วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 13:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2010, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านทั้งหลายครับการทำดีเราต้องแน่ใจด้วยว่า จะไม่กระทบถึงคนอื่น
มิฉะนั้นแล้วมันจะเป็นการเห็นแก่ตัวครับ

ชาวบ้านคนอื่นที่เขาไม่ให้อาหารหมา ไม่ใช่เขาจะเป็นคนใจร้ายนะครับ
เพียงแต่เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวก็ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว

แล้วเรื่องที่ไม่รักสัตว์ผมว่ามันก็คงไม่ใช่ เขาอาจจะทำบุญให้กับมูนิธิที่เกี่ยวกับสัตว์ก็ได้
เพียงแต่ที่เขาไม่ยุ่งเรื่องนี้เพราะ เขามีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมครับ
ผมถึงได้ยกอุทาหรณ์มาว่า ถ้ารักสัตว์จริงทำไมไม่เอาไปเลี้ยงที่บ้าน
กับแค่เอาเศษอาหารเล็กๆน้อยมาแลกเอาบุญโดยไม่คำนึงถึงว่า
ลูกเล็กๆของชาวบ้านจะโดนหมากัด ไม่รู้ว่าบ้าหรือเปล่า ไหนจะกลิ่นที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
ไหนจะเสียงร้องยามค่ำคืน ท่านอาจมองผมในทางไม่ดี แต่เราควรมีเหตุผลครับ

เอาเรื่องจริงๆที่เกี่ยวกับวิบากมาคุยกันดีกว่าครับ อย่าอ้างในสิ่งที่มองไม่เห็นเลยครับ
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นจริงพิสูจน์ได้

บ้านใกล้ๆที่ทำงานผม เจ้าของบ้านตอนนี้ยังอยู่ในคุกเลยครับ
สาเหตุเพราะไปยิงคนแถวนั้นบาดเจ็บครับ
เรื่องมีอยู่ว่า มีคนแถวนั้นชอบให้อาหารสุนัขจรจัดครับ
สุนัขเหล่านั้นมีคนให้อาหารก็เลยอาศัยอยู่แถวนั้นไม่ไปไหน
วันดีคืนดีสุนัขไปกัดเด็กเข้า พ่อของเด็กก็มาเอาเรื่องกับคนที่ชอบให้อาหารสุนัขครับ
คนนั้นก็บอกว่าไม่ใช่หมาของตัว พ่อเด็กบอกไม่ใช่ได้ไง เห็นให้อาหารอยู่
ทีนี้ก็เป็นปากเสียงกัน พ่อของเด็กทนไม่ไหว ไปหยิบปืนในบ้านออกมายิงครับ
ผลก็คืออีกคนติดคุกอีกคนเจ็บหนัก

นี้เป็นบุญหรือบาป เป็นวิบากของหมาหรือคนครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2010, 04:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ อนุโมทนากับคำตอบคุณ -dd- และทุกท่านครับ tongue

ได้ยินว่า ภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรมเท่านั้น ชื่อว่า พระธรรมกถึก tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 02:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณโฮฮับเขียน
เอาเรื่องจริงๆที่เกี่ยวกับวิบากมาคุยกันดีกว่าครับ อย่าอ้างในสิ่งที่มองไม่เห็นเลยครับ
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นจริงพิสูจน์ได้


จริงๆแล้วปัญหาของคนไทยเราทุกวันนี้ก็มีหมาจรจัดรวมเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ทุกวันนี้ผู้คนหวาดระแวงกลัวต่อพิษสุนัขบ้า แล้วยังกลัวลูกหลานโดนหมากัด

หากจริงๆการแก้ปัญหาก็คือไม่มีหมาจรจัดเหลืออยู่เลย แต่คงเป็นไปได้ยาก คุณก็รู้ดี
ปัญหามันมีอยู่ว่ามันมีทั้งคนที่สงสารหรือไม่ชอบปนกันไปอันนี้ก็เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้คุณก็รู้ดี

เรื่องจริงของวิบากที่มองเห็นได้ก็คือ สุนัขจรจัดก็มีอยู่ต่อไปทั่วทุกซอยทุกถนนเป็นสัจธรรมของชีวิต
ความทุกข์ใจทุกข์กายทั้งของคนและหมาความหิวโหยความสกปรกกลัวต่อโรคภัยนั้นอยู่ภายใต้กฎของพระไตรลักษณ์ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในสากลโลกล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้

มีคนให้เศษอาหารเต่อสุนัขเป็นความเมตตา และ กรุณาต่อเพื่อนร่วมโลกจัดเป็นกุศลธรรมย่อมพิสูจน์ได้ว่าหลังทำแล้วมีความสุขใจ
ส่วนวิบากกรรมของสุนัขจรจัดนั้นเป็นเรื่องของชาติก่อนหน้ายากต่อการพิสูจน์แม้คุณก็พิสูจน์ไม่ได้คุณก็รู้ดี
การให้อาหารต่อสุนัขเหล่านั้นแล้วไปขวางวิบากของสัตว์เหล่านั้นจริงหรือไม่จริงก็พิสูจน์ไม่ได้คุณก็รู้ดี
ส่วนการวางเฉยในอารมณ์ของเพื่อนบ้านเขาจะโกรธเคืองหรือกับตัวเราเองเราไม่โกรธเคืองตอบเป็นอุเบกขาเป็นธรรมที่พิสูจน์ได้คุณก็รู้ดีว่าทำแล้วสบายใจให้ผลดีทั้งกับตนเองและเพื่อนบ้าน
คุณก็เขียนเองว่ามีคนไปยิงกันบาดเจ็บเพราะเรื่องสุนัขก็เป็นเพราะไม่วางตนเป็นอุเบกขาตนจริงเดือดร้อนคนอื่นก็เดือดร้อน

ส่วนกฎของสังคมนั้นผมรู้และเข้าใจดีแต่กฎนั้นว่ากันจริงจริงมันเป็นเรื่องสมมุติหากเราพิจารณาตามกฎของพระไตรลักษณ์จะรู้ดี ชื่อคนก็สมมุติขึ้นมา เขาไม่เอ่ยชื่อเราเราก็ไม่ทุกข์ใจ หากใครเอ่ยชื่อเราขึ้นมาเมื่อไหร่ชักมีปฎิกิริยา เพราะอะไร เพราะคนเรายังติดสมมุติวางไม่ลง แบกไว้อยู่กับตัวตลอดเวลา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณโฮฮับเขียน
เอาเรื่องจริงๆที่เกี่ยวกับวิบากมาคุยกันดีกว่าครับ อย่าอ้างในสิ่งที่มองไม่เห็นเลยครับ
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นจริงพิสูจน์ได้


ส่วนกฎของสังคมนั้นผมรู้และเข้าใจดีแต่กฎนั้นว่ากันจริงจริงมันเป็นเรื่องสมมุติหากเราพิจารณาตามกฎของพระไตรลักษณ์จะรู้ดี ชื่อคนก็สมมุติขึ้นมา เขาไม่เอ่ยชื่อเราเราก็ไม่ทุกข์ใจ หากใครเอ่ยชื่อเราขึ้นมาเมื่อไหร่ชักมีปฎิกิริยา เพราะอะไร เพราะคนเรายังติดสมมุติวางไม่ลง แบกไว้อยู่กับตัวตลอดเวลา

คุณstudentครับ เห็นคุณคุยเรื่องสมมุติ เรื่องไตรลักษณ์
แสดงว่าคุณคงมีความรู้ด้านนี้เป็นอย่างดี ดีครับผมขอแสดงความเห็นร่วมด้วย
ในกรณีนี้สิ่งที่คุณนำมากล่าวอ้าง แน่ใจแล้วหรือครับว่า มันเกี่ยวข้องกับประเด็นนี้

บางครั้งการนำเอาคำหรือบัญญัติของธรรมะ มาใช้อธิบายความโดยคิดไปว่า
จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าใช่แบบผิดที่ผิดทาง มันก็ทำให้เกิดผลเสียเหมือนกันนะครับ
ธรรมของพระพุทธเจ้ามีต้ง84000พระธรรมขันธ์ เราต้องเอาธรรมนั้นมาใช้เป็นกรณีๆไป
อย่างเรื่องนี้ก็เช่นกันครับ เรื่องไตรลักษณ์ เรื่องสมมุติที่คุณยกมา
มันเป็นเรื่องของใจเราตัวเราโดยเฉพาะ มีไว้พิจารณาในสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ในใจเรา
มันไม่เกี่ยวกับคนอื่นครับ
แล้วการที่นำมาอ้างในเรื่องวิบากของคนอื่น คนแน่ใจหรือครับว่ามันเกี่ยวกัน

ทื่คุณบอกว่า กฎของสังคมเป็นเรื่องสมมุติ คุณเอาเหตุผลอะไรมาพูดครับ
คุณก็เหมือนกับที่หลายๆท่าน ที่อ้างแต่ศีลธรรม แต่ไม่มีความเข้าใจในปฏิจจสมุบาท
หรือเหตุปัจจัยต่อเนื่อง ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วเรื่องปฏิจจฯหรือเหตุปัจจัยต่อเนื่องมันเป็น
เรื่องที่เกี่ยวกับวิบากโดยตรง มันตรงกับปัญหาที่จขกทต้องการจะทราบ

กฎของสังคมล้วนแล้วแต่กำหนดขึ้นมาภายใต้กรอบของกฎหมาย
กฎหมายก็เช่นกัน ถูกกำหนดขึ้นมาภายใต้ข้อหรือบัญญัติของศีลธรรมครับ
หลักของการบัญญัติกฎหมาย จะต้องอยู่ภายใต้ประเพณีและศีลธรรมอันดีครับ
นักกฎหมายหรือนักศึกษาเหมือนชื่อคุณเขารู้ดีกันทุกคนครับ

ฉะนั้นการที่คุณบอกว่ากฎหรือกฎหมายของสังคมเป็นเรื่องสมมุติ
แสดงว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องศีลธรรม ก็เป็นเรื่องสมมุติด้วยซิครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 06:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณโฮฮับเขียน
เอาเรื่องจริงๆที่เกี่ยวกับวิบากมาคุยกันดีกว่าครับ อย่าอ้างในสิ่งที่มองไม่เห็นเลยครับ
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นจริงพิสูจน์ได้


จริงๆแล้วปัญหาของคนไทยเราทุกวันนี้ก็มีหมาจรจัดรวมเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ทุกวันนี้ผู้คนหวาดระแวงกลัวต่อพิษสุนัขบ้า แล้วยังกลัวลูกหลานโดนหมากัด

หากจริงๆการแก้ปัญหาก็คือไม่มีหมาจรจัดเหลืออยู่เลย แต่คงเป็นไปได้ยาก คุณก็รู้ดี
ปัญหามันมีอยู่ว่ามันมีทั้งคนที่สงสารหรือไม่ชอบปนกันไปอันนี้ก็เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้คุณก็รู้ดี

มันยากตรงไหนคุณรู้มั้ยครับถ้าไม่รู้ผมจะบอกให้ครับ
ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่ คนอย่างพวกคุณไงครับ(ขอโทษที่ต้องกล่าวแบบนี้เพราะเป็นเรื่องจริง)
เวลาจะมีเจ้าหน้าที่หรือคนมาแก้ไข ก็ร้องก็ด่าหาว่าใจร้ายใจดำ
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขาจะจับหรือเอามันไปไว้เป็นที่เป็นทาง
ส่วนกับคนในสังคมที่เห็นพวกสุนัขเหล่านี้ แล้ววางเฉย บางท่านเขารู้ครับ
ว่าหมามันหากินเก่งกว่าคนอีก แล้วมันก็กินได้ทุกอย่าง ที่ไหนไม่มีกินมันก็ไปหา
กินที่อื่น ส่วนใหญ่มันก็แข็งแรงทุกตัว

ผมขออธิบาย เรื่องสงสารกับเรื่องไม่ชอบที่คุณกล่าวอ้างครับ
ว่ากันตามจริง คนอื่นไม่ใช่ไม่ชอบในความมีเมตตาหรอกครับ
แต่เขาเล่งเห็นถึงผลที่จะเกิดตามมาครับ ซึ่งเรื่องนี้มันก็อยู่ในปกิจจฯ ในส่วนของ
อวิชชา ในเรื่องความไม่รู้อนาคต

ส่วนคนที่ให้อาหารกับมัน ผมมองว่าเป็นพวกเห็นแก่ตัว มักง่ายครับ
สงสารมันจริง คิดจะช่วยมันจริง มันมีตั้งหลายวิธีที่จะทำ แต่เลือกเอาแบบที่ง่าย
ที่สุดและเกิดประโยชน์กับตนเองที่สุด คนอื่นชั่งมันฉันไม่เกี่ยว

คุณลองถามใจตัวเองดูเสียก่อน ถามเพื่อตัวเองนะครับ
คำตอบที่ได้ถึงจะเป็นจริง ถามดูว่าที่เราให้อาหารหมาที่ว่า
เพราะเราอยากได้บุญอยากขึ้นสวรรค์หรือเปล่า
ถ้าคำตอบบอกว่าใช่ ผมบอกได้เลยว่าคุณกำลังทำบาปอยู่ครับ
มันเป็นการเอาประโยชน์ใส่ตัวโดยไม่คำนึงถึงคนอื่น
ผลที่ตามมาก็ที่กล่าวไว้แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
เรื่องจริงของวิบากที่มองเห็นได้ก็คือ สุนัขจรจัดก็มีอยู่ต่อไปทั่วทุกซอยทุกถนนเป็นสัจธรรมของชีวิต
ความทุกข์ใจทุกข์กายทั้งของคนและหมาความหิวโหยความสกปรกกลัวต่อโรคภัยนั้นอยู่ภายใต้กฎของพระไตรลักษณ์ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในสากลโลกล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้

คุณนักศึกษาครับ คุณอย่าสักแต่ว่าแสดงความเห็นเรื่อยเปื่อยแบบนี้ซิครับ
ทำแบบนี้ธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ไร้เหตุผลไร้ความศักสิทธิ์ซิครัอะไรกันครับ
อ้างไตรลักษณ์อ้างสัจจธรรม ผมไม่เห็นมันเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรา
กำลังสนทนากันเลย

ผมเห็นคุณอ้างสัจจธรรมเลอะเทอะไปหมด ผมจะบอกให้ครับถ้าจะว่า
สัจจธรรมและไตรลักษณ์ที่คุณอ้างนะ
อันที่จริงมันคืออริยสัจสี่ เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วมันจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่าไตรลักษณ์ให้เห็น

ทุกอย่างในโลกล้วนเป็นทุกข์ แต่ถ้าไม่รู้อริยสัจจ์สี่หรือยังมีอวิชชาอยู่ คุณจะเห็น
ทุกข์ เห็นอนิจจังหรืออนัตตาในไตรลักษณ์หรือครับ
สรุปแล้วคุณไม่มีความเข้าใจหรือความรู้ในเรื่องไตรสิกขาเลยครับ
student เขียน:
มีคนให้เศษอาหารเต่อสุนัขเป็นความเมตตา และ กรุณาต่อเพื่อนร่วมโลกจัดเป็นกุศลธรรมย่อมพิสูจน์ได้ว่าหลังทำแล้วมีความสุขใจ
ส่วนวิบากกรรมของสุนัขจรจัดนั้นเป็นเรื่องของชาติก่อนหน้ายากต่อการพิสูจน์แม้คุณก็พิสูจน์ไม่ได้คุณก็รู้ดี
การให้อาหารต่อสุนัขเหล่านั้นแล้วไปขวางวิบากของสัตว์เหล่านั้นจริงหรือไม่จริงก็พิสูจน์ไม่ได้คุณก็รู้ดี
ส่วนการวางเฉยในอารมณ์ของเพื่อนบ้านเขาจะโกรธเคืองหรือกับตัวเราเองเราไม่โกรธเคืองตอบเป็นอุเบกขาเป็นธรรมที่พิสูจน์ได้คุณก็รู้ดีว่าทำแล้วสบายใจให้ผลดีทั้งกับตนเองและเพื่อนบ้าน
คุณก็เขียนเองว่ามีคนไปยิงกันบาดเจ็บเพราะเรื่องสุนัขก็เป็นเพราะไม่วางตนเป็นอุเบกขาตนจริงเดือดร้อนคนอื่นก็เดือดร้อน

ไอ้เรื่องชาตินี้ชาติหน้านี้ผมไม่ได้กล่าวถึงเลยนะครับ
เรื่องผมที่นำมากล่าวล้วนแล้วแต่เรื่องจริง
ผมเห็นมีแต่พวกคุณที่อ้างเรื่องที่ไม่สามารถเห็นได้

เมตตา กรุณาเป็นเรื่องดีครับจัดอยู่ในพรหมวิหาร
แต่มันจะเป็นพรหมวิหารได้ มันต้องอยู่ในหลักการของ ผู้ให้กับผู้รับ
เพียงสองฝ่าย ถ้ามีบุคคลที่สามได้รับผลกระทบ มันไม่เข้าข่ายนี้
เรื่องเหล่านี้คงไม่เป็นผลอะไรต่อผู้ให้ ถ้าไม่รู้หรือคาดไม่ถึงผลที่จะตามมา
แต่ถ้ารู้แล้วว่าจะมีผลเสียเกิดขึ้น ยังดันทุรังทำอีก ผมว่า
เปรียบเหมือนบัวเหล่าสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบเอาไว้นั้นแหล่ะครับ

student เขียน:
การให้อาหารต่อสุนัขเหล่านั้นแล้วไปขวางวิบากของสัตว์เหล่านั้นจริงหรือไม่จริงก็พิสูจน์ไม่ได้คุณก็รู้ดี
ส่วนการวางเฉยในอารมณ์ของเพื่อนบ้านเขาจะโกรธเคืองหรือกับตัวเราเองเราไม่โกรธเคืองตอบเป็นอุเบกขาเป็นธรรมที่พิสูจน์ได้คุณก็รู้ดีว่าทำแล้วสบายใจให้ผลดีทั้งกับตนเองและเพื่อนบ้าน
คุณก็เขียนเองว่ามีคนไปยิงกันบาดเจ็บเพราะเรื่องสุนัขก็เป็นเพราะไม่วางตนเป็นอุเบกขาตนจริงเดือดร้อนคนอื่นก็เดือดร้อน

คุณนี้พูดอะไรตลกดีครับ พูดไปเรื่อย การที่คุณพูดว่า ให้วางเฉย
ผมเล่าเรื่องมายืดยาวนี้คุณไม่เข้าใจเอาเสียเลย การกระทำที่คุณบอกมา
มันไม่เรียกการวางเฉย เขาเรียก ไม่มีความรับผิดชอบ หรือไอ้ประเภททำผิดแล้ว
ยังไม่สำนึกครับ
แล้วเรื่องที่ลูกของชาวบ้านถูกสุนัขกัด แล้วให้พ่อวางเฉยคุณนี้พูดมาได้อย่างไรครับ
ที่มันเกิดเหตุขึ้นไม่ใช่เพราะการวางเฉยของคุณหรือ ที่กระทำอะไรลงไปแล้ว ไม่เคยคิด
ถึงหัวอกชาวบ้านว่าจะเดือดร้อนเพียงไร พ่อของเด็กเห็นว่าผู้ให้อาหารเป็นต้นเหตุ
ก็มาถามหาความรับผิดชอบเท่านั้น แต่กลับมาเจอคนมักง่ายไร้ความรับผิดชอบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2010, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าใจแล้วครับ คุณก็เป็นพุทธบริษัท4คนหนึ่งที่ต้องการแสดงความคิด

ผมเคารพในพระธรรม ความทุกข์ใจที่คนอ่านอาจจะมีก็ขอโทษในหน้าครับ
กิจที่ควรทำไม่ใช่มาวิเคราะห์
แต่มานั่งปฎิบัติธรรม

คุณก็พูดถูกแล้วที่ผมไม่รู้อะไรเลย

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 18:20
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ โฮฮับ ครับ
แล้วอย่างนี้
ถ้าผมช่วยเหลือใครสักคนนึง หรือการใส่บาตรสักครั้งนึง
ผมต้องเช็คข้อมูลมากน้อยแค่ไหนครับ
ว่าคนนั้นหรือพระรูปนั้น จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับมนุษย์โลกอ่ะครับ

ยิ่งอ่านยิ่งเครียดครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 23:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อันนี้เป็นเรื่องเล่าสู่กันฟัง และเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเองค่ะ

เรื่องแมวๆ ขี้แมว แบบไม่น่าจะเชื่อก็ต้องเชื่อละ
บรรดาลูกแมว แม่มันมาทิ้งไว้แถวบ้าน ก็สงสารนะ เลยเอาอาหารให้กิน
ทีนี้ มันมีเหตุ แมวไม่มีเจ้าของแถวนี้เยอะมากๆ บางตัวไปอึบนหลังคาบ้านอื่นๆเขา
เขาก็ถามเราว่าเลี้ยงแมวเหรอ เอาง่ายๆตั้งท่าด่าเราเลย เราก็บอกว่าเปล่า ไม่ใช่แมวเรา
ที่ให้กินเพราะสงสาร เขาบอกว่า เขาจะจับแล้วเอาไปปล่อยที่อื่น มันมาขี้เหม็นไปหมด
เราบอกว่า อยากทำอะไร ทำไปเลย ไม่ต้องมาบอกเรา เพราะไม่ใช่แมวเรา


เมื่อเช้า คือ เราได้กลิ่นฉี่แมวมาหลายวันแล้ว เดินดมๆตามกลิ่น ก็หาต้นเหตุไม่เจอ
เมื่อเช้า แหงะมองไปบนหลังคา อุแม่เจ้า ... อึแมวกองมหึมา ....
อึของแมวตัวโตมาอึทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ กรรมนะ ถึงไม่ได้เจตนา แสดงผลทันตาเห็นเลย
ดูจิตของตัวเองตอนนั้น ตอนที่เกิดการกระทบ มันนิ่งๆ ไม่มีชอบหรือชัง
แต่เหมือนมันเกิดปฏิกิริยาโดยอัตโนมัติ เอาสายยางฉีดน้ำไปบนหลังคา
อึแมวกระเด็นเลอะเสื้อเราเป็นหย่อมๆ มีกลิ่นนะ เรากำหนดกลิ่นหนอๆ สักพัก กลิ่นจางหายไป
ฉีดน้ำไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนอะไร ไม่รังเกียจ อึคนหรืออึแมว ไม่มีแตกต่างกันเลย ล้างเท่าที่ล้างได้ไปก่อน

แมวที่ให้อาหาร เป็นเพียงลูกแมวตัวน้อยๆที่แม่มันมาทิ้งไว้หน้าบ้าน
ส่วนแมวบนหลังคา เป็นแมวอีกลุ่มใหญ่ๆ แถวนี้จะมีแมวไม่มีเจ้าของเยอะมากๆ
แต่แมวพวกนั้น ไม่เคยไปให้อาหาร ให้แค่ลูกแมวที่มาหน้าบ้าน ลูกแมวมีสามตัว
หายไปหนึ่งตัว ก็ไม่ได้สนใจตามหาแต่อย่างใด ถือว่า ทุกอย่างไม่มีข้อยกเว้น
ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ ล้วนมีเหตุต่อกันได้ทั้งหมด ไม่มีแบ่งแยก
ทุกวันนี้ คนที่เคยจะมาว่า ก็ไม่เคยมาพูดอะไรอีกเลย

ใครที่คิดจะทำอะไรลงไป ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาด้วย ไม่ว่าการกระทำนั้นๆ
ในความคิดของคนๆนั้น จะเจตนาอย่างไรก็ตาม การกระกระทำนั้นๆส่งผลรับกลับมาหมด

เพียงจะบอกว่า ไม่ว่าเรื่องใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคนนั้น
ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำมากันเองทั้งสิ้น ไม่ใช่เกิดจากใครหรือเกิดจากการดลบันดาลจากสิ่งใด
สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ฉะนั้น เมื่อคิดจะกระทำเหตุใดลงไป
จงยอมรับผลที่จะตอบกลับมาด้วย เพราะมีเหตุ ย่อมมีผลอย่างแน่นอน

ไม่ใช่พอมีเหตุใดๆเกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ไปกล่าวโทษนอกตัวว่าเป็นเพราะคนโน้น เพราะคนนี้ทำให้เกิดขึ้น
จึงต้องทำให้มีเหตุอย่างดน้นอย่างนี้เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 23 ส.ค. 2010, 23:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 06:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพียงลำพัง เขียน:
คุณ โฮฮับ ครับ
แล้วอย่างนี้
ถ้าผมช่วยเหลือใครสักคนนึง หรือการใส่บาตรสักครั้งนึง
ผมต้องเช็คข้อมูลมากน้อยแค่ไหนครับ
ว่าคนนั้นหรือพระรูปนั้น จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับมนุษย์โลกอ่ะครับ

ยิ่งอ่านยิ่งเครียดครับ

คำถามนี้ ผมไม่รู้ว่าคุณถามด้วยความซื่อ หรือถามเพื่อเอาเรื่องคู่กรณีของคุณให้ได้
ที่ถามแบบนี้แสดงว่า ไม่ได้อ่านเนื้อหาที่เพื่อนสมาชิกเข้ามาช่วยกันตอบเลย
ที่กล่าวแบบนี้ ไม่ใช่จะโกรธคุณนะครับ เพียงแต่จะแนะนำว่า คุณเป็นจขกทควรจะ
อ่านเนื้อหาของสมาชิกทุกคนจะชอบไม่ชอบก็ตามแต่ เมื่อคุณทำได้ก็จะพบคำตอบ
แล้วจะได้ ไม่ต้องมาตั้งคำถามซ้ำในสิ่งที่มีคำตอบไปแล้ว(เรื่องรู้กับไม่รู้นั้นนะครับ)
แต่ถ้าคุณถามเพราะต้องการศึกษาจริงๆ ก็ถามเถอะครับถามเท่าไรก็ถามได้

คุณเพียงฯ เข้าใจเรื่องศรัทธา เรื่องเจตนาหรือไม่ครับ
ความศรัทธาคือ ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล
เจตนา คือ ความตั้งใจและประสงค์ต่อผลที่กระทำนั้น

การที่คุณใส่บาตรก็เพราะคุณมีความตั้งใจจะทำกุศลและเชื่อว่า
บุคคลที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือพระภิกษุ มีเจตนาที่จะใส่บาตรด้วย
เมื่อได้ทำแล้วมันเป็นกุศลใจเป็นสุข อันนี้เป็นกรรมที่เป็นผลสำเร็จแล้ว

แต่ถ้าคุณมารู้ภายหลังว่า คนที่คุณใส่บาตรเป็นพระปลอม อันนี้เป็นกรรมใหม่
ไม่เกี่ยวกับกรรมที่คุณได้กระทำลงไปก่อนหน้า เพราะกรรมนั้นได้จบด้วยการเป็นกุศล

หรืออีกกรณีหนึ่ง เมื่อคุณรู้อยู่ก่อนแล้วว่า บุคคลนั้นเป็นพระปลอม
บวชเพื่อปิดบังโฉมในการทำทุจริต คุณยังขืนใส่บาตรคนๆนั้นอยู่
ความศรัทธาและเจตนาที่ว่ามันได้เปลี่ยนไปแล้วครับ คือศรัทธาและ
เจตนาที่ใส่บาตรพระ เปลี่ยนไปในการการช่วยเหลือและสนับสนุนโจรครับ
กรรมสำเร็จแล้วแต่เป็นอกุศลครับ มันน่าตลกอยู่อย่างครับ มีบางคนสอนว่า
ตั้งใจจะช่วยแล้วช่วยไปเถอะอย่าคิดมาก มันไม่ได้คิดครับแต่มันรู้ คนที่กล่าวแบบ
นี้โบราณเรียกว่าพวกดื้อด้านครับ

ต้องสังเกตุดูครับ บางที่เหตุอย่างเดียวกันหรือการกระทำอันเดียวกัน
ขบวนการสั้นยาวมันแตกต่างกัน มันขึ้นอยู่ที่ตัวเรารู้ถึงผลสุดท้ายของ
กรรมที่เราก่อตรงไหนครับ เอาเป็นว่ารู้แค่เป็นพระก็ทำบุญกับพระ รู้ว่า
เป็นโจรก็ทำบุญกับโจร สำคัญที่ตัวรู้ครับ


ส่วนเรื่องที่คุณบอกว่า ต้องไปเช็คข้อมูลก่อนมั้ย ในทางโลกเป็นสิ่งดีครับ
มันเป็นการไม่ประมาท แต่มันเป็นสิ่งสมมุติ

ในทางธรรมท่านถือว่าการกระทำแบบนี้มันไม่ดีเป็นอกุศล
เป็นการปรุงแต่งของสังขาร สร้างกรรมใหม่สร้างวิบากกรรมให้ยาวขึ้น
รู้ในสิ่งที่เป็นกุศลก็ให้จบที่กุศล เท่ากับว่าเข้าใจในอริสัจจ์สี่
แต่ถ้ารู้กุศลแล้วยังปรุงแต่งต่อจนเป็นอกุศล สิ่งนี้ไม่ดีมันเป็นอวิชชาในอริยสัจจ์สี่ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2010, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าอย่างนั้น เวลาคนโดนถูกรถชน เราก็ไม่ควรช่วย เพราะเขาจะไม่ได้รับ
วิบากที่เขาควรเจออย่างนั้นเหรอ เมตตาธรรมค้าจุนโลก
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายควรช่วยเหลือกัน อำจาจกรรมนั้นยิ่งใหญ่
ใครทำกรรมอย่างไรถ้าผลกรรมมาถึงก็ต้องรับอยู่ดี
แต่การให้ผลของกรรมนั้นเราไม่สามารถรู้ได้ สุนัขหรือนกที่คนไปให้อาหารนั้น
อาจจะเป็นเพราะ กรรมดีที่สัตว์เหล่านั้นเคยทำได้ส่งผล ทำให้อัตภาพ
ในปัจจุบันที่ลำบาก ได้บรรเทาลง เพราะอย่างนี้แหละท่านจึง
ให้คนเราทำบุญกุศลไว้มากๆ พลาดท่าลงอบายไป
ก็จะได้มีกุศล มาคอยช่วยอุ้ม อย่างหมาเศรษฐีประมาณ
นี้

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2010, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
ถ้าอย่างนั้น เวลาคนโดนถูกรถชน เราก็ไม่ควรช่วย เพราะเขาจะไม่ได้รับ
วิบากที่เขาควรเจออย่างนั้นเหรอ เมตตาธรรมค้าจุนโลก
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายควรช่วยเหลือกัน อำจาจกรรมนั้นยิ่งใหญ่
ใครทำกรรมอย่างไรถ้าผลกรรมมาถึงก็ต้องรับอยู่ดี
แต่การให้ผลของกรรมนั้นเราไม่สามารถรู้ได้ สุนัขหรือนกที่คนไปให้อาหารนั้น
อาจจะเป็นเพราะ กรรมดีที่สัตว์เหล่านั้นเคยทำได้ส่งผล ทำให้อัตภาพ
ในปัจจุบันที่ลำบาก ได้บรรเทาลง เพราะอย่างนี้แหละท่านจึง
ให้คนเราทำบุญกุศลไว้มากๆ พลาดท่าลงอบายไป
ก็จะได้มีกุศล มาคอยช่วยอุ้ม อย่างหมาเศรษฐีประมาณ
นี้

การนับถือศาสนาแต่ชื่อ ไม่ได้ทำความเข้าใจถึงความหมายหรือหลักคำสอน
ของพระพุทธเจ้าให้ดีถึงเรื่อง อริยสัจจ์สี่ ปฏิจจสมุบาท
ผลที่ได้ก็ออกมาให้เห็นดังนี้ เช่น
1. เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้น ก็โทษเวรโทษกรรมที่มีผลต่อเนื่องมาแต่ชาติปางก่อน
ที่แย่ไปกว่านั้นก็โทษเจ้ากรรมนายเวร สรุปก็คือขาดความเข้าใจเรื่องกรรมใหม่ กรรมเก่า
2. จะกระทำอะไรล้วนแล้วแต่หวังผลตอบแทน ทำบุญเพื่อขึ้นสวรรค์ หวังให้ชาติหน้า
สุขสบาย ซึ่งแท้จริงแล้วศาสนาพุทธสอนให้ทำบุญ เพื่อมุ่งหวังให้ปล่อยวางไม่ยึดติดกับสิ่งสมมุติ
3.ขาดปัญญา กระทำอะไรไปโดยไม่คำนึงถึงเหตุและผลของการกระทำนั้นๆ
มองอะไรแค่ตรงหน้า ขาดหลักเหตุผล ไม่สนใจและคำนึงถึงผู้อื่น


คุณเจ้าของความเห็นที่ผมอ้างอิง ถ้าคุณนึกจะตอบความเหตุโดยไม่อ่าน
ความเป็นมาเป็นไปของกระทู้นี้แต่ต้น
ผมคิดว่าคุณมีลักษณะที่ผมยกมาทั้ง3ข้อครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร