วันเวลาปัจจุบัน 07 พ.ย. 2024, 05:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2010, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ


วัดดอยธรรมเจดีย์
ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร



๏ ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

“หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ” มีนามเดิมว่า กงมา วงศ์เครือสอน เกิดเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๔๓ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีชวด ณ บ้านโคก ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เป็นบุตรคนสุดท้องของนายบู่ และนางนวล วงศ์เครือสอน ซึ่งมีพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๖ คน

ในวัยหนุ่มมีร่างกายกำยำล่ำสันสูงใหญ่ใบหน้าคมคาย เป็นนักต่อสู้ชีวิตแบบเอางานเอาการ สมัยหนึ่งได้เป็นนายฮ้อยต้อนวัวควาย หมู เที่ยวขายตามจังหวัดใกล้เคียงกับบ้านเกิด จนต่อมาได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้านายฮ้อยพาคณะนายฮ้อยต้อนสัตว์ไปขายถึงกรุงเทพฯ โดยอาศัยการเดินทางด้วยเท้ารอนแรมหลายเดือน การเป็นหัวหน้านายฮ้อยได้แสดงถึงความสามารถเฉพาะตัวของท่าน เช่น จดจำชำนาญรู้ทิศทางดีหนึ่ง มีความสามารถอาจหาญป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิดกับลูกน้องหนึ่ง มีคุณธรรมมีศีลธรรม รักษาคำสัตย์ มีความยุติธรรมหนึ่ง เป็นต้น

การที่ท่านได้ท่องเที่ยวค้าขายไปในต่างถิ่นหลายที่ มีประสบการณ์นำความเจริญ เข้าสู่หมู่บ้าน จนเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในตำบล เป็นที่เชิดหน้าชูตาของพ่อแม่ เมื่อถึงกาลอันควรพ่อแม่จึงได้ไปสู่ขอนางสาวเลา จัดพิธีแต่งงานให้มีครอบครัว เมื่อท่านอายุได้ ๒๕ ปี (พ.ศ. ๒๔๖๘) ครั้นนางเลาตั้งครรภ์แล้ว ได้เกิดป่วยอย่างหนัก สุดที่จะรักษาชีวิตไว้ได้ ในที่สุดนางเลาพร้อมบุตรในครรภ์ได้เสียชีวิตลง การสูญเสียภรรยาสุดที่รักพร้อมลูกในครรภ์ครั้งนี้ ทำให้ท่านรู้สึกว่าได้หมดสิ้นทุกอย่างที่เคยหวังและตั้งใจ เพราะตลอดเวลาได้ตรากตรำทำงานหนักเพื่อเมียและลูก นี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านนึกถึงพระพุทธศาสนา

มีผู้เฒ่าผู้แก่บอกอยู่เสมอว่า “ไม่มีอะไรดีเท่ากับการบวชพระ” การออกบวชเป็นพระจึงอยู่ในจิตสำนึกของท่านตลอดมา ด้วยจิตอันแน่วแน่ได้ตัดสินใจไปกราบลาพ่อแม่ ญาติพี่น้อง พร้อมแจกจ่ายทรัพย์สมบัติทั้งหลายบรรดามีให้แก่พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ทุกคนได้เห็นใจและไม่คัดค้านลูกคนสุดท้องคนนี้ ทรัพย์สมบัติที่ท่านมอบให้ครั้งนี้ก็จะเก็บรักษาไว้แทน เมื่อวันใดท่านสึกออกมาก็จะคืนให้ ทุกคนต่างคิดว่า การออกบวชเป็นทางออกที่ดีสำหรับบุคคลที่ประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้


๏ ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

เมื่อท่านตัดสินใจออกบวช สิ่งแรกที่ท่านคิดถึงคือเสี่ยวฮัก ชื่อมี ขณะนั้นไปบวชเป็นสามเณรอยู่กับอาจารย์วานคำ วัดบ้านบึงทวย อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร สามเณรมี (ภายหลังได้บวชเป็นพระภิกษุ) ก็ได้ฟังเรื่องราวชีวิตของเสี่ยวกงมา แล้วแนะนำให้เข้ามาบวช ในที่สุดท่านจึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ฝ่ายมหานิกาย โดยมีพระอาจารย์โท เป็นพระอุปัชฌาย์ (ไม่ทราบวันเดือนปีที่บวช)

เมื่อบวชแล้ว พระภิกษุกงมาก็เดินทางกลับไปจำพรรษา ณ วัดบ้านตองโขบ ซึ่งไม่มีการศึกษาเล่าเรียน ไม่มีการปฏิบัติ ได้แค่ท่องสวดมนต์ไหว้พระ ซึ่งยังไม่ถูกใจ ท่านจึงเดินทางไปจำพรรษาที่วัดบ้านบึงทวย ไปอยู่กับพระอาจารย์วานคำ ซึ่งพระมี (เสี่ยวฮัก) อยู่วัดนี้ด้วย อยู่วัดนี้ได้ไม่นานด้วยความคิดว่าตนเองไม่ได้สิ่งที่ประสงค์ จึงเข้าไปปรึกษากับพระมี ซึ่งเป็นพระเดินธุดงค์ที่หาตัวจับยาก เคยธุดงค์ไปประเทศลาว พม่า และไทยหลายแห่งมาแล้ว พระมีได้เล่าว่า เคยได้รับข่าวจากชาวบ้านพูดถึงเกียรติคุณของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เป็นพระที่ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ มีผู้ประพฤติปฏิบัติตามมากมาย ทำให้พระกงมามีความสนใจ

รูปภาพ
แถวหลัง : หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่ขาว อนาลโย, พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล),
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน

แถวกลาง : พระอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต, หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ

แถวหน้า : หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ, หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร
บันทึกภาพร่วมกัน ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี


รูปภาพ
แถวหน้า จากซ้าย : หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ, หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ,
หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ, หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร,
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล)
บันทึกภาพร่วมกัน ณ วัดศรีเมือง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.หนองคาย



(มีต่อ ๑)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2010, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต


ต่อมาได้มี ตาปะขาว ชื่อ อาจารย์เสน ซึ่งได้รับการอบรมการปฏิบัติธรรมจาก หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้เดินทางมาถึงบ้านคำข่า (ใกล้บ้านบึงทวย) พระกงมาจึงเดินทางไปพบและขอฟังธรรมที่เรียนมาจากหลวงปู่มั่น จนเกิดความซาบซึ้ง จึงถามถึงที่อยู่ของหลวงปู่มั่น จนทราบว่าขณะนั้นหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต อยู่ที่บ้านสามผง ดงพะเนาว์ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร

พระกงมาท่านตัดสินใจต้องไปพบให้ได้ จึงเดินทางกลับวัดชวน พระมี เสี่ยวฮัก เข้ากราบลา พระอาจารย์วานคำ แห่งวัดบ้านบึงทวย ผู้เป็นอาจารย์ แม้จะเสียดายศิษย์ทั้งสองแต่จำเป็นต้องยอมอนุญาตให้ไปตามประสงค์ พระคู่เสี่ยวฮักออกเดินทางด้วยเท้าเปล่าผ่านป่าดงพงพี พบสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว ทั้งสองต่างมีประสบการณ์จึงไม่หวาดหวั่น มีจุดหมายปลายทางคือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

เวลาผ่านไป ๒ วัน ๒ คืน ก็ลุถึงปลายทาง ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ณ บ้านสามผง ดงพะเนาว์ มีผู้ปฏิบัติธรรม กำลังนั่งสมาธิ หลวงปู่มั่นนั่งบนอาสนะสั่งสอนอยู่พอดี ทั้งสองท่านก็หมอบเข้าไป นมัสการแล้วนั่งฟังธรรม เมื่อท่านแสดงธรรมจบ จึงได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ ขอปฏิบัติธรรม หลวงปู่มั่นได้รับตัวไว้เป็นศิษย์ตั้งแต่นั้นมา ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๖๙

เมื่อหลวงปู่มั่น รับตัวเสี่ยวฮักทั้งสองท่านไว้เป็นศิษย์แล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ที่หมู่บ้านสามผง ดงพะเนาว์ เป็นหมู่บ้านที่อยู่กลางป่าดงดิบ เป็นป่าทึบดงใหญ มีสัตว์ร้ายชุกชุม เช่น เสือ ช้าง งูเห่า งูจงอาง หมี วัว กระทิง เป็นต้น ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน เพราะกว่าจะผ่านดงนี้ไปได้ต้องใช้เวลาเดินถึง ๓ วัน ๓ คืน ท่านเสี่ยวฮักทั้งสองได้อยู่ปฏิบัติธรรม โดยมีพระอาจารย์มั่น เป็นผู้ชี้แนะสั่งสอน จนจวนจะเข้าพรรษา พระมี เสี่ยวของพระกงมาได้อำลากลับไปจำพรรษาที่วัดบ้านบึงทวยตามเดิม ส่วนพระกงมาก็ยังสามารถอยู่จำพรรษาในป่าดงดิบนี้ได้ต่อไป โดยการมาขอรับฟังโอวาทจากหลวงปู่มั่นอาทิตย์ละ ๒ ครั้ง

ในขณะที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าดงดิบนั้น ท่านมีความรู้สึกว่า พระพุทธเจ้าท่านวิเศษเหลือเกิน เพียงนึกเช่นนี้ ก็ทำให้อาจหาญ ไม่รู้สึกเกรงภัยใดๆ ได้สละชีวิตเพื่อการปฏิบัติธรรม จนเป็นเหตุให้หลวงปู่มั่น ทุ่มเทสั่งสอนให้ความรู้ในด้านปฏิบัติแก่ท่านอย่างเต็มความสามารถ โดยเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ พระอาจารย์กงมาได้เดินทางติดตามหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งเดินทางไปส่งโยมมารดาที่จังหวัดอุบลราชธานี

ครั้นเมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดอุบลราชธานีแล้ว ณ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ เวลา ๑๔.๔๐ นาฬิกา พระอาจารย์กงมา และพระอาจารย์ลี ซึ่งเป็นพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ก็ได้รับสวดญัตติแปรมาเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ณ วัดบูรพา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ท่านทั้งสองได้รับนามฉายาใหม่ว่า “จิรปุญฺโญ” และ “ธมฺมธโร” ตามลำดับ โดยมี ท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอาจารย์เพ็ง เป็นพระกรรมวาจาจารย์

รูปภาพ
พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ)

รูปภาพ
พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร

รูปภาพ
พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร


ภายหลังบวชเป็นพระธรรมยุติแล้ว ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ได้ท่องเที่ยวบำเพ็ญสมณธรรม อบรมสั่งสอนไปตามสถานที่ต่างๆ ดังนี้ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ธุดงค์ไปจำพรรษาที่บ้านหัววัว จังหวัดยโสธร ในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ไปจำพรรษาที่บ้านเหล่างา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ไปจำพรรษาที่บ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ไปจำพรรษาที่ภูระงำ อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น

ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ไปจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา และในปีนี้ ท่านได้สร้างวัดสว่างอารมณ์ บ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ได้สั่งสอนชาวบ้าน ซึ่งมักมีการลักขโมย มั่วสุมการพนัน แตกสามัคคี ฆ่าฟันกันด้วยอุบายธรรม เป็นผลให้ชาวบ้านหันหน้าเข้าหาธรรม ขจัดความเลวร้ายทั้งหลายให้หมดไป จนชาวบ้านเลื่อมใสสร้างศาลาปฏิบัติธรรมถวาย จนกลายมาเป็นวัดสว่างอารมณ์ดังกล่าว

ณ วัดแห่งนี้ ท่านก็ได้รับเด็กชายวิริยังค์ บุญฑีย์กุล (พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร หรือท่านเจ้าคุณพระธรรมมงคลญาณ วัดธรรมมงคล เขตพระโขนง กรุงเทพฯ) เป็นศิษย์ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ พร้อมด้วยคณะ มีพระอาจารย์ปาน, พระอาจารย์เงียบ และสามเณรวิริยังค์ บุยฑีย์กุล ออกธุดงค์ไปภาคตะวันออก เข้าพักปฏิบัติธรรมที่วัดคลองบางกุ้งของ พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร (วัดอโศการาม) ไม่นานก็เดินทางไปอยู่บ้านนายายอาม ตามคำนิมนต์ของขุนภูมิ นายอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี

หมู่บ้านดังกล่าวโจรผู้ร้ายชุกชุม คนขาดศีลธรรม นายอำเภอปราบไม่สำเร็จ ภายหลังพระอาจารย์กงมาเข้าไปอยู่ในหมู่บ้าน ได้สั่งสอนศีลธรรมและธรรมปฏิบัติ ทำให้คนรู้จักบาปบุญคุณโทษมีศีลธรรม มีความรักสมัครสมาน ช่วยเหลือกันและกัน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ท่านก็เดินทางกลับมายังวัดคลองบางกุ้ง ด้วยความอาลัยเสียดายของชาวบ้านนายายอามเป็นอย่างยิ่ง

ต่อมาชาวบ้านหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ได้เห็นพ้องกันสร้างวัดขึ้นในหมู่บ้าน พอได้ข่าวว่า พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ผู้เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดคลองบางกุ้ง จึงได้แต่งตั้งตัวแทน ๕ คน เดินทางมานิมนต์ให้ท่านไปจำพรรษาที่บ้าน ผู้มานิมนต์คนหนึ่งในจำนวน ๕ คน ได้นมัสการท่านว่าเมื่อวันก่อนที่จะมานิมนต์นี้ ได้ฝันว่าได้ช้างเผือกที่มีรูปร่างสวยงามมาก หาที่ติมิได้เลย จำนวนสองเชือก ซึ่งเป็นนิมิตที่ดี พระอาจารย์กงมาได้ฟังเช่นนั้นก็เห็นว่าเป็นมงคล จึงรับนิมนต์

ดังนั้นในวันแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ท่านพร้อมด้วยสามเณรวิริยังค์ บุยฑีย์กุล ก็ได้ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านหนองบัวยังความปิติมาให้แก่ ชาวบ้านแถบนั้นยิ่งนัก ท่านได้แสดงธรรมสั่งสอนชาวบ้าน เชิญชวนให้ทุกคนนั่งสมาธิ บำเพ็ญกรรมฐาน ประชาชนต่างก็เลื่อมใสในจริยาวัตรของพระสมณะทั้งสองอย่างมาก หลั่งไหลกันมาฟังธรรม และต่างได้พร้อมใจกันสร้างเสนาสนะถวายได้ให้ชื่อว่า วัดทรายงาม

รูปภาพ
มณฑปอนุสรณ์สถานที่ประชุมเพลิงหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ
ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร



(มีต่อ ๒)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2010, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์



ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ และ พ.ศ. ๒๔๘๒ มีผู้นำเรื่องไปทูลฟ้อง สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งยังเป็นที่ สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ และเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ว่า พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ปฏิบัติผิดพระวินัยหลายเรื่อง เช่น พระอาจารย์กงมาสะพายบาตรเหมือนพระมหานิกาย พระอาจารย์กงมาเทศน์แปลหนังสือผิด ไม่ถูกต้องตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ เสด็จไปทอดพระเนตรวัตรปฏิบัติของพระอาจารย์กงมาด้วยพระองค์เอง จนประจักษ์ด้วยพระองค์เองแล้วตรัสว่า การสะพายบาตรอย่างนี้ก็เหมือนกับอุ้ม ไม่ผิดวินัยหรอก กลับเรียบร้อยดีด้วย

ส่วนเรื่องแสดงธรรมนั้น ทรงตรัสชมเชยด้วยซ้ำว่าเทศน์เก่งกว่ามหาเปรียญ ๙ ประโยคเสียอีก นอกจากนี้ยังมีผู้ไปทูลฟ้องสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ว่า เวลาไปธุดงค์พระอาจารย์กงมาทำตัวเป็นผู้วิเศษ แจกของขลังให้กับประชาชนหลงไปในทางผิด ทำให้สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ขอออกธุดงค์กับท่านอาจารย์กงมาเพียงสองต่อสอง และทรงขอร้องไม่ให้บอกผู้ใดว่าพระองค์เป็นใคร จากนั้นพระอาจารย์กงมาได้นำพาสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ท่านเคยออกธุดงค์มาแล้ว

วันหนึ่งได้ไปปักกลดพักอยู่ที่เชิงเขาสระบาป จังหวัดจันทบุรี เกิดลมพายุฝนตก กลดไม่สามารถป้องกันน้ำฝนได้ อนึ่ง การปักกลดของพระธุดงค์ก็ต้องอยู่ห่างกันพอสมควร สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงเปียกปอนไปหมด ส่วนพระอาจารย์กงมาก็นั่งตากฝนแต่บริขารไม่เปียก เมื่อฝนหยุด ท่านก็ครองผ้าเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทำให้พระองค์เกิดความฉงน

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ จึงตรัสถามว่า ทำไมจึงไม่เปียก ได้รับคำตอบว่า “มีคาถาดี” ภายหลังเสด็จกลับจากเดินธุดงค์สู่วัดทรายงามแล้ว สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ จึงตรัสถามสามเณรวิริยังค์ บุญฑีย์กุล (พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร) จึงได้ทราบว่า เมื่อเวลาฝนตก พระองค์ต้องเก็บของทั้งหมดใส่ลงไปในบาตร แล้วปิดฝาบาตรให้สนิท ถึงตอนนี้ทำให้สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงเข้าใจชัดว่า คาถาดีป้องกันฝนได้นั้นคืออย่างนี้เอง

หลังจากธุดงค์หนึ่งอาทิตย์เศษ พระองค์ก็ตรัสว่า “การธุดงค์ของท่านกงมาและพระปฏิบัติกรรมฐานนี้ได้ประโยชน์เหลือหลาย อย่างนี้ธุดงค์มากๆ ก็จะทำให้พระศาสนาเจริญยิ่ง” นับแต่นั้นมา พระองค์ทรงให้ความสนับสนุนคุ้มครอง และสรรเสริญพระอาจารย์กงมาโดยตลอด ต่อมาพระอาจารย์กงมาได้สร้างวัดเขาน้อย ท่าแฉลบ ตามข้อชี้แนะของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ก่อนเสด็จกลับกรุงเทพฯ ปัจจุบันได้เป็นวัดที่มั่นคงถาวร


ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ท่านได้ทำการอุปสมบทแก่สามเณรวิริยังค์ บุญฑีย์กุล เป็นพระภิกษุวิริยังค์ สิรินฺธโร และในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ท่านได้ชวนพระวิริยังค์ออกธุดงค์จากวัดทรายงาม จังหวัดจันทบุรี เพื่อไปนมัสการและศึกษาธรรมจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต โดยเดินเท้าเปล่า ผ่านอำเภอบะขาม กิ่งอำเภอคำพุฒ อำเภอโป่งน้ำร้อนไปจนหมดเขตไทย แต่ละแห่งล้วนเป็นป่าดงดิบ มีสัตว์ป่าที่ดุร้าย ไข้ป่ารุนแรง มีอสรพิษมากมาย

แต่ทั้งสองอาจารย์กับศิษย์ ก็สามารถผ่านพ้นป่านั้นๆ ไปได้อย่างปลอดภัย จากนั้นก็เข้าธุดงค์สู่เขตประเทศเขมร ผ่านบ่ไพลิน พระตุบอง มงคลบุรี ศรีโสภณ แล้วเข้าสู่เขตประเทศไทย ด้านอำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี (ขณะนั้นเป็นจังหวัดอรัญประเทศ) พักปักกลดที่ บ้านหนองแวง ธุดงค์ต่อมา ผ่านบ้านตาดโตน ข้ามเขาลูกใหญ่ เดิน ๑ วันเต็ม ผ่านบ้านกุดโบสถ์ ถึง ถ้ำวัวแดง กิ่งอำเภอท่าแซะ จังหวัดนครราชสีมา

ถ้ำวัวแดง เป็นเทือกเขาใหญ่ ถ้ำนี้คนโบราณเกรงกลัวมาก โดยรอบถ้ำเป็นป่าทึบ ต้นไม้ใหญ่หนาแน่น สัตว์ป่าพวกเสือร้ายชุกชุม ภายในถ้ำวัวแดงแห่งนี้ มีเสียงประหลาดน่ากลัวเกิดขึ้นอยู่เสมอ ท่านพระอาจารย์กงมาได้เล่าว่า เสียงน่ากลัวและแปลกประหลาดทั้งหลาย เกิดขึ้น มันจะมาทำลายจิต ฉะนั้น ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิ คือ ตั้งมั่น ในอารมรณ์เดียว ไม่แส่ส่ายไปมา ถ้าจิตไม่แน่วแน่จะเกิดความกลัวทำให้เกิดเป็นบ้าได้

เมื่อท่านอยู่ปฏิบัติธรรม ณ ถ้ำวัวแดง เป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ได้เดินธุดงค์มุ่งสู่จังหวัดสกลนคร พร้อมด้วยพระวิริยังค์ สิรินฺธโร ผู้เป็นศิษย์ โดยผ่านดงพญาเย็น นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี จนกระทั่งถึงจุดหมาย คือ จังหวัดสกลนคร โดยใช้เวลาทั้งสิ้น ๓ เดือน จากวัดทรายงาม จังหวัดจันทบุรี ถึงจังหวัดสกลนคร พระอาจารย์กงมาได้นำพระวิริยังค์เข้านมัสการและฝากไว้เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านได้อยู่จำพรรษากับหลวงปู่มั่นได้รับอุบายธรรม ได้รับความเมตตาเป็นพิเศษ สถานที่ปฏิบัติธรรมนั้นเดิมเป็นเพียงสำนักชั่วคราว พระอาจารย์กงมาได้สร้างขึ้นใหม่จนเป็นวัดสมบูรณ์ตามกฎหมาย ตั้งชื่อว่า วัดสุทธิธรรมาราม

เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่มั่นได้ออกเดินธุดงค์ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ เห็นว่าวัดสุทธิธรรมารามมีความสงบวิเวกน้อย ไม่เหมาะแก่การอยู่ปฏิบัติธรรม ท่านจึงไปเสาะแสวงหาสถานที่อันเหมาะสมกว่า ท่านได้พบถ้ำเสือ บนเทือกเขาภูพาน เห็นว่ามีความสงบวิเวกดี ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านจึงได้ขึ้นปักกลดที่ปากถ้ำเสือ บนเทือกเขาภูพานนั้น อยู่พำนักปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อมา จนเสือที่เคยอาศัยอยู่ ณ ถ้ำแห่งนี้ ต้องหลีกทางให้ท่านอยู่ปฏิบัติเพราะสู้เมตตาธรรมท่านไม่ได้ สถานที่แห่งนี้ต่อมาพระอาจารย์กงมาได้สร้างเป็นวัดชื่อว่า “วัดดอยธรรมเจดีย์” พุทธศาสนิกชนทั้งใกล้และไกลเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของท่าน ต่างหลั่งไหลพากันมาฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ณ ธรรมสถานแห่งนี้ ไม่ขาดสายตลอดมา

จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ ได้มรณภาพลงด้วยอาการสงบ ท่ามกลางความเศร้าสลดอาลัยของบรรดาคณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไปเป็นยิ่งนัก สิริรวมอายุได้ ๖๑ ปี ๑๑ เดือน ๑๑ วัน ทั้งนี้ ได้มีการถวายเพลิงศพท่านในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ เทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร

รูปภาพ
พระเจดีย์ ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร

รูปภาพ

รูปภาพ
ศาลาภายในวัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร


(มีต่อ ๓)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2010, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

๏ ธรรมโอวาท

หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ เป็นพระปฏิบัติธรรมตามแนวของหลวงปู่มั่น ธรรมโอวาทมีดังนี้

๑. คำว่าทุกข์ แม้จะนิดเดียวก็ไม่เคยมีสัตว์โลกรายใดรัก ชอบ และปรารถนา ต่างก็กลัวและขยะแขยงกันมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว แต่หากจะมีก็อาจได้พบเห็นในสมัย ปัจจุบัน เพราะศีลธรรมที่เคยให้ความร่มเย็นแก่โลกตลอดมากำลังถูกตำหนิ ลบล้างด้วยความคิดของคนในปัจจุบัน โดยเห็นว่า ศีลธรรมที่ร่มเย็นเป็นของเก่าก่อน กลับคร่ำครึ ล้าสมัย ความสุขที่เคยได้รับเป็นสันดาร จนลืมทุกข์ทรมานแต่ก่อนเก่าไปสิ้น

๒. เราจะกลัวเสือ หรือเราจะกลัวกิเลส กิเลสมันทำให้เราตาย นับภพนับชาติไม่ถ้วน แต่เสือตัวนี้ มันทำให้เราตายได้หนเดียว

๓. อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา.....อนิจจัง.....ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่สามารถจะอยู่ยงคงทนต่อไปได้ ย่อมดับย่อมสลายไปตามกาล พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่เที่ยงแท้แน่นอนไปได้.....ทุกขัง.....เมื่อมีสิ่งที่เกิดขึ้นมาในโลก แล้วเข้าไปยึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา ของเขา ยามจากไป ยามดับไปสลายสิ้น สิ่งที่รักที่พอใจนั่นแหละ พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นทุกข์อย่างยิ่ง.....อนัตตา.....ความจริงในโลกนี้ มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมันเอง ไม่มีใครไปต่อเสริมเติมแต่งได้ ถึงอย่างไรก็ยังเป็นธรรมชาติ แม้ร่างกายเรานี้จะยึดตัวตน ว่า เป็นของเราของเขาไม่ได้ เพราะเขาเป็นเพียงธาตุๆ หนึ่งที่ประชุมกันเข้าเท่านั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขาทั้งสิ้น

๔. การประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อความบริสุทธิ์ หรือ ไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตน คนอื่นทำให้ไม่ได้ เราต้องปฏิบัติให้รู้ยิ่ง เราต้องอาศัยในสิ่งเหล่านี้ เพื่อจิตเข้าสู่สมาธิ จิตสงบอยู่ในอารมณ์ มาเป็นพยานขององค์วิปัสสนา ให้เห็นชัดแจ้ง เป็นความสว่างของ ปัญญา ผู้บริสุทธิ์ได้ ต้องอาศัยปัญญานี่เอง ทั้งนี้ วิปัสสนาปัญญา จึงต้องยึดเอาตัว สังขารเรานี้เป็นพยานในการปฏิบัติ จึงจะรู้แจ้ง อย่ามองไปนอกตัว เหตุอยู่ที่นี่

๕. ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ล้วนเป็นเพื่อเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทุกชีวิตเกิดมามีกรรมเป็นของๆ ตน

รูปภาพ
รูปหล่อเหมือนหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ ประดิษฐาน ณ พระธุตังคเจดีย์
วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ



นอกจากนี้หลักธรรมที่หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ ถือเป็นแนวทางปฏิบัติและสอนธรรมเป็นหลักธรรมที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้วางเอาไว้ หลวงปู่กงมาก็จดจำได้อย่างขึ้นใจ คือธรรมะ ๑๑ ประการ ได้แก่

๑. การปฏิบัติทางใจ ต้องถือการถ่ายถอนอุปาทานเป็นหลัก

๒. การถ่ายถอนนั้น ไม่ใช่การถ่ายถอนโดยไม่มีเหตุ ไม่ใช่ทำเฉยๆ ให้มันถ่ายถอนเอง

๓. เหตุแห่งการถ่ายถอนนั้น ต้องสมเหตุสมผล เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตํ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ ธรรมทั้งหลายดับไปเพราะเหตุ พระมหาสมณะมีปกติ ตรัสอย่างนี้

๔. เพื่อให้เข้าใจว่า การถ่ายถอนอุปาทานนั้น มิใช่มีเหตุ และไม่สมควรแก่เหตุ ต้องสมเหตุสมผล

๕. เหตุได้แก่สมมติบัญญาติขึ้น แล้วหลงตามอาการนั้น เริ่มต้นด้วยการสมมติ ตัวของตนก่อน พอหลงตัวของเราแล้ว ก็ไปหลงคนอื่น หลงว่าเราสวย แล้วจึงไปหลงผู้อื่นว่าสวย เมื่อหลงตัวของตัวและผู้อื่นแล้ว ก็หลงวัตถุข้างนอกจากตัว กลับกลายเป็น ราคะ โทสะ โมหะ

๖. แก้เหตุต้องพิจารณากรรมฐาน ๕ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ด้วยสามารถแห่งกำลังของสมาธิ เมื่อสมาธิชั้นต่ำ การพิจารณาก็เป็นญาณชั้นต่ำ เมื่อเป็นสมาธิชั้นสูง การพิจารณาเป็นญาณชั้นสูง แต่อยู่ในกรรมฐาน ๕

๗. การสมเหตุสมผล คือ คันที่ไหนก็ต้องเกาที่นั้น จึงจะหายคัน คนติดกรรมฐาน ๕ หมายถึง หลงหนังเป็นที่สุด เรียกว่าหลงกันตรงนี้ ถ้าไม่มีหนัง คงจะวิ่งกันแทบตาย เมื่อหลงกันที่นี้ ก็ต้องแก้กันที่นี่ คือ เมื่อกำลังสมาธิพอแล้ว พิจารณาก็เห็นความจริง เกิดความเบื่อหน่ายเป็น วิปัสสนาญาณ

๘. เป็นการเดินตามอริยสัจ เพราะเป็นการพิจารณาตัวทุกข์ ดังที่ พระพุทธองค์ ตรัสว่า ชาติปิทุกข์ ชราปิทุกข์ พยาธิปิทุกข์ มรณัมปิทุกข์ ใครเกิด ใครแก่ ใครเจ็บ ใครตาย กรรมฐาน ๕ เป็นต้น ปฏิสนธิเกิดมาแล้ว แก่แล้ว ตายแล้ว จึงได้ชื่อว่าพิจารณากรรมฐาน ๕ อันเป็นทางพ้นทุกข์ เพราะพิจารณาตัวทุกข์จริงๆ

๙. ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ เพราะมาหลงกรรมฐาน ๕ ยึดมั่น จึงเป็นทุกข์ เพื่อพิจารณาก็ละได้ เพราะเห็นตามความเป็นจริง สมคำว่า รูปสสมึปิ นิพฺพินฺทติ เวทนายปิ นิพฺพินฺทติ สญฺญายปิ นิพฺพินฺทติ สงฺขาเรปิ นิพฺพินฺทติ วิญญาณสฺสมึปิ นิพฺพินฺทติ เมื่อเบื่อหน่ายในรูป (กรรมฐาน ๕) เป็นต้น แล้วก็คลายความกำหนัด เมื่อเราพ้นเราก็ต้องมีญาณทราบชัดว่าเราพ้น

๑๐. ทุกขนิโรธ ดังทุกข์ เมื่อเห็นกรรมฐาน ๕ เบื่อหน่ายได้จริง ชื่อว่า ดับอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น เช่นเดียวกับท่านสามเณรสุมนะ ศิษย์ของท่านอนุราช พอปลงผมหมดศีรษะก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์

๑๑. ทุกขคามินีปฏิปทา ทางไปสู่ที่ดับ คือ การเป็นปัญญาสัมมาทิฐิ ปัญญาเห็นชอบเห็นอะไร เห็นอริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค การเห็นจริง แจ้งประจักษ์ด้วยสามารถแห่งสัมมาทิฐิ ไม่หลงคติสุข มีสมาธิเป็นกำลัง พิจารณากรรมฐาน ๕ ก็เป็นองค์มรรค


๏ ปัจฉิมบท

หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ เป็นนักต่อสู้ชีวิต ต่อสู้กับกิเลส เมื่อยังเป็นฆราวาส ก็เป็นฆราวาสที่มีคุณภาพ มีประสบการณ์ มีคุณธรรม เมื่อพบเคราะห์กรรมก็รู้จักเลือกสรรสาระให้กับชีวิต ถือเพศเป็นบรรพชิตที่น่าเคารพนับถือ ทั้งในคราบของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย ได้ทุ่มเทชีวิตให้กับการประพฤติปฏิบัติจนมีความประพฤติดี ปฏิบัติชอบ มีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกา ศรัทธาเลื่อมใสในข้อวัตรปฏิปทา ทำให้เกิดวัดอันเป็นสถานปฏิบัติธรรมขึ้นในวงของพระพุทธศาสนามากมาย เกิดมีผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบตามหลักโอวาทของท่านสืบมาจนถึงทุกวันนี้โดยไม่ขาดสาย ท่านได้ชื่อว่าเป็นพระสุปฏิบัติ อุชุปฏิบัติ ญายปฏิบัติ สามีจิปฏิบัติ.....และเป็นโลกปุญญเขตอย่างแท้จริง

รูปภาพ
ทางเดินจงกรมภายในวัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร

รูปภาพ
กุฏิที่พักภายในวัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร

รูปภาพ
ทัศนียภาพภายในวัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร



.............................................................

:b8: ♥ คัดลอกมาจาก :: หนังสือแก้วมณีอีสาน
: รอยชีพรอยธรรมพระวิปัสนาจารย์อีสาน



:b44: ประมวลภาพ “หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ” วัดดอยธรรมเจดีย์
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=48557

:b44: รวมคำสอน “หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=44339

:b44: จริยาของนักปกครอง (หลวงปู่กงมาถูกกล่าวหา)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=23099

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2010, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b8: อนุโมทนา..สาธุ..ด้วยนะครับ..ท่านสาวิกาน้อย :b8:

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร