วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 04:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2010, 00:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
อ้าว กระผมเข้าใจผิด ขออำภัย
จำสับสนกับสกิาคามี

ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่ออีกแล้ว
อายยย


อะยัยเย้อ..เป็ดไก่..ที่ไหนงะ

s006 s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2010, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อถึงคุณธรรมชั้นโสดาบันแล้ว น่าจะไม่มีสิ่งใดบอกได้ว่าตอนนี้ตนเองเป็นโสดาบันแล้ว
นอกจากจะกางตำราหยิบสังโยชน์10ขึ้นมา แล้วตรวจตราเอาเองด้วยความคิดตนเองว่าตอนนี้ตน
ละอะไรไปได้บ้างแล้ว และโดยมากก็มักจะตรวจตราเข้าข้างตัวเองด้วยสิ

เห็นด้วยครับ :b45:
สัมมาทิฏฐิ เพี้ยนเมื่อใด โสดาฯก็เพี้ยนเมื่อนั้นครับ



สังโยชน์3ข้อถ้าสิ้นไป นั่นหมายถึงเนื้อตัวชีวิตของผู้นั้นมีมรรคทั้ง8เป็นเนื้อตัวชีวิต
มีศีลสมบูรณ์สมาธิปานกลาง ปัญญาปานกลาง ซึ่งหมายถึงชีวิตของพระโสดาบัน
จะเป็นชีวิตที่ก้าวเข้าไปในเขตแห่งความมั่นคงในกุศลธรรม มั่นคงในศีล มั่นคงในทาง
และมั่นคงในธรรม ไม่มีถอยหลังและไม่กลับกำเริบ

เห็นด้วยครับ :b45:


เพราะคุณธรรมแห่งความเป็นผู้แรกสู่กระแสนิพพานบังเกิด สังโยชน์10 สิ้นไปแล้ว3
โมหะบางส่วนถูกทำลายไป แล้วเหตุไฉน การทำลายสังโยชน์ไปแล้วจึงเกิดความรู้สึก
ต่อกิเลสที่เด่นชัดและมากขึ้น เพราะโดยธรรมชาติผู้มีสังโยชน์ทั้ง10อยู่น่าจะมีกิเลสรบกวน
มากกว่าผู้ละกิเลสไปแล้วบางส่วนจนเหลือสังโยชน์แค่7ตัว

เมื่ออายุเหลือน้อย
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ครับ :b45:



ความสงสัยของผมเกิดขึ้นว่า คนเราจะมีอะไรเป็นเครื่องบอกว่าตอนนี้สังโยชน์3สิ้นไปแล้ว
และตอนนี้เราเป็นโสดาบันแล้ว

ความสงสัยต้องไม่มี ครับ :b45:


และความสงสัยของผมก็เกิดอีกว่า ตอนเหลือสังโยชน์แค่7ตัว ทำไมกิเลสแรงกว่าตอน
ยังละสังโยชน์ไม่ได้สักตัว

แรงเท่าเดิม แต่ความชัดเจนมีมากขึ้น
รอบแรกมีรถวิ่งอยู่สิบคัน ดูไม่ค่อยทั่วถึง
รอบต่อไปรถเหลือน้อยลง ทำให้มองเห็นรถที่เหลืออยู่ชัดเจนขึ้น
ยิ่งเหลือรถวิ่งน้อยคัน ความชัดเจนของรถที่เหลืออยู่ยิ่งชัดเจนขึ้น :b45:



ความสงสัยของผมเกิดอีกว่า ระดับจิตที่เข้าถึงความเป็นอริยะน่าจะค่อยๆเย็นค่อยๆเบาบาง
ค่อยๆบริสุทธิ์สะอาด และค่อยๆสงบระงับสูงขึ้นมิใช่หรือ

เข้าใจตรงกันครับ :b45:


ในขณะเดียวกัน อริยมรรคที่สมบูรณ์มีขึ้นในตัวเองของพระโสดาบันไม่ได้ทำให้กิเลสเกิดยากขึ้น
เลยหรืออย่างไร

3ข้อแรก ที่เช็คบิลไปแล้ว ไม่หวลย้อนกลับมาคิดใหม่แล้วครับ
ส่วนที่เหลือที่ยังไม่ได้เช็คบิล ยังต้องรับผิดชอบอยู่ครับ :b45:



ช่วยแก้ไขให้หายสงสัยด้วยเถิด เพราะปัญหามาถึงท่านแล้ว

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนสักแต่ว่าสังขาร ทั้งนั้นครับ
ทั้งปัญหา ทั้งปัญญา ล้วนสักแต่ว่าเช่นนั้นเองครับ :b45: :b41: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2010, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในความเป็นโสดาบัน ตามมุมมองของผมเองนั้น
ผมมองว่าเช่นนั้นเองครับ
ความเป็นโสดา ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษวิจิตรพิสดารแปลกประหลาดมหัศจรรย์แต่อย่างใด
เพราะกิเลสตัวเป้งๆ ยังไม่ไม่ได้ระคายสึกหรอไปเท่าใดเลย
โสดาบันเพียงแค่คลายความสงสัย ในขันธ์๕เท่านั้นเองครับ :b45:

ทกุข์หายไปสามตัว จากทุกข์ที่มีอยู่สิบตัว
แต่ทางเดินสำหรับโสดาบัน จะเร็วขึ้น จะสะดวกขึ้น จะมีความมั่นใจมากขึ้น และจะเข้มข้นขึ้น ครับ
ไม่มีสิ่งใดที่จะมาทำให้หวั่นไหวต่อความศรัทธาที่มีแก่พระรัตนไตรได้อีกแล้ว :b45:

เมื่อเห็นความจริงของขันธ์๕อย่างหมดความสิ้นความสงสัย
จิตมันก็จะมีความเบา ความคล่องตัวมากขึ้น
ทุกผัสสะจะถูกใคร่ครวญพิจารณา ถี่ถ้วนมากขึ้น
อนิจจังจะถูกนำมาใช้บ่อยขึ้น (อะไรๆก็ไม่แน่)
สูญญตาจะเห็นมากขึ้น ความว่างจะเป็นวิหารธรรมที่ใช้อาศัยบ่อยขึ้น :b45:

เห็นความไม่เที่ยง เห็นความจางคลาย เห็นความสลัดคืน เห็นความดับไม่เหลือ
ในทุกๆธรรมที่ปรากฏเกิดขึ้น :b45:

มันจะเป็นไปโดยธรรมชาติ มันไม่มีการที่จะต้องบังคับจับฝืนแต่อย่างใด
เพราะเมื่อมีคอยจ้องที่จะต้องรักษา สักกายะทิฏฐิ มันก็จะปรากฏเกิดขึ้นทันที
ศีลไม่ต้องคอยรักษา แต่ศีลจะรักษาตัวของมันเอง
เพราะศีลมันเป็นธรรมที่ปกติ ผิดปกติเมื่อใด นั้นแสดงว่าศีลไม่สมบูรณ์แล้ว

เมื่อใจถึงธรรม ศีลมันมีมากกว่าศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐
ไม่รู้เท่าไรจักเท่าไร ไม่ต้องสมาทาน ไม่ต้องร้องขอ
ลองสังเกตุดูเอาเองเถิดครับ เคร่งครัดในศีลตึงเปี๊ย แต่สักกายะทิฏฐิหนาแน่นตึบ
เพราะบางท่านวัดความเป็นโสดาบันเอาจากศีลบริสุทธิ์
แต่ยิ่งเคร่งศีลมาก สักกายะทิฏฐิยิ่งเพิ่มมากขึ้น
โสดาทะลักล้นกระจายเปลื้นเปอะไปทั่ว มัวไปหมด :b45:

เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2010, 21:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็น..นี้แปลก..ดี

อนัตตญาณ เขียน:
..
แต่ยิ่งเคร่งศีลมาก สักกายะทิฏฐิยิ่งเพิ่มมากขึ้น


:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2010, 23:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตญาณ เขียน:
ลองสังเกตุดูเอาเองเถิดครับ เคร่งครัดในศีลตึงเปี๊ย แต่สักกายะทิฏฐิหนาแน่นตึบ
เพราะบางท่านวัดความเป็นโสดาบันเอาจากศีลบริสุทธิ์
แต่ยิ่งเคร่งศีลมาก สักกายะทิฏฐิยิ่งเพิ่มมากขึ้น
โสดาทะลักล้นกระจายเปลื้นเปอะไปทั่ว มัวไปหมด :b45:
เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ :b45:


ผมไม่แน่ใจว่าสักกายะทิฏฐิเพิ่มขึ้นหรือไม่นะครับ
แต่ที่แน่ๆสีลัพพตปรามาสพุ่งขึ้นแน่นอนครับฟันธง


แก้ไขล่าสุดโดย Yodyood เมื่อ 14 ต.ค. 2010, 23:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2010, 23:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ความเห็น..นี้แปลก..ดี

อนัตตญาณ เขียน:
..
แต่ยิ่งเคร่งศีลมาก สักกายะทิฏฐิยิ่งเพิ่มมากขึ้น


:b13: :b13: :b13:


เห็นด้วย ว่าแปลกดี สมควรอนุรักษ์ไว้ให้ชนรุ่นหลังด้วยการ "สตาฟไว้"

เอ๊ะ "สตาฟ"นี่จัดว่าเป็นวิธีอนุรักษ์ปะเนียะ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 14 ต.ค. 2010, 23:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2010, 14:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โมทนาสาธุ ทุกๆท่านครับ :b8:

เป็นมุมสังเกตุเท่านั้นครับ

ตย. การยึดมั่น จับมั่นในศีล เพื่ออะไรๆให้กับขันธ์๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ )
แม่ชีบางท่าน ถูกเนื้อต้องตัวผู้ชายไม่ได้
(ผมไปยืนต่อแถว เพื่อรับน้ำปานะในโรงทานแห่งหนึ่ง
ท่านบอกให้ผมวางแก้วน้ำลงก่อน เพราะผมเป็นผู้ชายท่านตักน้ำใส่แก้วน้ำที่ผู้ชายถือไม่ได้
เพราะศีลท่านจะบกพร่อง) :b16:



ในเมื่อโสดาฯ นั้น รู้ชัดแล้วไม่ใช่หรือว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลตัวตน ที่ไหน
กายและใจนี้สักแต่ว่าขันธ์๕
ความเห็นว่าขันธ์๕เป็นสัตว์บุคคล เป็นเพียงสักแต่ว่าความเห็น(ทิฏฐิ)เป็นเพียงอุปาทาน
ดังนั้นการตึงเป๊ะในศีล เพื่ออะไรๆให้กับขันธ์ทั้ง๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
หรือเพื่อให้อะไรๆกับขันธ์๕ หรือเพื่อให้ขันธ์๕เป็นอะไรๆ
น่าที่จะไม่สมเหตุสมผล เท่าใด. :b45:


มันน่าจะ ตึงเพื่อให้รู้ว่า เมื่อตึงแล้วผลเป็นอย่างไร
และถ้าเมื่อปล่อยปะละเลย ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ
ไม่เอาใจใส่ ผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร
การปฏิบัติเกี่ยวกับศีลมันน่าจะออกมาในรูปแบบนี้ ผมว่ามันน่าจะเข้าท่ากว่า :b45:


ปฏิบัตธรรมแล้ว เข้ากับใครไม่ได้ อยู่กับโลกไม่ได้
คนอื่นเน่าเหม็นหมด มีเราสะอาดอยู่คนเดียว
เอะอะ ก็จ้องจะบวชท่าเดียว
แค่ศีล๕ ศีล๘ ไม่บกพร่อง
แค่ศรีษะไม่มีเส้นผม แค่นุ่งห่มไม่เหมือนชาวบ้าน แค่กินอาหารน้อยมื้อไม่เท่าชาวบ้านเท่านั้น
ก็หลงเข้าใจว่าตนเอง(ขันธ์๕)กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ วิเศษเหนือกว่าผู้อื่น(ขันธ์๕)ไปแล้ว :b16:


เป็นเพียงมุมมองที่พบเห็นในปัจจุบัน
แลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ :b1:
เพื่อชะลอ เพื่อกระตุก ศีลไม่ให้ตึงเกินไป ไม่ให้หย่อนไป :b45:

7วัน 7เดือน 7ปี 7ข้อ 7ก้าวย่าง ...7โพชฌงค์ :b45:


แก้ไขล่าสุดโดย อนัตตญาณ เมื่อ 15 ต.ค. 2010, 16:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2010, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 14:44
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตญาณ เขียน:
โมทนาสาธุ ทุกๆท่านครับ :b8:

เป็นมุมสังเกตุเท่านั้นครับ

ตย. การยึดมั่น จับมั่นในศีล เพื่ออะไรๆให้กับขันธ์๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ )
แม่ชีบางท่าน ถูกเนื้อต้องตัวผู้ชายไม่ได้
(ผมไปยืนต่อแถว เพื่อรับน้ำปานะในโรงทานแห่งหนึ่ง
ท่านบอกให้ผมวางแก้วน้ำลงก่อน เพราะผมเป็นผู้ชายท่านตักน้ำใส่แก้วน้ำที่ผู้ชายถือไม่ได้
เพราะจะศีลท่านจะบกพร่อง) :b16:



ในเมื่อโสดาฯ นั้น รู้ชัดแล้วไม่ใช่หรือว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลตัวตน ที่ไหน
กายและใจนี้สักแต่ว่าขันธ์๕
ความเห็นว่าขันธ์๕เป็นสัตว์บุคคล เป็นเพียงสักแต่ว่าความเห็น(ทิฏฐิ)เป็นเพียงอุปาทาน
ดังนั้นการตึงเป๊ะในศีล เพื่ออะไรๆให้กับขันธ์ทั้ง๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
หรือเพื่อให้อะไรๆกับขันธ์๕ หรือเพื่อให้ขันธ์๕เป็นอะไรๆ
น่าที่จะไม่สมเหตุสมผล เท่าใด. :b45:


มันน่าจะ ตึงเพื่อให้รู้ว่า เมื่อตึงแล้วผลเป็นอย่างไร
และถ้าเมื่อปล่อยปะละเลย ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ
ไม่เอาใจใส่ ผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร
การปฏิบัติเกี่ยวกับศีลมันน่าจะออกมาในรูปแบบนี้ ผมว่ามันน่าจะเข้าท่ากว่า :b45:


ปฏิบัตธรรมแล้ว เข้ากับใครไม่ได้ อยู่กับโลกไม่ได้
คนอื่นเน่าเหม็นหมด มีเราสะอาดอยู่คนเดียว
เอะอะ ก็จ้องจะบวชท่าเดียว
แค่ศีล๕ ศีล๘ ไม่บกพร่อง
แค่ศรีษะไม่มีเส้นผม แค่นุ่งห่มไม่เหมือนชาวบ้าน แค่กินอาหารน้อยมื้อไม่เท่าชาวบ้านเท่านั้น
ก็หลงเข้าใจว่าตนเอง(ขันธ์๕)กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ วิเศษเหนือกว่าผู้อื่น(ขันธ์๕)ไปแล้ว :b16:


เป็นเพียงมุมมองที่พบเห็นในปัจจุบัน
แลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ :b1:
เพื่อชะลอ เพื่อกระตุก ศีลไม่ให้ตึงเกินไป ไม่ให้หย่อนไป :b45:

7วัน 7เดือน 7ปี 7ข้อ 7ก้าวย่าง ...โพชฌงค์7 :b45:


พูดถึงการตึงเป๊ะในศีล
ทำให้นึกถึงเรื่องพระเซนในหนังสือท่านพุทธทาส
ที่ว่ามีหญิงสาวจะข้ามทางหรืออะไรสักอย่างแล้วข้ามไม่ได้..(คิดว่าเหตุการณ์จำเป็นอะไรสักอย่าง ..จำไม่ได้เลย...แต่อยากเล่า)
พระเซนสองรูปผ่านมา ท่านหนึ่งจึงเข้าไปช่วยแบกหญิงสาวนั้นข้ามไปได้

เมื่อกลับถึงวัดถึงอาศรม พระอีกรูปหนึ่งจึงถามขึ้นมาว่า."ท่านเป็นสมณเพศ การเข้าไปอุ้ม แบก สตรีเพศนั้นเหมาะ ควรอยู่รึ".
พระเซนองค์ที่อุ้มสตรีนั้นจึงตอบว่า."เราวางสตรีไว้ที่นั่นแล้ว..แต่ท่านยังไม่วางหรอกรึ".

แง่คิดที่ดีมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2010, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b36: อนัตตญาณ :b36:
โมทนาสาธุ ทุกๆท่านครับ :b8:

เป็นมุมสังเกตุเท่านั้นครับ

ตย. การยึดมั่น จับมั่นในศีล เพื่ออะไรๆให้กับขันธ์๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ )
แม่ชีบางท่าน ถูกเนื้อต้องตัวผู้ชายไม่ได้
(ผมไปยืนต่อแถว เพื่อรับน้ำปานะในโรงทานแห่งหนึ่ง
ท่านบอกให้ผมวางแก้วน้ำลงก่อน เพราะผมเป็นผู้ชายท่านตักน้ำใส่แก้วน้ำที่ผู้ชายถือไม่ได้
เพราะจะศีลท่านจะบกพร่อง) :b16:


555...ดีนะ...ที่แม่ชีบอกให้ท่านวางแก้ว...ก็สมเหตุอยู่...
แต่มีอยู่ตัวหนึ่งน่ะ...ไม่สมเหตุเลย...
นั่งอ่านหนังสือกับเพื่อน...มันก็นั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะ...
อยู่ ๆ มันก็เหลือบมอง...ทำหยุกหยิกแล้วก็ทำลับ ๆ ล่อ ๆ ที่ใต้โต๊ะ...เห็นเงาอะไรบางอย่างใต้โต้ะไว ๆ
เราก็กระทืบไปอย่างแรง...

"จ๊าก...เอ็งตืบทีนตู...ทามมายยยย"
-ก็เอ็งเอาทีนมาทำอะไรใกล้ ๆ ขาข้า...วะ-
"ก็ยางลบตูหล่นไปอยู่ตรงน๊านนนน...ก็เลยยืนทีนไปจะหนีบมาเห็นกำลังมีสมาธิอ่านหนังสือ...ไม่อยากขัดจังหวะ...โหยย..."
-ห้วย... :b12: ...อิ อิ... :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2010, 21:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตญาณ เขียน:
โมทนาสาธุ ทุกๆท่านครับ :b8:

เป็นมุมสังเกตุเท่านั้นครับ

ตย. การยึดมั่น จับมั่นในศีล เพื่ออะไรๆให้กับขันธ์๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ )
แม่ชีบางท่าน ถูกเนื้อต้องตัวผู้ชายไม่ได้
(ผมไปยืนต่อแถว เพื่อรับน้ำปานะในโรงทานแห่งหนึ่ง
ท่านบอกให้ผมวางแก้วน้ำลงก่อน เพราะผมเป็นผู้ชายท่านตักน้ำใส่แก้วน้ำที่ผู้ชายถือไม่ได้
เพราะศีลท่านจะบกพร่อง) :b16:


อ่อ..มันเป็นอย่างนี้เองหรอ.. :b12:

เลยทำให้คุณอนัตตญาณ..รู้สึก..อย่างนี้ซินะ

อ้างคำพูด:
มันน่าจะ ตึงเพื่อให้รู้ว่า เมื่อตึงแล้วผลเป็นอย่างไร
และถ้าเมื่อปล่อยปะละเลย ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ
ไม่เอาใจใส่ ผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร
การปฏิบัติเกี่ยวกับศีลมันน่าจะออกมาในรูปแบบนี้ ผมว่ามันน่าจะเข้าท่ากว่า :b45:

ปฏิบัตธรรมแล้ว เข้ากับใครไม่ได้ อยู่กับโลกไม่ได้
คนอื่นเน่าเหม็นหมด มีเราสะอาดอยู่คนเดียว
เอะอะ ก็จ้องจะบวชท่าเดียว
แค่ศีล๕ ศีล๘ ไม่บกพร่อง
แค่ศรีษะไม่มีเส้นผม แค่นุ่งห่มไม่เหมือนชาวบ้าน แค่กินอาหารน้อยมื้อไม่เท่าชาวบ้านเท่านั้น
ก็หลงเข้าใจว่าตนเอง(ขันธ์๕)กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ วิเศษเหนือกว่าผู้อื่น(ขันธ์๕)ไปแล้ว :b16:


บางครั้ง..มันก็น่าเห็นใจ..หากหมู่คณะ..ปฏิบัติอย่างไร..มีกฏระเบียบกันในหมู่คณะอย่างไร..เขาก็ต้องปฏิบัติให้เป็นไปในแนวเดียวกันอย่างนั้น...ไม่อย่างนั้นเขาก็อยู่ด้วยกันกับหมู่คณะลำบาก..คือปฏิบัติตามกันเพียงแค่ให้เกิดความเรียบร้อยเท่านั้น...อย่านี้ไม่น่าจะถือว่าเป็น..ศีลลัพพต

แต่หากเขาคิดว่า..ต้องอย่างนี้จึงจะได้มรรคผลนิพพาน..อย่างนี้ก็เต็ม ๆ

ซึ่งเราคนภายนอก..ไม่อาจรู้ความคิดของเขาได้ว่าเขาคิดอย่างไร..

แต่ที่แน่ ๆ ..เราเองกำลังคิด..กำลังข้อง..กับวัตรของคนอื่น

ที่ปฏิบัติธรรมบางแห่ง..กำหนดให้ต้องสวมชุดของสำนักเขาเท่านั้น
บางแห่ง..ก็กำหนดว่าชุดชาย..ชุดหญิง..ต้องเป็นอย่างไร
บางแห่ง..ก็เพียงแค่ให้ใส่ชุดเรียบร้อยเท่านั้น

รูปแบบทั้ง 3 นี้..ไม่เป็นศีลลัพพต..
แต่จะเป็น..ศีลลัพพตได้ทั้ง 3 แบบ..หากมีความคิดไปถือมั่นว่าอย่างนี้ดี..อย่างนั้นไม่ดี..ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับมรรคผลอะไรเลย

อ้างคำพูด:
เป็นเพียงมุมมองที่พบเห็นในปัจจุบัน
แลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ :b1:
เพื่อชะลอ เพื่อกระตุก ศีลไม่ให้ตึงเกินไป ไม่ให้หย่อนไป :b45:

:b8: :b8:
แต่..เมื่อถึงเวลาหนึ่ง...เราจะไม่ไปมองมุมของคนอื่น..จะมองแต่มุมของตัวเอง...จะเห็นขยะที่ตัวเองไม่ยอมทิ้งเสียที..
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร