาขึ้น หลังจากที่ลืมตาขึ้น ผมรู้สึกว่าร่างกายของผมมันสดชื่นมากๆยิ่งกว่าตอนเพิ่งตื่นหลังจากนอนอิ่มๆซะอีก ทั้งๆที่ก็ดึกแล้วเหมือนกัน ไม่มีอาการปวดแข้งปวดขาเหมือนวันก่อนๆ ที่นั่งสมาธิเลย สบายกายอย่างบรรยายไม่ถูก

หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน มันเป็นคืนที่ทำให้ผมไม่สามารถทำให้เกิดความรู้สึกดีได้อีกต่อไปคือว่าคืนนั้นหลังจากที่นั่งสมาธิไปได้สักพัก หลังจากที่รู้สึกว่าตัวลอยๆแล้ว ผมก็รู้สึกว่าร่างกายว่างเปล่าเหมือนเดิม แต่ไม่ถึงกับขั้นรู้สึกสบายกายเหมือนวันก่อน

หลังจากนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ที่น่าขนลุก (แค่คิดถึงที่ไรก็ทำให้ผมขนลุกทั้งตัวทุกครั้งเลย) หลังจากผมอยู่ในความว่างเปล่าได้ไม่ถึงนาที ก็เริ่มมีหน้าตาของคนต่างๆ ทั้งเด็ก หญิง ชาย คนแก่ มีเฉพาะหน้าเท่านั้น ค่อยๆลอยผ่านเข้ามากระทบที่หน้าผม ทีละคน ทีละคน จากช้าๆ เริ่มเร็วขึ้น เร็วขึ้น แล้วก็เร็วขึ้นมาก กระทบผ่านหน้าผมไปเป็นร้อยๆ พันๆ หน้า

ผมตกใจมาก จึงลืมตาขึ้น พร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว มันน่ากลัวมากๆครับ คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลยเกิดอะไรขึ้นกับผมครับเนี่ย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกสักราย



พอดีเมื่อวานได้นั่งสมาธิแล้วได้กำหนดพุธ-โธ เมื่อจิตสงบก็ พิจารณากายในกาย เช่น หายใจเข้าเป็นลมเข้าไปสู่ร่างกายออกมาพิจาณาสิ่งปฏิกูลในร่างกายไป สักพัก เหมือนเปลี่ยนฐานะตัวเองเป็นผู้ดู มีสติ เห็นเหมือนภาพ มีกล่องใบใหญ่มาก สีขาว

ทันใดนั้น กายก็ถูกแยกออกเป็นส่วนๆ เช่น ปอด ม้าม ตับ ไต ไส้ สมอง เล็บ ขน ฟันหลุดเอาไปรวมในกล่องนั้น แล้วก็มีภาพพ่อ แม่ คนที่มีใจผูกพันธ์ ถูกแยกกายออกเป็นชิ้นๆเหมือนเราอวัยวะถูกรวมไปในกล่องใหญ่ใบนั้น จิตเรามันอยากเห็นอะไรในกล่องพอมองลงไปก็เห็นแต่อวัยวะต่างๆกองรวมกัน

ทันใด ก็มีเสียงหนึ่งถามว่า "กายเธออยู่ที่ไหน" เมื่อได้เห็นแบบนี้ก็เลยตอบว่า "ไม่มี" แล้วเสียงนั้นก็ตอบว่า "แล้วจิตเธออยู่ที่ไหน" ดิฉันพยายามมองหาคำตอบว่าจิตอยู่ที่ไหน เพราะตอนนี้กายไม่มีแล้ว ก็จะบริกรรมพุธโธต่อแต่ ไม่มีกายก็ไม่มีลม คำบริกรรมก็หาย มันมีสภาวะที่โล่งๆว่างๆเลยตอบไปว่า "จิตก็คงไม่มี" แล้วมันก็สว่างวาบ
ฯลฯ

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=271.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร