วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 15:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


เจโตวิมุติ เขียน:
:b42: 1.พิจารณา สิ่งที่ให้ เช่น ชนิด ความเหมาะสมของสิ่งของต่อผู้รับ ความบริสุทธิ์ ในการหา
มา (เปรียบเหมือนข้าวพรรณดี)
........2พิจารณา ผู้รับ ต้องบริสุทธิ์ (เหมือนนาที่มีดินดี น้ำดี)ถ้าในเกณฑ์นี้ถ้าเป็นสงฆ์ ต้องเป็นพระที่มี
ศีล ปฏิบัติ ดี ปฏิบัติชอบ(ถ้าไม่แน่ใจให้ทำสังฆทาน)
........3.พิจารณาเจตนาที่ให้ ภาวะจิตขณะให้
- ให้ด้วยโลภะ ทำเพื่อหวังความรำรวย มีอำนาจวาสนา ยศถาบรรดาศักดิ์ นี้ต่ำสุด
-ให้เพื่อความสุข เพื่อความอนุเคราะห์ เพื่อเกื้อกูลศาสนา เพื่อสะสมบารมีในชาติภพหน้า อันนี้ผลไพบูลย์
ขึ้น
-ให้เพื่อสละออก ซึ่งโลภะ ไม่หวังสิ่งตอบแทน(สูญญตาทาน) อันนีเป็นบุญสูงสุด เรียกว่ากุศล เป็นบุญเพื่อมรรคผลนิพพานโดยแท้ผลบุญ(คือเมล็ดพันธ์ข้าว)จะสมบูรณ์ที่สุด
........4.พิจารณาวัตถุประสงค์ของการให้ บุญใดเป็นเพื่อเกื้อกูล เกื้อหนุน ศีล สมาธิ ปัญญา อันนั้นเป็นบุญตรง
ในหลักพุทธศาสนา
.............การสรางโบสถ์ ศาลา พระประธาน โคมไฟ หลอดไฟ ถวายอาหารอันประณีต คิลาเภสัช บาตรจีวร อัน
สมคารแก่สมณะ เพื่อสงเคราะสงฆ์ เพื่อเกื้อกูลสงค์ ในการปฏิบัต ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นเป็นเป็นบุญ
โดยชอบ
การถวายเครื่องทำน้ำอุ่น ผ้าแพรราคาแพง รถประจำตำแหน่ง ก็พิจารณากันเอา
เองว่าเอากิเลสไปป้ายพระหรือเปล่า เอาสิ่ง ที่ไม่สมควรแก่สมณะไปให้พระหรือเปล่า ถ้าจะให้
พระสะดวก ถวายวัดเป็น ของกลางไป แล้วอย่ามาอ้างว่าต้องเป็นเบนซ์ มันจะทำให้ท่านไป
ไม่ถึงไหน
......เจโตวิมุติ


:b8: สาธุค่ะท่านเจโตวิมุติ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
หากมีข้าวสวยสักทัพพี...แกงสักถุง..ดอกไม้สักดอก..เราก็ทำบุญตักบาตรได้แล้วเน๊าะ..

ถ้าเราไม่มีของเหล่านี้เลย...แล้วอยากได้บุญจากการตักบาตรนี้..???..มันก็ต้องใช้สมองกันหน่อย... :b12:

เดินหาคนที่เขากำลังรอตักบาตร...แล้วก็..รอ.. :b30: :b30:

พอเขาตักบาตร..ปั๊ป.... :b14:

ก็ให้..อนุโมทนาสาธุ..กับเขา..ทันที :b12: :b12: :b12:

ทีนี้..ก็ได้บุญแล้วละเน๊าะ...

อย่างนี้..เป็นต้น


ปัญญาล้ำลึกจริงๆ ค่ะท่าน "เซนงิกามารุ" :b4: :b12: :b35:


อ้างคำพูด:
"ขอพักสักครู่หนึ่ง
ระหว่างทางจากโลกียะ
สู่โลกุตระ
หากฝนจะตกก็ตกเถิด
หากลมจะพัดก็พัดเถิด"
นี่คือความหมายว่า"อิกคิว"

รูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 11:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

อิอิ จริง ๆ มีเรื่องอยากจะพูดมากมาย
มากมายจนไม่รู้จะพูดอะไร ๆ ออกมาอย่างไร

เสียงแรกที่ปรากฎภายใน คือเสียงใด
เสียงแรกที่ปรากฎออกมาภายนอก คือเสียงใด
ก่อนที่เสียงอื่น ๆ จะทยอยออกมา

เมื่อเราพูดด้วยหัว เสียง สำเนียงจะออกมาอย่าง
เมื่อเราพูดด้วยใจ เสียง สำเนียง ออกมาอย่างไร
เสียงที่ออกมาจากสองแหล่งนี้ เงี่ยฟังดี ๆ
เสียงที่เราใช้ หัวฟัง
กับเสียงที่เราใช้ ใจฟัง
เสียงที่ได้ยินจากสองแหล่งนี้ ให้อรรถรสอย่างไร

การวางชีวิตไว้ในหนทางที่ง่าย
ก็ทำให้เราไม่ต้องถูกปั่นถูกชักจูงให้ต้องไปวกวนกับความเจ้าเลห์ซับซ้อนของสังขาร
ซึ่งมันไม่ได้ พาเราไป พบเจอกับสิ่งที่เราแสวงหา
มันพาเราไปไกลจากเป้าหมาย ไกลสุดกู่เลย
จนเราเห็นว่าสิ่งที่เคยมีมันลางเลือนหายไปจากสายตา
ทำให้เราได้เผชิญหน้ากับ สิ่งที่เคยมี
คือ มันเคยมีไง ถ้าบนยอดมะม่วงคือที่สถิตย์อันสูงสุดที่ผลมะม่วงพึงไปดำรงอยู่
แล้วมันจะ ร่วงลงสู่ดินทำไมกันล่ะ
ทำไมมันไม่พยายามแขวนตัวเองให้อยู่บนนั้น เพราะอะไร

ถ้ามองเป็นการเกิด และ การตาย ของสังขาร ก็ได้ในระดับหนึ่ง
สังขาร คือสิ่งที่มันไม่เที่ยง
สิ่งที่เที่ยง จะคือสิ่งที่ไม่ใช่สังขาร อย่างงั๊นหรือ
ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ปฏิบัติจะเที่ยวทำความรู้ตาม
เมื่อรู้ตาม เราย่อมเห็นคำตอบสิ่งที่เราแสวงหาอยู่ในใจ
เมื่อเราเห็นสิ่งที่สังขารว่าไม่ใช่ เราก็ผลักออก หลีกเลี่ยงไม่เข้าไปข้องด้วยประการทั้งปวง
เมื่อเราเห็นสิ่งที่เราวาดไว้ เราก็เข้าไปยึด จนกว่าจะพบว่าสิ่งนั้นแปรปรวน
เราก็เริ่มมองหาสิ่งที่จะยึดใหม่ขึ้นมาอีก ตามแรงการส่งมาจากพื้นฐานสังขารเดิม ๆ

เราจะวกวนอยู่กับสังขาร จนกว่าเราจะเห็นแง่ของ อสังขาร
นั่นคือ การเห็น แค่การเห็น และเราก็ยังไม่ได้พ้นไปจากสังขาร
เพียงแต่ว่าเราเห็นตัวมัน เห็นภัยแห่งสังขาร
เมื่อนั้น การปฏิบัติธรรมเพิ่งจะเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น

ดังนั้น การประมาทว่าสิ่งนั้นเรารู้แล้ว สิ่งนี้เรารู้แล้ว
เพราะ รู้แล้ว จึงเห็นสิ่งนั้นใช่-ก็เอา ก็รับไว้
สิ่งนั้นไม่ใช่-ไม่เอา ไม่รับไว้ รูปแบบเช่นนี้มันไม่ใช่
การกำหนดการเดินเช่นนั้น นั่นคือ เราได้ตกอยู่ภายใต้การกำกับของสังขาร
คือยังไงเราก็ต้องอาศัยการชักจูงไปของมันในการเดินทางอยู่แล้ว
แต่เราต้องหา คู่ต่อกรกับมันให้เจอ
นั่นคือ สิ่งที่จะตัดหัวมันได้



สติ-นิพพาน

:b23: :b20: :b8: สาธุค่ะท่านเอกอน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ รูปภาพ

อ้างคำพูด:
... สติ นิพพาน - ปรมังสุขัง

เอโกธัมโมในปัจจุบัน เป็นเสขะนิพานธาตุ สิ้นกังวล พ้นยึดมั่นธรรมทั้งปวง
นะโสเหตวังวิวาโทโลกุตตร สันตัง สิ้นโลกสมมุติภาษา ถึงความสงบพ้นโลก เป็นเอโกธัมโม.


จากหนังสือ เสียงจากหัวหิน
หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต (จันทรสมบูรณ์)
__________________

สาธุ สาธุ สาธุ
:b44: :b8: :b8: :b8: :b44:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 13:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสียงแรกที่ปรากฏอยู่ภายในคือ ......เสียงที่หลุดออกจากการเคลื่อนไหวซึ่งไม่ต้องอาศัยปัจจัยของการเคลื่อนขับ
เสียงแรกที่ปรากฏออกมาภายนอกคือ.......เสียงสะท้อนจากผัสสะ และจะเป็นเสียงเช่นไรนั้นก็ขึ้นอยู่ว่าผัสสะแรก
คืออะไร เพราะเสียงทั้งหลายย่อมต่างกันไปตามผัสสะ

เมื่อเราพูดด้วยหัว ........เสียงสำเนียงจะเหมือนคนอีสานเลียนสำเนียงของคนใต้ บางครั้งก็เหมือนคนใจลอย
บางครั้งก็เหมือนคนจริงจัง บางครั้งก็ฟังเหมือนหนักแน่น บางครั้งก็ซ่อนเงื่อนปมมากมายและ ในทุกสำเนียง
ที่ออกมาจากสมอง เหมือนประหนึ่งว่า เป็นสิ่งเลื่อนลอยที่ไม่ค่อยได้จดจำ และไม่น่าจดจำ

เมื่อเราพูดด้วยใจ ......น้ำเสียงจะบริสุทธิ์สะอาด ถึงแม้จะพูดผิด และการพูดด้วยใจจะประจานตัวตนที่บุคคล
กำลังปกปิด ต่างกับการพูดด้วยหัว เพราะเมื่อพูดด้วยหัวตัวตนที่ปกปิดก็ยังมีส่วนที่มิดชิดอยู่

เสียงที่เราใช้หัวฟังเพียงอย่างเดียวโดยปราศจากใจมาร่วมรับฟังจริงแล้วเป็นเรื่องยาก เพราะผู้ที่มีใจอย่างไร
เวลารับฟังสิ่งใด ก็มักจะมีใจของตนนั่นหละเข้ามาวัดสิ่งที่ฟัง พร้อมๆกับมีสมองคอยช่วยส่งเสริมสนับสนุนการ
ฟังด้วย ความต่างของการฟังจึงไม่ใช่อยู่ที่ใจหรือสมอง แต่อยู่ที่ความสงบ ความบริสุทธิ์อ่อนโยน
ของจิตว่าตอนไหนมีจิตที่สงบนิ่งดีการรับฟังก็จะเข้าถึงส่วนลึกส่วนซ่อนเร้นได้ดี

อาจมีเหตุผลมากมายในเรื่องๆเดียว ว่าทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น
ดังนั้นเหตุผลเพียงไม่กี่เหตุผล อาจจะยังไม่พอต่อการสรุป

อสังขาร จะถึงได้รู้จักได้ เมื่อ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขาร ระงับลงอย่างบริสุทธ์
ไม่ใช่ด้วยการคิดค้นคว้าหาวิธี หรือการปรุงวิธีการมากอย่าง

เห็นเอรากอนแล้วทำให้เหมือนนึกอะไรได้ จึงปรุงแต่งซะยืดยาวด้วยความนึกถึง

:b38: :b38: :b53: :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุ กับคำตอบของทุกท่านค่ะ

ว่าจะเข้ามาทักทายมังกรน้อย ว่าเอาแต่หัวเราะ

อ้างคำพูด:
:b32: :b32: :b32:


แต่พอมาเจอข้อความนี้ก็....เปลี่ยนใจแระ

อ้างคำพูด:
การวางชีวิตไว้ในหนทางที่ง่าย
ก็ทำให้เราไม่ต้องถูกปั่นถูกชักจูงให้ต้องไปวกวนกับความเจ้าเลห์ซับซ้อนของสังขาร
ซึ่งมันไม่ได้ พาเราไป พบเจอกับสิ่งที่เราแสวงหา
มันพาเราไปไกลจากเป้าหมาย ไกลสุดกู่เลย
จนเราเห็นว่าสิ่งที่เคยมีมันลางเลือนหายไปจากสายตา
ทำให้เราได้เผชิญหน้ากับ สิ่งที่เคยมี
คือ มันเคยมีไง ถ้าบนยอดมะม่วงคือที่สถิตย์อันสูงสุดที่ผลมะม่วงพึงไปดำรงอยู่
แล้วมันจะ ร่วงลงสู่ดินทำไมกันล่ะ
ทำไมมันไม่พยายามแขวนตัวเองให้อยู่บนนั้น เพราะอะไร


เออ นั่นสิเนอะ :b12:

อ้างคำพูด:
ถ้ามองเป็นการเกิด และ การตาย ของสังขาร ก็ได้ในระดับหนึ่ง
สังขาร คือสิ่งที่มันไม่เที่ยง
สิ่งที่เที่ยง จะคือสิ่งที่ไม่ใช่สังขาร อย่างงั๊นหรือ

ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ปฏิบัติจะเที่ยวทำความรู้ตาม
เมื่อรู้ตาม เราย่อมเห็นคำตอบสิ่งที่เราแสวงหาอยู่ในใจ
เมื่อเราเห็นสิ่งที่สังขารว่าไม่ใช่ เราก็ผลักออก หลีกเลี่ยงไม่เข้าไปข้องด้วยประการทั้งปวง
เมื่อเราเห็นสิ่งที่เราวาดไว้ เราก็เข้าไปยึด จนกว่าจะพบว่าสิ่งนั้นแปรปรวน
เราก็เริ่มมองหาสิ่งที่จะยึดใหม่ขึ้นมาอีก ตามแรงการส่งมาจากพื้นฐานสังขารเดิม ๆ


:b6: ยายมัทว่า "การเที่ยวทำความรู้ตาม"กับ
ถ้าเรา"รู้ตามความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นขณะนั้น"

มันต่างกันนะ ท่านมังกรน้อย :b12:

ถ้ารู้ตามความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นขณะนั้น
ไม่ว่าสังขารรูปแบบไหน อะไรมา
ก็ไม่ต้องผลักออก
แค่รู้เฉยๆแล้วดูมัน เกิด ดับ เปลี่ยนแปลงไปเอง

ยายมัทว่า เรากะลังเบี่ยงเบนประเด็นกระทู้ของท่านแม่มดน้อยแล้วรึเปล่าเนี่ยะ !! :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


ลืมอีกประเด็น :b9:

แม่มดน้อย เขียน:
สาธุค่ะปรมาจารย์ทั้งสองท่าน


ท่านกบอาจใช่ :b12:
แต่ยายมัทยังเป็นเพียงนักศึกษาจ้า...ท่านแม่มดน้อย :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 19:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


มัทนา ณ หิมะวัน เขียน:
ถ้ามองเป็นการเกิด และ การตาย ของสังขาร ก็ได้ในระดับหนึ่ง
สังขาร คือสิ่งที่มันไม่เที่ยง
สิ่งที่เที่ยง จะคือสิ่งที่ไม่ใช่สังขาร อย่างงั๊นหรือ

ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ปฏิบัติจะเที่ยวทำความรู้ตาม
เมื่อรู้ตาม เราย่อมเห็นคำตอบสิ่งที่เราแสวงหาอยู่ในใจ
เมื่อเราเห็นสิ่งที่สังขารว่าไม่ใช่ เราก็ผลักออก หลีกเลี่ยงไม่เข้าไปข้องด้วยประการทั้งปวง
เมื่อเราเห็นสิ่งที่เราวาดไว้ เราก็เข้าไปยึด จนกว่าจะพบว่าสิ่งนั้นแปรปรวน
เราก็เริ่มมองหาสิ่งที่จะยึดใหม่ขึ้นมาอีก ตามแรงการส่งมาจากพื้นฐานสังขารเดิม ๆ


:b6: ยายมัทว่า "การเที่ยวทำความรู้ตาม"กับ
ถ้าเรา"รู้ตามความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นขณะนั้น"

มันต่างกันนะ ท่านมังกรน้อย :b12:

ถ้ารู้ตามความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นขณะนั้น
ไม่ว่าสังขารรูปแบบไหน อะไรมา
ก็ไม่ต้องผลักออก
แค่รู้เฉยๆแล้วดูมัน เกิด ดับ เปลี่ยนแปลงไปเอง


ยายมัทว่า เรากะลังเบี่ยงเบนประเด็นกระทู้ของท่านแม่มดน้อยแล้วรึเปล่าเนี่ยะ !! :b9:


เรากะลังเบี่ยงเบน รึเปล่า :b10:

อิ อิ ใครจะเห็นอย่างไรก็ช่างความคิดเขาจ้า ยายม๊าทททท อิ อิ
ก็ ณ ตอนนี้ เราสนใจที่จะสนทนาในประเด็นนี้ ก็สนทนา
เวลานี้ กระทู้นี้ ก็เหมาะสมแล้วล่ะ
ใครเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็แสดงว่า เขาดูไม่เฉยไงคร๊าบบบบบ ป๋ม

เรื่องแค่รู้เฉย ๆ แล้วดูมัน เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลงไปเอง

เดี๋ยวค่อยกลับมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพรูปภาพ
สาธุค่ะคุณยายมัทและท่านเอกอน
สนทนาได้ตามอัธยาศัยนะคะ ทุกสิ่งล้วนเป็นธรรม
แต่จะเป็นประโยชน์แก่ใครนั่นก็แล้วแต่วาสนา
ม๊ดดม่ะม่ะ...กล้าหรอกค่ะ รูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงินทองหรือของที่บุคคลหวงแหนอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งทาส กรรมกร คนใช้และที่อยู่อาศัย สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดนี้บุคคลนำไปไม่ได้ ต้องทอดทิ้งไว้หมด แต่สิ่งที่บุคคลทำด้วยกาย วาจา หรือด้วยใจ นั่นแหละที่จะเป็นของเขา เป็นสิ่งที่เขาต้องนำไปเหมือนเงาตามตัว เพราะฉะนั้นผู้ฉลาดพึงสั่งสมกัลยาณกรรม อันจะนำติดตัวไปสู่สัมปรายภพได้ บุญย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า"

:b42: :b42: :b42:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แก้ไขล่าสุดโดย Bwitch เมื่อ 14 ก.พ. 2011, 00:26, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 22:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นักกายกรรมผู้มีกำลังมาก คือนักมวยปล้ำ ผู้มีกำลังมหาศาลนั้นก่อนที่จะได้กำลังมา เขาก็ต้องออกกำลังไปก่อน การเสียสละนั้น คือการได้มาซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไรย่อมไม่ได้อะไร จงดูเถิด ! มนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคนแต่ต้นไม้นั้นย่อมให้ผลที่ปลาย เธอทั้งหลายจงพิจารณาดูความจริงตามธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งเถิด คือ แม่น้ำสายใดเป็นแม่น้ำตาย ไม่ไหล ไม่ถ่ายเทไปสู่ที่อื่น หยุดนิ่ง ขังอยู่ที่เดียว แม่น้ำสายนั้นย่อมพลันตื้นเขิน และสกปรกเน่าเหม็น เพราะสิ่งสกปรกลงมามิได้ถ่ายเท นอกจากนี้บริเวณที่ใกล้แม่น้ำสายนั้น จะหาพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เขียวสดก็หายาก แต่แม่น้ำสายใดไหลเอื่อยลงสู่ทะเลหรือแตกสาขาออกไป ไหลเรื่อยไปไม่รู้จักหมดสิ้น คนทั้งหลายได้อาศัยอาบดื่ม และใช้สอยตามปรารถนา มันจะใสสะอาดอยู่เสมอไม่มีวันเหม็นเน่าหรือสกปรกได้เลย พืชพันธุ์ธัญญาหาร ณ บริเวณใกล้เคียงก็เขียวสดสวยงาม"

:b44: :b44: :b44:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แก้ไขล่าสุดโดย Bwitch เมื่อ 14 ก.พ. 2011, 00:26, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลผู้ตระหนี่เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็กักตุนไว้ไม่ถ่ายเทให้ผู้อื่นบ้าง ก็เหมือนแม่น้ำตายไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร ส่วนผู้ไม่ตระหนี่ เป็นเหมือนแม่น้ำที่ไหลเอื่อยอยู่เสมอ กระแสน้ำก็ไม่ขาด ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น สาธุชนได้ทรัพย์แล้วพึงบำเพ็ญตนเสมือนแม่น้ำซึ่งไหลใสสะอาด ไม่พึงเป็นเช่นแม่น้ำตาย"

:b42: :b42: :b42:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แก้ไขล่าสุดโดย Bwitch เมื่อ 14 ก.พ. 2011, 00:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 22:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! อายะสัมปทา หรือทาน จะมีผลมากอานิสงส์ไพศาล ถ้าประกอบด้วยองค์หก กล่าวคือ
1. ก่อนให้ ผู้ให้ก็มีใจก็ผ่องใส ชื่นบาน
2. เมื่อกำลังให้ จิตใจก็ผ่องใส
3. เมื่อให้แล้ว ก็มีความยินดี ไม่เสียดาย
4. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากราคะหรือปฏิบัติเพื่อปราศจากราคะ
5. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากโทสะ
6. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากโมหะ

ภิกษุทั้งหลาย ทานที่ประกอบด้วยองค์หกนี้แล เป็นการหายากที่จะกำหนดผลแห่งบุญว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้ อันที่จริงเป็นกองบุญใหญ่ที่นับไม่ได้ ไม่มีประมาณ เหลือที่จะกำหนด เหมือนน้ำในมหาสมุทรย่อมกำหนดได้โดยยาก ว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้"

:b42: :b42: :b42:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แก้ไขล่าสุดโดย Bwitch เมื่อ 14 ก.พ. 2011, 00:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 23:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สรุปแล้ว...ไม่ว่าจะขั้นตอนไหน..ต้องมีใจเป็นใหญ่..สำเร็จได้ด้วยใจ

ดังนั้นก่อนจะทำการอะไร...ต้องฉลาดโดยเริ่มทำที่ใจก่อน
:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2011, 16:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบางลางเลือน เขียน:
เสียงแรกที่ปรากฏอยู่ภายในคือ ......เสียงที่หลุดออกจากการเคลื่อนไหวซึ่งไม่ต้องอาศัยปัจจัยของการเคลื่อนขับ
เสียงแรกที่ปรากฏออกมาภายนอกคือ.......เสียงสะท้อนจากผัสสะ และจะเป็นเสียงเช่นไรนั้นก็ขึ้นอยู่ว่าผัสสะแรก
คืออะไร เพราะเสียงทั้งหลายย่อมต่างกันไปตามผัสสะ

เมื่อเราพูดด้วยหัว ........เสียงสำเนียงจะเหมือนคนอีสานเลียนสำเนียงของคนใต้ บางครั้งก็เหมือนคนใจลอย
บางครั้งก็เหมือนคนจริงจัง บางครั้งก็ฟังเหมือนหนักแน่น บางครั้งก็ซ่อนเงื่อนปมมากมายและ ในทุกสำเนียง
ที่ออกมาจากสมอง เหมือนประหนึ่งว่า เป็นสิ่งเลื่อนลอยที่ไม่ค่อยได้จดจำ และไม่น่าจดจำ

เมื่อเราพูดด้วยใจ ......น้ำเสียงจะบริสุทธิ์สะอาด ถึงแม้จะพูดผิด และการพูดด้วยใจจะประจานตัวตนที่บุคคล
กำลังปกปิด ต่างกับการพูดด้วยหัว เพราะเมื่อพูดด้วยหัวตัวตนที่ปกปิดก็ยังมีส่วนที่มิดชิดอยู่

เสียงที่เราใช้หัวฟังเพียงอย่างเดียวโดยปราศจากใจมาร่วมรับฟังจริงแล้วเป็นเรื่องยาก เพราะผู้ที่มีใจอย่างไร
เวลารับฟังสิ่งใด ก็มักจะมีใจของตนนั่นหละเข้ามาวัดสิ่งที่ฟัง พร้อมๆกับมีสมองคอยช่วยส่งเสริมสนับสนุนการ
ฟังด้วย ความต่างของการฟังจึงไม่ใช่อยู่ที่ใจหรือสมอง แต่อยู่ที่ความสงบ ความบริสุทธิ์อ่อนโยน
ของจิตว่าตอนไหนมีจิตที่สงบนิ่งดีการรับฟังก็จะเข้าถึงส่วนลึกส่วนซ่อนเร้นได้ดี

อาจมีเหตุผลมากมายในเรื่องๆเดียว ว่าทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น
ดังนั้นเหตุผลเพียงไม่กี่เหตุผล อาจจะยังไม่พอต่อการสรุป

อสังขาร จะถึงได้รู้จักได้ เมื่อ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขาร ระงับลงอย่างบริสุทธ์
ไม่ใช่ด้วยการคิดค้นคว้าหาวิธี หรือการปรุงวิธีการมากอย่าง

เห็นเอรากอนแล้วทำให้เหมือนนึกอะไรได้ จึงปรุงแต่งซะยืดยาวด้วยความนึกถึง

:b38: :b38: :b53: :b53: :b53:


นึกถึงท่านอยู่เสมอเช่นกัน
มีเรื่องราวมากมายอยากมีโอกาสได้สนทนากับจางบาง :b1:

ก็ได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสได้สนทนากับท่านสักวัน เมื่อวาระที่กำหนดมาถึง

:b1: :b30: :b30: :b30: :b1:

เห็นจางบางแล้วนึกอยากหลับ อิ อิ

:b22: :b22: :b22:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร