วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 17:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 56 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 06:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ผัสสะ นอกจากทำให้เกิด เวทนา แล้ว ยังทำให้เกิด สัญญา สังขาร ด้วย

อ้างคำพูด:
สัญญา เป็นอย่างไร
คือ สัญญา ๖ ประการนี้ ได้แก่
๑. รูปสัญญา
๒. สัททสัญญา
๓. คันธสัญญา
๔. รสสัญญา
๕. โผฏฐัพพสัญญา
๖. ธัมมสัญญา
นี้เรียกว่า สัญญา
เพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาจึงมี เพราะความดับ
แห่งผัสสะ ความดับแห่งสัญญาจึงมี


อ้างคำพูด:
สังขาร เป็นอย่างไร
คือ เจตนา ๖ ประการนี้ ได้แก่
๑. รูปสัญเจตนา (ความจำนงรูป)
๒. สัททสัญเจตนา (ความจำนงเสียง)
๓. คันธสัญเจตนา (ความจำนงกลิ่น)
๔. รสสัญเจตนา (ความจำนงรส)
๕. โผฏฐัพพสัญเจตนา (ความจำนงโผฏฐัพพะ)
๖. ธัมมสัญเจตนา (ความจำนงธรรมารมณ์)
นี้เรียกว่า สังขาร

เพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ ความเกิดขึ้นแห่งสังขารจึงมี เพราะความดับ
แห่งผัสสะ ความดับแห่งสังขารจึงมี

ทั้งหมดที่กล่าวมา มีข้อที่น่าสังเกตุ ก็คือ ผัสสะ1 ครั้ง ก็เกิดขันธ์5 ขึ้นครั้งหนึ่ง
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ครบถ้วน

แม้รูป และ วิญญาณ จะไม่ได้เกิดจาก ผัสสะ โดยตรงก็ตาม
ท่านชี้ว่า รูป เกิดจาก อาหาร(อาหารมีหลายอย่าง)
วิญญาณ เกิดจาก นามรูป(นามรูป ความจริงนาม ก็รวมผัสสะเข้าไปด้วยนั่นแหละ)

ผัสสะ เกิดดับ ๆ ตลอดวัน เร็วถี่ยิบจนดูไม่ทัน เช่นกัน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่ารูป เพราะสลายไปจึงเรียกว่า ‘รูป’
สลายไปเพราะอะไร สลายไปเพราะหนาวบ้าง ร้อนบ้าง หิวบ้าง กระหายบ้าง
เพราะสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานบ้าง เพราะสลายไป
จึงเรียกว่า ‘รูป’
เพราะอะไรจึงเรียกว่าเวทนา เพราะเสวยจึงเรียกว่า ‘เวทนา’ เสวยอะไร เสวย
อารมณ์สุขบ้าง ทุกข์บ้าง มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง เพราะเสวยจึงเรียกว่า ‘เวทนา’
เพราะอะไรจึงเรียกว่าสัญญา เพราะจำได้หมายรู้จึงเรียกว่า ‘สัญญา’ จำได้
หมายรู้อะไร จำได้หมายรู้สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง เพราะ
จำได้หมายรู้จึงเรียกว่า ‘สัญญา’
เพราะอะไรจึงเรียกว่าสังขาร เพราะปรุงแต่งสังขตธรรมจึงเรียกว่า ‘สังขาร’
ปรุงแต่งสังขตธรรมอะไร ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ รูปโดยความเป็นรูป เวทนา
โดยความเป็นเวทนา สัญญาโดยความเป็นสัญญา สังขารโดยความเป็นสังขาร
วิญญาณโดยความเป็นวิญญาณ เพราะปรุงแต่งสังขตธรรมจึงเรียกว่า ‘สังขาร’
เพราะอะไรจึงเรียกว่าวิญญาณ เพราะรู้แจ้งจึงเรียกว่า ‘วิญญาณ’ รู้แจ้งอะไร
รู้แจ้งรสเปรี้ยวบ้าง รสขมบ้าง รสเผ็ดบ้าง รสหวานบ้าง รสขื่นบ้าง รสไม่ขื่นบ้าง
รสเค็มบ้าง รสไม่เค็มบ้าง เพราะรู้แจ้งจึงเรียกว่า ‘วิญญาณ’

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 07:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สังขารนั้นมีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มี
อะไรเป็นแดนเกิด
คือ สังขารนั้นเกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ผู้ถูกความเสวย
อารมณ์ที่เกิดจากอวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว เพราะเหตุนั้น แม้สังขารนั้นก็ไม่เที่ยง
ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น ... แม้เวทนานั้น ... แม้ผัสสะนั้น
... แม้อวิชชานั้นก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เหตุปัจจัยแห่งขันธ์
ภิกษุนั้นชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า “สาธุ พระพุทธเจ้าข้า”
แล้วได้ทูลถามปัญหายิ่งขึ้นไปว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้รูปขันธ์ปรากฏ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้เวทนาขันธ์ปรากฏ อะไรเป็น
เหตุเป็นปัจจัยทำให้สัญญาขันธ์ปรากฏ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้สังขารขันธ์
ปรากฏ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้วิญญาณขันธ์ปรากฏ”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ภิกษุ มหาภูตรูป ๔ เป็นเหตุเป็นปัจจัย
ทำให้รูปขันธ์ปรากฏ ผัสสะเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้เวทนาขันธ์ปรากฏ ผัสสะเป็น
เหตุเป็นปัจจัยทำให้สัญญาขันธ์ปรากฏ ผัสสะเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้สังขารขันธ์
ปรากฏ นามรูปเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้วิญญาณขันธ์ปรากฏ”

นามรูป คงหมายถึง นาม(เวทนา สัญญา สังขาร) รูป(มหาภูตรูป4)

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 09:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีสมร เขียน:
อายะ เขียน:
ลองนั่งภาวนาซัก 2-3 ชม.
พอเวทนาเกิดก็กำหนดรู้ตามไป
อย่าขยับ อย่าเลิก เด๋วก็รู้จักเวทนาเองแหละครับ


ขอบคุณค่ะ รู้จักเวทนาแล้วค่ะ แต่อยากทราบขบวนการของจิต ที่มันไปยึดเวทนาค่ะ


น่าสนใจนะครับ...ขบวนการของจิต ที่มันไปยึดเวทนา

สมมุติว่า..ตาเห็นรูป(ผัสสะเกิด)....จักษุวิญญาณเกิด..จิตรู้..
จิตรู้..ส่ง..รู้นั้นให้กองสัญญา..กองสัญญาทำงานเทียบเคียงข้อมูลเก่า ๆที่เคยเก็บใว้..ส่งให้กลับไปที่จิต..จิตรู้..จิตรู้ว่าเป็นคุณหรือเป็นโทษ..ส่งการวินิจฉัยให้กับ..กองสังขาร..กองเวทนา..และส่งผลการวินิจฉัยกลับไปเก็บที่กองสัญญา..คราวหลัง..รู้ว่าเป็นคุณหรือโทษได้เลยไม่ต้องให้จิตวินิจฉัยอีก

..กองสังขารรับมา..ก็คิดว่าควรจะทำอย่างไรกับสิ่งนี้ดี..ถ้าเป็นคุณก็คิดจะเอามา..ยึดมา..ถ้าเป็นโทษก็คิดจะผลักออก..ไม่เอา..ส่งผลคือความคิดว่าจะทำอะไรกับสิ่งนี้กลับไปที่..จิตรู้..และขณะเดียวกันก็ส่งผลการคิดกลับไปเก็บที่กองสัญญา..คราวหลัง..รู้ว่าจะเอามาหรือผลักออกไป..ได้เลยไม่ต้องคิด

..กองเวทนามีหน้าที่สร้างอารมณ์สุข..อารมณ์ทุกข์..เพื่อเร่งให้เกิดการเอามาหรือผลักออกไป..เร็วขึ้น..ส่งอารมณ์นั้นแก่จิต..จิตรู้อารมณ์..และขณะเดียวกันก็ส่งอารมณ์นั้นกลับไปเก็บที่กองสัญญา..คราวหลัง..จะได้รู้ว่าอารมณ์สุขหรือทุกข์ได้รวดเร็วขึ้น..ไม่ต้องเสียงเวลาสร้างอีก

..จิตรู้..รับรู้ผลจากการทำงานของกองต่าง ๆ แล้ว..ก็แสดงออกมาทางร่ายกาย..ว่าจะยิ้มตาซึ่ง ๆ :b20: :b20: หรือ..จะโกรธตาแดง ๆ :b33: :b33: ..เป็นต้น

(นับตั้งแต่ที่..ตาเห็นรูป..จนถึง..ยิมหรือโกรธ..นี้รวดเร็วไหม??..จะมีคอมพ์ฯ เครื่องไหนในโลกที่ทำงานเร็วได้เท่านี้อีก..)


ครั้งแรก..ตอน 5 ขวบ
..เห็นแม่ถือสิ่งหนึ่ง..(ตาเห็นรูปรู้ว่านี้เป็นขนม)..แม่พูดว่านี้ขนมเค้กนะ..(จำใว้ว่านี้เขาเรียกขนมเค้ก)..แม่พูดอีก(ที่จริงเรียกว่าร้อง)..แฮปปีเบิร์ดเดย์..ทู..ยูร์..ๆ..ๆ....แฮปปีเบิ้ร์ดเดย์....แฮปปีเบิร์ดเดย์..แฮปปีเบิร์ดเดย์..ทู..ยูร์.. :b17: :b17: (เสียงปรบมือ)..แม่พูดว่า..สุขสันต์วันเกิดนะลูก..พร้อมกับยื่นสิ่งนั้น(ที่เรียกว่าขนมเค้ก)..ให้เรา..นี้เค้กวันเกิดนะ..อร่อยมากด้วย..ยิ้มซิลูก..(รู้ว่านี้เค้กของเราอร่อยด้วย..แล้วเราก็)..ยิ้ม..(แฉ่ง) :b12: :b12:
(หอมแก้มแม่..เอาใจซะหน่อย)

หากวันหลัง..(ถ้ามี)..

คุณศรีสมร..นำ(สิ่งที่เรียกว่าเค้ก)..มาให้พร้อมกับคำพูดน่ารัก ๆ..สุขสันต์วันเกิดนะคุณกบฯ..(กบรู้นี้เค้กวันเกิดเรา..เขาดีกับเรา..เขาให้ความสำคัญกับเรา..)..size=150]ดีใจยิ้มแฉ่ง[/size]..แบบไม่ต้องคิดเลยละ..(อาจหอมแก้มเอาใจซะหน่อย)
:b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 22 ส.ค. 2010, 11:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 10:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลองสังเกตดูให้ดี ๆ ..จะเห็นว่าขันธ์ทั้ง 5..นี้ทำงานเพื่อจุดประสงต์เดียว..คือ..ปกป้องอุดหนุนเกื้อกูลรูปกายนี้..เท่านั้น..ทั้งนี้ก็เพราะหลง..เข้าใจผิด..ต่อรูป

แม้บางครั้งจะเห็นว่า..ทำไปเพื่อลูก..เพื่อผัวเพื่อเมีย..ลึก ๆ ก็เพราะกลัวไม่มีใครมาช่วยเหลือรูปกายนี้ทั้งนั้น

ไกลออกไปนิด..ก็ปัจจัย 4 ทั้งหลาย..มีอย่างเดียวไม่พอ..ต้องดีด้วย

ดังนั้น..กองเวทนาสร้างอารมณ์สุขทุกข์ก็เพื่อเร่ง..(หรือหลอก)..ให้จิตปกป้องรูปตามความต้องการของจิตหลง

การที่จะให้จิตไม่หลงไปกับเวทนา..ก็สอนจิตให้หายหลง..อย่างแรกก็ควรให้จิตหายหลงในรูปกายนี้ก่อนเพราะมันเป็นต้นเหตุของสิ่งทั้งหลาย..

แล้ว..ลองมองเวทนาดู..ดูแล้วก็ให้นึกว่า..ดูซิมันกำลังปกป้องรูป..ปกป้องความโง่อีกแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ได้อ่าน บทความเห็น ของ คุณอ๊บๆ และ คุณgovit2552 แล้วนำสุขเวทนามาให้
เกิดความแช่มชื่นแห่งจิต กายก็สบาย จิตก็เบาสบาย เพราะสิ่งที่แสดงนั้นล้วนแล้วแต่หยั่งลงสู่ พระสัทธธรรม เพื่อความเห็นเวทนาตามเป็นจริง

:b8:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 12:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
ลองนั่งภาวนาซัก 2-3 ชม.
พอเวทนาเกิดก็กำหนดรู้ตามไป
อย่าขยับ อย่าเลิก เด๋วก็รู้จักเวทนาเองแหละครับ


ที่กล่าวมา ไม่เรียกว่า "ขบวนการของเวทนาเป็นอย่างไร" หรอกครับ
ที่กล่าวมานั้น เป็นผลผลิตแล้ว เป็นส่วนผลแล้ว

แล้วการที่คุณบอกให้เขาไปรู้เวทนาแบบที่คุณคุณพูดถึงนี่
เข้าข่ายสิ่งที่คุณเรียกว่า "ภาวนาผิด" นะครับ
เพราะลัทธิสอนผิดที่ผมศรัทธาปฏิบัติอยู่ ก็สอนอย่างนี้แหละ
ว่าเมื่อยรู้ว่าเมื่อย ปวดรู้ว่าปวด คิดรู้ว่าคิด

คำถามที่คุณศรีสมรถามนั้น เป็นภูมิวิปัสนา
ถ้าว่ากันตามทฤฏีก็อย่างที่คุยๆกันไป

แต่ถ้าว่าตามการปฏิบัติ อย่างน้อยผู้ปฏิบัติต้องมีปัญญาแยกนามรูป
แยกนามรูปยังไม่พอ แยกรูปออกไปแล้ว ยังต้องแยกขันธ์ฝ่ายนามอีก
เรียกกันว่า มีปัญญาเห็น"ฆนะ" มันแยกกัน
ยังไม่พอ ต้องมีปัญญาเห้นความประกอบกันขึ้น (สังขาร)
ไปเทียบเอาเถอะครับ ในโสฬสญาน

การนั่งจนปวดจนเมื่อยแล้วไปรู้นี่มันไม่ใช่ขบวนการเวทนาครับ
มันเป้นแค่การ รู้เวทนา

รู้เวทนาแค่นี้ หมาแมวมันก็รู้ครับ ไม่ใช่เรื่องวิเศษณ์อะไร


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 22 ส.ค. 2010, 12:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มอง ดู พิจารณา อ่าน เบิ่ง เวทนามุมนี้บ้างดิ

“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4) มีสัมปชัญญะ (คือ สร้าง

สัมปชัญญะ ในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม เป็นต้น) ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดียว

อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดสุขเวทนาขึ้น เธอก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า “เวทนาที่เป็นสุขนี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แล

เวทนานั้นอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น มิใช่ไม่อาศัยอะไรเลย อาศัยอะไร ก็อาศัยกายนี้เอง ก็กายนี้

เป็นของไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แล้วสุขเวทนาซึ่งเกิดขึ้นโดยอาศัยกายที่ไม่

เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง เป็นปฏิจจสมุปบันธรรมอยู่แล้ว จักเป็นของเที่ยงได้แต่ที่ไหน เธอมองเห็น

ความเป็นสิ่งไม่เที่ยง ความเสื่อมสิ้นไป ความจางหายความดับ ความสลัดออกไปทั้งในกายและใน

สุขเวทนาอยู่ เมื่อเธอมองเห็น..อยู่อย่างนี้ ราคานุสัยที่มีในกายและในสุขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้

“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดทุกขเวทนาขึ้น เธอก็รู้ชัด...ปฏิฆานุสัยที่มีในกาย

และในทุกขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้

“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดอุเบกขาเวทนาขึ้น เธอก็รู้ชัด...อวิชชานุสัยที่มีใน

กายและในอทุกขมสุขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้”

(สํ.สฬ.18/377/261)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 11:35
โพสต์: 48

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
อายะ เขียน:
ลองนั่งภาวนาซัก 2-3 ชม.
พอเวทนาเกิดก็กำหนดรู้ตามไป
อย่าขยับ อย่าเลิก เด๋วก็รู้จักเวทนาเองแหละครับ


ที่กล่าวมา ไม่เรียกว่า "ขบวนการของเวทนาเป็นอย่างไร" หรอกครับ
ที่กล่าวมานั้น เป็นผลผลิตแล้ว เป็นส่วนผลแล้ว

แล้วการที่คุณบอกให้เขาไปรู้เวทนาแบบที่คุณคุณพูดถึงนี่
เข้าข่ายสิ่งที่คุณเรียกว่า "ภาวนาผิด" นะครับ
เพราะลัทธิสอนผิดที่ผมศรัทธาปฏิบัติอยู่ ก็สอนอย่างนี้แหละ
ว่าเมื่อยรู้ว่าเมื่อย ปวดรู้ว่าปวด คิดรู้ว่าคิด

คำถามที่คุณศรีสมรถามนั้น เป็นภูมิวิปัสนา
ถ้าว่ากันตามทฤฏีก็อย่างที่คุยๆกันไป

แต่ถ้าว่าตามการปฏิบัติ อย่างน้อยผู้ปฏิบัติต้องมีปัญญาแยกนามรูป
แยกนามรูปยังไม่พอ แยกรูปออกไปแล้ว ยังต้องแยกขันธ์ฝ่ายนามอีก
เรียกกันว่า มีปัญญาเห็น"ฆนะ" มันแยกกัน
ยังไม่พอ ต้องมีปัญญาเห้นความประกอบกันขึ้น (สังขาร)
ไปเทียบเอาเถอะครับ ในโสฬสญาน

การนั่งจนปวดจนเมื่อยแล้วไปรู้นี่มันไม่ใช่ขบวนการเวทนาครับ
มันเป้นแค่การ รู้เวทนา

รู้เวทนาแค่นี้ หมาแมวมันก็รู้ครับ ไม่ใช่เรื่องวิเศษณ์อะไร


เท่าที่ทราบนะค่ะ การแยกรูปนาม แยกด้วยกำลังสมาธิก็ได้ค่ะ แต่เป็นการแยกเพียงชั่วคราว
ซึ่งการแยกเพียงชั่วคราวนี้แหละ ทำให้เราสามารถฝึกใช้ปัญญาค่ะ (ปัญญาอบรมสมาธิ) ซึ่งเป็นปัญญาแบบโลกีย ยังไม่จัดเป็นวิปัสสนา พอจิตเริ่มไม่สงบก็ทำสมาธิเพิ่มต่อ พอจิตสงบก็ออกใช้ปัญญาอีก
พอฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆๆจิตจะสงบมากขึ้นๆๆจนเริ่มวิปัสสนาได้ค่ะ เรียกว่าออกพิจารณาซึ่ง
มันจะทำให้เราเข้าใจเวทนาได้อย่างแท้จริงแล้วจิตจะปล่อยว่างได้อย่างแท้จริงค่ะ

หัวข้อขบวนการของเวทนาเป็นอย่างไร ถาม ในลักษณะของ ปัญญาอบรมสมาธิค่ะ คืออยากได้ข้อมูล
ไว้คิดพิจารณา
เพราะจะเข้าใจขบวนการของเวทนาได้จริงๆๆต้องอาศัยกำลังของสมาธิระดับอุปจาระ ก็อย่างที่บอกค่ะ
ว่าอาศัยการต่อยอดจาก การเริ่มฝึกใช้ปัญญาแบบโลกียไปก่อนค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีสมร เขียน:
เท่าที่ทราบนะค่ะ การแยกรูปนาม แยกด้วยกำลังสมาธิก็ได้ค่ะ แต่เป็นการแยกเพียงชั่วคราว
ซึ่งการแยกเพียงชั่วคราวนี้แหละ ทำให้เราสามารถฝึกใช้ปัญญาค่ะ (ปัญญาอบรมสมาธิ) ซึ่งเป็นปัญญาแบบโลกีย ยังไม่จัดเป็นวิปัสสนา


มันต้องแยกด้วยกำลังสมาธิอยู่แล้วครับ

แต่ถามว่าสั่งเอาได้หรือ ว่าแยกให้ฉันดูหน่อย
มันสั่งไม่ได้หรอกครับ เพราะปัญญาแยกรูปนาม มันเป็นส่วนของผล

ถามว่าเป็นวิปัสนาไหม ผมคิดว่าช่างมันเถอ จะเป็นหรือไม่เป้นวิปัสสนาก้ตามที
แต่ถ้าจะเอาคำตอบให้ได้ ต้องขอยืนยันว่าเป็นวิปัสสนาญาน

ญาน คือ ปัญญา
ปัญญาแยกรูปนามชื่อ นามรูปปริเฉทญาน เป็นปัญญาลำดับแรก ในวิปัสสนาปัญญา 16


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้เข้าไปรู้เวทนา...วิญญาณ
ผู้อยากที่จะไม่ให้เวทนาเกิด,อยากให้เวทนาดับ...ตัณหา

ทั้งตัวเวทนาเองก็ดี
ทั้งตัวที่เข้าไปรู้เวทนาก็ดี
และทั้งตัวที่ต้องการอยากจะให้เวทนาดับ ให้เวทนาไม่เกิด ก็ดี
ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัวตนของเราแต่อย่างใดทั้งสิ้น ครับ

ไม่พอใจในเวทนา...ก็ทุกข์
ยินดีพอใจเวทนา...ก็ทุกข์
ทั้งพอใจและทั้งไม่พอใจในเวทนา...ก็ทุกข์

ขึ้นชื่อว่าเวทนา ...ทุกข์ทั้งนั้น
สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา

สุขเวทนา เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดราคะนุสัย
ทุกขเวทนา เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดปฏิฆะนุสัย
อทุกขมสุขเวทนา เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอวิชชานุสัย


เพียรพยายามมองให้เห็นว่า ไม่มีตัวตนผู้ใดเป็นผู้เสวยเวทนาแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นเพียงอาการของจิตล้วนๆ

ตัวอุปาทานเอง ก็เป็นเพียงอาการของจิต ที่อาศัยเหตุปัจจัยในการเกิดขึ้นมีขึ้นมา
ปราศจากเหตุปัจจัยเสียแล้ว อุปาทานก็เป็นอันดับสิ้น
ตัณหาคือตัวเชื้อที่ทำให้เกิดอุปาทานขึ้นมา
ไม่มีตัณหา อุปาทานก็ย่อมไม่มี...ครับ
มรรคมีองค์แปด คือเครื่องระงับดับตัณหาได้อย่างสิ้นเชิง


พยายามเพียรมีสติในทุกๆผัสสะ
เพราะชีวิตนี้ยังคงต้องดำรงค์อยู่ตามเหตุปัจจัย
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังคงต้องใช้อาศัยในการดำรงค์ชีวิต
รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่ต้องกาย อารมณ์ความคิดนึก ยังคงต้องสัมผัสพบเจออยู่ตลอด
เวทนาทางกาย เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะมหาภูตรูปทั้ง๔ยังคงเกาะเกี่ยวประชุมกันอยู่
ส่วนเวทนาทางจิตทางทางใจนั้น สำหรับบุคคลที่รู้แจ้งซึ่งเวทนาทั้งปวงได้แล้ว
ย่อมสามารถที่จะข้ามพ้นผ่านไปได้ด้วยดี...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 11:35
โพสต์: 48

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ศรีสมร เขียน:
เท่าที่ทราบนะค่ะ การแยกรูปนาม แยกด้วยกำลังสมาธิก็ได้ค่ะ แต่เป็นการแยกเพียงชั่วคราว
ซึ่งการแยกเพียงชั่วคราวนี้แหละ ทำให้เราสามารถฝึกใช้ปัญญาค่ะ (ปัญญาอบรมสมาธิ) ซึ่งเป็นปัญญาแบบโลกีย ยังไม่จัดเป็นวิปัสสนา


มันต้องแยกด้วยกำลังสมาธิอยู่แล้วครับ

แต่ถามว่าสั่งเอาได้หรือ ว่าแยกให้ฉันดูหน่อย
มันสั่งไม่ได้หรอกครับ เพราะปัญญาแยกรูปนาม มันเป็นส่วนของผล

ถามว่าเป็นวิปัสนาไหม ผมคิดว่าช่างมันเถอ จะเป็นหรือไม่เป้นวิปัสสนาก้ตามที
แต่ถ้าจะเอาคำตอบให้ได้ ต้องขอยืนยันว่าเป็นวิปัสสนาญาน

ญาน คือ ปัญญา
ปัญญาแยกรูปนามชื่อ นามรูปปริเฉทญาน เป็นปัญญาลำดับแรก ในวิปัสสนาปัญญา 16


ค่ะ มันแยกด้วยกำลังสมาธิ จากประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งเริ่มทำสมาธิทุกวัน วันละ 1ชั่วโมง โดยบริกรรมพุทโธๆพอปวดเท้าก็ บริกรรมพุทโธเร็วๆชัดๆๆจิตมันรู้อยู่กับพุทโธมันไม่ได้ไปรู้ที่เวทนา มันก็ไม่ปวดเท้า จึงบอกว่ามันแยกด้วยกำลังสมาธิ ยังอยู่ในขึ้นของสมถะ เพราะมันยังไม่เกิดปัญญาอะไร เพียงรู้สึกจิตสงบมากขึ้น (ขณิกสมาธิ) อาการปวดเท้าไม่รบกวนและจะแยกอย่างนี้ได้ช่วงสั้นๆๆค่ะ

แล้วตรงนี้แหละที่จิตพอจะเริ่มฝึกหัดฝึกปัญญาได้โดยการ เช่นถามตัวเองว่า เวทนามาจากไหน เกิดได้อย่างไร มีกาย มีความรับรู้มันก็ต้องปวด? ตั้งโจทย์ให้คิด พิจารณาอย่างนี้พอปวดเท้าขึ้นมาใหม่ก็บริกรรมพุทโธๆๆต่อ พอจิตสงบอาการปวดเท้าไม่รบกวนก็พิจารณาต่อ ทำอย่างนี้ไป จิตก็จะสงบมากๆขึ้น
จนขณะบริกรรมพุทโธๆแล้วจิตไม่แลบออกไป แสดงว่าสมาธิถึงขึ้นอุปจาระ ซึ่งสมาธิขึ้นนี้พอจิตออกพิจารณา ถ้าจะดูเวทนา ปัญญาจะเป็นระดับโลกุตตระ จะเข้าใจขบวนการของเวทนาอย่างแท้จริงแล้วจะปล่อยวางได้
อันนี้เล่าตามความเข้าใจในการปฏิบัติแนวกรรมฐานวัดป่าสายหลวงปู่มั่นที่กำลังทำอยู่ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีสมร เขียน:
ชาติสยาม เขียน:
ศรีสมร เขียน:
เท่าที่ทราบนะค่ะ การแยกรูปนาม แยกด้วยกำลังสมาธิก็ได้ค่ะ แต่เป็นการแยกเพียงชั่วคราว
ซึ่งการแยกเพียงชั่วคราวนี้แหละ ทำให้เราสามารถฝึกใช้ปัญญาค่ะ (ปัญญาอบรมสมาธิ) ซึ่งเป็นปัญญาแบบโลกีย ยังไม่จัดเป็นวิปัสสนา


มันต้องแยกด้วยกำลังสมาธิอยู่แล้วครับ

แต่ถามว่าสั่งเอาได้หรือ ว่าแยกให้ฉันดูหน่อย
มันสั่งไม่ได้หรอกครับ เพราะปัญญาแยกรูปนาม มันเป็นส่วนของผล

ถามว่าเป็นวิปัสนาไหม ผมคิดว่าช่างมันเถอ จะเป็นหรือไม่เป้นวิปัสสนาก้ตามที
แต่ถ้าจะเอาคำตอบให้ได้ ต้องขอยืนยันว่าเป็นวิปัสสนาญาน

ญาน คือ ปัญญา
ปัญญาแยกรูปนามชื่อ นามรูปปริเฉทญาน เป็นปัญญาลำดับแรก ในวิปัสสนาปัญญา 16



ค่ะ มันแยกด้วยกำลังสมาธิ จากประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งเริ่มทำสมาธิทุกวัน วันละ 1ชั่วโมง โดยบริกรรมพุทโธๆพอปวดเท้าก็ บริกรรมพุทโธเร็วๆชัดๆๆจิตมันรู้อยู่กับพุทโธมันไม่ได้ไปรู้ที่เวทนา มันก็ไม่ปวดเท้า จึงบอกว่ามันแยกด้วยกำลังสมาธิ ยังอยู่ในขึ้นของสมถะ เพราะมันยังไม่เกิดปัญญาอะไร เพียงรู้สึกจิตสงบมากขึ้น (ขณิกสมาธิ) อาการปวดเท้าไม่รบกวนและจะแยกอย่างนี้ได้ช่วงสั้นๆๆค่ะ

แล้วตรงนี้แหละที่จิตพอจะเริ่มฝึกหัดฝึกปัญญาได้โดยการ เช่นถามตัวเองว่า เวทนามาจากไหน เกิดได้อย่างไร มีกาย มีความรับรู้มันก็ต้องปวด? ตั้งโจทย์ให้คิด พิจารณาอย่างนี้พอปวดเท้าขึ้นมาใหม่ก็บริกรรมพุทโธๆๆต่อ พอจิตสงบอาการปวดเท้าไม่รบกวนก็พิจารณาต่อ ทำอย่างนี้ไป จิตก็จะสงบมากๆขึ้น
จนขณะบริกรรมพุทโธๆแล้วจิตไม่แลบออกไป แสดงว่าสมาธิถึงขึ้นอุปจาระ ซึ่งสมาธิขึ้นนี้พอจิตออกพิจารณา ถ้าจะดูเวทนา ปัญญาจะเป็นระดับโลกุตตระ จะเข้าใจขบวนการของเวทนาอย่างแท้จริงแล้วจะปล่อยวางได้
อันนี้เล่าตามความเข้าใจในการปฏิบัติแนวกรรมฐานวัดป่าสายหลวงปู่มั่นที่กำลังทำอยู่ค่ะ



ไม่ได้ค้านนะครับ ทำอย่างนั้นพอใจเข้าใจก็ทำไป ไม่มีใครว่า

แต่กรัชกายเห็นว่าทำอย่างนั้น เบียนหนีทุกข์เวทนา ไม่รับรู้สู้หน้าต่อทุกข์ แล้วจะเห็นทุกข์ได้อย่างไร

หากต้องการให้เกิดปัญญากับสมาธิคู่กันไป เมื่อเวทนาเกิดจะต้องกำหนดรู้ (หรือจะใช้คำพูดอื่นก็

บัญญัติเอา) ต่อเวทนานั้นด้วย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีสมร เขียน:
ชาติสยาม เขียน:
ศรีสมร เขียน:
เท่าที่ทราบนะค่ะ การแยกรูปนาม แยกด้วยกำลังสมาธิก็ได้ค่ะ แต่เป็นการแยกเพียงชั่วคราว
ซึ่งการแยกเพียงชั่วคราวนี้แหละ ทำให้เราสามารถฝึกใช้ปัญญาค่ะ (ปัญญาอบรมสมาธิ) ซึ่งเป็นปัญญาแบบโลกีย ยังไม่จัดเป็นวิปัสสนา


มันต้องแยกด้วยกำลังสมาธิอยู่แล้วครับ

แต่ถามว่าสั่งเอาได้หรือ ว่าแยกให้ฉันดูหน่อย
มันสั่งไม่ได้หรอกครับ เพราะปัญญาแยกรูปนาม มันเป็นส่วนของผล

ถามว่าเป็นวิปัสนาไหม ผมคิดว่าช่างมันเถอ จะเป็นหรือไม่เป้นวิปัสสนาก้ตามที
แต่ถ้าจะเอาคำตอบให้ได้ ต้องขอยืนยันว่าเป็นวิปัสสนาญาน

ญาน คือ ปัญญา
ปัญญาแยกรูปนามชื่อ นามรูปปริเฉทญาน เป็นปัญญาลำดับแรก ในวิปัสสนาปัญญา 16


ค่ะ มันแยกด้วยกำลังสมาธิ จากประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งเริ่มทำสมาธิทุกวัน วันละ 1ชั่วโมง โดยบริกรรมพุทโธๆพอปวดเท้าก็ บริกรรมพุทโธเร็วๆชัดๆๆจิตมันรู้อยู่กับพุทโธมันไม่ได้ไปรู้ที่เวทนา มันก็ไม่ปวดเท้า จึงบอกว่ามันแยกด้วยกำลังสมาธิ ยังอยู่ในขึ้นของสมถะ เพราะมันยังไม่เกิดปัญญาอะไร เพียงรู้สึกจิตสงบมากขึ้น (ขณิกสมาธิ) อาการปวดเท้าไม่รบกวนและจะแยกอย่างนี้ได้ช่วงสั้นๆๆค่ะ

แล้วตรงนี้แหละที่จิตพอจะเริ่มฝึกหัดฝึกปัญญาได้โดยการ เช่นถามตัวเองว่า เวทนามาจากไหน เกิดได้อย่างไร มีกาย มีความรับรู้มันก็ต้องปวด? ตั้งโจทย์ให้คิด พิจารณาอย่างนี้พอปวดเท้าขึ้นมาใหม่ก็บริกรรมพุทโธๆๆต่อ พอจิตสงบอาการปวดเท้าไม่รบกวนก็พิจารณาต่อ ทำอย่างนี้ไป จิตก็จะสงบมากๆขึ้น
จนขณะบริกรรมพุทโธๆแล้วจิตไม่แลบออกไป แสดงว่าสมาธิถึงขึ้นอุปจาระ ซึ่งสมาธิขึ้นนี้พอจิตออกพิจารณา ถ้าจะดูเวทนา ปัญญาจะเป็นระดับโลกุตตระ จะเข้าใจขบวนการของเวทนาอย่างแท้จริงแล้วจะปล่อยวางได้
อันนี้เล่าตามความเข้าใจในการปฏิบัติแนวกรรมฐานวัดป่าสายหลวงปู่มั่นที่กำลังทำอยู่ค่ะ


นี่ก็ไม่ได้ค้านนะครับ คิดว่าสะดวกก็ทำไป ไม่มีใครว่า ถึงอย่างไรคุณศรีสมรก็ได้เริ่มภาวนาแล้ว

แต่กรัชกายเห็นต่าง ว่านั่นคือการปรุงแต่งความคิด (สังขารปรุงแต่ง) ก็ได้ แต่เป็นระดับโยนิโส

มนสิการเพื่อบรรเทาตัณหา ยังไม่ใช่เพื่อกำจัดอวิชชา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 22 ส.ค. 2010, 20:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 56 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร