วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 17:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2010, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 18:20
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ผมกำลังกลุ้มใจมากเลยครับ
เพราะผมรู้สึกว่า ผมพอกับงานที่ทำตอนนี้แล้ว
รายได้ ค่าใช้จ่าย ไม่เดือดร้อนแล้วครับ

แต่ก็ถูกคนอื่นเขาแนะนำปนด่า
ว่าทำไมผมไม่นั่นนี้เพิ่มเติมจะได้มีเงินเพิ่มขึ้น จะได้เก่งขึ้น

ผมแค่รู้สึกว่า ผมไม่ต้องการอะไรมากกว่าที่มีแล้ว
อย่างนี้ผมเป็นคนขี้เกียจไขว่คว้าหาความก้าวหน้าไหมครับ?

ขอคำแนะนำหน่อยครับ ตอนนี้เครียดมากๆ ครับ


แก้ไขล่าสุดโดย เพียงลำพัง เมื่อ 13 ก.ค. 2010, 21:27, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2010, 22:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คนทุกคนมีชีวิตของตัวเอง เลือกเส้นทางของตัวเอง
คนเป็นขอทาน คนที่เป็นโสเภณี ก็เพราะเค้าเลิอกทางนั้น
อีกอย่างอย่าชีวิตตัวเองไปแขวนกับปากคน ดาราเกาหลี
ประสบความสำเร็จมากมาย อยูในฐานะที่คนทั่วไปอิจฉา
กลับต้องมาฆ่าตัวตาย เพราะวาจาทางอินเตอร์เนต
ลมปากมีคุณมากมีโทษมากอยู่ที่วิธีการเอาไปใช้
คนที่เป็นพนักงานกินเงินเดือน แล้วพอใจกับเงินเดือนของตนเอง
ไม่ไปหางานทำเสาร์อาทิตย์เพื่อเพิ่มรายได้ ใครที่ไหนว่าเขาได้ด้วยเหรอ
คนเราลักษณะแตกต่างกันไป บางคนชอบสบายไม่ขอบทำงาน
ขอบเล่นเกมส์ บางคนใฝ่หาความสำเร็จทำอะไรต้องเป็นที่หนึ่ง
พอแพ้เขาโดดตึก
ไม่ว่าเสียงรอบข้างจะว่าอย่างไร แต่คุณก็เป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตเอง
ต้องตัดสินใจเอง
นิทานเรื่องลาเคยฟังรึเปล่าครับ
คนแก่กับเด็กจูงลาตัวหนึ่งเดินมา มีคนทักว่า โง่จัง ทำไมถึงไม่ขึ้นไปนั่งบนหลังลา
เด็กกับคนแก่เลยขึ้นไปบนหลังลา มีคนผ่านมาทักว่า ใจร้ายจังเลย คนสองคนนั่งบนหลังลา
จากนั้น คนแก่เลยนั่งลา ให้เด็กเดิน ก็มีคนผ่านมาพูดว่า ไม่ยุติธรรมเลย
ให้ผู้ใหญ่นั่ง แล้วให้เด็กเดิน
สถาณการณ์สุดท้ายจบลงที่ คนแก่กับเด็กเอาลาผูกกับไม้ แล้วแบกไป

ทุกคนควรมีจุดยืนของตนเองนะครับ

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2010, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 18:20
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ
ถ้า ใครมีความเห็นเพิ่มเติมก็บอกได้เลยนะครับ
เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเข้ามาเช็คอีกทีนึงนะครับ
วันนี้ผมขอตัวไปนอนก่อนครับ

ขอบคุณมากๆ ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2010, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หากไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมี ยิ่งแสวงหาก็ไม่เคยจะเต็ม
ต่อให้หาเงินได้เป็นล้าน ก็คล้ายจะยิ่งจนลง ๆ ใจคอยคิดแต่จะหาเงินมาเพิ่มตัวเลขในบัญชี
จนอาจลืมไปว่าเราหาได้มาเท่าไหร่ก็จะเสียไปเท่านั้น
เพราะตอนตายเราไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปด้วยได้เลย
มีแต่ข้อมูลแห่งกรรมที่สั่งสมอยู่ในจิตเราเท่านั้นที่จะติดตามไป
ผู้รู้ท่านว่ามนุษย์สมบัติเป็นห่วงผูกเท้า อริยทรัพย์ต่างหากที่ควรจะมีให้มาก
(แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องออมเงินนะคะ ไม่ควรประมาททั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ)

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2010, 01:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เพียงลำพัง เขียน:
ตอนนี้ผมกำลังกลุ้มใจมากเลยครับ
เพราะผมรู้สึกว่า ผมพอกับงานที่ทำตอนนี้แล้ว
รายได้ ค่าใช้จ่าย ไม่เดือดร้อนแล้ว


อายุเท่าไรแล้วละครับ..
หากอายุยังน้อย..ก็แปลว่า..อนาคตยังมีที่จะต้องเป็นรายจ่ายเพิ่มจากปัจจุบันอีกนะ
วางแผนรับกับอนาคตยังงัยละ..

อ้างคำพูด:
แต่ก็ถูกคนอื่นเขาแนะนำปนด่า ว่าทำไมผมไม่นั่นนี้เพิ่มเติมจะได้มีเงินเพิ่มขึ้น,จะได้เก่งขึ้น

คนอื่น..นี้นะใคร..มีหน้าที่อะไรมาบ่นด่าท่านได้ละหื่อ..
หากไม่ใช่พ่อแม่พี่น้อง..ก็ชังศีรษะมันปะไร..เวลาเราทุกข์ไม่มีใครมาแบ่งความทุกข์จากเราได้หรอก..

อ้างคำพูด:
ผมแค่รู้สึกว่า ผมไม่ต้องการอะไรมากกว่าที่มีแล้ว
อย่างนี้ผมเป็นคนขี้เกียจไขว่คว้าหาความก้าวหน้าไหมครับ?

:b12: :b12:

อะไรคือความก้าวหน้า..ละ

ที่ใคร ๆ อยากก้าวหน้า..ก็เพราะ..คิดว่าที่สุดมันจะนำความสุขมาให้ใช่มั้ย??..จึงพากันดิ้นรน..กระเสือกกระสน..ทุรนทุราย..เรียกว่าก้าวไป..ทุกข์ใจไป..จะหาสุข..พบแต่ทุกข์..แบบนี้มันหาผิดทางแล้ว

แต่..ก้าวไปข้างหน้าแบบไม่ทุกข์..มันก็มีนะ..ไม่ทุกข์นี้คือใจไม่ทุกข์หรือทุกข์น้อย..ส่วนกายมันก็ทุกข์เป็นธรรมดา..แม้จะไม่ทำอะไรกายมันก็ทุกข์..ปวดขี้..ปวดท้องหิว..ปวดหัวตัวร้อน..อย่างนี้เป็นต้น

ก้าวแบบไม่ทุกข์หรือทุกข์น้อย..คือ..การก้าวตามกำลังของเรา..จบ ป.ตรี..ก็อย่าไปเที่ยวไขว่เขว้าหางานของ ป. โท..เขา..หากอยากทำก็ไปทำ ป.โท..ก่อนซะ

มีเงินในกระเป่า..แสนหนึ่ง..จะไปลงทุนทำธุระกิจเงินล้าน..มันก็ทุกข์นะซิ..

แต่ครั้น..จะอยู่เฉย ๆ ..เช้าชามเย็นชาม..มันก็ไม่ถูก..
คนเรามันต้องพัฒนา..ที่เรามีเครื่องใช้ไม้สร่อยสะดวกสบายอย่างทุกวันนี้ก็เพราะบรรพบุรุษเรามีการพัฒนาไม่ใช่หรือ??..ที่เรามีประเทศอยู่ได้นี้ก็เพราะบรรพบุรุษเราพัฒนาความรู้ความสามารถจนรักษาชาติใว้ได้ไม่ใช่หรือ??

แต่ต้องพัฒนาแบบพอเพียง..เพียงพอต่อกำลังของเรา

อ้างคำพูด:
ขอคำแนะนำหน่อยครับ ตอนนี้เครียดมากๆครับ


อย่าไปเครียด..ทำตามกำลังของเรา..ก็พอแล้ว

ใครจะว่าอย่างไร..มันก็เรื่องของเขา..ไปห้ามเขาไม่ให้พูด..เป็นไปไม่ได้หรอก

ที่เครียดเพราะเราไม่มีความมั่นใจในตัวเองว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2010, 02:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ลองหาความหมายระหว่างคำว่า

"ขี้เกียจ" กับ "สมถะ" ดูซิค่ะ แล้วคุณจะทราบว่าตัวเอง

อยู่ประเภทไหน? และควรทำอย่างไรต่อไป

แค่นี้ก่อนนะค่ะ พรุ่งนี้จะเข้ามาเช็คคำตอบ

เช่นกันค่ะ :b13:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2010, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มาอีกรอบ^^
เห็นด้วยกับคุณ taktay ค่ะ
ความสันโดษกับความขี้เกียจมันต่างกันเนอะ

ดิฉันก็เคยเจอภาวะกดดันคล้ายคุณจขกท.
เพราะน้องและเพื่อนสนิทมีเงินเดือนมากกว่าดิฉันเท่าตัวและหลายเท่า
แต่ทุกวันนี้เค้าไม่มีความสุขกับการทำงานเลย
ต้องเจอกับแรงบีบคั้นและการแข่งขันมากมาย จนน้ำตาตก
อยากจะลาออกอยู่ทุกวัน แต่ยังหาบริษัทที่เงินเดือนมากกว่านี้ไม่ได้

แต่ดิฉันก็คล้ายๆคุณจขกท.
มีความสุขกับการทำงาน อยากไปทำงานทุกวันเหมือนไปบ้านอีกหลังนึง
ตอนนั้นเจอคนรอบข้างกดดันจนเกือบจะลาออกจากบริษัทที่ทำอยู่เพื่อไปบริษัทที่เงินเดือนเยอะกว่าเดิม
แต่ไม่นานก็ได้ promote จนเงินเดือนใกล้เคียงกับที่ใหม่
เอาเป็นว่า ทำหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่ปัจจุบันให้ดีที่สุด
ทำเหตุดีๆ เดี๋ยวผลก็ดีเองค่ะ

คนเรามีจุดพอใจไม่เหมือนกัน ไม่ควรเอาคนอื่นเป็นบรรทัดฐานจนเป็นทุกข์
ที่คนเราหาเงินมากๆเพราะหวังว่าจะมีความสุข
ซึ่งปัจจุบันเรามีความสุขก็น่าจะดีแล้ว คนมีตำแหน่งใหญ่โต มีตังเยอะๆ
เค้าอาจไม่มีความสุขเท่าเราตอนนี้ก็ได้ค่ะ

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2010, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: :b42: บรรดาหลักธรรมพุทธศาสนาที่มีผู้เข้าใจกันไม่ถูกต้อง นอกจากเรื่องหลักกรรมแล้ว สันโดษก็เป็นเรื่องหนึ่ง ความคลาดเคลื่นอาจจะมาจากคำพูดที่ติดปากคนไทยว่า"สันโดษมักน้อย"หรือ"มักน้อยสันโดษ" อยู่ในตัว ไม่ต้องทำ ไม่ต้องสร้าง ไม่ต้องการมาก ต้องการน้อยๆ อยู่ไปวันๆ
ผลที่ตามมาคือความเฉื่อยแฉะ ไม่กระตือรือร้นในการทำงาน งอมืองอเท้า ซึมเซื่อง ปล่อยตามบุญตามกรรม ไม่คิดสร้างสรรค์ พูดง่ายๆ ก็ว่ามนุษย์ไม่เอาไหน

:b48: ถ้าสันโดษของพระพุทธเจ้าหมายถึงอาการอย่างที่ว่ามานี้ ก็น่าจะถูกประณามว่า พระองค์สอนไม่เอาไหน สอนสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคนพัฒนาประเทศอย่างร้ายแรง ใช้ไม่ได้จริงๆ
:b43: แต่สันโดษจริงๆ มันเป็นอย่างไร ? :b43:
....ลองหันไปดูตำราดูบ้างเป็นไร ในตำราท่านให้ความหมายของสันโดษไว้ว่า
:b51: ยินดีตามที่หามาได้,ยินดีเท่าที่หาได้ด้วยความบากบั่นของตน(ยถาลาภสันโดษ)
:b53: ยินดีตามกำลังความสามารถที่หามา,มีสติกำลังเท่าไรทุ่มเทลงไปได้เท่าไรก็พอใจ(ยถาพลสันโดษ)
:b54: ยินดีในสิ่งที่หามาได้โดยชอบธรรม,ของที่ได้มาเป็นผลของการสร้างสรรค์ของตน โดยวิธีการที่ชอบธรรม ไม่ทุจริตฉ้อโกงเขามา(ยถาสรุปสันโดษ)

....สรุปง่ายๆ "สันโดษคือความพึงพอใจในผลสำเร็จ หรือผลได้ที่ตนสร้างขึ้นด้วยความบากบั่น ด้วยการทุมเทพละกำลังทั้งหมดลงไปและโดยชอบธรรม"
(คัดตัดตอนจาก..หนังสือ"พุทธศาสนา ทรรศนะและวิจารณ์"โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก)
....ประเด็นของคุณ"เพียงลำพัง"คงจะหมายความกับคำว่า"สันโดษ"ดัง ๒-๓ หัวข้อข้างบนนี้นะครับ..และคงจะคลายความกังวลสงสัยได้บ้าง...
ขอเจริญในธรรม :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ศรีสมบัติ เมื่อ 09 ก.ค. 2010, 12:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2010, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
ทุกคนควรมีจุดยืนของตนเองนะครับ


จันทร์ ณ ฟ้า เขียน:
ไม่ควรประมาททั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ


กบนอกกะลา เขียน:
อนาคตยังมีที่จะต้องเป็นรายจ่ายเพิ่มจากปัจจุบันอีกนะ
วางแผนรับกับอนาคตยังงัยละ..


กบนอกกะลา เขียน:
หากไม่ใช่พ่อแม่พี่น้อง..ก็ชังศีรษะมันปะไร..เวลาเราทุกข์ไม่มีใครมาแบ่งความทุกข์จากเราได้หรอก..


กบนอกกะลา เขียน:
แต่ครั้น..จะอยู่เฉย ๆ ..เช้าชามเย็นชาม..มันก็ไม่ถูก..
คนเรามันต้องพัฒนา..
-------
แต่ต้องพัฒนาแบบพอเพียง..เพียงพอต่อกำลังของเรา


ชื่นใจ
ขออนุโมทนาผู้ตอบกระทู้ทุกท่าน เนื้อๆเน้นๆเข้มข้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 09 ก.ค. 2010, 13:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2010, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b51: ไหนๆก็ได้คัดลอก โพสต์ มาแล้ว ก็ขออนุญาตต่อให้จบครับ

...วิธีจะเข้าใจสันโดษดีอีกอย่างหนึ่งคือ ให้ดูสิ่งที่ตรงข้ามกับสันโดษและคุณธรรมที่สนับสนุนสันโดษ สิ่งที่ตรงข้ามกับสันโดษ คือ
(๑) การเบียดเบียนกันเพราะอยาก แต่ไม่อยากกระทำ
(๒) การทุจริตเพราะอยากได้ของคนอื่น
(๓) ความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยแต่ไม่ชอบทำงาน
(๔) การทอดทิ้งละเลยไม่เอาใจใส่ในหน้าที่การงาน
(๕) ความกระวนกระวาย เร่าร้อนเห่อเหิมทะยานอยากไม่พอใจตลอดเวลา
(๖) ความเกียจคร้านเฉื่อยชา
คุณธรรมที่สนันสนุนสันโดษคือ วิริยารัมภะ หรือการปรารภความเพียรเอาความง่ายๆ คือการตั้งหน้าตั้งตาพยายามปฏิบัติหน้าที่การงานไม่หยุดยั้ง
....จากการนิยามความหมายของสันโดษ จากการมองสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ตรงข้ามกับสันโดษ และคุณธรรมที่สนับสนุนสันโดษ เราพอจะมองเห็นลักษณะของคนที่มีสันโดษดังต่อไปนี้
(๑) คนสันโดษ จะต้องเป็นคนทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร และด้วยสติปัญญาเท่าที่เหมาะสมกับภาวะของตนและโดยชอบธรรม
(๒) คนสันโดษ จะไม่อยากได้ของคนอื่นหรือของที่ไม่ชอบธรรม ไม่ทุจริตเพราะปากท้องหรือเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว
(๓) เมื่อหามาได้ก็ใช้สอยของที่ได้มาเท่าที่จำเป็น และด้วยสติปัญญาไม่กลายเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น
(๔) เมื่อไม่ได้ เมื่อสุดวิสัยไม่สำเร็จตามต้องการ ก็ไม่เดือดร้อนกระวนกระวาย ไม่ยอมให้ความผิดหวังครอบงำ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนไปได้
(๕) ไม่ถือเอาสิ่งที่ตนหามาได้ สมบัติของตน หรือความสำเร็จของตน มาเป็นเหตุยกตนข่มขู่ ผู้อื่น
(๖) หาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นของตนหรือเป็นสิทธิของตน สามารถดำรงชีวิตที่มีความสุขในทุกฐานะที่ตนเข้าถึงในขณะนั้นๆ
(๗) มีความภูมิใจในผลสำเร็จที่เกิดจากกำลังของตน มีความอดทนสามารถคอยผลสำเร็จที่จะพึงเกิดขึ้น จากการกระทำของตน
(๘) มีความรักและภักดีในหน้าที่การงานของตน มุ่งปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
2:


ที่มา...หนังสือ"พุทธศาสนา ทรรศนะและวิจารณ์" โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
:b51: :b53: :b54: :b53: :b51: :b53: :b54: :b45: :b45: :b45:


แก้ไขล่าสุดโดย ศรีสมบัติ เมื่อ 09 ก.ค. 2010, 13:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2010, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ศรีสมบัติ เขียน:
หากไม่ใช่พ่อแม่พี่น้อง..ก็ชังศีรษะมันปะไร..เวลาเราทุกข์ไม่มีใครมาแบ่งความทุกข์จากเราได้หรอก..

ท่าน ชาติสยามครับ ข้อความข้างบนเป็นของ ท่าน กบนอกกะลา นะครับ :b12:
ไม่ใช่ กระผม ครับ...แต่กระผมก็ สนับสนุนเห็นด้วย คำพูดท่าน กบนอกกะลา(เข้มข้นจริงใจ) และเพื่อนๆพี่ๆกัลยาณมิตรทุกท่าน ครับ :b8:
ขอเจริญในธรรม :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ศรีสมบัติ เมื่อ 09 ก.ค. 2010, 13:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2010, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 18:20
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอายุ 25 ครับ
แต่ตั้งใจว่าจะไม่มีครอบครัว
เพราะป่านนี้ยังหาแฟนไม่ได้เลย

แล้วในมุมมองของความรักเนี้ย
ผมมองในแง่ลบเลย
รักเขาเดี๋ยวเขาก็จากไป
ไม่อยากคิดครอบครองใครครับกลัวผิดหวัง
เลยคิดว่าอยู่ตัวคนเดียวก็แล้วกัน

พออยู่คนเดียว เรื่องรายจ่ายในอนาคต มันก็ลดลงไปเยอะแล้ว
ตอนนี้ผมอาศัยอยู่กับพ่อแม่ บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ
ดูเหมือนจะเกาะพ่อแม่อยู่กลายๆ
แต่เรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัวทุกสิ่ง ผมก็รับผิดชอบเอง

ผมก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ถ้าสักวันนึงท่านทั้ง 2 จากไป
แล้วผมต้องหาบ้านพักอาศัย ก็คิดว่าจะอยู่อย่างประหยัด
ก็น่าจะพอได้อยู่ (อันนี้ยังคำนวณไม่ชัดเจนครับ) ถ้าไม่ได้จริงๆตอนนั้นคงต้องขยันขึ้น

เรื่อง ความเฉื่อยแฉะ ไม่กระตือรือร้นในการทำงาน อันนี้มีส่วนครับ
แต่ในหน้าที่ของผมเอง ผมตั้งใจและขยันทำเต็มที่ คือได้รับมอบหมายอะไร ก็ทำเต็มที่ครับ ไม่ดอง ไม่ขี้เกียจ สู้งานครับ
แต่ก็ไม่คิดจะเรียนรู้เพิ่มเติมครับ แบบประมาณว่าถ้าต้องให้ไปฝึกฝนเพิ่มอย่างนี้
ผมไม่ได้ทำครับ ก็เรียกว่าขี้เกียจก็ได้ครับ
แต่เท่าที่ผมทำอยู่ สำหรับผม ผมก็พอใจอยู่แล้ว
(อันนี้คงเป็นคนที่ไม่รักความก้าวหน้าในเรื่องของงานใช่ไหมครับ?)


ปล.ไปปรึกษาพี่ที่สนิทกันคนนึง เขาก็บอกกับมาว่า ผมโชคดีที่มีพ่อแม่ คอย support ในหลายๆด้านเลยทำให้ผมไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก เลยไม่กระตือรือร้นมาก

ก็คงจะจริงของเขาครับ ผมก็ยอมรับอย่างนั้นเช่นเดียวกัน
แต่ที่ผมคิดว่า โอเค เราพอมีแล้ว เราก็ไม่ต้องดิ้นรนมาก เราพอใจเท่านี้แล้ว
แล้วผมคิดอย่างนี้ ในแง่ของความก้าวหน้ามันคงไม่ดี
แต่ถ้าในแง่ความพอแล้วเนี้ย มันผิดอย่างไรครับ
ผมกำลังสับสนอยู่ใช่ไหมครับ ???

ขอบคุณพี่ๆทุกท่านนะครับที่เข้ามาแสดงความเห็นและให้กำลังใจกับผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2010, 21:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เพียงลำพัง เขียน:
ผมอายุ 25 ครับ
แต่ตั้งใจว่าจะไม่มีครอบครัว
เพราะป่านนี้ยังหาแฟนไม่ได้เลย

แล้วในมุมมองของความรักเนี้ย
ผมมองในแง่ลบเลย
รักเขาเดี๋ยวเขาก็จากไป
ไม่อยากคิดครอบครองใครครับกลัวผิดหวัง
เลยคิดว่าอยู่ตัวคนเดียวก็แล้วกัน


ดีใจด้วยจริง ๆ ที่คิดอย่างนี้.. smiley

แต่นี้แค่ 25 ..มันยังไม่ได้เจอคู่กรรมมั้ง..หากเจอแล้วไม่แน่นะว่ายังจะคิดอย่างเดิมไหม?? :b32: :b32:

อ้างคำพูด:
พออยู่คนเดียว เรื่องรายจ่ายในอนาคต มันก็ลดลงไปเยอะแล้ว
ตอนนี้ผมอาศัยอยู่กับพ่อแม่ บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ
ดูเหมือนจะเกาะพ่อแม่อยู่กลายๆ
แต่เรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัวทุกสิ่ง ผมก็รับผิดชอบเอง


คุณชังเป็นคนมีบุญ..จริง ๆ :b8:

อ้างคำพูด:
เรื่อง ความเฉื่อยแฉะ ไม่กระตือรือร้นในการทำงาน อันนี้มีส่วนครับ
แต่ในหน้าที่ของผมเอง ผมตั้งใจและขยันทำเต็มที่ คือได้รับมอบหมายอะไร ก็ทำเต็มที่ครับ ไม่ดอง ไม่ขี้เกียจ สู้งานครับ

ถ้าทำงานในหน้าที่เต็มที่อย่างนี้..เขาไม่เรียกว่า..เฉื่อยแฉะ ไม่กระตือรือร้นในการทำงาน ..หรอกครับ :b12: :b12:

อ้างคำพูด:
แต่ก็ไม่คิดจะเรียนรู้เพิ่มเติมครับ แบบประมาณว่าถ้าต้องให้ไปฝึกฝนเพิ่มอย่างนี้
ผมไม่ได้ทำครับ ก็เรียกว่าขี้เกียจก็ได้ครับ
แต่เท่าที่ผมทำอยู่ สำหรับผม ผมก็พอใจอยู่แล้ว
(อันนี้คงเป็นคนที่ไม่รักความก้าวหน้าในเรื่องของงานใช่ไหมครับ?)


เอาละ..หากไม่คิดจะเรียนรู้..เพื่อเลี้ยงกายนี้..เพิ่ม..ผมก็อยากจะชวนคุณเพียงลำพังมาเรียนรู้..เพื่อเลี้ยงใจนี้..เอาไหมครับ??

เพราะกายนี้..ไม่ว่าเราจะหาเลี้ยงมัน..ดูแลมัน..อย่างดี..แค่ไหน..สุดท้ายมันก็เน่าอยู่ดี..เอาอะไรกับมันไม่ได้สักอย่าง..เรียกว่าที่เราหาใส่ให้มัน..มีค่าเป็นศูนย์..ยิ่งแคร์มันมากเท่าไร..เราก็ทุกข์มากเท่านั้น

แต่..ลงหากทุนกับจิตใจ..เอาไปได้ทุกอย่าง...
อยากไปเป็นเทวดา..ก็หัดให้ใจมีความละอายและเกรงกลัวต่อบาปกรรม
อยากไปเป็นพรหมณ์..ก็หัดให้ใจ..ตั้งมั่น..มีสมาธิ..มีเอกัคคตารมณ์..
อยากจะนิพพาน..ก็หัดให้ใจ..ละวางกิเลส..อันเป็นเครื่องร้อยรัดเรา..ให้อยู่ในวังวนของวัฎฎะอันน่าสงสารนี้

แต่..หากทำแต่ในทางไม่ดี..มันก็พาเราไปอบายภูมิ..ให้เราทุกข์ทรมาน..อีกนะครับ :b5:

อ้างคำพูด:
ปล.ไปปรึกษาพี่ที่สนิทกันคนนึง เขาก็บอกกับมาว่า ผมโชคดีที่มีพ่อแม่ คอย support ในหลายๆด้านเลยทำให้ผมไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก เลยไม่กระตือรือร้นมาก

:b32: :b32: :b32:
บุญวาสนา..คนเราทำมาไม่เหมือนกัน..ก็อย่างนี้แหละครับ :b16: :b16:

อ้างคำพูด:
แต่ถ้าในแง่ความพอแล้วเนี้ย มันผิดอย่างไรครับ
ผมกำลังสับสนอยู่ใช่ไหมครับ ???


สำหรับคุณ..ผมว่า..มันไม่ผิดหรอกนะครับ..คุณไม่ได้ไปโกงใครเขานี้นา :b12:
:b9: :b9: :b9:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 09 ก.ค. 2010, 23:40, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2010, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 18:20
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมไม่เคยคิดเรื่องบุญว่าโชคดีที่เกิดมาอย่างนี้เลย
แต่ถ้ามันเป็นเพราะบุญจริงๆ
ต่อจากนี้ ผมก็คงต้องพยายามสร้างบุญให้มากขึ้นกว่าเดิม
เพราะที่ผ่านมา ผมช่วยตามความเหมาะสมเท่านั้น มีโอกาสไปวัดหรือไปไหนก็หยอดเงินลงตู้
แต่ไม่เคยตั้งใจหรือเจาะจงไปทำเลยครับ

ผมคิดแต่ว่า ผมจะไม่ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น ไม่คิดทำเรื่องไม่ดีก็พอแล้ว
คล้ายๆกับว่า บุญไม่ค่อยทำ พยายามไม่ทำบาป

เรื่องคู่กรรม ถ้าหากเจอจริงๆ ผมก็พร้อมจะขยันมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอกับรายจ่ายครับ ไม่กลัวเลยเรื่องนี้
แต่สงสัยจะไม่เจอมั้งนี่ก็ 25 แล้วครับ TT

ขอบคุณทุกๆความเห็นมากๆเลยนะครับ :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2010, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พี่(อายุมากกว่า 4 ปี)ก็ตั้งใจจะไม่มีครอบครัวเหมือนกัน
แม้จะมีคนมาทดสอบใจแค่ไหน
เพราะแค่ขันธ์5ของตัวเองก็ทุกข์แล้ว ไม่อยากไปทุกข์กับอีก5อีก10ขันธ์ของใครอีก

ความรักที่แท้อันประกอบด้วยพรหมวิหาร 4 เป็นสิ่งสวยงาม
แต่ความรักของปุถุชนอย่างเรามักจะปนด้วยความยึดเสมอ
ยึดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้นแหละ
และแม้คนที่เข้ามาจะดีพร้อม สุดท้ายก็ต้องเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์
ยังไงก็ต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงและความพลัดพราก
ผู้รู้ท่านว่าความโศก ความร่ำไร ความทุกข์มากมายหลายอย่างมีอยู่ในโลก
เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก
เมื่อไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก ความโศก ความร่ำไร และความทุกข์เหล่านี้ย่อมไม่มี..

พี่ก็เคยเครียดเรื่องนี้เหมือนน้องนะ
เพราะตอนนั้นเจอคนรอบตัวกดดันมาก
ว่าเรียนจบจากรั้วจามจุรี มี cer ทางวิชาชีพ ทำไมไม่ออกไปทำงานในที่เงินเดือนเยอะกว่านี้
แต่เค้าไม่ได้มาเป็นเราเองนี่ พี่เคยทำงานในบริษัทที่ให้เงินเดือนเยอะแต่ไม่มีความสุขเลย
เครียดเรื่องงานเรื่องคน ชอบวันศุกร์ เบื่อวันจันทร์ ดีที่ตอนนั้นไม่ตัดสินใจทำตามแรงกดดัน
เคยคิดเรื่องทำงานพิเศษโดยใช้cerที่ได้มา แต่คิดดูแล้วมันไม่ใช่สัมมาอาชีวะเท่าไหร่
เลยไม่เสี่ยงดีกว่า เลยมีเวลาว่างในการภาวนาในรูปแบบ ไปทำบุญ ไปตลาดซื้อปลาที่เค้าจะฆ่าไปปล่อย
หรือไปเป็นพี่อาสาดูแลน้องเด็กกำพร้าที่สถานสงเคราะห์ฯลฯ
มีความสุขกว่ากันเยอะ^^

สำหรับพี่นะ ถ้าเราจัดสรรเงินเก็บไว้เพียงพอ
ให้พ่อแม่ได้ทุกเดือน
มีแบ่งทำบุญและช่วยคนอื่นบ้างก็พอใจแล้วล่ะ
และถ้าเราคิดว่าพอแล้วจริงๆ
แทนที่จะกังวลเรื่องความก้าวหน้าในงาน
พี่กลับคิดเรื่องความก้าวหน้าในการภาวนามากกว่า
เพราะความตายไม่รู้จะมาถึงเราเมื่อไหร่

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


แก้ไขล่าสุดโดย จันทร์ ณ ฟ้า เมื่อ 09 ก.ค. 2010, 21:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร