วันเวลาปัจจุบัน 06 พ.ค. 2025, 12:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 07:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คัมภีร์ปรมัตถทีปนี อรรถกถานอิติวุตตกะ แสดงความหมายคำว่า บุญ ไว้ ๕ อย่างคือ

๑. หมายถึงผลบุญคือผลของกุศลหรือผลของความดี เช่นในข้อความว่า เพราะการสมาทานกุศลธรรม

ทั้งหลายเป็นเหตุ บุญย่อมเจริญเพิ่มพูน

๒. หมายถึงความประพฤติสุจริตในระดับกามาวจรและรูปาวจร เช่นในคำว่า คนตกอยู่ในอวิชชาหาก

ปรุงแต่งสังขารที่เป็นบุญ (= ปุญญาภิสังขาร)

๓. หมายถึงภพที่เกิดซึ่งเป็นสุคติพิเศษ เช่นในคำว่า วิญญาณที่เข้าถึงบุญ

๔. หมายถึงกุศลเจตนา เช่น ในคำว่า บุญกิริยาวัตถุ (คือเท่ากับกุศลกรรม)

๕. หมายถึงกุศลธรรมในภูมิสาม เช่นในคำว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย ข้อนี้ตรง

กันกับคำว่า โลกียกุศลนั่นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 07:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในบาลีเมื่อกล่าวถึงภิกษุคิดจะลาสิกขามักกล่าวว่า จะสึกไปกินใช้โภคทรัพย์และทำบุญทั้งหลาย และ

ชีวิตชาวบ้านที่ดีก็ถือกันว่าได้แก่ชีวิตเช่นนั้น คำว่า บุญ ในกรณีเช่นนี้ ก็หมายถึงการทำความดีต่างๆ

เช่น เผื่อแผ่แบ่งปัน ให้ทาน ประพฤติดี มีศีล เป็นต้น ตรงกับคำว่า กุศลกรรม หรือในข้อความว่า

บุญมีอุปการะแม้แก่ผู้เป็นเทพ แม้แก่ผู้เป็นมนุษย์ แม้แก่บรรพชิต ก็มีความหมายทำนองเดียวกัน

ส่วนในพุทธพจน์ว่า บุญเป็นชื่อของความสุข บุญก็หมายถึงผลหรือวิบากที่น่าปรารถนาของกุศลกรรม

คือการทำความดี หรือในคำว่า ตาย เพราะสิ้นบุญ (บุญขัยมรณะ) ก็หมายถึงหมดผลบุญหรือสิ้นวิบาก

ของกุศลกรรมที่ปรุงแต่งกำเนิดนั้นนั่นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 02 ก.ค. 2010, 15:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 07:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมที่เท่ากับบุญ ก็คือความหมายในแง่ที่สัมพันธ์กับการไปสวรรค์ เช่น เดียวกับที่อธรรมเท่ากับบาป

ในความหมายที่สัมพันธ์กับการไปนรก

(เช่น ปฏิสํ.อ.20)

คำว่า บุญ และ บาป ท่านมักใช้อยู่ในวงแห่งคำสอนสำหรับชาวบ้านหรือชีวิตของชาวโลก

ส่วนคำว่า กุศล และ อกุศลเป็นศัพท์วิชาการทางธรรม ใช้แทนคำว่า บุญและบาปได้เป็นส่วนมาก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 14:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นกับประโยคที่อ้างอิงเจ้าค่ะ...
อ้างคำพูด:
ในบาลีเมื่อกล่าวถึงภิกษุคิดจะลาสิกขามักกล่าวว่า จะสึกไปกินใช้โภคทรัพย์และทำบุญทั้งหลาย และชีวิตชาวบ้านที่ดีก็ถือกันว่าได้แก่ชีวิตเช่นนั้น

:b6:
...ข้อความดังกล่าวน่าจะหมายถึงผู้ที่ต้องการบวชทดแทนคุณบุพการีจากนั้นก็สึกไป...
...เพราะบวชเพื่อต้องการเบียด...จริงอะป่าว...ก็ยังต้องการแต่งงานมีลูกเมียและอื่นๆทางโลก...
...ซึ่งเป็นไปในอกุศลเป็นส่วนใหญ่...เพราะเป็นไปเพื่อติดข้องต้องการยังไม่ละความเห็นที่ติดข้องได้...
:b7:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ในบาลีเมื่อกล่าวถึงภิกษุคิดจะลาสิกขามักกล่าวว่า จะสึกไปกินใช้โภคทรัพย์และทำบุญทั้งหลาย และ

ชีวิตชาวบ้านที่ดีก็ถือกันว่าได้แก่ชีวิตเช่นนั้น คำว่า บุญ ในกรณีเช่นนี้ ก็หมายถึงการทำความดีต่างๆ

เช่น เผื่อแผ่แบ่งปัน ให้ทาน ประพฤติดี มีศีล
เป็นต้น



เข้าไปปรับแถวจัดบรรทัดให้ใหม่

ตรงนี้ท่านต้องการอธิบายความว่า บุญ จึงยกตัวอย่างดังกล่าว

บุญตัวอย่างภิกษุจะสึกไปทำบุญ หมายถึงบุญคือการทำความดีต่างๆ เช่น เผื่อแผ่แบ่งปัน ให้ทาน

ประพฤติดี มีศีล เป็นต้น เรียกว่า บุญ ตามตัวอย่างนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
:b1:
...ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นกับประโยคที่อ้างอิงเจ้าค่ะ...
อ้างคำพูด:
ในบาลีเมื่อกล่าวถึงภิกษุคิดจะลาสิกขามักกล่าวว่า จะสึกไปกินใช้โภคทรัพย์และทำบุญทั้งหลาย และชีวิตชาวบ้านที่ดีก็ถือกันว่าได้แก่ชีวิตเช่นนั้น

:b6:
...ข้อความดังกล่าวน่าจะหมายถึงผู้ที่ต้องการบวชทดแทนคุณบุพการีจากนั้นก็สึกไป...
...เพราะบวชเพื่อต้องการเบียด...จริงอะป่าว...ก็ยังต้องการแต่งงานมีลูกเมียและอื่นๆทางโลก...
...ซึ่งเป็นไปในอกุศลเป็นส่วนใหญ่...เพราะเป็นไปเพื่อติดข้องต้องการยังไม่ละความเห็นที่ติดข้องได้...
:b7:
:b44: :b44:


ครั้งพุทธกาลก็มีบวชมีสึก มีบวชๆสึกๆเหมือนกัน บวชแล้วบางรูปบางคณะก็ทำผิด ทะเลาะเบาะแว้งกัน

เช่นกัน วินัยบัญญัติอนุบัญญัติเกิดจากการกระทำของภิกษุครั้งนั้นแล้วจึงสังคมในยุคนั้นตำหนิ

พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติวินัยห้ามภิกษุทำอย่างนั้นอีก ภิกษุใดขืนทำผิดวินัยมีโทษทางวินัยบัญญัติ

ส่วนคำว่าบวชทดแทนคุณบุพการรี (บวชแทนคุณมารดาบิดา) ไม่แน่ใจว่า ใช้คำพูดนี้กันตั้งแต่เมื่อไหร่

ไม่พบที่มา ใครรู้ช่วยบอกด้วยครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 15:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
เข้าไปปรับแถวจัดบรรทัดให้ใหม่

ตรงนี้ท่านต้องการอธิบายความว่า บุญ จึงยกตัวอย่างดังกล่าว

บุญตัวอย่างภิกษุจะสึกไปทำบุญ หมายถึงบุญคือการทำความดีต่างๆ เช่น เผื่อแผ่แบ่งปัน ให้ทาน

ประพฤติดี มีศีล เป็นต้น เรียกว่า บุญ ตามตัวอย่างนี้

:b12:
...เพราะยังไม่หมดกิเลส...ขณะทำความดีก็แค่ขณะจิตที่ให้ทาน1ขณะ...ต่อจากนั้นก็ยังเห็นว่าเป็นตัวเราทำ...
...ก็ขึ้นชื่อว่ายังเห็นไม่ตรง...เพราะทางโลกยังติดข้องต้องการทรัพย์ทั้งหลาย...
...เพราะพระพุทธเจ้าทรงสละทรัพย์ทางโลกที่คนทั่วไปอยากมั่งมี...
...ซึ่งหมายถึงการเห็นที่สะสมภพชาติเกิดสืบต่อยังไงก็ติดข้อง...
...ไม่ใช่บุญที่เป็นไปเพื่อให้เพื่อละโดยไม่หวังสิ่งใด...
...เพราะยังเป็นการทำบุญเพื่อหวังผลอยู่...
...ลองฟังต่ออีกหน่อยเจ้าค่ะ...
:b23:
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=624
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=625
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=694
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=765
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=767
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=305
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=320
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=326
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=330
:b4: :b4:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
...เพราะยังไม่หมดกิเลส...ขณะทำความดีก็แค่ขณะจิตที่ให้ทาน1ขณะ...ต่อจากนั้นก็ยังเห็นว่าเป็นตัวเราทำ...
...ก็ขึ้นชื่อว่ายังเห็นไม่ตรง...เพราะทางโลกยังติดข้องต้องการทรัพย์ทั้งหลาย...
...เพราะพระพุทธเจ้าทรงสละทรัพย์ทางโลกที่คนทั่วไปอยากมั่งมี...
...ซึ่งหมายถึงการเห็นที่สะสมภพชาติเกิดสืบต่อยังไงก็ติดข้อง...
...ไม่ใช่บุญที่เป็นไปเพื่อให้เพื่อละโดยไม่หวังสิ่งใด...
...เพราะยังเป็นการทำบุญเพื่อหวังผลอยู่


ยังไม่ฟังได้ไหมครับสนทนากันก่อน

แล้วบุญเช่นว่านั้น ได้แก่บุญอะไรทำยังไงล่ะขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
ยังไม่ฟังได้ไหมครับสนทนากันก่อน

แล้วบุญเช่นว่านั้น ได้แก่บุญอะไรทำยังไงล่ะขอรับ

...ถ้าไม่ฟังแล้วจะเข้าใจได้ไหมว่าบุญประกอบด้วยปัญญาหลายระดับ...
...เพราะ ณ ขณะจิตที่ตั้งใจทำบุญแล้วยังคิดว่าเป็นตัวเราทำก็ยังไม่เป็นธรรมะ...
...ต้องน้อมจิตเข้าใจว่าขณะที่ทำบุญเป็นจิตทำกุศลไม่ใช่คิดว่าเราทำบุญ...
...เพราะทุกขณะที่เกิดขณะนี้ก็เป็นธรรมะ...ขณะที่นั่งทำตาปริบๆหน้าคอมนี่แหละ...
...ก็ไม่พ้นจากทุกข์เพราะไม่เห็นสภาพการเกิดดับที่เกิดขึ้นมากมาย...ควรฟังด้วยดีเพื่อเข้าใจ...
...เข้าใจอะไร...ก็เข้าใจว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรมะที่กำลังดำเนินไปจากการสนทนาธรรมของจิตแต่ละดวง...
...ไม่ใช่แต่ละคนกำลังสนทนาธรรม...เข้าใจได้ไหมว่าขณะนี้ก็กำลังเป็นธรรมะที่จิตแต่ละดวงกำลังฟัง...
...(ฟังในใจขณะที่จิตที่กำลังจิ้มดีดตัวอักษรอยู่นี่อ่ะค่ะว่าจิตนี้กำลังคิดเป็นตัวหนังสือให้จิตดวงอื่นๆอ่าน)...
...เพราะถ้าไม่ฟังแล้วจะเข้าใจอะไรง่ายๆก็หาได้ไม่...เพราะธรรมะละเอียดต้องเข้าใจจนจิตรู้แล้วไม่สง
สัย...
:b43:
:b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฟังเองอาจตีความผิดครับ คุณอธิบายอาจเข้าใจง่ายกว่า :b1:

อ้างคำพูด:
เพราะพระพุทธเจ้าทรงสละทรัพย์ทางโลกที่คนทั่วไปอยากมั่งมี..


ช่วยอธิบายข้อเขียนนี้หน่อยครับ แล้วท่านสอนให้คนทั้งโลกสละเหมือนท่านด้วยหรือไม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

อย่างนั้นพอได้ไหมครับ สละสิ่งภายนอกหมดสิ้น เพราะเขาเชื่อว่าทรัพย์สินเงินทองเป็นกิเลส เลย

เปลื้องมันสะเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูศาสดาศาสนานุ่งลมห่มท้องฟ้า ฯลฯ ที่

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=118.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b20:
...พระธรรมที่ทรงแสดงที่ว่านี้ทุกข์...อุปาทานทั้งหลายในขันธ์นี่แหละเป็นทุกข์...
...ความอัศจรรย์ของสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้...ทุกข์เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใครก็เข้าใจได้...
...ทรงแสดงพระธรรมตลอดชีวิต 45 พรรษาตั้งแต่ได้บรรลุธรรม...ทรงตรัสความจริงจริงๆว่า...
...ธรรมคือธรรมชาติของชีวิตที่เกิด-ดับทีละ 1 ขณะจึงไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...
...ความจริงไม่ใช่เป็นคน สัตว์ ตัวตน เรา เขา สิ่งของต่างๆประจักษ์ชัดตามสายตาของชาวโลก...
:b8:
...เพราะทรงตรัสรู้ว่าสภาพธรรมะแต่ละอย่างที่จิตแต่ละดวงท่องเที่ยวผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...
...จิตแต่ละดวงท่องเที่ยวดวงเดียวตั้งแต่เกิดจนตายด้วยมีโลภะ โทสะ โมหะ...จิตเกิดทีละ 1 ขณะ...
...ไม่พร้อมกัน ตาเห็นรูปเกิดเจตสิกเห็นรูปแล้วดับไป จึงเกิดหูได้ยินเสียงเกิดเจตสิกได้ยินดับไป...
...จึงจะเกิดจิตเห็นรูปอื่นๆได้...ไม่ว่าจะเป็นเห็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นไม่พร้อมกันเลย...
:b6:
...จิตเห็นก็ทำหน้าที่เห็นอย่างเดียวดมกลิ่นไม่ได้...เห็นทางตาคือเห็นสีที่แตกต่างกันเท่านั้น...
...ที่เหลือจิตปรุงแต่งเป็นบุคคล ตัวตนเรา เขา วัตถุ สิ่งของ ซึ่งละเอียดตามสิ่งที่สะสมมาแต่ชาติก่อนๆมา...
...จิตได้กลิ่นก็เห็นไม่ได้...จิตได้ยินเสียงก็ได้กลิ่นไม่ได้...เห็นด้วยตาก็ไม่สามารถสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งได้เลย...
...ยังมองเห็นว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ก็คือไม่เข้าใจธรรมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเจ้าค่ะ...
:b22:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 16:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b6:
...จิตแต่ละดวงที่ท่องเที่ยวดวงเดียวตั้งแต่เกิดจนตายนี้แหละทำอยู่ 2 อย่างคือจิตคิดดีกับจิตคิดไม่ดี...
...จึงสร้างทั้งกรรมดีและไม่ดีด้วยจิตดวงนั้นเอง...โดยมีจิตอื่นๆที่ก็เกิดมาท่องเที่ยวดวงเดียวเช่นกัน...
...ก็จิตแต่ละดวงสร้างเหตุปัจจัยปรุงแต่งไว้แล้ว...ก็เทียวเกิดเทียวตายเพื่อเสวยกรรมที่จิตนั้นสร้างเอง...
...ไม่มีใครไหนอื่นมาทำให้กรรมเกิดขึ้นกับแต่ละบุคคลตามที่เข้าใจว่ามีเจ้ากรรมนายเวรเป็นจิตปรุงเอง...
...ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนใดๆให้ยึดมั่นถือมั่นได้...เพราะทุกสิ่งเกิดดับตลอดเวลาแม้แต่ขณะพิมพ์ดีดนี้...
...ก็มีการเกิดดับของแต่ละดวงจิตนับไม่ถ้วน...แล้วก็คิดไม่เหมือนกัน...พอเข้าใจอะไรได้บ้างไหม...
...การปรุงแต่งหยาบ/ละเอียดของจิตนี่แหละ...ที่จัดสรรให้เห็นสภาพธรรมที่เห็นทุกวันแตกต่างกัน...
:b22:
:b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 02 ก.ค. 2010, 16:53, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรม เมื่อแยกแล้วได้สองอย่าง คือ โลกียธรรม กับ โลกุตรธรรม ถูกไหมครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร