วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 15:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 206 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อิ อิ งี๊เลยเหย๋อ ท่านมู... อิ อิ

:b32: :b32: :b32:

เอ๋...ช่วงนี้...ฝนตกชุก มรสุมเข้าไม่ขาดสาย...
รู้สึกว่า นักปฏิบัติธรรมจะ ผ้าเบรคชื้นนนน...

อิ อิ ประกอบกับถนนมันก็...ลื่น อิ อิ

:b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


แหกโค้งกันใหญ่ กองกันอยู่แถวหัวโค้ง อิอิ
เราไปราดน้ำมันไว้แน่ๆ เลย ลื่นปรื๊ดๆ :b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool พอดีกำลังคิดเรื่องการพิสูจน์ผี คิดไปคิดมา... ผีอาจจะมีมวล แล้วก็คิดไปคิดมาอีก ก็เลยได้เรื่องที่เด็ดกว่านั้น คือ การกำเนิดของสสาร และ สภาพทั่วไปของจักรวาล

แต่เรื่องนี้มีรายละเอียดเยอะ เลยขอเรียบเรียงความคิดอีกพักหนึ่ง แต่รับรองสนุกสนานหวาดเสียว โอมมะลึกกึ๊กกึ๋ย :b32: :b32: :b32:
โปรดติดตามนิยายมหาเทพ ภาคพิศดาร ซึ่งไม่มีอะไรจะพิศดารไปกว่านี้อีกแล้ว โฮะ โฮะ โฮะ หัวเราะแบบมหาเทพ :b22: :b22: :b22:

แต่เพื่อความตื่นเต้น จะแย้มเนื้อเรื่องนิดหน่อยพอเป็นกระสัย...

ถ้านิยายที่เราคิดมีความเป็นไปได้
- โลกและดวงดาวทั้งหลาย รวมถึงดวงอาทิตย์ กำลังหดตัวลงเรื่อยๆ
- ทฤษฎีการกำเนิดดวงดาวของฝ่ายวิทย์ ก็เห็นจะต้องคิดใหม่ เพราะฝ่ายมหาเทพบอกว่า จุดจบสุดท้ายของดวงดาวในทุกรูปแบบทั้งดาวเคราะห์และดาวฤกษ์คือ หลุมดำ ซูเปอร์โนวาไม่ใช่วงจรหนึ่งของดวงดาว สงสัยมะนาวต่างดุ๊ดระเบิดกันเล่น :b32: :b32: :b32:
- จักรวาลไม่ได้ขยายตัว แต่เพราะหลุมดำที่มีอยู่เกลื่อนกลาด ทำให้เกิดปรากฎการณ์ red shift ทำให้นักวิทย์คิดว่า จักรวาลกำลังขยายตัวด้วยอัตราเร่งในทุกทิศทาง
- จุดจบของเอกภพคือ ภาวะเอกฐาน หรือ singularity

และตามนิยายนี้ จิตผู้สร้างจึงมีจริง และอาจมีหลายจิต ที่ช่วยกันระเบิดภาวะเอกฐาน จนเกิดเป็นจักรวาลขึ้นมา
แต่นิยายนี้ ไม่ได้ให้คำตอบว่า จิตมาจากไหน


ปล.หลังจาก google นิดหน่อย เราก็ค่อนข้างเข้าใจถูกว่า ดาวฤกษ์จะปกคลุมด้วยพลาสมา... แล้วก็สิ่งที่เราคิด ยังพอจะอธิบายได้ว่า แนวคิดโลกกลวงมาจากไหน มันไม่ได้กลวงแต่เรามองไม่เห็นมันมากกว่า...
อีกอย่าง สสาร ไม่มีจริง


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 14 ก.ย. 2010, 20:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 07:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ห้วยย...
5555
...
หุ หุ อิ อิ

:b22: :b22: :b22:

อย่าช้านะเพ่...
...
อย่าปล่อยให้ลิงรอนาน......


:b43: :b43: :b43:
:b13: :b13: :b13:


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool เรื่องราวที่จะเขียนทั้งหมดนี้ จะไม่เอ่ยถึงเรื่องของ จิต... เป็นเรื่องสสารอย่างเดียว เป็นใบไม้นอกกำมือ

สิ่งที่เป็นสามัญของระบบจักรวาลทั้งหมด มีอยู่สิ่งเดียวคือ แรงโน้มถ่วง
คำว่าแรงโน้มถ่วง ใช้ตามคำที่เรียกกันในปัจจุบัน ซึ่งอันที่จริง มันน่าจะเป็นกลุ่มของพลังงานในรูปแบบหนึ่ง (จะใช้คำว่า สนาม ก็น่าจะได้) ซึ่งมีลักษณะพื้นฐานที่จะเคลื่อนเข้าหากัน หรือจับรวมตัวกัน

จักรวาลหนึ่งมีอยู่หลายเอกภพ... และสิ่งที่เราจะเขียนถึงนี้ คือเอกภพหนึ่งๆ

:b6: :b6: :b6: ระบบทั้งหมดเริ่มต้นที่ การระเบิดครั้งใหญ่ (บิ๊กแบง) แผ่สนามพลังงานแรงโน้มถ่วงออกไปทุกทิศทาง สนามแรงโน้มถ่วงจะแผ่ออกไปจนถึงที่สุด คือจนถึงจุดที่หนาแน่นน้อยที่สุด (หมายความว่า ไม่มีช่องว่างในเอกภพ) ณ จุดนั้น เอกภพจะหยุดขยายและตรงนั้นก็คือขอบเขตของเอกภพหนึ่งๆ...
แต่ละเอกภพจะมีขนาดเท่าใด จะขึ้นอยู่กับสนามพลังงานตั้งต้น ว่ามีอยู่เท่าใด

เมื่อเอกภพหยุดขยาย พลังงานโน้มถ่วงก็จะเริ่มจับตัว หมุนตัวเป็นก้อนพลังงานเล็กๆ จนสามารถตรวจวัดได้ นั่นคือ อนุภาค รูปแบบการหมุนของแต่ละก้อน ก็คือสิ่งที่แยกว่าเป็นอนุภาคชนิดใด
การหมุนเป็นตัวจำกัดขนาดของอนุภาค หากอนุภาคมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แรงหมุนก็จะเอาชนะแรงดึงดูดของตัวมันเอง อนุภาคชนิดนั้นก็จะสลายตัวเกิดเป็นอนุภาคชนิดใหม่ที่เสถียรกว่าเดิม คือเล็กกว่าเดิม แต่หากการหมุนมีน้อยเกินไป ก็จะกลืนไปกับสนามจนแยกไม่ออก นั่นคือ ไม่เกิดอนุภาค

อนุภาคที่หมุนในทางตรงข้ามกัน จะเข้ามาเกาะเกี่ยวกัน (ลองนึกภาพการสบกันของฟันเฟือง) และควงไปด้วยกันด้วยการหมุนที่เป็นผลลัพท์
ส่วนอนุภาคที่หมุนในทางเดียวกัน อาจจะผลักกันออกไปหรือรวมกันเป็นอนุภาคที่ใหญ่ขึ้น แล้วสลายตัวไปเกิดอนุภาคใหม่ก็ได้

ผลลัพธ์สุทธิของการหมุน รู้จักกันในชื่อว่า ประจุไฟฟ้า หากอนุภาคเข้ามาเกาะเกี่ยวกัน และการหมุนไม่ได้หักล้างกันไปหมด ก็จะเหนี่ยวนำให้เกิดการรวมตัวกันของสนามที่อยู่โดยรอบ เกิดเป็นอนุภาคเล็กๆ อีกชนิดหนึ่งขึ้นมา... และนี่คือ การกำเนิดของอะตอม


:b6: :b6: :b6: เมื่อเกิดการรวมตัวกันของสนามแรงโน้มถ่วง แม้จะเป็นระดับอะตอม แต่นั่นก็หมายถึงว่า เอกภพเริ่มหดตัวลงตั้งแต่บัดนั้น

การกำเนิดของสิ่งที่เราเรียกว่า สสาร เกิดขึ้นทั่วทั้งเอกภพ อะตอมมีมวลมากกว่า (มวลรวมของอนุภาคทั้งหมด) เมื่อเปรียบเทียบกับสนามที่อยู่โดยรอบ แต่ละอะตอมก็จะเคลื่อนเข้าหากัน เกิดเป็นกลุ่มของสสาร (ลองนึกภาพ เราวางผ้าเช็ดหน้าลงบนโต๊ะ แล้วดึงที่จุดตรงกลางของผ้าขึ้นมา)
เมื่ออะตอมเข้ามาใกล้กัน การหมุนควงของอะตอมก็จะกระทบกัน อะตอมขนาดเบาจะเกิดการรวมตัวกันเกิดเป็นอะตอมที่ใหญ่ขึ้น (ฟิวชั่น) และมีผลลัพธุ์ของการหมุนใหม่ที่น่าจะช้าลง เพราะมวลผลรวมมากขึ้น

อะตอมที่ใหญ่ขึ้น จะมีแรงกระแทกที่มากพอที่จะกระแทกอนุภาคบางส่วนให้หลุดออกไป

เป็นไปได้ที่ปฏิกิริยา ฟิวชั่น จะให้พลังงานเกินจริง เพราะการกระแทกจะทำให้เกิดความปั่นป่วนของสนามที่อยู่โดยรอบ ก่อให้เกิดอนุภาคอื่นๆ ขึ้นมา ซึ่งหมายความว่า พลังงานฟิวชั่นในสนามแรงโน้มถ่วงที่ต่างกันจะให้พลังงานไม่เท่ากัน


:b6: :b6: :b6: การก่อตัวของระบบดวงดาว จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันทั้งดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ มันอยู่ที่ว่า ดาวเคราะห์จะก่อตัวจนสามารถต้านแรงดึงดูดของดาวฤกษ์ได้ทันหรือไม่ ความแตกต่างของดาวทั้ง 2 นี้ อยู่ที่ มวล หรือความหนาแน่นของสนามแรงโน้มถ่วง

เมื่อสสารส่วนใหญ่ ไหลเข้าไปรวมที่จุดศูนย์กลาง สสารจะอัดแน่นเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดการหลอมรวมตัวกัน และปลดปล่อยพลังงานออกมา
อะตอมที่รวมตัวกันก็ยังจะอัดแน่นเข้าไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เสียสภาพของอะตอม คือเสียสภาพการหมุนแล้วรวมกันเป็นหนึ่ง เป็นสนามแรงโน้มถ่วงแบบสภาพแรกเริ่ม ซึ่งรู้จักกันในนาม หลุมดำ ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่หลุม แต่เป็นจุดซึ่งไม่มีสภาพของสสาร ซึ่งก็แปลว่า ไม่ต้องการพื้นที่

ดาวฤกษ์มีมวลมากพอที่ปฏิกิริยาฟิวชั่น จะรุนแรงจนยับยั้งการเกาะเกี่ยวของสสารโดยรอบ ในขณะที่ดาวเคราะห์ ฟิวชั่นที่เกิด จะเป็นตัวสนับสนุนให้เกิดการก่อตัวจนเป็นธาตุหนัก และเกาะเกี่ยวกันจนเกิดเป็นเปลือกของดาว แต่ในที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดาวประเภทใด สสารทั้งหลายก็จะยุบตัวลงจนไม่เหลือสภาพของสสารอีก

:b6: :b6: :b6: ระบบดวงดาวทุกระบบในเอกภพ ถูกยึดโยงกันไว้ด้วยสนามแรงโน้มถ่วง และเมื่อสสารเริ่มเกิด การยุบตัวของเอกภพก็เริ่มขึ้น จนในที่สุดก็จะยุบตัวลงจนเป็นภาวะเอกฐาน หรือ Singularity ...
ภาวะ Singularity จะอยู่อย่างนั้นไปชั่วกัปป์ชั่วกัลล์ ตราบจนเวลาหนึ่ง... แสงสว่างจงปรากฎ


สุดท้าย... การเกิด red shift ของแสง อาจเกิดได้ใน 2 กรณี คือตัวแสงเองก็ถูกสนามของดาวฤกษ์ยืดออก หรือแสงเดินทางผ่านหลุมดำที่มีอยู่ทั่วไป ซึ่งถ้าเป็นกรณีหลังก็จะมีประเด็นใหม่ๆ ขึ้นมา เช่น แสดงว่าดวงดาวที่เราเห็นนั้น แท้จริงไม่ได้อยู่ตรงนั้น

และไม่แน่ว่า ทั้งดวงอาทิตย์และโลก อาจมีอายุยาวนานกว่าที่คิดกัน หากมีการยับยั้งการหดตัวของดาวเป็นระยะๆ
เป็นไปได้ไหมว่า จุดดับบนดวงอาทิตย์ ก็คือการ ยืด สนามแรงโน้มถ่วงออกจากภายใน ลดความหนาแน่นลง หรืออีกนัยหนึ่ง ดึงสสารออกจากดาว สร้างความเสถียรให้กับวงโคจรของดวงดาวในระบบสุริยะ

ถ้ามีการยับยั้งการหดตัวของโลก ก็ย่อมมีหลักฐานที่เป็นช่องเปิดในการปลดปล่อยสนามแรงโน้มถ่วงออกมา...

:b6: :b6: :b6: ถ้าที่เขียนนี้มีความเป็นไปได้ จิตผู้สร้างจึงมีจริง แต่เราเข้าใจว่า มีหลายๆ จิตช่วยกันมากกว่า แต่ถึงแม้จะมีจริง ส่วนใหญ่ของกระบวนการต่างๆ ก็เป็นไปเองตามธรรมชาติ...


แก้ไขเรื่อง ซูเปอร์โนวา
ตอนนี้พอจะเข้าใจแล้วว่า การดึงสนามแรงโน้มถ่วงออกจากดาวฤกษ์ ซึ่งแสดงให้เห็นในลักษณะ จุดดับ นั้น ด้านหนึ่งคือการยับยั้งการหดตัวของดวงดาว ปลดปล่อยสสารออกสู่อวกาศ ซึ่งแน่นอนมันก็ย่อมถูกดึงดูดกลับเข้ามาอีก

แต่ในอีกด้านหนึ่ง การสร้างจุดดับจำนวนมาก ก็คือ การระเบิดดวงดาว หรือซูเปอร์โนวา
สนามแรงโน้มถ่วงที่ลดลงอย่างรวดเร็ว จะทำให้พลังงานฟิวชั่น ซึ่งแต่เดิมเป็นตัวหนึ่งที่ช่วยต้านแรงโน้มถ่วง จะกลายเป็นพลังงานที่มากเกิน และผลักออกจนเป็นการระเบิดของดวงดาว

และดวงดาวในทุกรูปแบบ สามารถเกิดเป็นซูเปอร์โนวาได้ทั้งนั้น...

จบการอัพเดทในโพสต์นี้ล่ะ... :b6: :b6: :b6:


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 17 ก.ย. 2010, 20:50, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีการทำสีด้วย...


:b12: ใช้น้ำมันเครื่องยี่ห้ออะไรล่ะนี่พี่ท่าน... :b13:

:b9:


โพสต์ เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool ใส่สีเพื่อไม่ให้ตาลายไง อิอิ

เอาล่ะๆ ต่อนิดหนึ่ง...
ไปอ่านๆ มา เรื่องการยุบตัวของดาว เจ้าฮอว์กิ้งก็เคยอธิบายไว้แล้ว แย่จัง... กำลังกรึ่มๆ อยู่เชียว :b32: :b32: :b32:

เมื่อหลุมดำคือภาวะ Singularity มันจึงไม่ใช่ทางผ่านของสสาร เพราะอันที่จริง ถ้าจะว่าโดยนัย สสารก็เป็นซับเซตของหลุมดำ...
แต่หลุมดำจะเป็นทางผ่านของ จิต ในการเคลื่อนตัวไปยังจุดต่างๆ ของเอกภพ เพราะในภาวะ Singurality ไม่มีคำว่า ระยะทาง จิตสามารถเข้าไปยังหลุมดำที่จุดหนึ่ง และออกไปยังอีกจุดหนึ่งได้ทันที

:b6: :b6: :b6: ตรงนี้คงต้องอธิบายเพิ่มว่า เมื่อสสารคือการหมุนของสนามแรงโน้มถ่วง จนแยกตัวเองออกจากสนามโดยรอบ สสารจึงต้องการพื้นที่ในการคงอยู่ เมื่อเกิดพื้นที่ ก็เกิดระยะทาง และเกิด เวลา คือต้องมีการเดินทางระหว่างพื้นที่หนึ่ง ไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง

ในภาวะ Singularity เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง สิ่งที่เป็นคุณสมบัติของสสารทั้งหมด จึงหายไป รวมถึงเวลา...


เอาล่ะ มาในภาพใหญ่อีกครั้ง... :b6: :b6: :b6:
ในจักรวาลนี้ นอกจากจะมีสนามแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสสารทั้งหมดแล้ว ยังมี จิต ที่เป็นเหมือนคู่ตรงข้ามกัน ตรงข้ามไม่ได้แปลว่า Anti ที่ต้องทำลายกัน... สิ่งที่ต่างกันของ 2 สิ่งนี้คือ มวล สนามแรงโน้มถ่วงมีมวล (ซึ่งก็คือแรงดึงดูด) ส่วนจิตไม่มีมวล

สนามและจิต ส่งผลต่อกันในรูปแบบที่แน่นอนอันหนึ่ง ซึ่งจริงๆ เราคิดไปมากพอดู รวมถึงระบบการคงอยู่โดยทั่วไปของจิตในเอกภพนี้ แต่ขอให้ตกผลึกมากกว่านี้ก่อน...

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราสงสัย แล้วจิตเชื่อมกับสสารได้อย่างไร หมายถึงสิ่งมีชีวิตนั่นแหล่ะ... บางที สิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างสสารและจิตก็คือ แสง ทั้ง 3 สิ่งนี้ อาจเป็นสิ่งพื้นฐานของจักรวาลทั้งหมด และทั้ง 3 สิ่งนี้ก็มีผลกระทบเกี่ยวเนื่องต่อกัน...


เพิ่มเติมเล็กน้อย... คิดว่าน่าจะเพิ่มคำอธิบายนะ :b6: :b6: :b6:
- เมื่อสนามที่หมุนในทางตรงกันข้ามมาเกาะเกี่ยวกัน สนามจะไหลเข้าหากัน เช่น ถ้ามี 2 ก้อนมาเกี่ยวกัน สนามจะไหลผ่านทั้ง 2 ก้อนเหมือนเลข 8 และนั่นคือ แรงนิวเคลียร์ชนิดเข้ม

แต่สนามที่ตรงข้ามกันเป๊ะ คือมีมวลเท่ากัน และแรงหมุนเท่ากัน (ปฏิสสาร) จะไม่เกาะเกี่ยวกัน... แรงที่เท่าๆ กันจะทำให้เกิดการชนกันแบบ ปะทะ การหมุนจะเสียสมดุล จนก่อตัวเกิดเป็นอนุภาคใหม่

แต่ถ้าเป็นการหมุนในทิศทางเดียวกัน คือเป็นอนุภาคเดียวกัน แรงที่ขบกันจะกลายเป็นการผลักกัน...

- การแผ่รังสีแบบ กัมมันตภาพรังสี อาจเกิดจากการไม่เสถียรของอะตอม เช่น อาจเกิดการกระแทก จนส่วนประกอบที่เคยสมบูรณ์หลุดหายไป การหมุนที่ไม่เสถียรก็เหนี่ยวนำให้เกิดอนุภาคอื่นๆ จากสนามที่อยู่โดยรอบ แต่เพราะเป็นการหมุนที่จากมวลที่มาก (และอาจด้วยลักษณะเฉพาะบางอย่าง) อนุภาคที่เกิดขึ้นแทนที่จะถูกจับไว้ ก็ถูกสลัดออกไป เกิดเป็นการแผ่รังสีขึ้นมา...


เพิ่มเติมอีกครั้ง...
- แรงโน้มถ่วงก็คือแรงดึงดูดของตัวมันเอง ดังนั้นความแตกต่างของภาวะ Singularity ก่อนบิ๊กแบงกับหลุมดำก็คือ หลุมดำจะมีแรงดึงดูดมหาศาล เพราะเกิดภายในสนาม ส่วนภาวะ Singularity ก่อนบิ๊กแบงนั้น ไม่เกิดแรงดึงดูดใดๆ

- เอกภพนี้ เป็นเอกภพของ สสาร ไม่ใช่ปฏิสสาร ตรงนี้น่าจะบ่งบอกว่า เอกภพมีการหมุนตัวในระดับหนึ่ง การหมุนของสนามในทางที่ ไม่ปกติ (ปฏิสสาร) จึงต้องใช้พลังงานอื่นเพิ่มเติม ในการคงความไม่ปกตินั้น

จริงๆ การหมุนในทางตรงข้ามกัน เป็นเรื่องปกติในการสร้างสมดุลของการหมุน แต่มันจะเป็นเรื่องแปลกขึ้นมา เมื่อมีความพยายามสร้างการหมุนนั้น ให้เกิดขึ้นเดี่ยวๆ

ถ้าจักรวาลนี้มีหลายเอกภพ มันก็อาจมีเอกภพอื่นที่เป็นปฏิสสาร (เมื่อเทียบกับเอกภพที่เราอยู่กันนี้) แต่ย่อมไม่เกี่ยวกับสมดุลเช่น เมื่อมีเอกภพสสารอยู่ 1 ก็ต้องมีปฏิอยู่อีก 1
กฏทางฟิสิกส์ทั้งหลาย มีขอบเขตอยู่ภายใต้สนามแรงโน้มถ่วงหนึ่งๆ คือเอกภพหนึ่งๆ เท่านั้น


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 17 ก.ย. 2010, 20:18, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 19 ก.ย. 2010, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool เอาล่ะๆ มาเสนอแนวคิดกันอีกในเรื่องของ แสง

ขอปรับเปลี่ยนแนวคิดไปในจุดเดิมว่า จักรวาลนี้มีสิ่งมูลฐานเพียง 2 สิ่งคือ จิตและสสาร สสารในที่นี้ก็คือ สนามแรงโน้มถ่วง นั่นแหล่ะ
แล้วแสงคืออะไร...

:b6: :b6: :b6: เมื่อสนามแรงโน้มถ่วงเกิดการกระแทก คือมีแรงเข้ามากระทบในทันที แรงกระทบจะทำให้เกิดการ กระเพื่อม ของสนามที่เป็นพื้นหลัง คิดแบบง่ายก็อาจมองในลักษณะ ก้อนหินที่ตกลงไปในน้ำ น้ำจะกระเพื่อมเป็นวงๆ แล้ววงนั้นก็กระจายออกไป...
การกระเพื่อมนั้น เราเรียกว่า แสง และหากมีการวัดการกระเพื่อมเป็นจุดๆ ไป เราก็เรียกจุดๆ นั้นว่า โฟตอน

ระดับที่ทำให้เกิดการกระเพื่อมขึ้นมา ก็คือระดับที่มีการสั่นสะเทือนในระดับ max ของสนาม ถ้าการสั่นสะเทือนไม่ถึงระดับ max มันก็จะก่อตัวเป็นอนุภาคอื่นๆ แทน การสั่นสะเทือนก็คือ แรงจากการหมุนของอนุภาคที่มีอยู่ก่อนนั่นแหล่ะ...

โฟตอนมีขนาดเดียว เพราะมันเป็นการกระเพื่อมที่อยู่ในระดับ max มันจึงไม่มีการก่อตัวที่มากไปกว่านั้นอีก พลังงานที่มีมากขึ้นก็จะเป็นการกระเพื่อมที่ถี่ขึ้น
(จริงๆ การมองคลื่นแสงให้เป็นอนุภาคโฟตอน เป็นการทำให้ง่ายต่อการศึกษาเท่านั้น)

แล้วระดับ max มาจากไหน...

:b6: :b6: :b6: พลังงานระดับ max ก็คือแรงที่มากที่สุดที่จะไม่ทำให้สนามแรงโน้มถ่วงเกิดการฉีกขาด
เอกภพเป็นเนื้อเดียวกันทั้งผืน (ในทางปรัชญาก็จะบอกว่า ทุกสิ่งคือสิ่งเดียวกัน) พลังงานที่เกินระดับ max ก็คือพลังงานที่มากจนสนามในจุดนั้น หนาแน่นจนเกิดภาวะ Singularity

ความเร็วแสงมีมากตั้งแต่ต้น เพราะแสงเป็นสิ่งต่อเนื่องจากการกระแทกที่เกินพอดี ก็คือความแตกต่างของการหมุนที่มีต่อสนามพื้นหลัง ที่มีมากอย่างทันทีทันใด (ลองนึกภาพการปะทุแบบระเบิด)

จริงๆ เราคิดว่า แสงเป็นสิ่งต่อเนื่องจากการกำเนิดของอนุภาคอื่นนะ คือแรงที่เกิดในฉับพลัน ทำให้เกิดการหมุนของสนามโดยรอบ การหมุนจะแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในสุดก็สลายตัว...
สสารโดยทั่วไป จะสลายตัวและเกิดการหมุนใหม่ที่ช้าลง แต่มีหลายการหมุน ก็คือแตกออกเป็นอนุภาคที่เล็กลง...
กรณีของแสง เป็นกรณีที่มีพลังงานต่อเนื่อง แม้จะสลายตัวแต่ก็ได้รับพลังงานมาเรื่อยๆ เมื่อไม่สามารถก่อให้เกิดการหมุนใหม่ ในที่สุดสนามก็จะกระเพื่อม กระจายออกไปเป็นวง...
ถ้าพลังงานมีมากพอ การกระเพื่อมก็จะเกิดถี่ขึ้นๆ จนในที่สุดก็ไล่ทับกัน จนพลังงานเกินขีดสูงสุด นั่นคือ เกิด Singularity เล็กๆ ขึ้นมา...


:b6: :b6: :b6: เมื่อแสงคือสสารในระดับสูงสุด มันจึงได้รับผลกระทบจากสนามแรงโน้มถ่วงอย่างแน่นอน และนี่จะส่งผลต่อการ ตีความ ข้อมูลทางดาราศาสตร์อย่างขนานใหญ่

แสงจะ ไม่มีความเร็วคงที่ในอวกาศที่เป็นจริง แน่นอนว่า แสงย่อมมีความเร็วที่คงที่ในสนามแรงโน้มถ่วงที่ราบเรียบ แต่อวกาศเต็มไปด้วยดาวฤกษ์หรือสสารความหนาแน่นสูง เช่น ดาวนิวตรอน ควอซาร์ หลุมดำ หรือแม้แต่กาแล็คซี่ นั่นจะทำให้แสงเกิด red shift ได้อย่างมากมาย...

แสงที่พุ่งเข้าหาหลุมดำ อาจถูกเร่งความเร็วจนหายไปใน Singularity แสงที่หลุดรอดออกมา (จากการเลียบไปทางด้านข้าง) จะถูกหน่วงจนช้าลง และจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนมีความเร็วปกติเมื่อพ้นรัศมีของแรงดึงดูด แต่คลื่นความถี่จะถูกดึงให้ห่างจนดูเสมือนว่า แสงเดินทางมาอย่างยาวไกล...


น่าจะจบการอัพเดตในโพสต์นี้ล่ะ :b6: :b6: :b6:


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 19 ก.ย. 2010, 10:26, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 19 ก.ย. 2010, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: หนุก หนุก

นี่ท่านมู นี่เป็นงานอดิเรก หรือ ท่าน... :b14:

เอกอนขอลายเซ็นต์ท่านล่วงหน้าได้ป่าววว....

:b9: :b9:


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.ย. 2010, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


เล่นเกมเป็นงานหลักจ้า :b32: :b32: :b32:
เรื่องคิดๆ เป็นงานยามว่าง เรื่องไม่ได้ตังค์นี่เก่งนักล่ะ อิอิ


โพสต์ เมื่อ: 20 ก.ย. 2010, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อิ อิ ท่านมู ส่วนใหญ่คนที่ชอบแนวนี้
เอกอนมันจะพบว่าเขาจะได้อ่านหนังสือ เต๋าแห่งฟิสิกส์...
ท่านมูได้อ่านรึเปล่า...

และผู้ที่มีกำลังทรัพย์และกำลังขม๋อง...มักจะ...
import วารสาร/เอกสาร/หนังสือ จากต่างประเทศเลย...
แล้วนำมาแปล...เป็นภาษาไทย...
มีหลายท่านน่ะ ที่เอกอนได้มีโอกาสได้อ่านงานแปลของท่านแล้วชอบ...

และปรัชญา/ศาสนาจากนอกประเทศก็มีการหลั่งไหลเข้ามาเยอะ...
ในช่วงสิบปีมานี้...
ต้องเน้นสิบปีจริง ๆ เพราะ รูปโฉมหนังสือบนชั้นหนังสือหมวดนี้
มีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก...

งานเขียนของ ฮอบกิ้น อิ อิ แปลมากี่เล่มเอกอนน่าจะมีครบนะ
พอดีช่วงนี้ซ่อมบ้าน เลยอยู่ในกล่อง ไม่รู้อยู่กล่องไหน...

เรื่อง CERN ก็...ติดตาม...เพราะ...
เอกอนมีประสพการณ์ตรงกับสิ่งนี้อยู่...
แบบ...มันเป็นสิ่งที่เอกอนตั้งข้อสังเกตอยู่ค่ะ...
นั่นคือ...concept ที่จะเข้าไปสู่ ทำไม 4 in 1
ทำไมกฎฟิสิกส์ใช้ไม่ได้ในทุก ๆ สภาวะ...
ถ้าเป็นขนาดเล็กมาก ฟิสิกส์ควอนตัม
ถ้าเป็นขนาดเหมาะ ๆ แรงโนม้ถ่วง
แต่ถ้าไกลออกไป สัมพันธภาพ...
แต่เมื่อเข้าใกล้หลุมดำก็เริ่มเบี่ยงเบน...
จนขอบหลุมดำ จนเลยขอบเข้าไป...

เรื่อง รูหนอน จะเกี่ยวโยงกับหลุมดำหรือไม่...
เอกอนยังไม่ได้...เพราะ...เป็นช่วงที่การติดตามเรื่องนี้
ขาดช่วงพอดี...

ส่วนเรื่องแสงนี่...
เอกอน... มองว่ามันคืออะไรบางอย่างที่เราเองก็ตั้งชื่อมันว่า แสง
และ....แสงจะเกิดได้ก็ต้องมีตัวให้กำเนิด และ ก็ต้องอาศัยตัวกลางในการเดินทาง...

เอกอน...มองไปที่ตัวกลาง...
ตัวกลางที่...เอกอนมองว่ามันทำตัวเหมือนกับฉาก

ตอนนั้น...เอกอน...ฝันมาหยุดอยู่ตรงนี้...
การฝันไปในอวกาศก็ชะงักลง...
....


โพสต์ เมื่อ: 20 ก.ย. 2010, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องเกม...เอกอน...ไม่ค่อยได้เล่น...แต่ช่วงที่เล่นก็มีนะ...
แบบว่า...หมั่นไส้พี่ชาย...
คือ..เอกอนเรียนจบก่อนเขาน่ะ...และทำงาน...
เอกอนต้องตื่นแต่ตีห้ากว่าจะกลับถึงบ้านก็ทุกลักทุเล

หะ หะ แล้วมันเกี่ยวกับเกมตรงไหน...
คือ...ก่อนออกจากบ้านก็เห็นพี่ชายเล่นเกม
พอ...กลับมาก็เห็นพี่ชายสุมหัวกันเล่นเกม...

ก็เลยสงสัย...เกมมันมีดีอะไรจึงหมกมุ่นกันขนาดนี้...
พี่ชายก็บรรยายสรรพคุณซ๊ะ....น่ากลัว...
ไม่กล้าเล่นคนเดียว ต้องนั่งเล่นเป็นเพื่อนกัน...

ก็เลย..."ไหนมาเล่นบ้างดิ๊" ตอนนั้น diabo อิ อิ
...โหยยยย...พอ diabo จบ ก็ตามด้วยนั่นเลย resident ...
โหย... ชอบมาก...ยิงผีเนี๊ยะ...
แต่พอเล่นจบเกมก็จบนะ...และก็เล่นอยู่แค่นี้ ไม่เล่นไปเรื่อยน่ะ...
res 4 เล่นไม่จบเพราะบังคับยาก...
แค่ปลายักษ์เซ็งแล้ว พยายามประหยัดอาวุธที่สุด...
เพราะต้องไปเจอฝูงผีบุกบ้าน...
และยังต้องเจอไอ้ยักษ์เรื่อย ๆ ... ไม่มีอาวุธจะใช้...

เกมที่ต้องใช้ความคิดก็มีบ้าง สามก๊ก...
นอกนั้นก็จะไม่ค่อยเล่น เพราะใช้เวลาเล่นเยอะ...
จนเสียโครงสร้างการหลับนอน..และ การฝึกฝนตนในด้านอื่นน่ะ...


โพสต์ เมื่อ: 20 ก.ย. 2010, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในรูปแบบหนังสือ...แนวนี้
เอกอนชอบเรื่อง

...ควอนตัมดอกบัว...
คือ...เอกอนมองว่าเป็นการวาง concept ได้ดี...
ตรงที่...ผู้สนทนาทั้งสอง...มาแลกเปลี่ยนทัศนะกัน...
...
เป็นการนำเสนอทัศนะ...ของสองสิ่ง...
จากมุมมองของทั้งสองผู้สนทนา...


:b1: :b1:


โพสต์ เมื่อ: 20 ก.ย. 2010, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


เราไม่ได้อ่านเลย หนังสือที่เกี่ยวกับการตีความ หรือผูกศาสนากับวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน...

คือวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการ สังเกตการณ์ และอธิบายถึงสิ่งที่สังเกตได้
เพราะงั้นวิทย์จะไม่อยู่นิ่ง และมีแนวโน้มว่าจะต้องแก้ไขใหม่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในแนวคิดเชิงนามธรรม ตราบใดที่ยังมีการสังเกตเพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ

ทีนี้ถ้าเอาศาสนาไปตีความ มันก็คือการตีความโดยอิงกับสิ่งที่สังเกตได้ในปัจจุบัน เพราะงั้น มันก็มีแนวโน้มที่จะต้องตีความใหม่ ซึ่งสุดท้ายก็จะเหมือนๆ กับ คำทำนายนอสตราดามุส คือต้องตีความใหม่ไปเรื่อยๆ

ในส่วนของพระไตรปิฎก โดยเฉพาะในหมวดพระอภิธรรม เราเห็นว่า... ควรจะปล่อยไว้อย่างนั้น โดยไม่ต้องไปตีความอะไรให้เข้ากับวิทย์
ถ้าเรามองว่าพระพุทธเจ้านั้น ตรัสรู้ คือรู้แล้วในสิ่งที่เป็นสัจธรรม สิ่งที่อยู่ในพระอภิธรรม ย่อมเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ผิด แต่ด้วยความรู้ทางวิทย์ยัง ไม่ เป็นสัจธรรม จึงไม่ควรที่จะเอามาตีความเข้าหากัน อะไรที่ไม่เข้ากันก็วางๆ ไว้... เช่นพญานาคมีจริงไหม ถ้าไม่รู้ก็คือไม่รู้ อย่าเอามาตีความว่าคือ งูยักษ์

เราจำได้ว่า เราเคยตีความไปครั้งหนึ่ง ซึ่งก็สรุปออกมาว่าเราผิด แม้จะเป็นการตีความแค่ประโยคสองประโยคก็ตาม... คือเราไปตีความคำว่า สมัยนั้นจักรวาลทั้งสิ้นนี้แลเป็นน้ำทั้งนั้น ว่าน้ำนั้นคือเนบิวลา ซึ่งตอนนี้เรารู้แล้วว่า น้ำนั้นคือ ผืนของสนามแรงโน้มถ่วง แต่ก็นั่นแหล่ะ นี่ก็คือการตีความอีก... :b6: :b6: :b6:

เพราะงั้น วิทย์ส่วนวิทย์ ศาสนาส่วนศาสนา รอให้วิทย์ถึงระดับสัจธรรมก่อน คือไม่มีอะไรให้ค้นพบอีก จากนั้นค่อยมาตีความกัน... ซึ่งเราว่า น่าจะใกล้สัจธรรมแล้วล่ะ :b32: :b32: :b32:


เราว่า ในช่วงเวลาอันใกล้นี้ สัจธรรมในส่วน สสาร น่าจะเป็นที่ปรากฎต่อสาธารณชนในวงกว้าง โดยที่ไม่ต้องถึงระดับตรัสรู้
แล้วช่วงเวลาแห่ง จิตศาสตร์ จะเข้ามาแทน... โดยไม่ต้องเกิดภัยพิบัติระดับวันพิพากษาโลก...

อ่าๆ เขียนผิดอีกแล้ว คืออารมณ์อยากปราบคนชั่วมันมีมาก :b32: :b32: :b32:

คือ... ตอนนี้เราพอเข้าใจว่า ภัยพิบัติน่าจะเกิดจากการหดตัวของโลก มากกว่าจะเกิดจากอำนาจใด แต่เราสงสัยว่า... กระบวนการยับยั้งการหดตัวของโลก น่าจะส่งผลรุนแรงไม่ใช่น้อย เมื่อคิดว่า อารยธรรมมนุษย์ไม่ได้มีพื้นฐานบนความยืดหยุ่น คือปักหลักแน่นหนาบนพื้นแผ่นดิน...

เราว่าภัยพิบัตินั้นเกิดแน่... เมื่อดาวยุบตัว แน่นอนว่า เปลือกดาวจะเกาะเกี่ยวกันได้พักหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้วมันย่อมยุบลงไปทั้งผืน
กระบวนการยับยั้งน่าจะเป็นการปลดปล่อยมวลสารออกสู่อวกาศ แต่นั่นก็หมายถึง เสถียรภาพการหมุนของดาวย่อมเกิดปัญหา แต่เราคิดว่า ด้วยกำลังระดับนั้น ย่อมสามารถยับยั้งภัยพิบัติได้ในทุกรูปแบบ... โอ มายก๊าด :b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 20 ก.ย. 2010, 19:58, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 20 ก.ย. 2010, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:

เราว่า ในช่วงเวลาอันใกล้นี้ สัจธรรมในส่วน สสาร น่าจะเป็นที่ปรากฎต่อสาธารณชนในวงกว้าง โดยที่ไม่ต้องถึงระดับตรัสรู้
แล้วช่วงเวลาแห่ง จิตศาสตร์ จะเข้ามาแทน... โดยไม่ต้องเกิดภัยพิบัติระดับวันพิพากษาโลก...

ตอนนี้เราพอเข้าใจว่า ภัยพิบัติน่าจะเกิดจากการหดตัวของโลก มากกว่าจะเกิดจากอำนาจใด แต่เราสงสัยว่า... กระบวนการยับยั้งการหดตัวของโลก น่าจะส่งผลรุนแรงไม่ใช่น้อย เมื่อคิดว่า อารยธรรมมนุษย์ไม่ได้มีพื้นฐานบนความยืดหยุ่น คือปักหลักแน่นหนาบนพื้นแผ่นดิน...


:b9: :b9: ม่านจายยย...หลาย ๆ ล่ะ...ลูกพี่ตู... :b9: :b9:

:b13: :b13: :b13:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 20 ก.ย. 2010, 20:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 206 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร