วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 11:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


....สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไปนั้นเป็นทุกข์ คือไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะแล้วก็กับไป จิตขณะต่อไปก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สืบต่อกันไปเรื่อยๆ ขณะได้ยินเสียง ไม่ใช่ขณะเห็น ปัญญาต้องรู้ตามความเป็นจริงจึงจะไม่เห็นผิดว่าเป็นตัวตน ถ้ายังรวมกันทั้งเห็นกับได้ยินก็เป็นเรา เป็นตัวตน สภาพธรรมที่เกิดดับนั้น สั้นที่สุด เร็วที่สุด เป็นสภาพธรรมที่มีจริงและละเอียดมาก ซึ่งพิสูจน์ได้ แต่ต้องฟังมากๆ ให้เข้าใจจริงๆ ว่า "ทุกข์ตั้งแต่เกิด" เจ็บเป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก
เป็นทุกข์ โลภะเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ต้องการสิ่งใดแล้วไม่ได้ก็เป็นทุกข์ หวังว่าสิ่งนั้นจะเป็นอย่างนั้น แต่แล้วสิ่งนั้นก็ไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ก็เป็นทุกข์ ดีที่สุดคือไม่หวัง เพราะทุกสิ่งที่มีเหตุปัจจัยก็จะต้องเกิดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะหวังหรือไม่หวังก็ตาม แม้แต่เพียงหวังก็เป็นทุกข์แล้ว ฉะนั้น ถ้าไม่อยากทุกข์ก็อย่าหวัง เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ทุกอย่างให้ดีที่สุด ไม่หวังอะไรตอบแทนเลยจากสิ่งที่ทำไปแล้วนั้น ถ้าเกิดผลดีก็ดี แต่ก็ไม่ได้หวังว่าจะต้องดีถึงขั้นนั้นขั้นนี้ เมื่อทำดีที่สุดแล้วสบายใจ เพราะไม่ต้องเดือดร้อนว่าทำไม่ค่อยจะดี ฉะนั้น จึงทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อกันความเดือดเนื้อร้อนใจ เมื่อทำดีที่สุดแล้วอะไรจะเกิดก็เกิด ถ้าดีก็ดี ถ้าไม่ดีก็ช่วยไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้ต้องการให้ใครมาชมด้วย เพราะถ้าทำดีแล้วหวังให้ใครชม ก็จะเป็นทุกข์อีก แล้วว่าอุตส่าห์ทำแทบตายไม่เห็นมีใครชมเลย กลายเป็นว่าทำดีเพื่อต้องการให้คนชม ฉะนั้น จะต้องไม่หวั่นไหวกับคำชมหรือคำติ ทำทุกอย่างดีที่สุดแล้วไม่หวังเลยว่าอะไรจะเกิด ไม่ต้องแบกโลก เช่น ผู้ที่มีพี่น้องหลายคน ก็ไม่ต้องมานั่งคิดว่าพ่อแม่รักเราไหม รักเรามากเท่าพี่น้องคนอื่นไหม ถึงพ่อแม่ไม่รักเราแต่เรารักพ่อแม่ เราก็สบายใจ นอกจากพ่อแม่แล้วก็ยังมาถึงเพื่อนฝูงอีก ใครจะรักเราหรือไม่รักเรา ก็เรื่องของเขา เราไม่สนใจ แต่เราเป็นมิตรกับเขาหวังดีต่อเขาเราก็สบายใจ เราไม่กังวลถึงความไม่ดีของคนอื่น แต่เรามีหน้าที่ๆจะพัฒนาปรับปรุงเจริญปัญญาของเราเอง แล้วยังช่วยคนอื่นได้ด้วยการกระทำของเรา ด้วยความคิดของเรา คือเราไม่เป็นภัยต่อกับใครเลย พอใครโกรธนิดหนึ่ง เรารู้เลยว่าเขาเป็นทุกข์ (ต่อ...)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.......พอใครไม่ชอบใครนิดหนึ่ง เรารู้เลยว่าเขากำลังมีทุกข์แน่ๆ จากความไม่ชอบขณะนั้น ทุกอย่างไม่เที่ยงแล้วเราจะอยู่ในโลกนี้อีกไม่นาน เพราะฉะนั้น ระหว่างมีชีวิตอยู่ก็ทำสิงที่ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ไม่เอาความทุกข์ไปให้ใคร แล้วไมเอาความทุกข์มาให้ตัวเราด้วย กว่าจะเป็นตัวเราคนนี้ เราสะสมมาแล้วกี่ชาติ แม้แต่ การนั่ง การยืน การนอน การเดินของแต่ละคนก็ต้องสะสมมา ซึ่งในชาตินี้ก็สะสมมาตั้งแต่เกิด
......เมื่อกรรมที่จะให้ผลในชาตินี้ยังมีอยู่ก็ยังตายไม่ได้ ต่อให้ทำอย่างไรก็ตายไม่ได้ โดยมากนั้นทุกข์ใจเกิดต่อจากทุกข์กาย เวลาป่วยไข้ไม่สบายก็ห่วงกังวล ความเจ็บปวดนั้นเปรียบเหมือนการถูกแทงด้วยลูกศรดอกที่ ๑ แต่ความวิตก ความห่วงกังวลเปรียบเหมือนลูกศรดอกที่ ๒ ที่แทงซ้ำตรงแผลเก่า แผลก็เหวอะหวะมากขึ้น แล้วจะทุกข์ร้อนเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร ทุกข์กายนั้นหนีไม่พ้น เพราะมีกายก็ต้องมีทุกข์ ยุงกัดเจ็บ เมื่อไม่เดือดร้อน ลูกศรที่ ๒ ก็ไม่มี มีแต่ดอกที่ ๑

......เมื่อเปรียบความห่วง ความวกังวลเป็นลูกศรที่ ๒ ก็จะเห็นได้ชัดว่าไม่น่าให้ถูกแทงด้วยลูกดอกที่ ๒ ซ้ำอีก ทุกข์กายเกิดขึ้นก็รักษาพยาบาล ไม่ต้องไปวิตกกังวลเพิ่มขึ้นอีก ความกังวลไม่มีประโยชน์อะไรเลย เป็นเรื่องราวไร้สาระซึ่งไม่ทำให้อะไรดีขึ้น เมื่อเจ็บป่วยก็รักษา จะเสียเวลาเป็นห่วงเป็นกังวลให้เป็นทุกข์เดือดร้อนทำไม
......เวลาเราสุข ก็รู้ว่าความรู้สึกสุขเป็นอย่างไร เวลาคนอื่นเป็นสุกขก็สุขอย่างนั้นแหละ เวลาเราโกรธความรู้สึกเป็นอย่างไร คนอื่นโกรธก็รู้สึกอย่างนั้นแหละ ความรัก ความชัง ของทุกคนก็เหมือนกันหมด ถ้าเอาชื่อของทุกคนออกหมด ก็มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นธาตุชนิดหนึ่งๆ จิตก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เราเรียนเรื่องธาตุหลายอย่าง ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่จิตเป็นธาตุพิเศษซึ่งเป็นธาตุรู้ เพราะจิตเป็นธาตุที่ช่างรู้ ช่างคิด จึงไม่ใช่ว่าเรารู้จักใจของเราดี จนกว่าจะได้ฟังธรรมะมากกขึ้น และพิจารณาจนจิตเราเปิดเผยออกมาให้รู้ความจริงแท้ของจิตใจได้ ไม่ใช่รู้แต่การกระทำอย่างเดียวเท่านั้น ฉะนั้น จึงมีสติอีกขั้นหนึ่ง คือ ขณะระลึกรู้สภาพ จิตใจของตนเอง แต่จะต้องเป็นคนตรงจึงจะรู้ได้ ผู้ที่จะศึกษาธรรมจริงๆ นั้นต้องเป็นคนตตรง ต้องตรงจริงๆจึงจะไม่เอนเอียง คือไม่เข้าข้างตัวเอง ธรรมต้องเป็นธรรมตามความเป็นจริงเช่น การให้ การให้ทานจริงๆ นั้น ไม่ใช่ให้เพื่อหวังผลตอบแทน ไม่ใช่ให้เพื่อหวังให้เขารักใคร่ ไม่ใช่เพื่อหวังว่าวันหลังเขาจะให้ตอบ การให้ทานนั้นต้องเป็นจิตใจที่สะอาดปราศจากอกุศล(ต่อ....)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 09:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: :b48: :b43: :b42:
......จิตเกิดดับเร็วมาก เดี๋ยวเป็นอกุศล เดี๋ยวเป็นกุศล ไม่ใช่ว่าจะเป็นกุศลตลอดเวลา หรืดไม่ใช่ว่าจะเป็นอกุศลตลอดเวลา "กุศล" เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นเหตุให้เกิดผลที่ดี "อกุศล" เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี เป็นโทษ เป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดี เมื่อไม่ฟังพระธรรมก็ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ความรู้ก็มีหลายขั้น ความรู้ชั้นได้ยินได้ฟังธรรม เป็นความรู้ขั้นที่ไม่สามารถดับความเห็นผิด และอกุศลทั้งหลายได้ เป็นเพียงความรู้ขั้นละคลายความไม่รู้จากการที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเท่านั้น
.....เรื่องความโกรธ กับความไม่โกรธนั้น ถ้าสะสมปัญญามาก็จะรู้ว่า "ไม่โกรธดีกว่า" แต่ถ้าไม่ได้สะสมปัญญามาก็คิดว่าต้องโกรธ ต้องโต้ตอบ จะให้คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าไม่โกรธดีกว่าโกรธ ฉะนั้น จึงต้องพิจารณาให้เห็นโทษของอกุศลและเห็นประโยชน์ของกุศล แล้วอบรมเจริญกุศลเพิ่มขึ้น ลองดูคนที่เรารู้จัก บางคนจิตใจดี เอือเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วเหลือคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง ไม่พูดว่าร้ายใครเลย และทำให้คนที่เข้าใจผิดกันเข้าใจกันและสมัครสมานกลมเกลียวกันได้ มีการกระทำที่เป็นกุศลศีลคือ การประพฤติสิ่งที่เนประโยชน์ทางกาย ทางวาจา แต่บางคนก็ตรงกันข้าม มีแต่เรื่องริษยา เรื่องโกรธ นึกถึงแต่ความไม่ดีต่างๆ มีความประพฤติทางกาย ทางวาจา ซึ่งไม่เหมาะไม่ควร ทำให้คนอื่นเดือดร้อน พูดคำที่ไม่นึกถึงคนฟัง ซึ่งเราเป็นคนฟังก็จะรู้สึกว่าไม่ชอบฟังคำอย่างนี้ แต่เมื่อเป็นคนพูดก็ลืมคิด และไม่รู้ว่าขณะนั้นก็เป็นอกุศล
....."ทาน" การให้นั้นเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว คนที่ตระหนี่มากก็ยากที่จะให้ได้ จิตที่ให้ทานเป็นกุศล เป็นจิตที่ดีงาม เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบากคือผลที่ดี พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ในพระสูตรว่า "ถ้าผู้ใดรู้ผลของทานเหมือนเรารู้แล้วไซร้ ผู้นั้นย่อมไม่บริโภคก่อนให้ทานเลย" อย่างคนในบ้านเราที่อยู่ด้วยกันทุกคนชอบอาหารรสอร่อย ถ้าเรามีอาหารรสอร่อยแล้วบริโภคคนเดียว รู้สึกเหมือนจะติดคอ เพราะรู้ว่าคนอื่นก็อยากจะลิ้ม อยากจะชิมอาหารอร่อยด้วย ฉะนั้น ถ้าแบ่งให้เขาตั้งแต่แรก ก็สุกขใจทั้งเราท้งเขา ไม่ใช่เก็บไว้หลายๆ วันจนเกือบจะเสียแล้วจึงเอามาให้เขา เพราะถึงอย่างไรเราก็ให้ ก็ให้ตั้งแต่ยังมีรสอร่อยดีกว่าให้เมื่อค้างแล้วหรือเก่าแล้ว ควรคิดถึงความรู้สึกที่กลับกัน คือถ้าเราเป็นผู้รับ เวลาได้รับสิ่งที่ดี ก็รู้สึกเป็นสุขโสมนัส ฉันใด คนอื่นก็ฉันนั้น การให้ทานเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นกุศล เพราะขณะที่ให้นั้นจิตใจอ่อนโยน ถ้าคนรับเป็นคนที่เคยไม่ชอบเราหรือเป็นศัตรูกับเรา เมื่อได้รับสิ่งซึ่งมาจากไมตรีจิตของเรา เขาย่อมจะเกิดความรู้สึกที่อ่อนโยนและมีความเป็นมิตรด้วย แม้เราไม่หวังผลว่าจะให้เขารักเรา แต่ก็รู้ว่าการให้เป็นทางที่จะทำให้ใจคนอ่อนลงและเกิดกุศลได้ เพียงคำพูดเพราะๆ ที่เกิดจากกุศลจิตก็ทำให้คนฟังสบายใจ และใจของผู้พูดขณะนั้นก็อ่อนโยนด้วย การเป็นคนอ่อนโยนอ่อนน้อมนั้นทำให้ละคลายความสำคัญตน ความทะนงตน หรือความเย่อหยิ่งซึ่งไม่ดีเลย และกุศลนั้นก็ไม่ใช่มีแต่ทานยอย่างเดียว ทานเป็นกุศลขั้นต้นถ้าเราให้เขา แล้วเบียดเบียนเขาโดยใช้วาจาที่ทำให้เขาเสียใจ เขาก็ไม่อยากได้สิ่งที่เราให้ (ต่อ....)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


....หรืออาจจะช้ำใจเกินกว่าจะรับสิ่งที่เราให้ ถ้าเราให้ด้วยกิริยาที่ไม่สมควรหรือวาจาที่ทำให้ผู้รับไม่อยากจะรับ ก็เท่ากับว่าให้ไปด้วยความดูหมิ่น ให้ด้วยความไม่เต็มใจ ฉะนั้น แม้การให้แก่คนขอทาน ถ้าเป็นผู้ที่รู้จักกุศลจิต ก็จะให้ด้วยกิริยาที่ไม่ใช่โยนทิ้งลงไป แต่จะวางลงอย่างดี ยิ้มแย้มแจ่มใสและอาจจะมีคำพูดหรือกิริยาอาการที่ทำให้เขาสบายใจ ไม่มีกาย วาจาที่แสดงการดูหมิ่นและดูแคลนเลยทั้งสิ้น
......"ศีล" คือ ความประพฤติ ทางกาย วาจา มี ๓ อย่าง คือ การงดเว้นทุจริต ๑ การอ่อนน้อมต่อผู้ที่ควรอ่อนน้อม ๑ การสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น ๑ แต่ว่าทั้งๆ ที่มีการให้ทาน มีศีล และสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้อื่น แต่จิตใจก็ยังเร่าร้อนเป็นทุกข์ ฉะนั้น จึงมีกุศลอีกขั้นหนึ่ง คือ มีปัญญาเห็นโทษของอกุศลจิต ซึ่งแม้ว่ายังไม่มีการทำทุจริตใดๆ ทงกาย ทางวาจา แต่ใจก็เป็นทุกข์เดือดร้อน เพราะอกุศล จึงต้องสะสมอบรมเจริญปัญญาให้เห็นโทษของอกุศลจริงๆ พระธรรมที่ได้ฟังและพิจารณาแล้วย่อมสะสมอยู่ในจิต ทำให้พิจารณารู้ว่าก่อนจะหลับ จิตเป็นกุศลหรืออกุศล ก่อนจะหลับนั้นคิดอะไร ถ้าคิดเรื่องโลภะก็ไม่มีวันจบซะที คิดเรื่องโทสะก็ขุ่นทั้งๆ ที่สิ่งนั้นยังไม่มาถึงก็ขุ่นเคืองเสียก่อนแล้วแต่ถ้าคิดในสิ่งที่ดี ว่าจะทำอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ใจก็สบาย
......ความโกรธจะบรรเทาลงได้ด้วยอะไร ก็ด้วยธรรมที่ตรงกันข้ามกับความโกรธ คือ เมตตา ความเป็นเพื่อน ความหวังดี ความเกื้อกูล คำว่า "เมตตา" ภาษาไทยใช้คำว่า "มิตร" หรือ เพื่อน คำว่าเพื่อนนั้น ลึกลงไปถึงความไม่หวังร้ายต่อผู้ที่เราเป็นเพื่อนด้วย เมื่อเราเป็นเพื่อนกับใครเราจะไม่แข่งดี หรือไม่แม้คิดที่จะแข่งดีกับเพื่อน ถ้าคิดแข่งดีกับใครขณะใด ขณะนั้นไม่มีความเป็นเพื่อนกับผู้นั้น เพราะเพื่อนจะต้องสนับสนุนส่งเสริมเกื้อกูลกันตลอดไป พิจารณารู้ได้ว่าจิตขณะใดเป็นเพื่อนกับใคร เช่น เวลารับประทานอาหารด้วยกันก็เป็นเพื่อน แต่พอถึงเวลางานก็ไม่ใช่เพื่อนเสียแล้วก็เป็นไปได้
.....ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน คือ อบรมเจริญกุศลให้เพิ่มขึ้น...
แต่ละคนต้องการสุข เกลียดทุกข์ มีโลภะ โทสะ โมหะ เหมือนกัน แต่ว่าใครจะมีศรัทธาฟังพระธรรม ใครอบรมจิตใจให้สูงขึ้นซึ่งจะเป็นทางพ้นไปจากความทุกข์ที่เกิดจากกิเลส ทุกข์มากก็เพราะมีกิเลสมาก ทุกข์น้อยก็เพราะมีกิเลสน้อย จะไม่มีทุกข์เลยก็ต้องดับกิเลสหมด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.......เวลาผู้อื่นทำกุศล เรายินดีกับเขาไหม อนุโมทนาในกุศลจิตกับเขาไหม หรือว่าเฉยๆ ถ้าเราเฉยๆ ไม่อนุโมทนา เมื่อตายไปแล้วใครทำกุศลก็ยังเฉยๆ ไม่อนุโมทนาอยู่นั่นแหละ ซึ่งก็เหมือนกับชาตินี้ที่ไม่อนุโมทนา แต่ถ้าชาตินี้เห็นใครทำดีก็อนุโมทนา จิตของผู้ที่อนุโมทนาเป็นกุศลจิต ไม่ใช่ว่าผู้อื่นจะเอากุศลไปให้ได้
.......ผู้ใดอนุโมทนา จิตของผู้นั้นก็เป็นกุศล เหมือนกับชาตินี้ ขณะนี้ เพียงแต่ว่าชาติหน้านั้นเป็นภพภูมิที่มองไม่เห็น ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะเกิดที่ภพภูมิไหน ถ้าเกิดเป็นเปรตหรือเทวดา รู้ได้ก็อนุโมทนาได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดกุศลจิตอนุโมทนาหรือไม่

:b43: :b43: :b48: :b48: :b43: :b43: :b42: :b42: :b43: :b43: :b48: :b48: :b43: :b43: :b42: :b42: :b43: :b43:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร